• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - dsmol19

#2841


หนึ่งในเทรดใหญ่ของโลกที่เห็นได้ชัดเจนคือ "พลังงานสะอาด" จนทำให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวของต่างหันมาลงทุนเปิดตัวธุรกิจให้สอดคล้อง   จนทำให้ธุรกิจเดิมจาก พลังงานฟอสซิล อย่าง "ถ่านหิน" หรือ  "น้ำมัน"  อาจจะกลายเป็นของล้าหลังในอีก 10 ปีข้างหน้า  

ทำให้หุ้นที่เกี่ยวข้องไร้เสน่ห์การลงทุนแต่ทำไหมยังเห็นตัวเลขราคาน้ำมันหรือถ่านหินกลับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง  เฉพาะราคาน้ำมันหลังจุดต่ำสุดปี 2563 สามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องอยู่ที่ระดับ 70 ดอลลาร์บาร์เรล อานิสงค์การลดมาตรการล็อกดาวน์ ในต่างประเทศ ทำให้เกิดความต้องการที่ถูกอั้นเอาไว้ดึงราคาเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจหุ้นน้ำมัน และ ปิโตรเคมี


อีกด้านราคาถ่านหินที่ถือว่าหลายประเทศไม่สนับสนุนให้เกิดธุรกิจดังกล่าว มีการกีดกันด้วยซ้ำจาก ภาษีคาร์บอนเครดิต ไม่ปล่อยสินเชื่อลงทุน ไม่เปิดสัมปทานเหมืองถ่านหินใหม่ๆ  เพื่อหันไปใช้พลังงานสะอาดแทนแต่กลับทำให้ราคาถ่านหินครึ่งปีแรก2564  ทะลุหลักร้อย ที่ 152.37 ดอลลาร์ต่อตัน ( 30 ก.ค.64)

เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงปลายปี 2563 ราคาถ่านหินอยู่ที่ระดับ 70 ดอลลาร์ต่อตัน ส่งผลทำให้ 6 เดือนแรก ราคาขยับขึ้นมาถึง 117 %  วึ่งระหว่างทางราคายังขึ้นไปทำสูงสุดที่ 146 ดอลลาร์ต่อตัน สูงสุดในรอบ 12 ปี ท่ามกลางความต้องการใช้ที่สูงขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและสถานการณ์โควิด-19 ในหลายประเทศเริ่มคลี่คลาย

โดยยังมีความต้องการจากผู้บริโภครายใหญ่จีน อินเดีย เวียดนาม ไต้หวัน เกาหลี เข้ามาเพิ่มเติมยิ่งจีนที่ใช้มาตรการเข้มในธุรกินี้จนห้ามนำเข้าถ่านหินจากออสเตรเลียเลยออกผลไปที่จีนต้องนำเข้าจากแหล่งอื่นทดทแน เช่น อินโดนีเซีย

ดังนั้นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับราคาถ่านหินโดยตรงจึงปรับตัวขึ้นเนื่องต่อเนื่อง รายเล็กใตลาด บริษัท ลานนารีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) หรือ LANNA  ราคาหุ้นขยับจากระดับ 5 บาท (พ.ค. 64) จนไปยืนที่ 15-16 บาท (มิ.ย.64 ) จนเกือบไปแตะที่ 20 บาท ซึ่งวานนี้ (3 ส.ค.) ราคาหุ้นปิดที่ 18.60 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) คิงส์ฟอร์ด ให้ราคาเป้าหมายที่  24.50 บาท ในฐานผู้ที่มีแหล่งผลิตถ่านหินในอินโดนีเซียที่ได้รับประโยชน์จากราคาถ่านหินในตลาด Seaborne ที่ยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง เป็นผลความต้องการใช้ที่สูงขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและสถานการณ์ โควิด-19 ในหลายประเทศเริ่มคลี่คลาย

ถัดมาหุ้น บริษัท บ้านปู จำกัด  (มหาชน) หรือ BANPU เป็นรายใหญ่ในตลาด ที่กำลังเข้าสู่พลังงานสะอาดมากขึ้นผ่านการลงทุนของบนิษัทลูก บริษัท บ้านปูเพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP   ทำให้มีการเปิดแผนการเพิ่มทุนเป็นเท่าตัวจนราคาหุ้นสะดุดลงหลังขึ้นมาถึง 16 บาท กลางมิ.ย. ที่ผ่านมา

ด้วยแผนเพิ่มทุนออกมากว่า 30000 ล้านบาท ก่อนจะมีการปรับตัวเลขใหม่เป็นเพิ่มทุน 2.96 หมื่นล้านบาท  (ลดลงจากแผนเดิม 7%) ด้วยการออกหหุ้นเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิม 1,692 ล้านหุ้น สัดส่วน 3 หุ้นเดิมต่อ1 หุ้นใหม่  และใบสำคัญแสดงสิทธิหรือวอร์แรนต์ ( BANPU-W4 แจกฟรีราคาใช้สิทธิ 5 บาท และ BANPU-W5 แจกฟรี ที่ราคาใช้สิทธิ 7.50 บาท )  พร้อมยกเลิกแผนออก BANPU-W6   ซึ่งจะมีการประชุมขออนุมัติผู้ถือหุ้น 9 ส.ค. นี้

ส่งผลทำให้ราคาหุ้นกลับมารีบาวด์ภายใต้การแผนเพิ่มทุนมุ่งเน้นไปที่การเข้าซื้อกิจการและขยายธุรกิจพลังงานสะอาด   ขณะที่ธุรกิจหลัก บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) คาดไตรมาส 2 ปี 2564 กำไร 1.4 พันล้านบาท  (จากขาดทุนสุทธิ 2.5 พันล้านบาท ใน 2Q63, -10% QoQ) จากราคาถ่านหินเพิ่มขึ้นถึง 98% ( YoY )และ 21% ( QoQ)  มีราคาขายถ่านหินเฉลี่ย (ASP) จะเพิ่มขึ้น 18% (QoQ) เป็น 78 ดอลลาร์ต่อตัน  
#2842


วันที่ 3 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) ลงนามประกาศ กทม. เรื่อง สั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 39) เมื่อวันที่ 2 ส.ค. ตามประกาศใช้ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 30) ลงวันที่ 1 ส.ค. 2564 โดยมีคำสั่งปิดสถานที่ในกรุงเทพฯ และให้ดำเนินการตามที่ระบุไว้ในประกาศ กทม. เรื่อง สั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่  32) ลงวันที่14 มิถุนายน 2564 (ฉบับที่ 34) ลงวันที่ 27 มิถุนายน2564 (ฉบับที่ 35) ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 (ฉบับที่ 36) ลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2564 (ฉบับที่ 37) ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2564 และ(ฉบับที่ 38) ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2564

ทั้งนี้ สำหรับประกาศ กทม.ฉบับที่ 37 ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2564 ได้กำหนดสถานที่ที่เปิดได้ตามความจำเป็น ดังนี้

1.โรงพยาบาล สถานพยาบาล คลินิกแพทย์รักษาโรค ร้านขายยา ร้านขายยาและเวชภัณฑ์

2.ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกรรมการเงิน ธนาคาร ตู้เอทีเอ็ม

3.ธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม ไปรษณีย์และพัสดุภัณฑ์ ร้านจำหน่ายอาหารสัตว์

4.โรงงาน ร้านจำหน่ายเครื่องมือช่างและอุปกรณ์ก่อสร้าง

5.ร้านค้าทั่วไป ร้านจำหน่ายสินค้าเน็ดเตล็ดอันจำเป็น

6.สถานที่จำหน่ายแก๊สหุงต้ม เชื้อเพลิง ปั๊มน้ำมัน ปั๊มแก๊ส

7.ตลาดนัด (เฉพาะส่วนที่จำหน่ายอาหารและวัตถุดิบเพื่อการบริโภค)

8.สถานรับเลี้ยงเด็ก (เฉพาะในโรงพยาบาลและที่รับตัวไว้พักค้างคืน)

9.สถานดูแลผู้สูงอายุ (เฉพาะที่มีการรับตัวไว้พักค้างคืน)

10.ธุรกิจประกันภัย หน่วยบริการงานช่วยเหลือกู้ภัย

11.ศูนย์บริการหรือร้านซ่อมแซมยานพาหนะ ร้านแบตเตอรี่

12.หน่วยบริการตรวจสอบหรือซ่อมบำรุงระบบสารารณูปโภค ระบบระบายน้ำ

13.ระบบท่อส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ผู้จัดเก็บและกำจัดขยะบริการส่งสินค้าและอาหารตามสั่ง (delivery online)

ขณะเดียวกันในประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง สั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 39) ล่าสุดนั้น มีคำสั่งให้ร้านจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ หรือสถานประกอบกิจการอื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน เปิดดำเนินการได้จนถึงเวลา 20.00 นาฬิกา โดยให้ดำเนินการ ได้เฉพาะการจำหน่ายในรูปแบบการสั่งอาหารหรือเครื่องดื่มผ่านการบริการขนส่งอาหาร (Food Delivery Service) เท่านั้น

รวมถึงให้พื้นที่หรือสถานที่ก่อสร้าง ดัดแปลงหรือรื้อถอนอาคาร สถานที่พักอาศัยชั่วคราวสำหรับแรงงาน งานก่อสร้าง และการเดินทางเคลื่อนย้ายแรงงาน ซึ่งได้เคยมีประกาศหรือคำสั่งให้ปิดสถานที่หรือหยุดการดำเนินการ ตามประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง สั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 34) ลงวันที่ 27 มิถุนายน 2564 หรือเคยได้รับการผ่อนคลายแบบมีเงื่อนไข ตามประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง สั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 35) ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 แต่ต่อมาสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้ตามมาตรฐานทางสาธารณสุข หรือได้ดำเนินการแก้ไขเพื่อให้สถานที่มีสภาวะที่ถูกสุขลักษณะแล้ว เปิดหรือดำเนินการได้ภายใต้หลักเกณฑ์ มาตรการ และแนวทางกำกับติดตามประเมินผลที่กระทรวงสาธารณสุขหรือทางราชการกำหนด 

สำหรับสถานที่กิจการที่ถูกปิดทั้งหมด 33 กิจการ มีดังนี้

1.สถานบริการ สถานประกอบการที่มีลักษณะ คล้ายสถานบริการ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ หรือสถานที่อื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน

2.สถานประกอบกิจการอาบอบนวด

3.สถานประกอบกิจการอาบน้ำ สถานประกอบ กิจการอบไอน้ำ อบสมุนไพร

4.สนามชนไก่ และสนามซ้อมชนไก่

5.สนามชนโค สนามกัดปลา หรือสนามแข่งขันอื่นในลักษณะทำนองเดียวกัน

6.สนามมวย โรงเรียนสอนมวย

7.สนามม้า

8.สนามแข่งขันทุกประเภท

9.โต๊ะสนุกเกอร์ บิลเลียด

10.สถานที่เล่นโบว์ลิ่งหรือตู้เกม

11.ร้านเกม และร้านอินเทอร์เน็ต

12.โรงมหรสพ โรงภาพยนตร์ โรงละคร

13.สถานที่แสดงมหรสพ หรือสถานที่ที่มีการแสดงหรือการละเล่นสาธารณะ

14.สวนน้ำ สวนสนุก

15.สนามเด็กเล่น เครื่องเล่นสำหรับเด็ก

16.สวนสัตว์ หรือสถานที่จัดแสดงสัตว์

17.สถานที่เล่นสเก็ตหรือโรลเลอร์เบลดหรือการเล่นอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน

18.สถานที่ออกกำลังกายฟิตเนส

19.โรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ (ยิม)

20.สถาบันลีลาศหรือสอนลีลาศ

21.สถานที่ให้บริการห้องประชุม ห้องจัดเลี้ยงสถานที่จัดเลี้ยง รวมถึงสถานที่อื่นใดที่มีลักษณะเดียวกัน

22.ศูนย์พระเครื่อง พระบูชา และสนามพระเครื่องพระบูชา

23.สถานที่ให้บริการควบคุมน้ำหนัก สถานเสริมความงาม คลินิกเสริมความงาม (ไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นคลินิกเวชกรรม) สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ เช่น กิจการสปานวดเพื่อสุขภาพ นวดฝ่าเท้า

24.สนามกีฬาทุกประเภทในร่ม เช่น สนามแบดมินต้น สนามฟุตซอลสนามบาสเก็ต. สนามวอลเลย์.กลางแจ้ง เช่น สนามกอล์ฟ สนามซ้อมกอล์ฟ สนามฟุต. สนามเทนนิส

25.สวนสารารณะ สวนพฤกษศาสตร์ต่างๆ

26.ลานกีฬา

27.ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม หรือสถานที่จัดนิทรรศการ

28.ศูนย์การเรียนรู้ หรือศูนย์วิทยาศาสตร์ เพื่อการศึกษา อุทยานวิทยาศาสตร์ศูนย์วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม หรือหอศิลป์

29.ห้องสมุดสาธารณะ ห้องสมุดชุมชนห้องสมุดเอกชน และบ้านหนังสือ

30.พิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์สถาน พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น รวมถึงพิพิธภัณฑ์ในลักษณะเดียวกันแหล่งประวัติศาสตร์ หรือ โบราณสถาน

31.ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และเด็กก่อนวัยเรียน

32.ร้านเสริมสวย ร้านตัดผมหรือแต่งผมร้านทำเล็บ หรือร้านสัก

33.สระน้ำเพื่อการเล่นกีฬา หรือกิจกรรมทางน้ำเพื่อการสันทนาการ สระว่ายน้ำสาธารณะหรือกิจการอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
#2843



จากโรงกลั่นน้ำมันเอกชนรายแรกของประเทศ "ไทยออยล์" ตั้งปณิธานสานต่อความตั้งใจไม่หยุดยั้ง พร้อมอยู่เคียงข้างสังคมไทย สร้างความมั่นคงทางพลังงานและการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน มุ่งสู่องค์กร 100 ปี สร้างสรรค์คุณภาพชีวิตด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน

กล่าวได้ว่า "ไทยออยล์" เป็นผู้เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่อุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันในไทย เพราะเป็นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันเอกชนรายแรกของประเทศมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 ด้วยกำลังการผลิต 35,000 บาร์เรล/วัน

ตลอดระยะเวลา 60 ปี ไทยออยล์ยังคงมุ่งมั่นสานต่อไม่ลดละเพื่อตอบโจทย์ความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ จนในปัจจุบันเป็นโรงกลั่นที่มีกำลังการผลิตสูงที่สุดในประเทศ ผลิตน้ำมันสำเร็จรูปออกมาจำหน่ายประมาณร้อยละ 31 หรือ 1 ใน 3 ของปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปที่จำหน่ายทั้งหมดในประเทศไทย

เรื่องราวความสำเร็จของ "ไทยออยล์" ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมาล้วนสร้างหลักไมล์ในโลกพลังงานหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น...การเป็นโรงกลั่นน้ำมันที่ทันสมัย มีความซับซ้อนในเชิงกระบวนการผลิตที่อยู่ในระดับต้นๆ ของภูมิภาคเอเชีย ทำให้สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงและเป็นที่ต้องการของตลาดในสัดส่วนที่มาก, เป็นโรงกลั่นที่สามารถผลิตน้ำมันไร้สารตะกั่วและน้ำมันเกรด Euro4 ได้ทุกผลิตภัณฑ์ เป็นรายแรก เป็นต้น

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างความยั่งยืนแก่เศรษฐกิจและสังคมไทยโดยรวมมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ไทยออยล์ได้รับรางวัลผู้นำด้านความยั่งยืนในระดับโลก อย่าง DJSI ในเวทีระดับโลกด้วย



ยืนหนึ่ง โรงกลั่นทันสมัยระดับภูมิภาค เติบโตและอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างเป็นมิตร

ปัจจุบัน นอกจากการเป็นผู้ผลิตรายใหญ่และมีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในประเทศแล้ว ไทยออยล์ยังขยายตลาดไปยังต่างประเทศมากขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในการเติบโตไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคซึ่งมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูง

นอกจากนี้ ไทยออยล์ยังได้มีการขยายการลงทุนไปยังธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน ธุรกิจอะโรเมติกส์ ธุรกิจผลิตไฟฟ้า และเอทานอล เพื่อตอบสนองความต้องการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน พร้อมรองรับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างสมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมรายแรกและรายเดียวของประเทศที่ผลิตสาร Linear Alkyl Benzene (LAB) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผงซักฟอก น้ำยาทำความสะอาดต่างๆ ที่จำหน่ายทั้งในประเทศ และต่างประเทศ

แม้ว่าจะเติบโตทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค แต่ไทยออยล์ก็ไม่ลืมชุมชนรอบๆ โรงกลั่นที่อยู่ร่วมกันมา เพราะไทยออยล์เป็นโรงกลั่นน้ำมันที่เกิดขึ้นกลางชุมชน การให้ความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนจึงเป็นสิ่งที่ไทยออยล์คำนึงมาโดยตลอด จนกระทั่งได้รับการยกย่องในฐานะบริษัทต้นแบบของการดำรงอยู่ร่วมกันระหว่างภาคอุตสาหกรรมกับชุมชน โดยได้รับการประเมินวัดระดับความผูกพันระหว่างชุมชนกับไทยออยล์อยู่ในระดับสูงมาโดยตลอด

หลักการสำคัญที่ไทยออยล์ยึดมั่นมาโดยตลอดเพื่อดูแลชุมชนรอบโรงกลั่น ทั้ง "หลัก 3 ประสาน" โดยเน้นการบูรณาการความร่วมมือที่ดีระหว่าง "ไทยออยล์", "ชุมชน" และ "ส่วนราชการท้องถิ่น" และ "5 ร่วม" ได้แก่ ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแก้ไข ร่วมรับผล และร่วมพัฒนา โดยตัวแทนจากทั้ง 3 ภาคส่วนจะมีการประชุมร่วมกันทุกเดือนเพื่อสื่อสารข้อมูลของบริษัทไปยังชุมชนได้อย่างถูกต้องและมีความน่าเชื่อถือ และเปิดโอกาสให้ตัวแทนแต่ละชุมชนเสนอข้อมูลที่เป็นปัญหาหรือข้อคิดเห็นต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ เพื่อมาหาวิธีแก้ไขปัญหาปัจจุบัน และป้องกันปัญหาระยะยาวไม่ให้เกิดซ้ำอีก

นอกจากนี้แล้ว ไทยออยล์ยังได้จัดทำโครงการดีๆ เพื่อชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นให้ความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา เช่น การมอบทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาเยาวชนดีเด่นในพื้นที่ (Thaioil Scholarship for Community's Talent Student) การจัดค่ายอบรมความรู้ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ เป็นต้น

ขณะที่ในด้านสุขภาพและสาธารณสุข ก็มีการจัดทำโครงการมากมาย เช่น การสร้างศูนย์สุขภาพและการเรียนรู้กลุ่มไทยออยล์เพื่อชุมชน ที่จัดกิจกรรมออกกำลังกายแอโรบิก รวมทั้งจัดให้มีเครื่องเล่นเด็กและอุปกรณ์ออกกำลังกายสำหรับชุมชน, การจัดคลินิกทันตกรรม, สร้างลานกิจกรรมกลางแจ้ง รวมถึงการสร้างอาคารอุบัติเหตุและฉุกเฉิน 5 ชั้นให้แก่โรงพยาบาลแหลมฉบัง ฯลฯ

นอกจากนั้น ยังให้ความสำคัญต่อการดูแลสิ่งแวดล้อม เช่น การสร้างพื้นที่สีเขียว การปลูกป่าชายเลน เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ หลอมรวมให้ไทยออยล์สามารถอยู่ร่วมและเป็นมิตรกับชุมชน ซึ่งส่งผลให้เกิดความแข็งแกร่งแก่องค์กร และชุมชนก็เข้มแข็งเติบโตไปด้วยกันมาจนปัจจุบัน และต่อไปในอนาคต



เดินหน้าสู่องค์กร 100 ปี สร้างสรรค์คุณภาพชีวิตด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน

จากเรื่องราวความสำเร็จตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา ไทยออยล์ยังคงเดินหน้าสานต่อภารกิจความมั่นคงยั่งยืนด้านพลังงาน โดยหนึ่งในนั้นคือการต่อยอดจากธุรกิจปิโตรเลียม ไปสู่ธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและตลาด มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ตามแผนการเพิ่มการลงทุนที่หลากหลาย ด้วยเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพาธุรกิจการกลั่นน้ำมันแต่เพียงอย่างเดียว การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ และลงทุนในธุรกิจที่เป็นไปตามแนวโน้มของโลก รวมทั้งธุรกิจไฟฟ้า และธุรกิจพลังงานทางเลือกใหม่อื่นๆ

ไทยออยล์มีแผนกลยุทธ์ที่จะผลักดันไปสู่เป้าหมายความสำเร็จในอนาคตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยวางแผนที่จะเร่งหาโอกาสในการลงทุนเพื่อต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ จากธุรกิจการกลั่นน้ำมัน ไปสู่ธุรกิจปิโตรเคมี กลุ่มโอเลฟินส์ เพิ่มเติมจากกลุ่มอะโรเมติกส์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์ปลายน้ำที่หลากหลายกว่า ถือเป็นการต่อยอดห่วงโซ่คุณค่าจากสารแนฟทา และแอลพีจี ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของโรงกลั่น รวมถึงมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (High-value Products) เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดและลูกค้าอีกด้วย

กลยุทธ์การสร้างแพลตฟอร์มเพื่อแสวงหาโอกาสการเติบโตของธุรกิจในอนาคตในภูมิภาคผ่านการบริหารจัดการห่วงโซ่คุณค่าผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองต่อกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายขึ้น

กลยุทธ์การกระจายความเติบโตเพื่อลดความผันผวนของกำไรจากธุรกิจการกลั่นน้ำมันโดยเป็นการลงทุนในธุรกิจที่มีรายได้ที่มั่นคง รวมถึงธุรกิจใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือธุรกิจใหม่เชิงนวัตกรรมที่สอดคล้องกับแนวโน้มในอนาคต (New S Curve) ซึ่งจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้พอร์ตการลงทุนและเพิ่มเสถียรภาพของกำไร รองรับความผันผวนจากธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีที่เกิดขึ้นจากปัจจัยรอบด้าน

ควบคู่กับแผนกลยุทธ์ข้างต้น ไทยออยล์ยังได้วางแนวทางในการผลักดันให้กลยุทธ์ที่วางไว้ประสบความสำเร็จด้วยแนวทาง 4P ที่เริ่มต้นด้วย People คือ การพัฒนาศักยภาพบุคลากรภายในองค์กรให้มีความรู้ความสามารถเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจในอนาคต ตามมาด้วย P ที่ 2 คือ Patronage ซึ่งหมายถึงผู้มีอุปการคุณทางธุรกิจที่ไทยออยล์ได้ส่งมอบคุณค่าให้ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า คู่ค่า นักลงทุน ผู้ถือหุ้น รัฐบาล รวมถึงชุมชน ซึ่งมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์เพื่อยอดธุรกิจ

สำหรับ P ที่ 3 คือ Partner หรือ "หุ้นส่วน" ผู้เป็นพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและนอกประเทศที่ร่วมสร้างธุรกิจร่วมกัน และ P สุดท้าย คือ Platform ที่ไทยออยล์มุ่งใช้ประโยชน์สูงสุดจากแพลตฟอร์มต่างๆ ทั้งแพลตฟอร์มทางธุรกิจที่มีอยู่เดิม แพลตฟอร์มทางความรู้ และดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพื่อพัฒนาให้ธุรกิจประสบผลสำเร็จ

เหนืออื่นใด คือนโยบายด้านความยั่งยืนที่ไทยออลย์ยึดถือเป็นเข็มทิศในการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอดระยะเวลา 60 ปี ที่จะช่วยให้องค์กรมีความพร้อมต่อสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในอนาคต สู่การเป็นองค์กร 100 ปี นั่นก็คือ ESG ที่หมายถึง

ด้าน E - Environment: Towards Green Economy เพื่อตอบสนองต่อทิศทางของโลกในเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจกและเป็นเศรษฐกิจสีเขียว ไทยออยล์จึงมุ่งเน้นให้กระบวนการผลิตของไทยออยล์มีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น ใช้พลังงานให้คุ้มค่า มีการนำกลยุทธ์ 3Rs มาใช้ (Reuse, Reduce, Recycle) และมีผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เป็นต้น

ด้าน S - Social: Towards .ter Quality of Life นอกจากการบริหารความสัมพันธ์กับชุมชนแล้ว ไทยออยล์ยังมุ่งเน้นในการสร้างประโยชน์ต่อชุมชน สังคม ให้เป็นรูปธรรม ผ่านโครงการเพื่อความรับผิดชอบต่อสังคมที่อาศัยองค์ความรู้ของบุคลากรของไทยออยล์ด้านพลังงานและวิศวกรรมเข้าไปสนับสนุน เช่น โครงการติดตั้ง Solar cell ให้กับโรงพยาบาล เป็นต้น

ด้าน G - Governance: Towards Good Governance เน้นเรื่องระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้มีส่วนได้เสีย มุ่งสร้างความโปร่งใสโดยทำระบบบริหารจัดการ Integrated GRC (Governance, Risk and Compliance) มาใช้ ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1. การปลุกจิตสำนึกและค่านิยมของบุคลากรในองค์กร 2. การสร้างระบบที่แข็งแรง 3. การรักษาสมดุลระหว่างการควบคุมกับประสิทธิภาพ และคล่องตัวในการดำเนินงาน โดยไทยออยล์มุ่งเน้นการมีบรรษัทภิบาล (G:governance) ที่เป็นธรรมต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ในทุกๆ กิจกรรมในการดำเนินธุรกิจ

จากจุดเริ่มต้น จนกระทั่งครบรอบ 60 ปีใน พ.ศ.นี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไทยออยล์ คือบริษัทด้านพลังงานที่มีการเติบโตมั่นคงมาโดยตลอด โดยให้ความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนที่อยู่ร่วมกัน รวมทั้งคุณภาพของสิ่งแวดล้อม และพร้อมก้าวเดินต่อไปด้วยวิสัยทัศน์และจุดยืนเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยไปพร้อมๆ กันด้วย
#2844


เมื่อวันที่ 1 ส.ค. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผยข้อมูลสถิติการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลกแล้ว 4,103 ล้านโดส ใน 201 ประเทศ/เขตปกครอง โดยขณะนี้อัตราการฉีดล่าสุดรวมกันทั่วโลกที่ 40.6 ล้านโดสต่อวัน และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีจำนวนการฉีดวัคซีนสูงที่สุดที่ 346 ล้านโดส โดยมีชาวอเมริกันกว่า 164 ล้านคนได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว

ด้านอาเซียนขณะนี้ทุกประเทศได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว มียอดรวมกันที่ประมาณ 158.01 ล้านโดส โดยสิงคโปร์ฉีดวัคซีนในสัดส่วนประชากรมากที่สุดในภูมิภาค (73% ของประชากร) ในขณะที่อินโดนีเซียฉีดวัคซีนในจำนวนมากที่สุดที่ 68.15 ล้านโดส สำหรับประเทศไทยข้อมูล ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2564 ได้ฉีดวัคซีนแล้วกว่า 17,685,974 โดส โดยฉีดให้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงมากที่สุดในสัดส่วนกว่า 52.64%

ในการฉีดวัคซีน จำนวน 4,104 ล้านโดสนี้ อว. ขอรายงานสถิติที่สำคัญ คือ

1. ข้อมูลการฉีดวัคซีนล่าสุดของประเทศไทย ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2564
จำนวนการฉีดวัคซีนสะสม 17,685,974 คน ใน 77 จังหวัด แบ่งเป็น
-เข็มแรก 13,802,916 โดส (20.9% ของประชากร)
-เข็มสอง 2 3,883,058 โดส (5.9% ของประชากร)

2. จำนวนวัคซีนตั้งแต่ 28 ก.พ.- 1 ส.ค. 64 พบว่า ประเทศไทยฉีดวัคซีนแล้ว 17,685,974 โดส (อัตราการฉีดล่าสุดเฉลี่ย 3 วันย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. 64 ซึ่งเป็นการฉีดวัคซีนวาระแห่งชาติ 259,447 โดส/วัน ประกอบด้วย
วัคซีน Sinopharm
- เข็มที่ 1 832,316 โดส
- เข็มที่ 2 153,776 โดส
วัคซีน AstraZeneca
- เข็มที่ 1 7,679,588 โดส
- เข็มที่ 2 320,491 โดส
วัคซีน Sinovac
- เข็มที่ 1 5,291,012 โดส
- เข็มที่ 2 3,408,791 โดส

3. รายงานผู้มีอาการข้างเคียงภายหลังได้รับการฉีดวัคซีน
- 96.65% ไม่มีผลข้างเคียง
- 3.35% มีผลข้างเคียงไม่รุนแรง ประกอบด้วย
- ปวดกล้ามเนื้อ 0.80%
- ปวดศีรษะ 0.60%
- ปวด บวม แดง ร้อน บริเวณที่ฉีด 0.43%
- เหนื่อย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง 0.39%
- ไข้ 0.26%
- คลื่นไส้ 0.18%
- ท้องเสีย 0.12%
- ผื่น 0.10%
- ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง 0.08%
- อาเจียน 0.05%
- อื่น ๆ 0.34%

4. การฉีดวัคซีนโควิด-19 แยกตามกลุ่มเป้าหมาย
- บุคลากรการแพทย์/สาธารณสุข เข็มที่1 114.7% เข็มที่2 99.1%
- อสม เข็มที่1 47.3% เข็มที่2 21.3%
- ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เข็มที่1 23% เข็มที่2 1.4%
- ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค เข็มที่1 28% เข็มที่1 4.8%
- เจ้าหน้าที่ด่านหน้า เข็มที่1 46% เข็มที่2 27.1%
- ประชาชนทั่วไป เข็มที่1 25.5% เข็มที่2 7.1%
รวม เข็มที่1 27.6% เข็มที่2 7.8%

5. จังหวัดที่ฉีดวัคซีน เข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 แบ่งเป็น 2 ชุดข้อมูล
กรุงเทพฯ และปริมณฑล เข็มที่1 45.9% เข็มที่2 10.7% ประกอบด้วย
- กรุงเทพฯ เข็มที่1 64.3% เข็มที่2 13.8%
- สมุทรสาคร เข็มที่1 27.9% เข็มที่2 13.1%
- นนทบุรี เข็มที่1 30.9% เข็มที่2 10.6%
- สมุทรปราการ เข็มที่1 30.7% เข็มที่2 5.5%
- ปทุมธานี เข็มที่1 22.7% เข็มที่2 5.4%
- นครปฐม เข็มที่1 15% เข็มที่2 3.0%

จังหวัดอื่น ๆ 71 จังหวัด เข็มที่1 12.2% เข็มที่2 4.0%
- ภูเก็ต เข็มที่1 75.3% เข็มที่2 59.2%
- ระนอง เข็มที่1 36.8% เข็มที่2 11.6%
- สุราษฎร์ธานี เข็มที่1 20% เข็มที่2 7.9%
- เกาะสมุย เข็มที่1 36% เข็มที่2 10.1%
- เกาะเต่า เข็มที่1 19.8% เข็มที่2 5.7%
- เกาะพะงัน เข็มที่1 28.1% เข็มที่2 3.6%

6. ในภูมิภาคอาเซียน ได้ฉีดวัคซีนแล้วครบ 10 ประเทศ รวมจำนวน 158,013,044 โดส ได้แก่
1. อินโดนีเซีย จำนวน 68,151,247 โดส (17.2%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, AstraZeneca และ Sinopharm
2. มาเลเซีย จำนวน 20,533,660 โดส (42.2%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, AstraZeneca และ Sinovac
3. ฟิลิปปินส์ จำนวน 20,008,331 โดส (10.5%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, Pfizer, Sputnik V, Moderna และ AstraZeneca
4. ไทย จำนวน 17,685,974 โดส (20.9%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, AstraZeneca และ Sinopharm
5. กัมพูชา จำนวน 12,088,317 โดส (43.2%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm, AstraZeneca และ Sinovac
6. สิงคโปร์ จำนวน 7,626,939 โดส (73.0%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, Moderna และ Sinovac
7. เวียดนาม จำนวน 6,203,866 โดส (5.7%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
8. พม่า จำนวน 3,500,000 โดส (N/A* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
9. ลาว จำนวน 2,050,711 โดส (16.0%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm, Sputnik V และ AstraZeneca
10. บรูไน จำนวน 163,999 โดส (30.6%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
* คำนวณจากจำนวนฉีด/จำนวนประชากร/2 เหมือนกันทุกประเทศ

7. จำนวนการฉีดวัคซีนแยกตามภูมิภาค
1. เอเชียและตะวันออกกลาง 65.25%
2. อเมริกาเหนือ 12.05%
3. ยุโรป 14.38%
4. ลาตินอเมริกาและแคริบเบียน 6.38%
5. แอฟริกา 1.58%
6. โอเชียเนีย 0.36%

8. ประเทศที่ฉีดวัคซีนแล้วมากที่สุด 4 ประเทศลำดับแรกที่ฉีดวัคซีนมากกว่า 100 ล้านโดส รวมกันเกือบ 70% ของปริมาณการฉีดวัคซีนทั่วโลก
1. จีน จำนวน 1,637.40 ล้านโดส (58.5% ของจำนวนการฉีดทั่วโลก)
2. อินเดีย จำนวน 467.26 ล้านโดส (17.1%)
3. สหรัฐอเมริกา จำนวน 345.64 ล้านโดส (54.0%)
4. บราซิล จำนวน 141.74 ล้านโดส (34.7%)

9. ประเทศที่ฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรมากที่สุด มี 10 ประเทศที่ฉีดวัคซีนให้กับประชากรอย่างน้อย 25% แล้ว ได้แก่ (เฉพาะประเทศที่มีประชากรมากกว่า 500,000 คน)
1. มัลดีฟส์ (78.4% ของประชากร) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Sinopharm)
2. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (78.1%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaleya)
3. บาห์เรน (72.8%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaley)
4. อุรุกวัย (68.0%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Sinovac)
5. กาตาร์ (67.6%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech และ Moderna)
6. ชิลี (66.7%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, CanSino, Pfizer/BioNTech และ Sinovac)
7. สิงคโปร์ (65.0%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech Moderna และ Sinovac)
8. แคนาดา (65.3%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford Moderna และ Pfizer/BioNTech)
9. สหราชอาณาจักร (63.6%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford Moderna และ Pfizer/BioNTech)
10. เดนมาร์ก (63.5%) (ฉีดวัคซีนของ Moderna, Pfizer/BioNTech และ J&J)  
#2845


โอเอช ลูเวิน ลงสนามในเกมจูปิแลร์ โปรลีก นัดที่ 2 ของฤดูกาลบุกไปเสมอกับ เซอร์เคิ่ล บรูจ 1-1 เก็บเพิ่มอีกหนึ่งแต้ม เป็นการเสมอติดต่อกัน 2 นัด ในช่วงออกสตาร์ทฤดูกาลนี้

มาร์ค บรีส์ เปลี่ยนผู้เล่นแค่คนเดียวจากเกมเปิดบ้านเสมอ ซูลเต้ วาเรเก็ม โดยส่ง ทูน เรแมเคอร์ส ลงเล่นแทน หลุยส์ พาทริส ในตำแหน่งกองหลัง

เริ่มเกมเจ้าบ้าน ที่ชนะ ลูเวิน มารวดในการพบกัน 2 นัดหลังสุดเป็นฝ่ายที่ทำได้ดีกว่า แต่เป็น ลูเวิน ที่ออกนำไปก่อนจากจังหวะที่ ซาเวียร์ แมร์ซิเอร์ จ่ายทะลุช่องให้ โธมัส อองรี หลุดเข้าในเขตโทษยิงขึ้นนำ 1-0 เป็นการยิง 2 ประตูจาก 2 นัดแรกของ อองรี ด้วย

ครึ่งหลังแม้ ลูเวิน จะเป็นฝ่ายครอง.ได้มากกว่า หาโอกาสทำประตูได้มากกว่า แต่กลับเป็น เซอร์เคิ่ล บรูจ ที่มาได้ประตูตีเสมอ จากการขึ้น.ทางขวาของ วิตินโญ่ แบ็กจอมลุยชาวบราซิล ที่เปิด.เข้ากลาง และแนวรับ ลูเวิน เคลียร์.ไม่ขาด .ไปเข้าทาง วัลโด รูบิโอ มาร์ติน ตวัดยิงเข้าไป เสมอกันที่ 1-1

ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่านัดนี้ยังคงไม่มีรายชื่อของ "ตอง" กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ นายทวารทีมชาติไทย ทั้งตำแหน่งตัวจริง และตัวสำรองเป็นนัดที่ 2 ติดต่อกัน แม้จะมีรายงานว่าเจ้าตัวยังพร้อมจะอยู่แย่งชิงตำแหน่งต่อไปก็ตาม

สำหรับ โอเอช ลูเวิน เก็บได้ 2 คะแนนจาก 2 นัดยังอยู่อันดับที่ 10 ของตาราง ส่วนเซอร์เคิ่ล บรูจ มี 4 คะแนนจาก 2 นัดขึ้นไปเป็นรองจ่าฝูง

ขณะที่นัดต่อไป ลูเวิน จะกลับมาเล่นในบ้านพบกับ สปอร์ติ้ง ชาร์เลอรัว วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม 2564 เวลา 21.00 น.
#2846


แซนเดอร์ ชอฟเฟเล โปรจาก สหรัฐอเมริกา คว้าเหรียญทอง การแข่งขันกอล์ฟประเภทบุคคล โอลิมปิก 2020 เฉือน รอรีย์ ซับบาตินี จาก สโลวาเกีย แค่สโตรกเดียว เมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม

ก้านเหล็กมือ 5 ของโลก หวด 4 อันเดอร์พาร์ 67 รวม 18 อันเดอร์พาร์ 266 ขณะที่ ซับบาตินี สร้างเซอร์ไพรส์ หวด 10 อันเดอร์พาร์ 61 รวม 17 อันเดอร์พาร์ 267 จบอันดับ 2 ที่สนาม คาสุมิกาเซกิ คันทรี คลับ พาร์ 71

ชอฟเฟเล ผู้นำรอบที่แล้ว กวาด 4 เบอร์ดี ตลอด 8 หลุมแรก ทว่าพลาดโอกาสทิ้งห่าง ช่วง 9 หลุมหลัง เสียโบกี ที่หลุม 14 พาร์ 5 สกอร์รวมเท่ากับ ซับบาตินี ที่นั่งรออยู่ในคลับเฮาส์

อย่างไรก็ตาม ชอฟเฟเล วัย 27 ปี เก็บเบอร์ดีอันล้ำค่า ด้วยลูกพัตต์ระยะ 6 ฟุต ที่หลุม 17 พาร์ 4 และพัตต์เซฟพาร์ ระยะ 4 ฟุต หลุม 18 ท่ามกลางความกดดันมหาศาล

ขณะที่ 7 ผู้เล่น กำลังเพลย์ออฟ ชิงเหรียญทองแดง ได้แก่ พอล เคซีย์ (สหราชอาณาจักร), ฮิเดกิ มัตสึยามา (ญี่ปุ่น), รอรีย์ แม็คอิลรอย (ไอร์แลนด์), คอลลิน โมริคาว่า (สหรัฐอเมริกา), เซบาสเตียน มูญอซ (โคลอมเบีย), ซี.ที. แพน (ไต้หวัน) และ มิโต เปไรรา (ชิลี)

ปรากฏว่า ฮิเดกิ มัตสึยาม่า กับ พอล เคซีย์ เสียโบกี เพลย์ออฟหลุมแรก (18 พาร์ 4) ต่อมา แม็คอิลรอย, เปไรรา และ มูญอซ ทำได้เพียงพาร์ เพลย์ออฟหลุม 3 (11 พาร์ 4) เหลือ โมริคาวา กับ ซี.ที. แพน สู้กันต่อหลุมพิเศษที่ 4

กลับมาที่หลุม 18 พาร์ 4 โมริคาว่า แอพโพรชจากบังเกอร์ ตกนอกกรีน และพัตต์พาร์ระยะไกลพลาด ขณะที่ ซี.ที. แพน พัตต์พาร์ ระยะ 8 ฟุต คว้าเหรียญทองแดง

ส่วน "โปรแจ๊ส" อติวิชญ์ เจนวัฒนานนท์ ความหวังสูงสุดของไทย เก็บเพิ่ม 3 อันเดอร์พาร์ 68 รวม 9 อันเดอร์พาร์ 275 รั้งอันดับ 27 ร่วม และ กัญจน์ เจริญกุล มือ 281 ของโลก อยู่อันดับ 45 ร่วม สกอร์ 4 วัน 4 อันเดอร์พาร์ 280
#2847



ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา (27, 29-30 ก.ค.) มีมูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 2.37 แสนล้านบาท ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า (19-23 ก.ค.) ที่มีมูลค่าการซื้อขายกว่า 3.62 แสนล้านบาท เนื่องจากเปิดทำการเพียงแค่ 3 วัน

โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ปิดการซื้อขายปลายสัปดาห์ที่ 1,521.92 จุด ปรับตัวลดลง 1.50% จากระดับปิดของสัปดาห์ก่อนอยู่ที่ 1,545.10 จุด

นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเพียงกลุ่มเดียว 2,841.74 ล้านบาท ส่วนที่เหลือพร้อมใจซื้อ โดยนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,389.84 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 635.29 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 816.60 ล้านบาท

ทั้งนี้ หากพิจารณาการซื้อขายของบัญชี "เอ็นวีดีอาร์" (NVDR) ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับนักลงทุนชาวต่างประเทศในการซื้อหุ้นไทย ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 30 ก.ค. พบว่า

10 อันดับหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสูงสุด ได้แก่

KBANK มูลค่าซื้อสุทธิ 543.11 ล้านบาท

TRUE มูลค่าซื้อสุทธิ 341.02 ล้านบาท

ADVANC มูลค่าซื้อสุทธิ 336.23 ล้านบาท

CBG มูลค่าซื้อสุทธิ 321.78 ล้านบาท

CPALL มูลค่าซื้อสุทธิ 251.39 ล้านบาท     

RCL มูลค่าซื้อสุทธิ 214.30 ล้านบาท           

IVL มูลค่าซื้อสุทธิ 206.84 ล้านบาท           

SCC มูลค่าซื้อสุทธิ 203.47 ล้านบาท

PTT มูลค่าซื้อสุทธิ 172.50 ล้านบาท

AOT มูลค่าซื้อสุทธิ 165.76 ล้านบาท

และ 10 อันดับหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติขายสูงสุด ได้แก่

TOP มูลค่าขายสุทธิ 539.02 ล้านบาท   

PTTEP มูลค่าขายสุทธิ 316.17 ล้านบาท   

PTTGC มูลค่าขายสุทธิ 196.51 ล้านบาท   

KGI มูลค่าขายสุทธิ 73.65 ล้านบาท   

GULF มูลค่าขายสุทธิ 66.75 ล้านบาท   

BJC มูลค่าขายสุทธิ 56.52 ล้านบาท   

AS มูลค่าขายสุทธิ 54.45 ล้านบาท   

ASP มูลค่าขายสุทธิ 53.17 ล้านบาท   

IRPC มูลค่าขายสุทธิ 50.01 ล้านบาท   

WICE มูลค่าขายสุทธิ 48.84 ล้านบาท   

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952178
#2848



ดร.ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ของ WHO กล่าวเมื่อวันศุกร์ (30 ก.ค.) ตามเวลาสหรัฐ ว่า หากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นตามระดับข้างต้น จำนวนผู้ติดเชื้อยืนยันผลสะสมทั่วโลกจะพุ่งสูงเกิน 200 ล้านราย

"นับตั้งแต่การแถลงข่าวครั้งล่าสุด จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดอาจทะลุ 200 ล้านรายภายใน 2 สัปดาห์ และนั่นก็อาจจะต่ำกว่าความเป็นจริง" ดร.ทีโดรส กล่าว

การติดเชื้อโควิดโดยเฉลี่ยใน 5 จากทั้งหมด 6 ภูมิภาคเพิ่มขึ้น 80% หรือเกือบ 2 เท่าในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยในแอฟริกา ก็เพิ่มขึ้นในระดับเดียวกันนี้ด้วย

ผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นส่วนมากเป็นผลจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาที่แพร่เชื้อได้ง่าย และถูกตรวจพบว่าแพร่ระบาดของโควิด-19 อยู่ในประเทศต่างๆ อย่างน้อย 132 แห่งแล้ว


ดร.ทีโดรส กล่าวอีกว่า เชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 เปลี่ยนแปลงตัวเองเรื่อยมานับตั้งแต่มีรายงานครั้งแรก และยังคงเปลี่ยนแปลงต่อไป 

สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า ปัจจุบันมีการกำหนดเชื้อไวรัสโควิด-19 ชนิดกลายพันธุ์ที่น่าวิตกกังวล จำนวน 4 สายพันธุ์ และคาดว่าจะเพิ่มจำนวนขึ้นตราบเท่าที่เชื้อไวรัสยังคงแพร่กระจาย นอกจากนี้ การติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการรวมกลุ่มทางสังคมและการเดินทางที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสวนทางกับการบังคับใช้มาตรการด้านสาธารณสุข และสังคม

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952163
#2849

ฟันคุด (ภาษาอังกฤษ : Wisdom Tooth) ปัญหาในช่องปากที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากรู้สึกปวดฟันคุดขึ้นมาเมื่อไร อาจเป็นสัญญาณบอกว่าช่องปากและเหงือกของเรากำลังมีปัญหา ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อหาทางรักษาอย่างถูกวิธี บทความนี้จะพาไปไขข้อสงสัยเกี่ยวกับฟันคุด มีอาการอย่างไร และหากไม่ถอน จะเป็นอันตรายหรือไม่?

ฟันคุด คือ ฟันที่ไม่สามารถขึ้นมาบนช่องปากได้ตามปกติ เนื่องจากพื้นที่ของขากรรไกรไม่เพียงพอ หรืออาจจะมีสิ่งขัดขวางไม่ให้ฟันโผล่ขึ้นมา สาเหตุของฟันคุดส่วนใหญ่จะเกิดจากขนาดขากรรไกรที่ไม่สัมพันธ์กับขนาดของฟัน ฟันคุดมักจะเกิดขึ้นกับฟันกรามซี่สุดท้าย พบมากในช่วงอายุ 18-20 ปี แต่ทั้งนี้ ฟันคุดก็ไม่ได้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับทุกคน เพราะขากรรไกรของบางคนก็ใหญ่พอที่จะรองรับฟันซี่ด้านในสุดให้โผล่ขึ้นมาได้ และกลายเป็นฟันกรามธรรมดาๆ ซี่หนึ่งนั่นเอง

ในรายที่ฟันคุดไม่สามารถโผล่ขึ้นมาได้ จำเป็นต้องผ่าออก เพราะไม่เช่นนั้นจะส่งผลต่อฟันซี่ใกล้เคียง ทำให้มีอาการอักเสบได้ หรือรายที่ฟันคุดโผล่พ้นเหงือกขึ้นมาแล้ว แต่ไม่สามารถเรียงตัวได้ตามปกติ ก็ต้องถอนฟันคุด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในช่องปากอื่นๆ ตามมา สำหรับคนที่สงสัยว่าฟันคุดเป็นยังไง สังเกตจากภาพข้างล่างนี้ได้


ฟันคุดมีกี่แบบ? ส่วนลักษณะของฟันคุดก็มีหลายแบบด้วยกัน เช่น ฟันคุดขึ้นเต็มซี่ ฟันคุดแบบมีเหงือกปกคลุม เป็นต้น แต่หากจะแบ่งลักษณะของฟันคุด ตามลักษณะการขึ้นของฟันคุด สามารถแบ่งได้ 3 แบบ ได้แก่ 

ฟันคุดที่ขึ้นในแนวตรง 
ฟันคุดที่ขึ้นในแนวนอน 
ฟันคุดที่ขึ้นแนวเฉียง
สำหรับคนที่ประสงค์จะจัดฟัน : ทันตแพทย์จะเอกซเรย์ตรวจดูตำแหน่งของฟันคุด ซึ่งส่วนใหญ่หากมีปัญหาจะแนะนำให้ผ่าฟันคุดออก เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อแนวฟันกราม รวมถึงเบียดฟันซี่ต่างๆ ขณะที่กำลังจัดฟันอยู่ก็เป็นได้ ซึ่งจะทำให้การจัดฟันไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร

ลักษณะอาการฟันคุด สังเกตได้จากอะไรบ้าง? 
อาการปวดฟันคุดเป็นความรู้สึกทรมานที่หลายคนไม่อยากเผชิญ นอกจากทำให้เคี้ยวอาหารไม่สะดวกแล้ว ในบางรายอาจรู้สึกปวดจนนอนไม่หลับ เนื่องจากฟันคุดทำให้เหงือกบวม โดยเฉพาะเมื่อฟันคุดงอก จะรู้สึกเจ็บเหงือก จนต้องหายามากินบรรเทาอาการดังกล่าว สำหรับอาการฟันคุดที่สามารถสังเกตได้ง่ายๆ ด้วยตนเอง ได้แก่

รู้สึกปวดฟันกรามบริเวณซี่ในสุด
เคี้ยวอาหารไม่สะดวก ปวดหน่วงๆ ที่ขากรรไกร
เริ่มมีอาการหน้าบวม หรือหน้าบวมข้างเดียว
เหงือกบวมแดง มีอาการอักเสบ
บางรายอาจเป็นฝีในช่องปาก

ทำไมต้องเอาฟันคุดออก ไม่ผ่า ไม่ถอน ได้หรือไม่?
หากฟันคุดไม่สามารถโผล่ขึ้นมาตามแนวฟันได้ปกติ แต่มีลักษณะเอียงเป็นแนวนอน หรือซ้อนทับฟันซี่อื่นๆ อยู่ใต้เหงือก จะทำให้รู้สึกปวด มีอาการเหงือกบวมและอักเสบ

แต่หากฟันคุดโผล่ขึ้นมาแล้ว แต่อาจจะขึ้นมาได้เพียงบางส่วน จะทำให้แปรงทำความสะอาดยาก เพราะเป็นฟันซี่สุดท้ายที่อยู่ลึกสุด ฟันคุดจึงกลายเป็นแหล่งสะสมของเศษอาหารและแบคทีเรีย เนื่องจากบริเวณรอบฟันคุดอาจมีเศษอาหารติดได้ง่าย โดยจะส่งผลกระทบให้มีอาการต่างๆ ตามมา เช่น

ฟันผุง่าย
มีกลิ่นปาก
เหงือกอักเสบ
หน้าบวม/แก้มบวม
อ้าปากไม่ขึ้น
รู้สึกปวดหัว
เกิดถุงน้ำใกล้ขากรรไกร
ดังนั้น หากอยากรู้ว่าลักษณะฟันคุดของเราควรผ่า หรือถอนออกหรือไม่นั้น? จะต้องปรึกษาทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยแพทย์จะพิจารณาจากฟิล์มเอกซเรย์เพื่อวินิจฉัยว่าฟันคุดส่งผลกระทบมากน้อยแค่ไหนนั่นเอง


ข้อควรระวังก่อน และหลังผ่าฟันคุด
ก่อนผ่าฟันคุดต้องทำอย่างไร?
ไม่ว่าจะเป็นการผ่าฟันคุด หรือถอนฟันคุด ก็ควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อนเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับโรคเบาหวาน และโรคเลือด รวมถึงผู้ที่กินยาเป็นประจำ เนื่องจากหลังการผ่าฟันคุดอาจต้องกินยาละลายลิ่มเลือด ซึ่งในบางรายไม่สามารถกินได้ เพราะจะส่งผลต่อโรคประจำตัว

ผ่าฟันคุด เจ็บไหม และกี่วันหาย?
ทันตแพทย์จะฉีดยาชา ทำให้เราไม่รู้สึกเจ็บปวดระหว่างที่ทันตแพทย์กำลังทำการผ่า หรือถอนฟันคุด หลังจากยาชาหมดฤทธิ์ ทันตแพทย์จะพิจารณาการสั่งยาให้กินเพื่อบรรเทาอาการปวด เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ เป็นต้น หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ ทันตแพทย์จะนัดมาตัดไหม หรือตรวจดูอาการอีกครั้ง


ผ่าฟันคุด ปัจจุบันราคาเท่าไร?
สำนักงานประกันสังคม ให้ผู้ประกันตนมีสิทธิ์ใช้บริการทางทันตกรรมไม่เกิน 900 บาทต่อปี สำหรับค่าผ่าฟันคุดโรงพยาบาลรัฐจะมีหลายราคาด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ราคาหลักร้อยถึงหลักพันต้นๆ ส่วนโรงพยาบาลเอกชน หรือคลินิกเอกชน เริ่มต้นที่ประมาณซี่ละ 1,500-5,000 บาท ขึ้นอยู่กับความยาก-ง่าย และอัตราค่าบริการของแต่ละที่

การดูแลตัวเองหลังผ่าฟันคุด มีข้อห้ามอะไรบ้าง?
ไม่ควรบ้วนเลือด หรือบ้วนปากแรงๆ เป็นเวลา 1 ชั่วโมงหลังผ่าเสร็จ หากเว้นจากการแปรงฟันแรงๆ ในช่วงแรก แต่ให้หันมาใช้น้ำเกลือบ้วนเบาๆ เพื่อทำความสะอาดช่องปาก และกำจัดแบคทีเรียแทน ควรงดอาหารเผ็ดหลังผ่าฟันคุด เพราะจะทำให้แผลหายช้า

ฟันคุดเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับสุขภาพอนามัยในช่องปากที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม หากรู้สึกปวด หรือสงสัยว่ามีปัญหาฟันคุด ควรปรึกษาทันตแพทย์ เพื่อหาวิธีดูแลรักษาอย่างถูกต้อง.
#2850



ออปโป้ แบรนด์สมาร์ทโฟนชั้นนำ คว้าตัว "เทนนิส-พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ" ฮีโร่เหรียญทองจากกีฬาเทควันโด Tokyo Olympic 2020 เข้าเป็นสมาชิกคนล่าสุดใน OPPO Family เพื่อร่วมส่งต่อแรงบันดาลใจในการพัฒนาศักยภาพของตนเองสู่การเป็นเบอร์หนึ่งของโลกและพร้อมเอาชนะทุกอุปสรรค เพื่อมอบความหวังและสร้างรอยยิ้มให้คนไทยด้วยพลังแห่งกีฬาท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้

ชานนท์ จิรายุกุล ประธานกรรมการอาวุโสฝ่ายบริหาร ออปโป้ ประเทศไทย กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและน่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ออปโป้ได้มีโอกาสต้อนรับน้องเทนนิส ฮีโร่คนล่าสุดของคนไทย เข้าสู่ครอบครัวออปโป้

ออปโป้พร้อมสนับสนุนและร่วมเดินเคียงข้างในทุกก้าวของการเติบโตของน้องเทนนิสตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยน้องเทนนิสจะเข้ามารับบทบาทเป็นสมาชิกใหม่ของ OPPO Family เป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเป้าหมาย และพัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อทลายทุกอุปสรรคที่ขวางกั้นสู่การพิชิตทุกเป้าหมาย

เตรียมพบกับอีกหนึ่งบทบาทของ "เทนนิส-พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ" ในฐานะ OPPO Family คนล่าสุดของออปโป้ได้เร็วๆ นี้
#2851



ราคาบิทคอยน์ เทรดที่เว็บไซต์คอยน์เดสก์ เมื่อเวลา 06.00 น.ของวันนี้ (31ก.ค.)ปรับตัวขึ้น 3.72% เคลื่อนไหวที่ 41,249.28 ดอลลาร์

การเคลื่อนไหวในแดนบวกช่วงเช้าวันนี้ของราคาบิทคอยน์ มีขึ้นหลังจากรัฐบาลเยอรมนี ออกกฏหมายฉบับใหม่อนุญาติให้กองทุนรวมพิเศษ เข้าลงทุนเงินหนึ่งในห้าของพอร์ตที่เป็นคริปโตเคอร์เรนซีได้ โดยเริ่มตั้งแต่ต้นเดือนส.ค.เป็นต้นไป

ขณะเดียวกัน รัฐบาลอิสราเอล ก็เตรียมออกกฎหมายใหม่เพื่อยับยั้งการหลีกเลี่ยงภาษีและปิดช่องโหว่สำหรับการฟอกเงิน โดยจะกำหนดให้พลเมืองที่ถือเหรียญคริปโต ที่มีรวมมูลค่ามากกว่า 60,000ดอลลาร์ต้องแสดงข้อมูลต่อเจ้าหน้าที่

ราคาน้ำมันเวสต์เท็กซัสร่วง 8 เซนต์

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนก.ย. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาดไนเม็กซ์ ปรับตัวลง 8 เซนต์ ปิดที่ 73.53 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ปรับตัวลง 2 เซนต์ ปิดที่ 76.03 ดอลลาร์/บาร์เรล

นักลงทุนคาดการณ์ว่าตลาดจะยังคงเผชิญภาวะน้ำมันตึงตัวไปจนถึงสิ้นปีนี้ จากการเปิดเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ

นอกจากนี้ แม้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส มีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเดือนละ 400,000 บาร์เรล/วัน ตั้งแต่เดือนส.ค.จนถึงเดือนธ.ค. แต่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำมันที่คาดว่าจะพุ่งขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ขณะที่คาดว่าการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในวงกว้างจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น

ขณะเดียวกัน การที่อิหร่านออกแถลงการณ์ตำหนิสหรัฐว่าเป็นฝ่ายทำให้การเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ต้องหยุดชะงักลง ก็ได้เป็นปัจจัยบวกต่อตลาด เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและสหรัฐจะทำให้การส่งออกน้ำมันของอิหร่านต้องล่าช้าออกไป ซึ่งจะช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด
#2852
 
 มากกว่าคำว่ากาแฟ Room Coffee อร่อยดี ไม่มีอ้วน




ประโยชน์เพียบจากสารสกัด 36 ชนิด
เสริมภูมิคุ้มกัน บำรุงร่างกาย ชงง่าย
ชงได้ทั้งน้ำร้อนน้ำเย็น อยากกินต้องได้กิน

มีสารสกัดทั้งหมดมากถึง 36 ชนิด
เช่น โสม ถั่วเช่า เห็ดหลินจือ เมล็ดเจีย คอลลาเจน (สูตรเจ) และอีก...เยอะ
ที่ให้คุณ 5 คุณประโยชน์
Detox ขับสารพิษ
Block บล็อกแป้งและน้ำตาลที่มาใหม่
Burn ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ
Build  ช่วยสร้างเสริมกล้ามเนื้อให้กระชับ
Boost  เพิ่มพลังงานให้กระฉับกระเฉง

และยังช่วยเสริมภูมิต้านทาน ให้ไกลจากโรคหวัดและโรคต่างๆอีกด้วย ทุกอย่างรวมไว้ให้คุณขนาดนี้
บอกเลย คุ้ม

Room Coffee 1 ห่อ มี 10 ซอง ราคา 299 บาท

สนใจติดต่อสอบถาม/สั่งซื้อ
Tel. 0846623662
Line id : teerapat999

ข้อมูลเพิ่มเติม/รีวิวสินค้า https://teerapat99.iconroomcoffee.com/ 
#2853



ถือเป็นการสร้างสีสันครั้งสำคัญให้กับวงการวิดีโอสตรีมมิงแอปพลิเคชันเลยก็ว่าได้ กับการเปิดตัว "โกลบอล แบรนด์ แอมบาสเดอร์" ของ 'WeTV' ในโอกาสก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 ของการเปิดให้บริการวิดีโอสตรีมมิงแอปพลิเคชันในประเทศต่างๆ อาทิ ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รวมถึงฝั่งตะวันออกกลาง ยุโรป และอเมริกาใต้อีกด้วย

โดย WeTV ได้คว้าตัว 4 เมกะสตาร์จีนที่มีฐานแฟนคลับมากมายทั่วโลกมารวมตัวกัน ไม่ว่าจะเป็นซุปตาร์หน้าหมวยอินเตอร์อย่าง ตี๋ลี่เร่อปา (Dilraba) เจ้ากระต่ายน้อยแสนอบอุ่น เซียวจ้าน (Xiao Zhan) รวมถึงขุ่นแม่ หยางมี่ (Yang Mi) และลูกแกะน้อยรอยยิ้มละลายอย่าง หยางหยาง (Yang Yang) บอกได้เลยว่าการรวมตัวกันของ 4 คนนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะได้เห็นกันบ่อยๆ เพราะนี่คือ 4 เมกะสตาร์จีนที่นอกจากจะมีผลงานบันเทิงที่มัดใจแฟนด้อมทั่วเอเชียมากมายยังเป็นเซเลบริตี้ที่ได้ร่วมงานกับแบรนด์ดังระดับอินเตอร์เนชันแนลต่างๆ มากมายรวมมูลค่าแบรนด์แล้วทะลุหลายพันล้านบาท วันนี้ WeTV มัดรวมความปังของทั้ง 4 คนมาให้ทุกคนได้รู้จักกันมากขึ้น ก่อนรอติดตามผลงานในฐานะ "โกลบอล แบรนด์แอมบาสเดอร์ WeTV" แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิงที่สุดความบันเทิงคุณภาพแห่งเอเชีย



ตี๋ลี่เร่อปา ซุปตาร์หน้าหมวยอินเตอร์ที่นาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก!



"ตี๋ลี่เร่อปา (Dilraba)" หรือ "ดิลราบา ดิลมูรัต" นักแสดงสาวชาวจีนเชื้อสายอุยกูร์ วัย 29 ปี โดยตลอดระยะเวลาที่เธออยู่ในวงการ เธอกวาดไปแล้วกว่า 30 รางวัลเลยนะ! สำหรับผลงานที่ทำให้เธอดังเป็นพลุแตก คงจะหนีไม่พ้น "สามชาติสามภพ ป่าท้อสิบหลี่" (Eternal Love) ที่ออกอากาศเมื่อปี 2560 ถือเป็นซีรีส์ที่สร้างปรากฏการณ์ ทำลายสถิติยอดวิวทั้งทางช่องโทรทัศน์และออนไลน์ด้วยการเป็นซีรีส์ที่ยอดวิวทะลุ 1 หมื่นล้าน และ 2 หมื่นล้านเร็วที่สุดในจีน แต่ความปังไม่หยุดอยู่แค่นั้น เพราะซีรีส์ภาคต่ออย่าง "สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนย" (Eternal Love of Dream) ก็ได้กลายเป็นซีรีส์ที่มียอดวิวสูงสุดประจำปี 2563 บนแอปพลิเคชัน WeTV



เซียวจ้าน จากหนุ่มดีไซน์ สู่ไอดอล และเมกะสตาร์จีนที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการบันเทิงเอเชีย

"เซียวจ้าน (Xiao Zhan)" มีชื่อเล่นว่า จ้านจ้าน (Zhan Zhan) อายุ 30 ปี หนึ่งในเมกะสตาร์จีนที่มีฉายาว่า 'กระต่ายน้อย' หรือเหล่าแฟนคลับมักจะเรียกว่า "จ้านเกอ หรือ พี่จ้าน" ไม่ว่าจะขยับตัวทำอะไร ก็ขึ้นติดเทรนด์ในโลกโซเชียลเสมอ





สำหรับปีทองของเซียวจ้านนั้นก็คือปี 2562 กับผลงานที่ทำให้เขาโด่งดังจนกลายเป็นหนึ่งในเมกะสตาร์ของจีนในเวลาอันรวดเร็ว จนเกิดเป็นปรากฏการณ์ไปทั่วโลก คือกระแสซีรีส์ "ปรมาจารย์ลัทธิมาร" (The Untamed) ที่ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ทุกครั้งที่ออกอากาศ และที่สำคัญคือ แฟนคลับชาวไทยนั้นมีความปังเกินต้าน ส่งแฮชแท็กภาษาไทย #ปรมาจารย์ลัทธิมารep50 ติดอันดับหนึ่งทั้งเทรนด์ประเทศไทย รวมถึงเทรนด์โลก แถมมียอดการรีทวีตมากกว่า 1 ล้านครั้ง



ทุกคอนเทนต์ของเซียวจ้านบน WeTV นั้นมักจะได้รับความนิยมในอันดับต้นๆ ทุกครั้ง สำหรับปรากฏการณ์ความปังล่าสุดของเซียวจ้านเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา คือซีรีส์แนวแฟนตาซีสร้างจากอนิเมะชื่อดังของจีน "ตำนานจอมยุทธ์ภูตถังซาน" (Douluo Continent) ติดอันดับ 5 ซีรีส์พากย์ไทยที่มียอดชมสูงในครึ่งปีแรก (Q1-Q2) บน WeTV อีกด้วย ทั้งหมดนี้เป็นเพียงปรากฏการณ์ส่วนหนึ่งเท่านั้น สำหรับแฟนๆ ที่อยากติดตามชมผลงานที่กำลังรอออนแอร์ของเขาเรื่อง "The Oath of Love" ในบทคุณหมอกู้เว่ย แพทย์หนุ่มแสนสุขุม และ "The Longest Promise" รวมถึงผลงานยอดฮิตก่อนๆ เช่น "ปรมาจารย์ลัทธิมาร" (The Untamed) หรือ "กระบี่เทพสังหาร" (Jade Dynasty)



เมกะสตาร์ระดับตำนานอย่างขุ่นแม่หยางมี่ ตัวแม่แห่งวงการบันเทิง และวงการธุรกิจอย่างแท้จริง

หยางมี่ (Yang Mi) นักแสดงระดับตำนานแห่งวงการบันเทิงจีน ที่ถือว่าเป็นตัวแม่ทั้งในโลกแห่งการแสดง รวมถึงโลกแห่งธุรกิจ สำหรับใครที่อยากชมผลงานของเธอ สามารถรับชมได้ทางแอปฯ WeTV เช่นเรื่อง "มหัศจรรย์กระบี่เจ้าพิภพ" (Swords of Legends) และผลงานที่รอออนแอร์ 2 เรื่องสองสไตล์อย่างซีรีส์แนวเทพเซียนที่สร้างจากนิยายชื่อดังไข่มุกเคียงบัลลังก์ อย่างเรื่อง Novoland: Pearl Eclipse และผลงานแนวโรแมนติกอย่าง She & Her Perfect Husband ที่ประกบคู่กับสวีข่าย นักแสดงหนุ่มขวัญใจสาวไทยที่กำลังมาแรงในขณะนี้



หยาง หยาง ที่สุดแห่งใบหน้าชวนฝัน เจ้าของฉายาลูกแกะน้อยหน้ามนยิ้มละลายใจแฟนๆ ทั่วโลก

"หยาง หยาง" (Yang Yang) พระเอกใบหน้าหล่อดุจเทพบุตร ผู้ที่ได้รับฉายาลูกแกะน้อย หรือหนุ่มหน้าฟ้าประทานยิ้มละลายใจเขาคือนักแสดงที่มาเพื่อละลายใจแฟนๆ ทั่วโลกอย่างแท้จริง ทางด้านแฟนคลับชาวไทยเองก็ต้านความหล่อทะลุพิกัดของเขาไม่ไหวเช่นกัน เพราะเมื่อปี 2562 ตอนเปิดตัวแอปพลิเคชัน WeTV ที่ประเทศไทยนั้น WeTV ยังได้ถือโอกาสจัดแฟนมีตติ้งสุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับสมาชิก WeTV VIP เพื่อโปรโมตซีรีส์ เรื่อง "เทพยุทธ์เซียนกลอรี่" (The King's Avatar) และซีรีส์ที่กำลังสร้างปรากฏการณ์อยู่ตอนนี้ คือซีรีส์ที่กำลังออนแอร์เรื่อง "ดุจดวงดาวเกียรติยศ" (You are My Glory) การโคจรมาพบกันของคู่เคมีฟ้าประธานระหว่างหยาง หยางและตี๋รี่เร่อปา เริ่มออกอากาศไปเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา สร้างปรากฎการณ์ทำยอดวิวสูงถึง 100 ล้านวิวภายใน 4 ชั่วโมงแรกที่ออกอากาศที่ประเทศจีน



การรวมตัวของโกลบอล แบรนด์แอมบาสเดอร์ ของ WeTV นี่ถือว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ และเพื่อเป็นการเอาใจแฟนคลับแบบสุดติ่ง WeTV ก็ได้เตรียมฟีเจอร์พิเศษกับการเก็บสะสม "VIP Digital Gift Card" ของแบรนด์แอมบาสเดอร์ทั้ง 4 คนโดย VIP Digital Gift Card นี้แฟนๆ สามารถซื้อเพื่อสะสม และสนับสนุนแบรนด์แอมบาสเดอร์ที่คุณชื่นชอบ และยังมาพร้อมกับแพ็คเกจราคาพิเศษ VIP 1 เดือน ราคา 59 บาท (จากราคาปกติ 89 บาท) VIP 3 เดือน ราคา 179 บาท (จากราคาปกติ 249 บาท) และ VIP 12 เดือนราคา 599 บาท (จากราคาปกติ 899 บาท) และยังสามารถซื้อเพื่อส่ง VIP Digital Gift Card เป็นของขวัญให้กับเพื่อนๆ เพื่อแบ่งปันความบันเทิงของคอนเทนต์คุณภาพจาก WeTV ได้อีกด้วย นอกจากการซื้อ VIP Digital Gift Card เพื่อรับชมคอนเทนต์ VIP ยังเป็นการสะสมคะแนนจากการซื้อ VIP Digital Gift Card และสะสมคะแนนจากภารกิจพิเศษที่ทาง WeTV ได้เตรียมไว้เพื่อลุ้นรับของรางวัลสุดพิเศษจากแบรนด์แอมบาสเดอร์แต่ละคน อาทิ รูปพร้อมลายเซ็น กล่องของขวัญสุดพิเศษ รวมถึงบัตรเข้าชมแฟนมีตติ้งของแบรนด์แอมบาสเดอร์ที่คุณชื่นชอบ เป็นต้น สำหรับแฟนคลับที่อยากสนับสนุนโกลบอล แบรนด์แอมบาสเดอร์ทั้ง 4 คน สามารถเข้าไปซื้อ VIP Digital Gift Card ได้ที่ https://bit.ly/likesWeTV ผ่านทางแอปพลิเคชัน WeTV
#2854



"ชัยวุฒิ" มอบหมาย บ.ไปรษณีย์ไทย ใช้จุดแข็งในศักยภาพด้านการขนส่ง ขับเคลื่อนเศรษฐกิจรายย่อยและสินค้าเกษตรฝ่าวิกฤติโควิด-19 ควบคู่สนับสนุนระบบสาธารณสุข รับอาสาขนส่งฟรีอุปกรณ์การแพทย์ ยาและเวชภัณฑ์ และให้ความร่วมมือในการจัดตั้งศูนย์พักคอยสำหรับดูแลผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ได้มอบนโยบายให้บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) ใช้ศักยภาพด้านการขนส่งและเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมในช่วงการระบาดโควิด-19 ช่วยเหลือประชาชน ผู้ประกอบการ เกษตรกร พร้อมทั้งเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนระบบสาธารณสุข ให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ หวังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้กลับมาฟื้นอีกครั้ง

โดยในส่วนของการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จะครอบคลุมทั้ง การออกโปรโมชันเพื่อลดต้นทุนค่าขนส่งให้กับผู้ประกอบการ เพิ่มช่องทางการจำหน่ายผลผลิตให้กับเกษตรกรผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เว็บไซต์ Thailandpostmart.com ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมสินค้าเกษตรและวิสาหกิจชุมชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ปัจจุบันมีผู้ประกอบการเข้าร่วมขายสินค้ากว่า 6,500 ราย มีสินค้ามากกว่า 17,000 รายการจากทั่วทุกภูมิภาค

ทั้งนี้ ปณท ได้ปรับลดอัตราค่าบริการไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (EMS) ในพิกัดน้ำหนักตั้งแต่เกิน 2,000 กรัมขึ้นไป และให้การสนับสนุนการส่งผลผลิตของเกษตรกรในราคากล่องเหมาจ่าย ด้วยบริการ EMS พร้อมทั้งเพิ่มช่องทางการขายให้กับผู้ประกอบการและเกษตรกร เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยยังสามารถเดินหน้าต่อได้ในภาวะวิกฤติ

นอกจากนี้ ยังมีบริการ Pick up Service รับฝากพัสดุถึงบ้าน อำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ผู้ใช้บริการไม่ต้องออกจากบ้าน ลดความเสี่ยงการสัมผัสเชื้อโควิด-19 โดยสามารถใช้บริการดังกล่าวได้ทางไลน์ออฟฟิเชียล @ThailandPost



"ผมยังได้มอบหมายให้ ปณท สนองนโยบายการดำเนินงานของรัฐบาลด้วยการสนับสนุนระบบสาธารณสุขในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด -19 ได้แก่ การช่วยขนส่งอุปกรณ์การแพทย์ไปยังโรงพยาบาลทั่วประเทศโดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการส่ง การส่งยาและเวชภัณฑ์จากโรงพยาบาล ไปให้ผู้ป่วยทั่วไป และผู้ป่วยโควิด -19 สีเขียวในโครงการ Home Isolation-Community Isolation ให้ความร่วมมือในการจัดตั้งศูนย์พักคอยสำหรับดูแลผู้ป่วยโควิด-19 สีเขียว เพื่อรอการนำส่งต่อไปรักษาที่สถานพยาบาลต่อไป" นายชัยวุฒิ กล่าว



ทั้งนี้ ไปรษณีย์ไทย เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนระบบสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด -19 โดยมีโครงการ "ส่งความห่วงใย ส่งให้ สู้ภัย COVID-19" ซึ่งได้รวบรวมอุปกรณ์การแพทย์จากคนไทย จัดส่งฟรีให้กับโรงพยาบาลทั่วประเทศแล้วกว่า 2.2 แสนกิโลกรัม คิดเป็นมูลค่าการจัดส่งกว่า 8 ล้านบาท ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรขนส่งเตียงกระดาษไปให้โรงพยาบาลสนามต่างๆ ทั่วประเทศฟรีกว่า 2,300 เตียง จัดทำโครงการ "ไปรษณีย์ reBOX" โดยร่วมกับ บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) นำกล่อง/ซองกระดาษที่รวบรวมจากคนไทยน้ำหนักกว่า 23,500 กิโลกรัม มาแปรรูปเป็นเตียงกระดาษ อีกทั้งร่วมกับองค์การเภสัชกรรม เตรียมพร้อมเปลี่ยนกล่อง/ซองเป็นหน้ากากอนามัย บรรจุใน กล่องBOXบุญ ที่จะส่งมอบให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เป็นต้น
#2855



ธนาคารไทยพาณิชย์ ผนึกกำลัง ดิจิทัล เวนเจอร์ส ต่อยอดแนวคิด "รายใหญ่ช่วยรายเล็ก" พัฒนา PayZave แพลตฟอร์มดิจิทัล สร้างมาตรฐานใหม่ในการชำระเงินระหว่างคู่ค้าให้รับ-จ่ายทันทีแบบไม่ต้องมีเครดิตเทอม หนุนธุรกิจผู้ซื้อใช้ศักยภาพด้านการเงินช่วยลดข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินของซัพพลายเออร์ พลิกไอเดียจากระบบซื้อก่อนจ่ายทีหลังสู่ทางเลือกใหม่ "จ่ายก่อนเซฟกว่า" ด้วยข้อตกลงส่วนลดการขายเมื่อจ่ายเงินทันที ผู้ซื้อเซฟต้นทุนค่าใช้จ่าย ผู้ขายได้เงินเร็ว สามารถทำธุรกิจต่อได้โดยไม่ต้องพึ่งสินเชื่อนอกระบบ สร้างสมดุลสภาพคล่องแบบวินวินสำหรับทุกคู่ค้า

นายธนวัฒน์ กิตติสุวรรณ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน GTS and Ecosystems ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB)กล่าวว่า ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สร้างอุปสรรคให้กับผู้ประกอบการไทยอย่างกว้างขวาง ธนาคารจึงพยายามทำความเข้าใจปัญหาของของลูกค้าเพื่อลงมือช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง ซึ่งในส่วนของลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ของธนาคารเอง ผลกระทบหลักที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาต่อเนื่องซึ่งเกิดจากการขาดสภาพคล่องหมุนเวียนในธุรกิจของคู่ค้าซัพพลายเชนซึ่งเป็นเอสเอ็มอีรายเล็กๆ จนไม่สามารถผลิตและส่งสินค้าให้ได้ตามข้อตกลง โดยพบว่าต้นตอของปัญหานี้ คือข้อกำหนดทางด้านเครดิตเทอมการชำระเงินซึ่งปกติมีระยะเวลา 45-60 วัน เอสเอ็มอีจึงขาดเงินหมุนเวียน ธนาคารไทยพาณิชย์ และ บริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ส จำกัด จึงใช้จุดแข็งทางด้านเทคโนโลยีที่เรามีมาต่อยอดแนวคิด "รายใหญ่ช่วยรายเล็ก" ร่วมกันพัฒนา PayZave แพลตฟอร์มดิจิทัลแรกของประเทศไทย ที่เปิดให้คู่ค้าสามารถดำเนินการรับ-จ่ายค่าสินค้าระหว่างกันทันทีโดยไม่ต้องรอเครดิตเทอม

ทั้งนี้ PayZave เป็นแพลตฟอร์มที่เปืดโอกาสให่ทั้งสองฝ่ายจะทำข้อตกลงให้ส่วนลดการขาย เพื่อแลกกับการได้รับชำระค่าสินค้าก่อนครบรอบบิล โดยธนาคารจะให้การสนับสนุนทางการเงินกับผู้ซื้อในการชำระเงินให้คู่ค้าได้เร็วขึ้น ได้สินค้าที่มีต้นทุนถูกลง และผู้ขายก็ได้เงินค่าสินค้าทันทีโดยไม่ต้องไปหากู้จากแหล่งเงินทุนอื่น ซึ่งเป็นการบริหารสภาพคล่องที่ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับประโยชน์อย่างลงตัว พร้อมเปิดให้ทุกคู่ค้าในประเทศไทยสามารถใช้งาน PayZave ได้ทันทีเพื่อพยุงให้เอสเอ็มอีไทยทุกรายก้าวต่อไปข้างหน้าและผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ด้วยกัน

"ในส่วนสินเชื่อเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี(OD)บนแฟลตฟอร์มนี้ ธนาคารไม่ได้ตั้งเป้าหมายและไม่จำกัด แต่ธนาคารมุ่งเน้นอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าดอกเบี้ยสินเชื่อ OD ปกติ  เพื่อจูงใจให้มีคู่ค้ารายใหญ่เข้ามาช่วยสนับสนุนรายเล็กมากที่สุดเพื่อผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ เพราะคู่ค้ารายใหญ่ที่เข้ามาช่วยสนับสนุนเงินกู้และให้ส่วนลดกับรายเล็ก อาจจะมีศักยภาพและสภาพคล่อง ยังไม่จำเป็นต้องใช้วงเงินสินเชื่อ OD จากธนาคารแต่อย่างใด"

นายอรพงศ์ เทียนเงิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า แพลตฟอร์ม PayZave เกิดจากความต้องการช่วยเหลือซัพพลายเชนในช่วงโควิด-19 ด้วยโจทย์ว่าทำอย่างไรจึงจะลดปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับซัพพลายเออร์รายเล็กๆ โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวกลางเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ที่คุ้มค่า เปลี่ยนแนวคิดจากระบบ "ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง" เป็น "จ่ายก่อนเซฟกว่า" นำผู้ซื้อและผู้ขายมาเจอกันโดยตรงเพื่อสร้างข้อตกลงการชำระเงินโดยไม่ต้องมีข้อจำกัดทางด้านเครดิตเทอม 45-60 วัน เมื่อไม่มีเครดิตเทอมจึงไม่จำเป็นต้องพึ่งคนกลางหรือสถาบันทางการเงิน จึงช่วยให้ประหยัดต้นทุนทางธุรกิจได้ทั้งสองฝ่าย ผู้ซื้อได้ส่วนลดของสินค้า ผู้ขายได้รับเงินทันที ประหยัดเวลาด้วยขั้นตอนที่รวดเร็ว สะดวกทำรายการออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง และทันสมัยด้วยระบบ reconciliation (กระทบยอด) อัตโนมัติแบบเรียลไทม์ หวังว่า PayZave จะเป็นทางเลือกในการบริหารสภาพคล่องที่มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ธุรกิจเพื่อทุกเครือข่ายซัพพลายเชน และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่อยากจะเชิญชวนผู้ค้ารายใหญ่มาร่วมมือกันช่วยเหลือคู่ค้ารายย่อยที่ยังคงต่อสู้กับวิกฤตให้ผ่านไปได้ด้วยกัน คาดว่าจะมีคู่ค้าเข้าใช้งานในระบบราว 80,000 ราย ในปี 2564

"เราได้เปิดทดลองใช้แพลตฟอร์ม PayZave มาประมาณ 1 เดือนแล้ว ซึ่งก็ได้รับผลตอบรับที่ดีในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและค้าปลีก ให้ความสนใจออย่างมาก มีฝั่ง buyer เข้ามาประมาณ 50 ราย แล้วก็ฝั่งซัพพลายเออร์ประมาณ 5,000 รายตอบรับดี ส่วนในเรื่องค่าธรรมเนียมนั้น ขณะนี้เราเปิดให้ใช้บริการแพลตฟอร์มนี้ฟรีอยู่ 6 เดือน จนถึง 31 ธันวาคม 2564 หลังจากนั้นคงต้องพิจารณาในหลายๆด้านเพื่อให้ค่าธรรมเนียมอยู่ในระดับที่เหมาะสม เนื่องจากทางธนาคารเองก็มีต้นทุนเช่นกัน"

นายสุภาพ จรัลพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.ที.เอส. เอ็นจิเนียริ่ง (2004) จำกัด กล่าวว่า บริษัทดำเนินกิจการในอุตสาหกรรมก่อสร้างมานานกว่า 30 ปี วิกฤตครั้งนี้รุนแรงและท้าทายกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะในธุรกิจก่อสร้างที่ซัพพลายเชนมีผลอย่างมากต่อความก้าวหน้าของโครงการ ซึ่งในสถานการณ์ โควิด-19 ต่างประสบปัญหาขาดสภาพคล่องอย่างมาก บริษัทจึงเกิดไอเดียมองว่าเราจะสามารถช่วยแบ่งเบาปัญหาสภาพคล่องให้กับซัพพลายเออร์เหล่านี้ได้อย่างไร จึงได้หารือกับธนาคารไทยพาณิชย์ และดิจิทัล เวนเจอร์ส ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นแพลตฟอร์ม PayZave ที่สามารถตอบโจทย์การทำธุรกิจในยุคโควิดได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถช่วยให้ซัพพลายเชนของบริษัทที่อยู่ทั่วประเทศขอรับเงินได้ทันทีเมื่อส่งมอบงานเรียบร้อย ทั้งยังใช้งานได้ง่ายผ่านโทรศัพท์มือถือ และระบบออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยลดอุปสรรคของธุรกิจและเป็นประโยชน์ต่อคู่ค้าทุกฝ่าย โดยปัจจุบันมีซัพพลายเออร์ของบริษัทขึ้นในระบบแล้วกว่า 1,500 ราย

นายวาริช ภูสนาคม กรรมการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท วิลล่า มาร์เก็ท เจพี จำกัด กล่าวว่า วิลล่า มาร์เก็ท ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับกระบวนการทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และได้ทำงานร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ และ ดิจิทัล เวนเจอร์ส มาหลายโครงการ เมื่อได้ทราบว่ามีการพัฒนาแพลตฟอร์ม PayZave เพื่อช่วยเหลือคู่ค้าที่ประสบปัญหาในช่วงโควิด-19 บริษัทจึงยินดีที่จะมีส่วนร่วมในแพลตฟอร์มนี้เพราะเป็นทางเลือกที่เข้าใจปัญหาของซัพพลายเชนอย่างแท้จริง บริษัทเองมีความใกล้ชิดกับซัพพลายเชนในธุรกิจอุปโภคบริโภคมากกว่า 1,000 ราย เข้าใจดีว่าในเวลานี้สภาพคล่องเป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้ธุรกิจเดินไปข้างหน้าเพื่อช่วยเหลือคู่ค้าทุกรายให้มีสภาพคล่องหมุนเวียนในธุรกิจอย่างต่อเนื่อง บริษัทรู้สึกภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนคู่ค้าของเราให้ผ่านพ้นสถานการณ์ยากลำบากไปด้วยกัน
#2856
ลงทองเรียกจิต เป็นการเรียกจิตให้อีกฝ่ายคิดถึง

ด้วยการเสกแผ่นทองคำเปลวแท้  100 %  ด้วยคาถาเรียกจิต  เพื่อเรียกจิตบุคคลที่ต้องการมาไว้ในแผ่นทอง  จากนั้นนำแผ่นทองที่ผ่านการเสกแล้ว  ไปติดตรงตำแหน่งกึ่งกลางหน้าผาก  โดยใช้สีผึ้งเรียกจิตทาก่อน  แล้วท่องคาถาเรียกจิตจนบุคคลที่ต้องการ  คิดถึงเรามากๆ 

ค่าครู 99  บาท
สนใจติดต่อ
โทร 0846623662
lide id : teerapat999

ลาซาด้า  คลิก
https://pdp.lazada.co.th/products/i2641064456.html?spm=a1zawg.20038917.content_wrap.6.7dfb4edfDYXNoK
#2857



เมื่อวันที่ 29 ก.ค.64 นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า รฟม. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลการให้บริการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) และรถไฟฟ้ามหานครสายฉลองรัชธรรม (MRT สายสีม่วง) ได้ดำเนินการพัฒนาสถานีรถไฟฟ้า "MRT บางซื่อ" ให้เป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน กับ "สถานีกลางบางซื่อ" เพื่อให้ประชาชนสามารถเปลี่ยนระบบการเดินทางได้อย่างต่อเนื่อง สะดวก รวดเร็ว อันเป็นการพัฒนาระบบราง เพิ่มประสิทธิภาพ และเสริมสร้างศักยภาพของสถานีกลางบางซื่อให้เป็นศูนย์กลางคมนาคมที่สามารถเชื่อมโยงการเดินทางให้ต่อเนื่องทั้งระบบ

โดยก่อสร้างทางเดินเชื่อมต่อกับบริเวณทางเดินชั้นใต้ดินของสถานีกลางบางซื่อ จำนวน 2 จุด ซึ่งทางเดินเชื่อมต่อจุดที่ 1 จะอยู่บริเวณทางเดินผู้โดยสารของสถานีรถไฟฟ้า MRT บางซื่อ และทางเดินเชื่อมต่อจุดที่ 2 จะอยู่บริเวณชั้นจำหน่าย บัตรโดยสารของสถานีรถไฟฟ้า MRT บางซื่อ  

ปัจจุบัน รฟม. ได้เร่งรัดการก่อสร้างทางเดินเชื่อมต่อทั้ง 2 จุด ให้แล้วเสร็จเร็วกว่าที่แผนงานกำหนด และเตรียมเปิดให้บริการในวันที่ 2 สิงหาคม 2564 เพื่อรองรับการเปิดทดลองใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วง บางซื่อ – รังสิต และช่วงบางซื่อ – ตลิ่งชัน และสถานีกลางบางซื่อ พร้อมทั้งจัดเตรียมมาตรการอำนวยความสะดวกภายในระบบรถไฟฟ้า MRT เพื่อรองรับการเดินทางเชื่อมต่อของผู้โดยสาร อาทิ การจัดเตรียมอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ได้แก่ เครื่องออกเหรียญโดยสารอัตโนมัติ (Automatic Ticket Vending Machine  หรือ TVM) ห้องออกบัตรโดยสาร (Ticket office) ประตูจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติ (Automatic Fare Collection Gate หรือ AFC GATE) ป้ายประชาสัมพันธ์/ป้ายบอกทางไปยังสถานีกลางบางซื่อ (ทางออกที่ 3) ลิฟต์ บันได บันไดเลื่อน เป็นต้น พร้อมทั้งเพิ่มจุดตรวจคัดกรองรักษาความปลอดภัย และติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อคอยดูแลความปลอดภัยตลอดระยะเวลาให้บริการ 


ทั้งนี้ ประชาชนสามารถเดินทางจากรถไฟฟ้าสายสีแดงไปยังรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินเพื่อเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพมหานครชั้นใน หรือเดินทางต่อไปยังรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง เพื่อเข้าสู่พื้นที่ปริมณฑล อันเป็นการเพิ่มทางเลือกใหม่ในการเดินทางเชื่อมต่อระหว่างพื้นที่รอบนอกและพื้นที่ชั้นในกรุงเทพมหานครที่สะดวกสบาย บรรเทาปัญหาการจราจรและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน

ติดตามรายละเอียดและข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม.  โทร.  0 2716 4044
#2858


เรื่องของโควิด-19 ภายในประเทศยังเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดการลงทุนในสัปดาห์นี้ สถานการณ์ล่าสุดในวันอาทิตย์ผู้ติดเชื้อต่อวันยังคงเห็นการพุ่งขึ้น และทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง หากอิงข้อมูลการติดเชื้อต่อวันจาก World Meter พบว่า การติดเชื้อของประเทศไทยอยู่อันดับที่ 9 ของจำนวนประเทศที่ World Meters เก็บรวบรวมทั้งหมด 222 ประเทศ

ขณะที่ปัจจุบันจำนวนการติดเชื้อของประเทศไทยเริ่มเห็นการกระจายไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น หากมาดูข้อมูลล่าสุดจาก ศบค. พบว่า จำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด 100% มาจากต่างจังหวัดที่ไม่รวมปริมณฑลถึง 59% ซึ่งเร่งตัวขึ้นมาจากช่วงก่อนหน้าราวกลาง ก.ค. ที่ 46% บ่งชี้ว่าปัจจุบันการแพร่ระบาดไปเริ่มกระจายไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่เรากังวลและตลาดยังไม่ตอบรับคือการยกระดับมาตรควบคุมมากขึ้นในต่างจังหวัดเพื่อสกัดกั้นการระบาด แต่การยกระดับจะเป็นลบกับเศรษฐกิจรวมถึงกำไรบริษัทจดทะเบียนที่เพิ่ม Downside Risk ต่อประมาณการ จึงแนะนักลงทุนติดตามใกล้ชิดเกี่ยวกับการระบาดของต่างจังหวัด ดังนั้น จากการระบาดที่ยังมีความเสี่ยงทำให้ประเมิน SET ยังเสี่ยงอ่อนตัวกรอบ 1,520-1,560

สำหรับการส่งออกในเดือน มิ.ย. ขยายตัว 44%YoY นับเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 11 ปี หลักๆ เป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและฐานปี 20 ที่ค่อนข้างต่ำ ส่วนสินค้าที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ +78%YoY เครื่องใช้ไฟฟ้า +42%YoY แผงวงจรไฟฟ้า +33%YoY เคมีภัณฑ์ +47%YoY สินค้าเกษตร +60%YoY มองเป็นบวกต่อ (AH DELTA HANA KCE NER PTTGC SAT) อย่างไรก็ตาม ในครึ่งปีหลังต้องติดตามการระบาดโควิด-19 ที่หลายประเทศเผชิญการระบาดอีกครั้ง และบางประเทศที่เกิดการระบาดเป็นคู่ค้าหลักของไทย เช่น สหรัฐฯ (15%) ASEAN (13.4%) ญี่ปุ่น (9.8%)

ปัจจัยสัปดาห์นี้ (1) ประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ข้อมูลจาก Bloomberg ระบุสัปดาห์นี้จะมี SCC PTTEP GLOBAL รายงานผลประกอบการ (2) ประชุม FED ในวันพฤหัสบดี แต่เชื่อว่าไม่มีนัยอะไรมากเนื่องจาก Policy ยังน่าจะคล้ายประชุมครั้งก่อน

กลยุทธ์การลงทุน การลงทุนระยะสั้นควรเลือกหุ้นที่ผลกระทบจากโควิด-19 จำกัด เช่น ส่งออก (ASIAN DELTA HANA KCE NER TU) สื่อสารและโรงไฟฟ้า (ADVANC BGRIM BCPG GPSC GULF) รวมถึงได้ประโยชน์จากโควิด-19 เช่น โรงพยาบาล (BCH CHG) พร้อมแนะยังคงเน้นการถือครองเงินสดมากขึ้น

KCE (ซื้อ/ราคาเป้าหมาย 90 บาท) คาดผลการดำเนินงาน 2Q21E ที่ 531 ล้านบาท (+644%YoY และ 6%QoQ) โดยมีปัจจัยผลักดันหลักมาจากรายได้ที่ขยายตัวสู่ 3.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 71%YoY จากฐานที่ต่ำในปี 2020 และเพิ่มขึ้น 7%QoQ ตามจำนวนวันดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นและการปรับขึ้นราคาขาย
URL
 13
 
#2859
บ้านถั่วลิสง The Peanut House  เรื่องถั่ว... เราถนัด
สืบต่อตำนานความอร่อยและส่งต่อภูมิปัญญาการผลิตถั่วลิสงจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก


 โรงงานถั่วลิสง "ซินกวงน่าน" เป็นโรงงานทำถั่วลิสงเพียงแห่งเดียวในจังหวัดน่าน ตั้งเมื่อปี พุทธศักราช 2521 จนปัจจุบันนี้ได้พัฒนาตนเองสู่โรงงานแปรรูปถั่วลิสงครบวงจร ตั้งแต่เลือกสรรเมล็ดพันธ์ลงแปลงปลูกโดยเครือข่ายเกษตรกรของเรา เก็บเกี่ยวและก็ส่งถั่วลิสงเข้าสู่ขั้นตอนแปรรูปที่สะอาดปลอดภัยได้มาตรฐาน จนมาเป็นผลิตภัณฑ์ถั่วลิสงในรูปแบบต่างๆที่พร้อมส่งต่อซินกวงน่านถึงมือคุณ


เรื่องราวของพวกเรารวมทั้งแกลลอรี่ถั่วลิสง Our History & Peanut Gallery
ชมประวัติความเป็นมาของโรงงานถั่วลิสงเก่าแก่เพียงแห่งเดียวของจังหวัดน่าน แผนภาพกระบวนการผลิตวัตถุดิบและก็วิธีการแปรรูปสินค้าถั่วลิสง นอกจากนั้นเชิญทำความรู้จักกับ "ต้นถั่วลิสง" จำลองขนาด 2.5 เมตรที่ออกแบบแล้วก็สร้างขึ้นเพื่อให้ได้มองเห็นลำต้น ดอก ใบ รวมทั้งเม็ดถั่วลิสงคล้ายจริงที่สุดตรงนี้ที่เดียวในประเทศไทย และประโยชน์ที่ได้รับมาจากถั่วลิสง - ธัญพืชที่ให้โปรตีนแทนเนื้อสัตว์รวมทั้งไขมันที่ร่างกายต้องการแต่ว่าไม่สามารถสร้างเองได้





 ผลิตภัณฑ์ถั่วลิสงแล้วก็ผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูปจังหวัดน่าน Peanuts and many moreข้างในร้านบ้านถั่วลิสง นอกเหนือจากที่มีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากถั่วลิสงแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูปของจังหวัดน่านที่มีคุณภาพมากมายหลายหลากให้ได้เลือกซื้อเป็นของฝากจากจังหวัดน่านสำหรับคนที่รักรวมทั้งคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมัลเบอรี่ ลูกเดือย กาแฟ ข้าว ถั่ว งา และธัญพืชในลักษณะต่างๆ ตลอดจนสมุนไพรที่ถูกนำมาแปรรูปเป็นเครื่องแต่งหน้าแล้วก็ยาด้วยภูมิปัญญาพื้นบ้านผสมกับนวัตกรรมสมัยใหม่ 





 กาแฟน่านและเบเกอรี่จากถั่วลิสง Nan Coffee and Peanut Bakery
กาแฟที่เสิร์ฟในร้านบ้านถั่วลิสงเป็นกาแฟอาราบิก้าผสมโรบัสต้าในสัดส่วนที่พอดี หอมอร่อย คั่วเข้ม โดยเลือกใช้เม็ดกาแฟเดอม้ง ซึ่งปลูกแล้วก็ผลิตโดยชุมชนบ้านมณีพฤกษ์ ตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จ.น่าน ซึ่งเป็นกาแฟที่ผ่านการคัดสรรสายพันธ์ที่ดีที่เหมาะกับการปลูกที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล 1400-1600 เมตร เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้พี่น้องชาวบ้านมณีพฤกษ์มีรายได้ยั่งยืน มีอาชีพที่มั่นคง แล้วก็ช่วยรักษาและฟื้นฟูป่าน่านให้อุดมสมบูรณ์ต่อไป  ยิ่งกว่านั้นยังมี "พีนัทซอฟท์เค้ก" และก็ "พีนัทเบคชีสเค้ก" เบเกอรี่โฮมเมดที่มีส่วนผสมของเนยถั่วลิสงและก็น้ำนมถั่วลิสงที่แสนอร่อย หวานน้อย ครีมเบานุ่ม ไม่เลี่ยน  แล้วก็หอมกลิ่นเนยถั่วลิสง ซึ่งหาทานได้ที่บ้านถั่วลิสงเท่านั้น
 

นมถั่วลิสง Peanut Milk
ไฮไลต์ที่คุณไม่ควรพลาดบ้านถั่วลิสงชวนลอง "น้ำนมถั่วลิสง" Peanut Milk ที่ทำจากถั่วลิสง 100% ไม่มีครีมเทียม และหัวนมผง และไม่ใส่สารแต่งสีแต่งกลิ่น เป็นน้ำนมจากถั่วลิสงตามธรรมชาติ ต้มสดทุกเช้า หอม อร่อย ทานง่าย มีเสริฟทั้งแบบร้อน เย็น ปั่น ให้ทุกคนได้ทดลองที่นี่ที่เดียวในน่าน น้ำนมถั่วลิสงให้โปรตีนสูง ไขมันต่ำ เหมาะกับทั้งเด็กรวมทั้งผู้ใหญ่ ผู้รักสุขภาพ ผู้ที่แพ้นมจากสัตว์  


บ้านถั่วลิสงเปิดรับกรุ๊ปเยี่ยมชมดูงานกรรมวิธีแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับกลุ่มแม่บ้าน วิสาหกิจชุมชน นิสิต นักเรียน หรือกรุ๊ปท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์เพื่อเปิดประสบการณ์เกี่ยวกับการแปรรูปถั่วลิสง (รับเป็นคณะ 20 คนขึ้นไป และต้องติดต่อล่วงหน้าเท่านั้น)


#2860



การสร้างแบรนด์ ให้ผู้คนรักและชื่นชอบ คือ หนึ่งในเรื่องที่นักการตลาด และเจ้าของแบรนด์ทุกคนวางเป้าหมายให้แบรนด์ตัวเองไว้ แต่ก่อนไปถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนระหว่างเราและผู้บริโภค 

สิ่งสำคัญนอกเหนือจากส่งมอบสินค้าบริการ ส่งมอบประสบการณ์ดีๆ ของแบรนด์ คือ การบริหารเรื่องไม่ดีของแบรนด์ ด้วยเมื่อแบรนด์เกิดวิกฤติ ทำอย่างไรไม่ให้การพลาดเพียงครั้งเดียว ทำแบรนด์พังตลอดกาล

'สโรจ เลาหศิริ' Head of Marketing Transformation and Marketing Strategy ผู้เชี่ยวชาญด้านแบรนด์และ Marketing Transformation บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวในประเด็นนี้ว่า ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนจัดการวิกฤติ สิ่งแรกที่แบรนด์ควรต้องมี คือ วางแผนและจำลองสถานการณ์แก้ไขเมื่อเกิดวิกฤติที่เป็นขั้นเป็นตอน เฝ้าสังเกตและจัดการเมื่อเจอวิกฤติใน 24 ชั่วโมงแรกซึ่งกำหนดความเป็นความตายของแบรนด์ไว้เลยทีเดียว สิ่งสำคัญ คือ กอบกู้ชื่อเสียงหรือความรู้สึกของคนเมื่อถูกแบรนด์ทำลายลงไป 

เปิดเฟรมเวิร์ค 4 ขั้นกู้แบรนด์ 

"บลูบิค" แนะนำแนวทางการวางแผนรับมือวิกฤติ หรือ Crisis Management Framework แบ่งเป็น 4 ขั้นตอนหลักๆ 


1. Preparation เตรียมป้องกันกระแสลบ ป้องกันเปรียบเสมือนการซื้อประกันสุขภาพของแบรนด์ที่ช่วยจำกัดความเสียหายไว้แต่เนิ่นๆ เมื่อเกิดขึ้นจริงจะสามารถจัดการได้เป็นอย่างดี 

วิธีการวางแผนป้องกัน คือ ตั้งทีมเพื่อรับมือสถานการณ์วิกฤติโดยเฉพาะ (Core Crisis Team) ลำดับวิกฤติประเภทต่างๆ ของแบรนด์หรือบริษัทเป็น 3 ระดับ ตั้งแต่ เขียว เหลือง แดง รวมถึงวางการรับมือแต่ละแบบ ทำคู่มือการรับมือ ฐานข้อมูลกลาง ลำดับการค้นหาต้นเหตุ และผู้รับผิดชอบในแต่ละส่วนเรื่องทั้งหมด รวมไปถึงพูดคุยกับทุกฝ่ายเพื่อนิยามภาวะวิกฤติ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการวิกฤติ

2. Moderation เฝ้าระวังวิกฤติและเสียงบนโซเชียล เช่น ตั้งทีม Social Moderation การฝึกสอน แอดมินในช่องทางโซเชียล การวางแผนทำไกด์ไลน์ คำถาม-คำตอบลูกค้าในหลายสถานการณ์ กำหนดลักษณะใช้คำพูดตอบโต้กับลูกค้าให้เป็นรูปแบบเดียวกัน รวมถึงให้ความสำคัญการฝึกฝนฝ่ายดูแลลูกค้าเพื่อรับมือสถานการณ์ต่างๆ ใช้เครื่องมือ Social Listening Tools และวางลำดับแจ้งเตือนปัญหาที่อาจเกิดขึ้นและประเมินสถานการณ์ในเวลาไม่กี่นาที

3. Crisis in Action ลงมือแก้ปัญหา ซึ่งต้องผ่านการประเมินว่า สถานการณ์รุนแรงมากแค่ไหน เช่น กระแสบนโลกออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันมีเครื่องมืออย่าง Social Listening Tools ที่ดึงข้อมูลมาวิเคราะห์สถานการณ์เพื่อช่วยจัดการวิกฤติต่อไป และเมื่อวิเคราะห์ออกมาแล้ว ถัดไป คือ ดำเนินการตามความร้ายแรง หากเป็นวิกฤติเบาจบได้โดยการรับมือจากทีมดูแลลูกค้า หรือ ทีม Admin 

แต่หากเหตุการณ์ลุกลามต้องผ่านทีมรับมือสถานการณ์วิกฤติเฉพาะ (Core Crisis Team) แต่ละคนต้องทำตามลำดับที่วางแผนไว้ ทำ Holding Statement ร่างคำชี้แจง สืบสวนความจริง ชี้แจง ประสานสื่อ และเยียวยา

4. Recovery กอบกู้และเยียวยาหลังวิกฤติ ไม่เช่นนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นปมที่อยู่บนโลกออนไลน์ไปตลอด หรือเราเรียกว่า Digital Footprint การกอบกู้เยียวยามี 3 ส่วน Confidence Recovery เริ่มที่การฟื้นฟู "ความเชื่อมั่น" ของลูกค้า ผ่านการออกนโยบายป้องกันเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าจะไม่เกิดปัญหาเดิม หรือออกนโยบายใหม่

Reputation Recovery กู้ชื่อเสียงแบรนด์กลับคืนมา ผ่านการสร้างเสียงแง่บวก หรือประชาสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของแบรนด์โดยตรง ที่เกี่ยวโยงกับเหตุการณ์ ติดตามสถานการณ์ผ่าน SEO และ Sentiment 

กรณีที่วิกฤติเกี่ยวข้องกับประเด็นอ่อนไหว เช่น ศาสนา การเมือง แบรนด์อาจต้องแสดงออก และแสดงการกระทำที่เคารพต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น วางแผนการจัดการบนความเชื่อและความรู้สึกเป็นหลัก ถัดมา คือ Sale Recovery วางแผนและหาทางฟื้นฟูยอดขายควบคู่ เพื่อดึงคนกลับมาใช้และซื้อสินค้าอีกครั้ง


มีคำแนะนำ สำหรับแบรนด์เพิ่มเติม เช่น การป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤติตั้งแต่แรก คือ การแก้วิกฤติที่ดีที่สุด สร้างความมั่นใจว่าแบรนด์ดูแลในทุกปัญหา ระบุช่องทางแจ้งความไม่สะดวกให้ชัด จะช่วยป้องกันไม่ให้ปัญหาใหญ่มาก

อาจต้องแก้วิกฤติที่ "อารมณ์" ด้วยเพราะกระแสเป็นเรื่องของอารมณ์มากกว่าข้อเท็จจริง ขณะที่ การตอบสนองครั้งแรก (First Response) สำคัญที่สุด เป็นตัวกำหนดกระแสที่มีต่อแบรนด์ว่าจะแก้ได้ หรือจะพังพินาศ

แบรนด์ควรเน้น แก้ปัญหาให้ตรงจุด ผิดตรงไหนไปแก้ตรงนั้น อย่าเบี่ยงเบนประเด็น ขณะที่ เมื่อมีปัญหาต้องสื่อสาร ไม่ควรเงียบ แต่บางกรณีการเงียบอาจดีกว่าการแก้ตัวแบบข้างๆ คูๆ และอย่าพลาดแบบเดิมซ้ำสอง เพราะสังคมจะลดความเชื่อมั่นต่อคุณ และน้ำหนักคำพูดลงไปทันที