• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

โบรกฯเชียร์'ซื้อ' BEC คาด Q4/64 ฟื้นหนุนปี 64 พลิกมีกำไร

Started by luktan1479, February 16, 2022, 05:00:33 PM

Previous topic - Next topic

luktan1479

โบรกฯเชียร์'ซื้อ' BEC คาด Q4/64 ฟื้นหนุนปี 64 พลิกมีกำไร,ปี 65 โตต่อรุกธุรกิจใหม่

           โบรกเกอร์             คำแนะนำ        ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
           ทิสโก้                   ซื้อ              16.50
           โนมูระ พัฒนสิน            ซื้อ              16.40
           หยวนต้า                 ซื้อ              16.20
           ธนชาต                  ซื้อ              16.00
           เอเซียพลัส               ซื้อ              16.00
           ฟินันเซีย ไซรัส            ซื้อ              15.00
           ฟิลลิป                   ซื้อ              15.00
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นของ BEC โดยคาดการณ์กำไรไตรมาส 4/64 ฟื้นตัวค่อนข้างเด่น อยู่ที่ 261 ล้านบาท +82%QoQ จากปัจจัยหนุนของรายได้โฆษณาที่ยังคงดีขึ้นต่อเนื่อง จากรายการข่าวที่ได้รับความนิยมสูงอย่าง เรื่องเล่าเช้านี้ และ โหนกระแส ส่วนละครแม้จะเป็นละครรีรันแต่ก็ทำเรตติ้งได้ดี ขณะที่รายได้ลิขสิทธิ์และอื่น ๆ ก็มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นจากไตรมาสก่อน รวมไปถึงการควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็เป็นแรงสนับสนุนให้หุ้น BEC น่าจะมีผลประกอบการช่วงไตรมาส 4/64 ที่เติบโตโดดเด่น

สำหรับผลประกอบการช่วงไตรมาส1/65 แม้จะมีแนวโน้มอ่อนตัวตามปัจจัยฤดูกาล แต่ยังคงคาดรายได้ทั้งปีเติบโต หนุนกำไรสุทธิในปี 65 ขยับขึ้นไปที่ 994 ล้านบาท เติบโต +37%YoY จากการฟื้นตัวของรายได้โฆษณา หลังสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ประกอบกับรายได้ลิขสิทธิ์และอื่น ๆ คาดเติบโต +33%YoY จากการรุกตลาดขายลิขสิทธิ์ละครในประเทศใหม่ ๆ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น เป็นต้น นอกจากนี้ยังรุกธุรกิจใหม่ เช่น เพลง ภาพยนตร์ และ บริหารศิลปิน ส่งผลให้ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มราคาเป้าหมายขึ้นจาก 12.80 บาท/หุ้น เป็น 16.40 บาท/หุ้น

ด้าน บล.หยวนต้า ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดกำไรปกติปี 64 ที่ 692 ล้านบาท พลิกฟื้นโดดเด่นจากปีก่อนที่มีผลขาดทุนปกติ 127 ล้านบาท จากเม็ดเงินโฆษณาที่ฟื้นจากฐานที่ต่ำ พบว่าสื่อทีวีดิจิทัล ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 น้อยกว่าสื่อโฆษณาอื่น ๆ เนื่องจากคนอยู่บ้านดูทีวีมากขึ้น รวมถึงการปรับผังรายการใหม่ที่เพิ่มเวลาละครและรายการข่าวมากขึ้น โดยเฉพาะรายการข่าวหลังมีนายสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา กลับเข้ามาจะเพิ่มรายได้สำหรับรายการเรื่องเล่าเช้านี้และเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์รวมกันมากกว่า 50% ขณะที่รายได้จาก Digital Platform และการขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ไปต่างประเทศเติบโตจากการขยายประเทศใหม่ ๆ มากขึ้น จากเดิมจีน ไปยังสิงคโปร์ และ มาเลเซีย และขายลิขสิทธิ์ให้ทาง Netflix เพิ่มขึ้น

อีกทั้งผลจากนโยบายควบคุมต้นทุน โดยการปรับโครงสร้างองค์กรในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทั้งการลดต้นทุนการผลิต และการปรับลดพนักงาน จะส่งผลบวกต่อเนื่องในปีนี้ อีกทั้งยังได้รับผลบวกจากมาตรการช่วยเหลือจาก กสทช. ที่ได้รับยกเว้นค่าเช่าโครงข่าย MUX เต็มปี

พร้อมประมาณการกำไรสุทธิปี 65 ที่ 906 ล้านบาท +31% YoY ซึ่งคาดรับผลบวกจากอุตสาหกรรมโฆษณาฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิด-19 ที่คาดว่าจะเริ่มคลี่คลายในทางที่ดีขึ้น ตั้งแต่ในไตรมาส 2/65 ผู้ประกอบการกลับมาใช้งบโฆษณามากขึ้น ขณะที่คาดว่ารายได้จากการขายลิขสิทธิ์ (Global Content Licensing) ไปยังตลาดต่างประเทศจะยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ปีนี้มีแผนในการรุกธุรกิจเพลง ด้วยการส่งนักแสดงที่มีศักยภาพทางด้านเพลงขึ้นแท่นเป็นศิลปินเพลงเต็มตัว ประเดิมคนแรกคือ แต้ว ณฐพร เตมีรักษ์ และคาดว่าจะมีต่อเนื่องจากนี้ ซึ่งจะช่วยต่อยอดธุรกิจของบริษัท จึงคาดการรายได้ปี 65 ปรับเพิ่มขึ้น 15% YoY เป็น 7,244 ล้านบาท

สำหรับบล.เอเซียพลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ผลประกอบการปี 65 สามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจหลัก หลังการขายโฆษณาคาดจะเติบโตจากเม็ดเงินโฆษณาที่เริ่มเห็นการฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 4/64 เป็นต้นไป และอัตราการใช้สื่อที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงจากเรทติ้งข่าวและละครที่ได้รับการตอบรับที่ดี รวมไปถึงการปรับราคาขายโฆษณาจากรายการข่าว 6-7 รายการ

รวมไปถึงธุรกิจ Global Content Licensing ที่มีแผนจะ Simulcast ละครเรื่อง พิศวาสฆาตเกมส์ และ คุณหมีปาฎิหารย์ผ่าน Netflix พร้อมฉายใน 25 ประเทศทั่วเอเชีย ละครเรื่อง ยมฑูตกับภูติสาว ที่จะ Simulcast ผ่าน Viu ฉายในประเทศอินโดนิเซีย รวมถึงธุรกิจ Digital Revenue ที่จะเติบโตจากจำนวน Subscriber จากทั้งช่องทางแอพพลิเคชั่น 3+ และ 3+Premium รวมถึงช่องทางออนไลน์ทั้ง Facebook และ Youtube

และธุรกิจเพลง ได้เปิดตัวศิลปินรายแรกคือ 'แต้ว ณฐพร เตมีรักษ์' ช่วงกลางเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ภายใต้เพลง 'BABYBOO' ได้รับผลตอบรับที่ค่อนข้างดี โดยมียอด View ใน Youtube กว่า 3 ล้านวิว และคาดจะเปิดตัวศิลปินเพิ่มอีก 2-3 ราย ในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งธุรกิจเพลงสามารถเติมเต็ม Ecosystem ได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น อาทิ ศิลปินที่ได้รับความนิยมจากเพลงที่ปล่อยออกมา สามารถนำไปหารายได้ส่วนเพิ่มจากช่องทางอื่น ๆ จากการโปรโมทสินค้า การขายสินค้าที่มีศิลปินมีส่วมร่วม การจัดกิจกรรมในรูปแบบ Fan Meeting เป็นต้น

นอกจากนี้ธุรกิจภาพยนตร์ คาดจะทำในลักษณะร่วมทุน (Joint Venture) ในปี 65 คาดจะเปิดตัว 2-3 เรื่อง ฝ่ายวิจัยประเมินธุรกิจภาพยนตร์จะเป็นอีกปัจจัยขับเคลื่อนหลักให้ผลประกอบการสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด ตั้งเป้ารายได้ปีละ 100 ล้านบาท โดยจะประกาศอย่างเป็นทางการในเร็ว ๆ นี้

อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยมองว่าถึงแม้ธุรกิจเพลงและธุรกิจภาพยนตร์จะอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจะเห็นการเติบโตที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จากฐานรายได้ที่ต่ำในช่วงแรก โดยประเมินรายได้ของทั้ง 2 ธุรกิจรวมกันจะคิดเป็นสัดส่วน 10% ของรายได้รวมของ BEC ซึ่งถือเป็นก้าวใหม่ที่สำคัญที่จะนำพาธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง