• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Panitsupa

#5447


ราคาน้ำมันขยับขึ้นมากกว่า 1 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันพฤหัสบดี (2 ก.ย.) ได้แรงหนุนจากข้อมูลคลังปิโตรเลียมสำรองของสหรัฐฯ ปัจจัยทางพลังงานและมุมมองแง่บวกต่อเศรษฐกิจดันวอลล์สตรีทปิดบวกเช่นกัน ขณะที่ทองคำปรับลด 2 วันติด

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 1.40 ดอลลาร์ ปิดที่ 69.99 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 1.44 ดอลลาร์ ปิดที่ 73.03 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานแห่งสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวันพุธ (1 ก.ย.) ว่า คลังน้ำมันดิบสำรองของประเทศลดลงถึง 7.2 ล้านบาร์เรล บ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่แข็งแกร่งเกินคาด

ในข้อมูลเดียวกัน คลังน้ำมันกลั่น ซึ่งประกอบด้วยดีเซลและน้ำมันทำความร้อนลดลง 1.7 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดหมายไว้ ส่วนสต๊อกเบนซิน เพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่คาดหมายว่าจะลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในวันพฤหัสบดี (2 ก.ย.) ปิดบวก เอสแอนด์พี 500 และแนสแดค แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานและข้อมูลภาคแรงงานของอเมริกา

ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 131.29 จุด (0.37 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 35,443.82 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 12.86 จุด (0.28 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,536.95 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 21.80 จุด (0.14 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 15,331.18 จุด

กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานว่า จำนวนผู้เข้ารับสวิสดิการคนว่างงานรายใหม่ลดลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากการเลิกจ้างในเดือนสิงหาคม ลดลงต่ำสุดในรอบกว่า 24 ปี บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานกำลังฟื้นตัว แม้ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดรอบใหม่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ความเคลื่อนไหวของตลาดทุน ส่งผลให้ราคาทองคำ ในฐานะสินทรัพย์เสี่ยงต่ำปิดลบเป็นวันที่ 2 ติดต่อกันในวันพฤหัสบดี (2 ก.ย.) โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 4.50 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,811.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์

(ที่มา : รอยเตอร์)
#5448


นายศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ ประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท แอ็ดวานซ์อินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AIT เปิดเผย แนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องหลังครึ่งปีแรกของปี 2564 บริษัทมีรายได้รวมกว่า 3,905 ล้านบาท ปัจจุบัน AIT มีมูลค่างานในมือ (Backlog) ณ วันที่ 23 สิงหาคม 2564 อยู่ที่ 7,800 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยส่งมอบอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังมีงานที่อยู่ระหว่างรอคำสั่งซื้อจากลูกค้า (Huay Waiting for P/O) อีกประมาณ 480 ล้านบาท โดยยังคงมุ่งเน้นเข้าร่วมประมูลงานทางด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ตามนโยบายรัฐที่เร่งขับเคลื่อนออกมา ส่งผลดีต่อภาพรวมทั้งปีคาดว่าทำรายได้แตะ6,500 ล้านบาทได้ตามเป้าหมาย

 

ทั้งนี้ AITได้ปรับตัวและพัฒนารูปแบบการให้บริการใหม่ๆที่รองรับกับกระแสดิจิทัลมากขึ้น อาทิ อุปกรณ์ใน Data Center และระบบ Cloud เพื่อขยายขอบเขตการให้บริการต่อยอดจากฐานลูกค้าเดิม และการเตรียมพร้อมรองรับการเติบโตตามการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ICTซึ่งภาครัฐได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาเป็นอย่างยิ่งรวมถึงรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าประจำที่มียาวนาน โดยบริษัทฯ ยังเน้นงานวางระบบเนื่องจากมีความเชี่ยวชาญสูง โดยเริ่มตั้งแต่กระบวนการให้คำปรึกษา การวางแผนงานโครงการ การออกแบบระบบ การดำเนินการติดตั้ง การฝึกอบรม และการซ่อมบำรุงรักษาแบบครบวงจร ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของ AIT
#5450


เมื่อวันที่ 1 ก.ย. รถไฟฟ้าบีทีเอสได้ออกประกาศ เรื่อง สิ้นสุดการจำหน่ายโปรโมชั่นเที่ยวเดินทาง 30 วัน ระบุว่า บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ขอแจ้งให้ทราบว่าจะสิ้นสุดการจำหน่ายโปรโมชั่นเที่ยวเดินทาง 30 วัน ทุกประเภท ผู้โดยสารสามารถซื้อ หรือเติมเที่ยวเดินทางได้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 เป็นวันสุดท้าย ทั้งนี้ บัตรโดยสารที่มีเที่ยวเดินทางคงเหลือ สามารถใช้เดินทางได้จนกว่าเที่ยวเดินทางจะหมด หรือเที่ยวเดินทางหมดอายุการใช้งานอย่างใดอย่างหนึ่ง

นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ชี้แจงว่า ปัจจุบันพฤติกรรมการเดินทางของผู้โดยสารเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม มีรูปแบบการเดินทางที่หลากหลายมากขึ้น ประกอบกับความไม่แน่นอนเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้โดยสารไม่สามารถวางแผนการเดินทางล่วงหน้าได้นานแบบเมื่อก่อน อีกทั้งเรื่องการชำระค่าโดยสารล่วงหน้าดูจะเป็นทางเลือกที่ไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป บริษัทฯ ได้พิจารณาเห็นว่า โปรโมชั่นเที่ยวเดินทาง 30 วัน สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ค่อนข้างจำกัด จึงจะยุติการทำโปรโมชั่นดังกล่าว

สำหรับอัตราค่าโดยสารที่เรียกเก็บในเส้นทางสัมปทาน 23.5 กิโลเมตร จากสถานีหมอชิตไป สถานีอ่อนนุช และจากสถานีสนามกีฬาแห่งชาติไปสถานีสะพานตากสิน รวมส่วนต่อขยายจากสถานีสะพานตากสิน ถึงสถานีวงเวียนใหญ่ ยังคงอยู่ในอัตรา 16 - 44 บาท ตามเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ผู้โดยสารสามารถใช้บัตรโดยสารใบเดิมเพื่อเติมเงิน และใช้เดินทางได้ตามปกติ ทั้งบัตรสำหรับบุคคลทั่วไป และบัตรสำหรับนักเรียน นักศึกษา นอกจากนั้นในส่วนของบัตรสำหรับผู้สูงอายุ ยังคงได้รับโปรโมชั่นส่วนลดครึ่งราคาจากอัตราค่าโดยสารที่เรียกเก็บในอัตราเดิม


รายงานข่าวระบุว่า เรื่องดังกล่าวทำให้ผู้ใช้บริการแสดงความไม่พอใจ โพสต์ความเห็นไปยังเฟซบุ๊กเพจ "รถไฟฟ้าบีทีเอส" จำนวนมากกว่า 1,200 ความคิดเห็น อาทิ

"ราคาก็แพง ราคาแบบปกติแต่ละเที่ยวก็แพงอยู่แล้ว ถึงที่ผ่านมามีราคาแบบเหมาก็จริง แต่มากำหนดใช้ภายใน 30 วัน พ้นปุ๊บ ตัดปั๊บ เริ่มซื้อนับใหม่ ถ้าไม่ปรับราคาให้ถูกลงก็ควรจะปรับปรุงให้ไม่หมดอายุมากกว่า ในเมื่อผู้โดยสารก็ซื้อแบบเหมาอยู่แล้ว ลองกลับไปพิจารณาเงื่อนไขใหม่หน่อยนะคะ คนอาจแห่ไปซื้อรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ หัดไปคุ้นเคยกับการขึ้นรถเมล์กันเยอะขึ้นแน่ แล้วการบวกเพิ่มส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าก็ยิ่งทำให้รู้สึกเอาเปรียบขึ้นไปอีก ค่าเดินทางสวนทางกับแรงงานขั้นต่ำประเทศมาก แทนที่ประชาชนทุกคนจะได้ใช้บริการระบบขนส่ง กลับกลายเป็นบางส่วนแทบไม่มีโอกาสได้ใช้เลย"

"บ้าหรือเปล่า ไม่คิดว่า เหตุผลนี้จะออกมาจากผู้บริหารนะ ถ้าสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ คนที่เขาใช้อยู่ตลอดอยู่แล้ว ก็ต้องเติมเที่ยว 30 วันอยู่ดี สถานการณ์เปลี่ยนบ้าอะไร ให้คนที่จะใช้เขาคิดคำนวณการใช้เองสิ มาคิดแทนได้ไง แล้วเล่นยกเลิก 30 วันแล้วไง ราคาเที่ยวปกติก็ไม่ได้ปรับลดนี่ ถ้าจะยกเลิกซื้อล่วงหน้า 30 วัน แน่จริงก็ปรับลดราคาเที่ยวปกติลงมาด้วยสิ ทุกวันนี้ที่คนเขาไม่ได้เติมเที่ยว 30 วันกัน เพราะตอนนี้เขาเวิร์คฟอร์มโฮมไง ถ้าถึงวันที่ต้องกลับมาใช้ชีวิตปกติไปทำงานกันทุกวัน มันก็ต้องจำเป็นอยู่แล้วป่ะ"

"ระบบผูกขาด คนใช้งานไม่มีทางเลือกอื่น แต่กลับเปลี่ยนราคาซึ่งเเพงมากเมื่อเทียบกับรายได้ประชาชน ขอให้กลับไปพิจารณาใหม่ว่าสมเหตุผลหรือไม่ ลูกค้าจะลดลงทันที"

"เป็นนโยบายที่เห็นแก่ตัวและเอาเปรียบผู้บริโภคที่สุด คุณไม่สามารถทวงหนี้จากรัฐบาลได้ จึงมาใช้วิธีสกปรกเอาเปรียบประชาชนแบบนี้หรอคะ ประชาชนหาเช้ากินค่ำ ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาทแต่ต้องเสียค่าเดินทางไปกลับวันละ 118 บาท ทำงานแทบไม่ต้องคิดถึงเงินเก็บ มีเงินให้เหลือพอใช้ไปวันๆ นี่ก็บุญแล้ว คุณอ้างถึงการไม่วางแผนของประชาชน คุณจะมาคิดแทนประชาชนทำไมคะ เราซื้อด้วยเงินของเรา ทำไมถึงมาคิดว่าเราจะไม่วางแผน อย่ามาซ้ำเติมประชาชนตาดำๆ ในสถานการณ์ที่มันแย่อยู่แล้วแบบนี้เลยค่ะ"

"แบบนี้เขาเรียกหาเหตุผลมาเอาเปรียบนะคะ​ เศรษฐกิจ​แบบนี้​ คนใช้บีทีเอสประจำ​ เพราะมีตั๋ว 30 วัน​ คนใช้เขารู้ว่าเขาจะใช้แบบไหน​ คำนวณได้​ อย่างนี้เขาเรียกซ้ำเติมกันมากกว่า"

"ผมใช้ BTS เพราะมีแบบ 30 วัน คำนวนแล้วมันถูกกว่า ถ้ายกเลิกแบบนี้ ผมคงไปใช้ MRT แทน เพราะนั่งยาวทีเดียวถึงที่ทำงานเลย ไม่ต้องเปลี่ยนขบวนให้ยุ่งยากด้วย จาก 26-28 บาทต่อเที่ยว กลายเป็น 59 บาทต่อเที่ยว แต่ใช้ MRT จ่ายแค่ 42 บาท ถ้าไม่คิดโปรมาทดแทน ระวังลูกค้าหายหมดนะครับ เพราะตัวเลือกอื่นมันก็มีอยู่นะครับ"

"ไม่ตอบโจทย์ตรงไหนคะ ปกติผู้โดยสารก็เลือกได้อยู่แล้วว่าจะเติมเที่ยวหรือเติมเงิน เติมเที่ยวก็มีให้เลือกหลายแบบตามความจำเป็นที่ต้องใช้อยู่แล้ว ทำไมต้องงดเติมเที่ยวล่ะ เที่ยวใช้ไม่หมดก็ตัดทิ้งไม่ทบไปเดือนอื่น คุณมีแต่ได้กับได้ ถ้าคนในประเทศไม่ช่วยเหลือกันเอาตัวรอดเพียงคนเดียวหรือพวกพ้องของตนเอง แบบนี้ไม่ต้องมาอยู่ประเทศเดียวกันหรอกค่ะ อย่าหวังแต่จะกอบโกยสิคะ ถ้าไม่มีผู้บริโภคอย่างเราคุณจะได้เงินจากไหน โปรดพิจารณาใหม่นะคะ #คนไทยเหมือนกัน"

"เข้าใจค่ะว่าแบกหนี้เยอะ รัฐไม่ยอมจ่าย แต่อย่าผลักภาระให้ประชาชนค่ะ ส่วนต่อขยายต้องเพิ่มอีก 15 บาท เท่ากับว่าต้องจ่ายจริง 44 บวก 15 เท่ากับ 59 ไป-กลับ 118 บาท ประทานโทษนะคะบ้านไม่ได้อยู่ติดบีทีเอสค่ะ กรุณาเหลือเงินให้ต่อรถต่อเรือต่อวินด้วยค่ะ"

"ขายแบบเดิมแหละดีแล้ว แล้วก็ประกาศไปเลยว่าถ้ามีการล็อคดาวน์อีกจะไม่มีการคืนเงินหรือขยายเวลาสำหรับคนที่ซื้อแบบเหมาเที่ยว ให้ผู้โดยสารแบกรับความเสี่ยงเอง ถ้าแบบไหนมันคุ้มกว่าเดี๋ยวผู้โดยสารเค้าเลือกเอง ไม่ใช่ไม่มีตัวเลือกให้เค้า"

"ค่าแรงขั้นต่ำคนในประเทศ 300 เป็นค่าเดินทางไปแล้ว 100 ทุเรศ"

"หากใครใช้คนละครึ่งก็พอบรรเทาไปได้บ้างครับ ในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม หวังว่าต้นปีหน้าถ้าทุกอย่างลงตัว โควิดไม่หนักก็ขอให้เอาตั๋ว 30 วันกลับมาเถอะครับ หรือ จะทำแบบซื้อเหมาจำนวนเที่ยวแต่ไม่จำกัดวัน ต่อให้ราคาต่อเที่ยวจะแพงกว่าแบบ 30 วันหน่อยคนก็พร้อมจ่ายครับ"

"เหมือนผลักภาระมาให้ผู้โดยสารแถมยังเอาผู้โดยสารมาอ้าง ผู้โดยสารเขาวางแผนการเดินทางอยู่แล้ว ทำแบบนี้จากที่ผู้โดยสารลดลง มันจะยิ่งลดลง ลงไปอีก"

"หนูเป็นเด็กนักศึกษาปี 1 ธรรมดาๆ ที่ไปทำงานแบ่งเบาภาระครอบครัว ไปทำร้านกาแฟออกบูธที่สยามค่ะ และวางแผนจะทำงานหนึ่งเดือน แล้วต้องไปกลับด้วยรถไฟฟ้า เลยตัดสินใจซื้อบัตรแบบ 50 เที่ยว เพราะถูกกว่าเยอะมาก พอมาเกิดการล็อกดาวน์ของรัฐที่มาประกาศตอนล็อกดาวน์กลางคืน และจะมีผลในอีกไม่กี่วัน หนูทำงานได้แค่ 9 วันค่ะ ซื้อบัตรรถไฟฟ้าพึ่งใช้ได้ 2-3 วันเหลืออีกประมาณ 40 กว่าเที่ยว หมดค่าบัตรไป 950 บาท หนูเที่ยวไปติดต่อว่าจะมีอะไรช่วยเหลือหรือคืนเงินตรงนี้ไหม เขาบอกรอประกาศทางเพจ และพนักงานที่ตอบบอกคิดว่าจะมีส่วนลดให้เที่ยวต่อไปที่เราใช้ คือไม่มีอะไรแน่นอนเลยค่ะ หมดความมั่นใจมากว่าจะได้ชดเชย จนตอนนี้หนูก็ไม่มั่นใจว่าจะได้เงินคืนหรือส่วนลดในส่วนนี้จริงๆไหม กับเหตุการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ งานเราก็ไม่ได้ทำ ไม่มีรายได้ เสียค่าเที่ยวบัตรแพงๆ ไปแต่ไม่ได้ใช้ และความรับผิดชอบต่อลูกค้าของทางรถไฟฟ้าบีทีเอส"

"กลุ่มลูกค้าของคุณมีทุกเพศทุกวัยนะคะ ตั้งแต่เด็กเล็ก นักศึกษา วัยทำงาน ผู้สูงอายุ ทุกคนไม่ได้เงินเดือนห้าหมื่นนะคะ นี่ประเทศไทยเงินเดือนขั้นต่ำคือหมื่นห้า บางจังหวัดหรือบางหน่วยงานได้ไม่ถึงด้วยซ้ำ ทำไมถึงเอาเปรียบประชาชนขนาดนี้คะ เป็นถึงขนส่งสาธารณะ ไม่ควรผลักภาระให้ผู้ใช้บริการค่ะ ควรจะเอื้อประโยชน์ด้วยซ้ำ และที่ทุกคนวางแผนการเดินทางตอนนี้ไม่ได้ เพราะการล็อคดาวน์ประเทศค่ะ เมื่อสถานการณ์กลับมาดีขึ้น ทุกคนยังต้องเดินทางและออกไปใช้ชีวิตตามปกตินะคะ"

"เขามีแต่จะลดราคาระบบขนส่งมวลชน เผื่อให้คนมาใช้งาน นี้เล่นยกเลิกแล้วผลักภาระในคนใช้บริการ คิดง่ายๆ ครับคนทำงาน สีลม สุขุมวิท อยู่ปลายๆ สายเผื่อประหยัดค่าที่พัก เดิมเหมาจ่าย 20 กว่าบาท กลายเป็น 44 บาท นี้ยังไม่รวมค่าส่วนต่อขยายนะครับ ถามว่าจะให้ย้ายไปใกล้ที่ทำงาน ค่าที่พักก็คูณ 2-3 เท่าตัวไป จะอ้างว่าพฤติกรรมคนใช้บริการเปลี่ยนเพราะโควิดมันก็ต้องแน่นอนแหละครับ เพราะคนยังกลับไปทำงานที่บริษัทไม่ได้ทั้งหมด คนก็เลยไม่เติมเที่ยวกัน ถ้าโควิดหายเดี๋ยวคนก็กลับไปเติมกันเองแหละครับ ตรรกะแค่นี้คิดกันไม่ได้เลยหรือยังไง?"



อนึ่ง สำหรับเที่ยวเดินทาง 30 วัน ก่อนหน้านี้ เป็นการเติมโปรโมชันลงในบัตรแรบบิท ทั้งแบบบุคคลทั่วไป และนักเรียน-นักศึกษา ใช้เดินทางได้ตามจำนวนเที่ยวที่เลือกตามโปรโมชั่น โดยไม่จำกัดระยะทาง เฉพาะสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส 25 สถานีเดิม ยกเว้น สถานีส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท (ตั้งแต่สถานีบางจาก ถึงสถานีเคหะ) และสีลม (ตั้งแต่สถานีโพธิ์นิมิตร ถึงสถานีบางหว้า) ต้องจ่ายเพิ่ม 10-15 บาท ราคาสำหรับบุคคลทั่วไป 15 เที่ยว 465 บาท เฉลี่ย 31 บาทต่อเที่ยว, 25 เที่ยว 725 บาท เฉลี่ย 29 บาทต่อเที่ยว, 40 เที่ยว 1,080 บาท เฉลี่ย 27 บาทต่อเที่ยว, 50 เที่ยว 1,300 บาท เฉลี่ย 26 บาทต่อเที่ยว ราคาสำหรับนักเรียน นักศึกษา 15 เที่ยว 360 บาท เฉลี่ย 24 บาทต่อเที่ยว, 25 เที่ยว 550 บาท เฉลี่ย 22 บาทต่อเที่ยว, 40 เที่ยว 800 บาท เฉลี่ย 20 บาทต่อเที่ยว และ 50 เที่ยว 950 บาท เฉลี่ย 19 บาทต่อเที่ยว

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะทำให้ผู้โดยสารต้องเสียค่าโดยสารตามอัตราปกติ โดยสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส 25 สถานีเดิม คิดค่าโดยสารไปสถานีที่ 1 ราคา 16 บาท, สถานีที่ 2 ราคา 23 บาท, สถานีที่ 3 ราคา 26 บาท, สถานีที่ 4 ราคา 30 บาท, สถานีที่ 5 ราคา 33 บาท, สถานีที่ 6 ราคา 37 บาท, สถานีที่ 7 ราคา 40 บาท, สถานีที่ 8 เป็นต้นไป ราคา 44 บาท แต่ถ้าเข้าสถานีส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท ตั้งแต่สถานีบางจาก ถึงสถานีแบริ่ง และส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีลม ตั้งแต่สถานีโพธินิมิตร ถึงสถานีบางหว้า จะคิดค่าโดยสารเพิ่มอีก 15 บาท เป็น 59 บาท (นักเรียน-นักศึกษาเพิ่มอีก 10 บาท เป็น 54 บาท) ส่วนรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ยังคงไม่เก็บค่าโดยสาร เนื่องจากอยู่ระหว่างการเตรียมขออนุมัติสัญญาสัมปทานกับคณะรัฐมนตรี (ครม.)
#5451

นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท เจเคเอ็น โกล. มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKNแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ได้มีมติอนุมัติให้ บริษัทย่อยคือ บริษัท เจเคเอ็น เบสท์ ไลฟ์ จำกัด (JKN Best Huay Life)เข้าลงทุนในบริษัท ไฮ ช็อปปิ้ง จำกัด (HS) ซึ่งประกอบธุรกิจให้บริการผลิตรายการโทรทัศน์ พัฒนาระบบและบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจบริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ เพื่อการแนะนำและขายสินค้าผ่านสื่อกลางหลากหลายช่องทาง ได้แก่ (1)ช่องนำสัญญานผ่านระบบดาวเทียม (2) ระบบเคเบิ้ล (3) ระบบดิจิตอล (4) ระบบเครือข่ายโทรคมนาคมอื่น ๆ

โดย HS มีบริษัทย่อยที่ถือหุ้นร้อยละ 100 ของหุ้นทั้งหมด คือ บริษัท ไฮ ช็อปปิ้ง ทีวี จำกัด ("HSTV") ซึ่งประกอบธุรกิจหลักในการให้บริการกิจการโทรทัศน์ โดย HSTV เป็นผู้ถือใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ เพื่อให้บริการการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์สำหรับกิจการที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ผ่านช่องรายการ HIGH SHOPPING ในการนี้ JKN Best Life (ในฐานะผู้ซื้อ) ได้เข้าลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นที่เกี่ยวข้อง กับ บริษัท อินทัช มีเดีย จำกัด (ในฐานะผู้ขาย) และสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นปัจจุบัน กับ บริษัท ฮุนได โฮม ช็อปปิ้ง เน็ตเวิร์ก คอร์ปอเรชั่น เป็นที่เรียบร้อยแล้ววันที่1 กันยายน 2564


ทั้งนี้ JKN Best Lifeเข้าลงทุนใน HS มีดังต่อไปนี้
1. การเข้าซื้อหุ้นสามัญของ HS จำนวน 27,183,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ในราคาซื้อขายรวม 100 บาท จากผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท คือ บริษัท อินทัช มีเดีย จำกัด ภายหลังที่ HS ดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจำนวน 33,000,000 บาท จากทุนจดทะเบียนปัจจุบัน 500,000,000 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่533,000,000 บาท โดยภายหลังการเข้าลงทุนดังกล่าว JKN Best Life จะถือหุ้น จำนวน51 %ของหุ้นที่ออกและจeหน่ายแล้วทั้งหมดของ HS


2. ภายใน 31 ต.ค. 2564 หลังจากการเข้าทำธุรกรรมการซื้อหุ้นเดิมเสร็จสิ้น HS จะเพิ่มทุนจดทะเบียน จำนวนไม่เกิน 48,730,000 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 4,873,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท โดย JKN Best Life ในฐานะผู้ถือหุ้น จะเข้าจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ HS ตามสัดส่วนการถือหุ้นใน HS จำนวนไม่เกิน 2,490,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท คิดเป็น 51% ของหุ้นทั้งหมดภายหลังจากการเพิ่มทุน โดยมีมูลค่าการจองซื้อหุ้นในครั้งนี้ไม่เกิน 24,900,000 บาท ภายหลังการเข้าทำธุรกรรมการซื้อหุ้นเดิม และธุรกรรมการซื้อหุ้นเพิ่มทุนข้างต้น JKN Best Lifeจะถือหุ้นสามัญใน HS จำนวนทั้งสิ้นไม่เกิน 29,673,000 หุ้น หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 51 ของหุ้นทั้งหมด รวมเป็นมูลค่าการลงทุนใน HS ทั้งสิ้นไม่เกิน 24,900,100 บาท

สำหรับข้อกำหนดและเงื่อนไขที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการเข้าลงทุนใน HS ภายใต้สัญญาที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการเข้าลงทุนใน HS ดังกล่าว มีดังต่อไปนี้


1. ภายใน 30 วันนับแต่วันเข้าท าสัญญาซื้อขายหุ้นที่เกี่ยวข้อง ผู้ถือหุ้นปัจจุบันของ HS ได้แก่ บริษัท อินทัชมีเดีย จำกัด และ บริษัท ฮุนได โฮม ช็อปปิ้ง เน็ตเวิร์ก คอร์ปอเรชั่น จะดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียนของ HS จ านวน 33,000,000 บาท และจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนตามสัดส่วนการถือหุ้น โดยเพิ่มทุนจากทุนจดทะเบียนเดิม 500,000,000 บาท เป็นทุนจดทะเบียน ใหม่533,000,000 บาท


2. ภายใน 31 ตุลาคม 2564 หลังจากการเข้าท าธุรกรรมการซื้อหุ้นเดิมเสร็จสิ้น และ JKN Best Lifeเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใน HS จำนวนร้อยละ 51 ของหุ้นทั้งหมดแล้ว JKN Best Lifeจะดำเนินการเข้าทำธุรกรรมการซื้อหุ้นเพิ่มทุน และให้ HS กู้ยืมเงินเป็นจำนวน 10,000,000 บาท โดยการเข้าทำสัญญากู้ยืมเงินที่เกี่ยวข้อง


นอกจากนี้JKN Best Life ตกลงว่า ในกรณีที่ HS ต้องการเงินเพิ่มเติมในการประกอบกิจการของ HS JKN Best Life ตกลงจะให้ HS กู้เงินเพิ่มเติมในวงเงินไม่เกิน 15,000,000 บาท

HS เป็นบริษัทที่ประกอบกิจการผลิต และให้บริการผลิตรายการโทรทัศน์ พัฒนาระบบและบริหารจัดการที่ เกี่ยวข้องกับธุรกิจบริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ เพื่อการแนะนำและขายสินค้าผ่านสื่อกลางหลากหลายช่องทางได้แก่ (1) ช่องนำสัญญานผ่านระบบดาวเทียม (2) ระบบเคเบิ้ล (3) ระบบดิจิตอล (4) ระบบเครือข่ายโทรคมนาคมอื่น ๆ โดยมี HSTV (บริษัทย่อยที่ HS ถือหุ้นร้อยละ 100 ของหุ้นทั้งหมด) ซึ่งประกอบธุรกิจหลักในกำรประกอบกิจการโทรทัศน์ โดย HSTV เป็นผู้ ถือใบอนุญาตประกอบกิจการกระจำยเสียงหรือโทรทัศน์เพื่อให้บริการการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์สำหรับกิจการที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ผ่านช่องรายการ

ซึ่งการเข้าลงทุนในครั้งนี้จะเป็นช่องทางในการร่วมมือทางธุรกิจเพื่อพัฒนาศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจในด้านการโทรทัศน์ใน
ระดับประเทศ และภูมิภาค รวมถึงธุรกิจการขายสินค้ำอุปโภค และบริโภคของบริษัท และ JKN Best Life และสามารถส่งเสริม และเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจของบริษัท และ JKN Best Life ในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการลงทุนของบริษัท

นอกจากนี้KN Best Life เล็งเห็นว่า HS มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจโฮม ช็อปปิ้ง มีระบบคอลล์เซ็นเตอร์เต็มรูปแบบ มีฐานลูกค้าจำนวนมา สามารถสนับสนุนการดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้าของ JKN Best Life ซึ่งมีแนวทางในการดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้าในรูปแบบโฮม ช็อปปิ้ง เป็นหลัก ได้เป็นอย่างดีและสามารถดำเนินงาได้ทันทีJKN Best Life จึงให้ความช่วยเหลือทางการเงินในครั้งนี้ต่เพียงผู้เดียว เพื่อเป็นการเพิ่มสภาพคล่องและศักยภาพในการดำเนินงานของ HS ในปัจจุบันและในอนาคตภายหลังจากเข้าลงทุนในการพัฒนาและ ต่อยอดธุรกิจของ HS และ HSTV จึงเป็นการสมเหตุสมผลและไม่เป็นการเสียเปรียบในเชิงธุรกิจ
#5454


ชูลส์ คุนเด โดนใบแดงช่วงต้นครึ่งหลัง 'ตราไก่' ฝรั่งเศส ฟอร์มฝืด เปิดบ้านทำได้แค่เสมอกับ บอสเนียฯ 1-1 ยังรั้งจ่าฝูงของกลุ่ม ดี

ศึกฟุต.โลก 2022 รอบคัดเลือก โซนยุโรป วันพุธที่ 1 กันยายน 2564 เกมที่น่าสนใจ กลุ่ม ดี 'ตราไก่' ฝรั่งเศส เปิดบ้านที่ สต๊าด เดอ ลา เมนัว รับการมาเยือนของ บอสเนีย แอนด์ เฮอร์เซโกวิน่า

ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ เฮดโค้ชฝรั่งเศส วาง คาริน เบนเซมา, อองตวน กรีซมันน์ และคีเลียน เอ็มบัปเป้ เป็น 3 ประสานแนวรุก โดยมี พอล ป็อกบา คุมแดนกลาง ขณะที่ บอสเนียฯ นำทัพมาโดย เอดิน เชโก, มิราเล็ม ปานิช และเซอัด โคลาซินัช

ปรากฎว่าเกมนี้ บอสเนียฯ ได้ประตูออกนำก่อน 1-0 จาก เอดิน เชโก น.36 แต่ฝรั่งเศส ตีเสมอย่างรวดเร็ว 1-1 จาก อองตวน กรีซมันน์ น.40 และจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์นี้

ครึ่งหลังทัพ 'ตราไก่' ต้องเหลือผู้เล่น 10 นาที หลังจาก ชูลส์ คุนเด โดนใบแดงโดยตรงไล่ออกจากสนาม

สุดท้ายทั้งสองทีมไม่มีใครทำประตูกันได้ หมดเวลาการแข่งขัน 90 นาที ฝรั่งเศส เสมอ บอสเนียฯ 1-1 แบ่งกันไปทีมละ 1 คะแนน

จากผลเสมอดังกล่าวทำให้ ฝรั่งเศส มีเพิ่มเป็น 4 คะแนน ยังรั้งจ่าฝูงของกลุ่ม ดี มี 8 แต้ม จาก 4 นัด ส่วน บอสเนียฯ มี 3 แต้ม จาก 3 นัด รั้งอันดับ 4 ของกลุ่ม

รายชื่อ 11 ตัวจริงของทั้งสองทีม
ฝรั่งเศส : อูโก ญอริส (GK), จูลส์ คุนเด, ราฟาเอล วาราน, เพรสเนล คิมเพมเบ, ลูกา ดีญ, จอร์แดน เวเรตู, พอล ป็อกบา, โธมัส เลอมาร์, อองตวน กรีซมันน์, คาริม เบนเซมา, คีเลียน เอ็มบัปเป้

บอสเนียฯ : อิบราฮิม เซฮิช (GK), เดนนิส ฮัดซิกาดูนิช, อาเนล อาห์เมด์ฮอดซิช, ซินิซา ซานิคานิน, มาเตโอ ซูซิช, อาเมียร์ ฮัดซิอาห์เมโตวิช, มิราเล็ม ปานิช, โกจ์โค คิมิรอต, เซอัด โคลาซินัช, เอร์เมดิน เดมิโรวิช, เอดิน เชโก
#5455


นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID – 19) ทำให้มีการชะลอการรับซื้อของตลาดทั้งในและต่างประเทศ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จึงได้เร่งเข้าไปแก้ไขปัญหา ตามมาตรการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2564 ดังนี้ 

1. สนับสนุนการรับซื้อผ่านสัญญาข้อตกลงระหว่างกลุ่มเกษตรกรกับห้างค้าส่ง-ค้าปลีก 7 ราย ได้แก่ บิ๊กซี เดอะมอลล์ สยามแมคโคร โลตัส ท็อปมาร์เก็ต ตลาดกลางสินค้าเกษตร และ P80 2. รณรงค์บริโภคผลไม้ผ่านร้านธงฟ้า, รถโมบายผลไม้ จำหน่ายในเขตกรุงเทพและปริมณฑล จำนวน 30 คัน, สถานีบริการน้ำมัน 3 ราย ได้แก่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน), บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน), ผ่านห้างท้องถิ่น, ห้างค้าส่ง-ค้าปลีก และททบ.5 มากกว่า 24,000 ตัน และ 3. เข้าไปรับซื้อผลผลิตลำไยรูดร่วง 3,000 ตัน ในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก ซึ่งเกษตรกรประสบปัญหาไม่มีช่องทางการตลาด ส่งผลให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น



ในส่วนของกิจกรรมในวันนี้ กรมฯ ได้ผนึกกำลังร่วมกับสถานีบริการน้ำมัน 3 รายใหญ่ ประกอบด้วย บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน), บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปตท. น้ำมัน และการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) รับซื้อลำไยอบแห้งแล้วในปริมาณ 200 ตัน ซึ่งคิดเป็นลำไยสด 600 ตัน นำมามอบให้กับผู้ใช้บริการในสถานีให้บริการน้ำมัน ทั้งกรุงเทพ ปริมณฑลฯ และภาคอีสาน รวมกว่า 1,000 สาขา ในจำนวน 1,000,000 ถุง โดยกรมฯ ช่วยสนับสนุนค่าบริหารจัดการ และประชาสัมพันธ์โครงการ เพื่อส่งเสริมการบริโภคลำไยอบแห้ง ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกลำไยที่ไม่สามารถกระจายผลผลิตออกสู่แหล่งเพาะปลูกได้ ในห้วงเวลานี้

อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า กรมฯ มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าการเข้าไปช่วยเร่งกระจายผลผลิตลำไย สู่ผู้บริโภคโดยตรงจะสามารถกระตุ้นการบริโภคได้เป็นอย่างมาก และจะสามารถรักษาเสถียรภาพด้านราคาส่งผลให้สถานการณ์ราคาลำไยในภาคเหนือกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง อีกทั้งพี่น้องเกษตรกรก็จะมีรายได้ที่ดีขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
#5456


นายแพทย์น๊อต เตชะวัฒนวรรณา ผู้ช่วยผู้อำนวยการ โรงพยาบาลพระรามเก้า เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวนผู้ป่วยในสถานพยาบาลยังมีจำนวนมาก จนทำให้ห้องพักรักษาตัวสำหรับผู้ป่วยโควิดไม่เพียงพอ โรงพยาบาลพระรามเก้าเล็งเห็นถึงความสำคัญในการดูแลรักษาผู้ป่วย จึงได้ร่วมกับ วี โฮเต็ล กรุงเทพ ร่วมกันเปิด 'Hospitel' หรือห้องพักเฉพาะกิจในโรงแรม ภายใต้การดูแลของโรงพยาบาลฯ



โดย โรงแรม วี กรุงเทพ ได้ผ่านเกณฑ์การตรวจสอบมาตรฐานจากกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเปิดบริการเป็น Hospitel ซึ่งมีความพร้อม ทั้งทีมบุคลากรทางการแพทย์, อุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งผู้ป่วยในกลุ่มอาการไม่รุนแรงหรือกลุ่มสีเขียว (Asymptomatic to Mild cases) จะสามารถเข้าพักรักษาที่โรงแรมได้ทันที หลังจากที่ได้ประเมินโดยแพทย์ประจำโรงพยาบาลแล้ว
ความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยที่ Hospitel ผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์ประเมินจากแพทย์จะได้รับรักษาอาการที่ Hospitel โดยในระหว่างรักษาจะมีทีมแพทย์ตรวจประเมินอาการ พร้อมให้คำแนะนำการรักษาผ่านระบบ Telemedicine

รพ.ยังจัดรถเอกซเรย์ เพื่อไปทำการเอกซเรย์ ให้ผู้ป่วยในการตรวจประเมินปอด รวมทั้งภายใน Hospitel ยังมีการสำรอง ถังออกซิเจน และรถพยาบาลเพื่อเตรียมความพร้อมหากกรณีต้องมาโรงพยาบาล

นายแพทย์น๊อต กล่าวต่อไปว่า สำหรับผู้ป่วยที่เข้ารักษาการรักษาที่ Hospitel จะเป็นกลุ่มอาการไม่รุนแรง หรือกลุ่มสีเขียว ซึ่งรับการประเมินจากแพทย์แล้ว โดยรายละเอียดการเข้ารับการรักษา จะมีการสอบถามข้อมูล ประวัติ จากนั้นจะมีการประสานงานเพื่อไปรับ เพื่อเข้ารักษาตามเกณฑ์ประเมิน ซึ่งหากระหว่างการพักรักษาตัว ถ้าผู้ป่วยมีอาการรุนแรงขึ้น สามารถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเข้ารักษาที่รพ.ได้อย่างทันท่วงที



ทั้งนี้ ทางรพ.ยังมีความพร้อมในการดูแลผู้ป่วย ใน "กลุ่มสีเหลือง" โดยได้จัดพื้นที่ ward เฉพาะกิจสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ถึง 80 ห้อง และผู้ป่วยอาการหนัก หรือ "กลุ่มผู้ป่วยสีแดง" ICU รองรับผู้ป่วยได้อีก 20 ห้อง

มร. นิโคลัส เพธ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรม วี กรุงเทพ กล่าวว่า การร่วมมือกับทางโรงพยาบาลพระรามเก้าในครั้งนี้ ทางโรงแรมมีบริการห้อง 5 รูปแบบ คือ ห้อง DELUXE KING และห้อง DELUXE TWIN พื้นที่ 38-41 ตารางเมตร มีบริการไวไฟฟรี ในห้องพัก พร้อม TV จอขนาดใหญ่และชุดอำนวยความสะดวก ราคา 8,100 บาท/คืน/ท่าน (ลด 20% สำหรับผู้พักร่วมคนที่ 2 เฉพาะค่าห้อง)

ห้อง DELUXE SUITE พื้นที่ 76-81 ตารางเมตร พร้อมห้องนั่งเล่นกว้างขวาง และห้อง EXECUTIVE SUITE พื้นที่ 81 ตารางเมตร พร้อมห้องนั่งเล่นกว้างขวาง มีบริการไวไฟฟรี ในห้องพัก พร้อม TV จอขนาดใหญ่และชุดอำนวยความสะดวก ราคา 10,000 บาท/คืน/ท่าน (ลด 20% สำหรับผู้พักร่วมคนที่ 2 เฉพาะค่าห้อง)

ห้อง GRAND DUPLEX SUITE แบ่งเป็นพื้นที่ 125 ตารางเมตร ห้องขนาดใหญ่ 2 ชั้นพร้อมห้องนั่งเล่น และห้องรับประทานอาหารขนาดใหญ่ และห้องมุมขนาดใหญ่ 2 ชั้น พื้นที่ 145 ตารางเมตร ราคา 15,200 บาท/คืน/ท่าน (ลด 20% สำหรับผู้พักร่วมคนที่ 2 เฉพาะค่าห้อง)



โดยราคาดังกล่าว เป็นแพ็คเกจรวมค่าห้อง ค่าอาหาร และค่าบริการพยาบาลเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่รวมค่าบริการทางการแพทย์ ค่า XRAY ค่า LAB ค่ายา ค่ารถรับส่ง และค่าตรวจหรือค่ารักษาอื่นๆ ผู้ที่มีประกันสุขภาพ สามารถเคลมประกันได้
สำหรับขั้นตอนการเข้ารับบริการ เมื่อสอบถามข้อมูลผู้ป่วย และได้ผลตรวจโควิดเรียบร้อยแล้ว จะมีการประสานแพทย์เพื่อพูดคุยกับผู้ป่วยทางโทรศัพท์ และประเมินอาการเพื่อยืนยันว่าสามารถเข้ารักษาที่ Hospitel ได้ ซึ่งหลังจากการประเมิน เมื่อเข้าพักรักษา แพทย์จะTelemedicine กับผู้ป่วยเพื่อพูดคุยถึงขั้นตอนการรักษา โดยผู้ป่วยจะได้รับการ X-RAY เจาะเลือด รับยา ติดตามผลจากแพทย์ เปรียบเสมือนอยู่ในรพ. รวมทั้งภายใน Hospitel จะมีเจ้าหน้าที่พยาบาลคอยบริการ และมอนิเตอร์ผู้ป่วยตลอดเวลา
นอกจากนี้ สำหรับผู้ป่วยที่หายแล้ว รพ.ยังมีการติดตามดูแลอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ ในผู้ป่วยกลุ่มที่มีปอดอักเสบ และส่งต่อผู้ป่วยไปยังแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่อดูแลต่อ รวมไปถึงการดูแลในส่วนของความแข็งแรงของร่างกาย ซึ่งเรามีสถาบันรักษาความปวด และสร้างเสริมความเข้มแข็ง หรือ FIX&FIT ที่พร้อมดูแลเสริมสร้างร่างกาย อีกด้วย
#5457


'ไต' อวัยวะที่มีหน้าที่สำคัญในกำจัดของเสีย ควบคุมความเป็นกรด-ด่างในกระแสเลือด รักษาความสมดุลของเกลือแร่ รวมไปถึงดูแลปริมาณน้ำในร่างกาย ซึ่งหากไตทำงานผิดปกติหรือขาดประสิทธิภาพ ก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพและร่างกายได้ เช่น การเกิดภาวะเลือดจาง การขาดวิตามิน รวมถึงโรคต่างๆ ที่อาจตามมาอีกมากมาย โดยสาเหตุของการเกิดโรคไตส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกต้อง การบริโภคโซเดียมมากเกินไป การไม่ออกกำลังกาย รวมถึงการทานยาหรือสมุนไพรที่มีพิษต่อไต จนนำไปสู่การเจ็บป่วยและมีภาวะโรคไตเรื้อรังในที่สุด ซึ่งปัจจุบันคนไทยป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังประมาณ 8 ล้านคน โดยเป็นผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย (End Stage Renal Disease; ESRD) ที่ต้องรับการฟอกเลือดหรือล้างไตทางช่องท้องมากกว่าหนึ่งแสนคน และมีแนวโน้มว่าคนไทยป่วยเป็นโรคไตเพิ่มขึ้น 15-20% ต่อปี ทำให้การให้ความรู้และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับโรคไต อย่างถูกต้องถือเป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างมาก

ทางสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย จึงได้เปิดตัว โครงการ "คุยเรื่องไต ไขความจริง" เพื่ออัพเดทข่าวสาร สาระและความรู้เกี่ยวกับโรคไต โดยทีมแพทย์ เภสัชกร และนักกำหนดอาหาร ผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา ที่ผลัดเปลี่ยนกันมามอบสาระความรู้และแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องในการป้องกัน ดูแล และรักษาโรคไต

ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารได้ผ่านทางทางเพจ Facebook สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย - The Nephrology Society of Thailand #คุยเรื่องไตไขความจริง #สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย
#5458


เดอะมอลล์ กรุ๊ป ร่วมเดินหน้าเปิดเมือง ตั้งเป้าเป็นศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าปลอด โควิด-19 ยกระดับมาตราการความปลอดภัยขั้นสูงสุด 7 มาตรการ ของสมาคมผู้ค้าปลีกไทย และคณะกรรมการกลุ่มการค้าปลีกและบริการ หอการค้าไทย โดยเฉพาะมาตราการพนักงานปลอดโควิด -19 ทุกคน และมาตรการสาธารณสุขในพื้นที่ครบทุกมิติ เพิ่มความมั่นใจในการใช้บริการด้วยพนักงานทุกคนต้องผ่านการคัดกรองด้วยการตรวจ ATK ในวันแรกของการปฏิบัติงาน ทั้งพนักงานกลุ่มเดอะมอลล์ พนักงานผู้แทนขาย พนักงานร้านค้า และพนักงาน OUTSOURCE รวมกว่า 10,000 คน และพนักงานทุกคนต้องผ่านการฉีดวัคซีนโควิด-19 อีกทั้งมีการคัดกรองรายวันและรายสัปดาห์อย่างต่อเนื่อง พร้อมมาตรการสาธารณสุขเชิงรุกในพื้นที่ครบทุกมิติ ทำการ BIG CLEANING ครั้งใหญ่ทุกพื้นที่ ทุกตารางนิ้วของศูนย์การค้า รวมทั้งการทำความสะอาดฆ่าเชื้อระบบปรับอากาศ และตรวจวัดค่าปริมาณคลอรีนในน้ำ เพื่อความปลอดภัยของลูกค้าเป็นสำคัญก่อนเปิดบริการศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าในเครือทุกแห่ง ในวันที่ 1 กันยายน 2564

นายอมร อมรกุล ผู้จัดการใหญ่สายปฏิบัติการ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า "ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด -19 หรือ ศบค.ได้มีมติเห็นชอบประกาศปรับมาตรการป้องกันการควบคุมโรคติดเชื้อโควิด -19 ให้เปิดกิจการ – กิจกรรมสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นไป ยังผลให้ศูนย์การค้าในเครือเดอะมอลล์ กรุ๊ป อันประกอบด้วย เดอะมอลล์, เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ทุกสาขา, ดิ เอ็มโพเรียม, ดิ เอ็มควอเทียร์ และพารากอน ดีพาร์ทเมนท์สโตร์ สามารถเปิดดำเนินการได้ ภายใต้การปฏิบัติตามมาตรการของ ศบค. อย่างเคร่งครัด โดยจะต้องลงทะเบียนสถานประกอบการ เพื่อปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยของกรมอนามัยตามหลักเกณฑ์ของ THAI STOP COVID PLUS (TSC+) อีกทั้งยกระดับมาตรการความปลอดภัยเชิงรุก ขั้นสูงสุด ตามกรอบแนวทาง 7 มาตรการของสมาคมค้าปลีกไทยและคณะกรรมการกลุ่มการค้าปลีกและบริการ หอการค้าไทย อย่างเคร่งครัด



ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยสำหรับลูกค้าเป็นสำคัญยิ่ง เดอะมอลล์ กรุ๊ป ขอประกาศตั้งเป้าเป็นศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าปลอดโรคติดเชื้อโควิด -19 ด้วยการเพิ่มความมั่นใจในมาตรการปลอดโควิด -19 ของพนักงานผู้ให้บริการทั้งในห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า โดยได้กำหนดให้พนักงานทุกคนทั้งพนักงานห้างสรรพสินค้า พนักงานผู้แทนขาย พนักงานร้านค้า และพนักงาน OUTSOURCEรวมกว่า 10,000 คน ที่จะกลับเข้าปฏิบัติงานในวันแรกต้องผ่านการตรวจหาเชื้อโควิด -19 ด้วย ANTIGEN TEST KIT (ATK) ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ ภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์ ทุกคน หรือมีผลตรวจโควิด -19 ด้วยวิธี RT-PCR ไม่เกิน 7 วัน นับจากวันที่เข้าพื้นที่ นอกจากนี้พนักงานทุกคนต้องได้การฉีดวัคซีนโควิด -19 เป็นที่เรียบร้อย ทั้งนี้พนักงานทุกคนจะอยู่ภายใต้มาตรการการเฝ้าระวังและควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด โดยจะมีการคัดกรองด้วยประเมินสุขภาพ ตามแนวหลักการ THAI SAFE THAI และสุ่มตรวจด้วยการตรวจ ANTIGEN TEST KIT (ATK) เป็นประจำทุกสัปดาห์ ควบคู่กับการปฏิบัติงานภายใต้มาตรการ UNIVERSAL PREVENTION เพื่อความปลอดภัยของตนเองและลูกค้าสูงสุด

สำหรับมาตรการสาธารณสุขเชิงรุกในพื้นที่ครบทุกมิตินั้น ก่อนเปิดให้บริการทุกศูนย์การค้าในเครือเดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้ทำความสะอาด BIG CLEANING ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อทุกพื้นที่ ทุกตารางนิ้วของศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า รวมถึงทำการอบฆ่าเชื้อระบบปรับอากาศส่วนกลางด้วยรังสี UVพร้อมดำเนินการเรื่องระบบถ่ายเทอากาศภายในอาคาร มากกว่า 10 เท่าต่อชั่วโมง และตรวจวัดค่าปริมาณคลอรีนในน้ำคงเหลือไม่ต่ำกว่า 0.5 PPM นอกเหนือจากมาตรการความปลอดภัยด้านสุขอนามัยที่ศูนย์การค้าฯ ปฏิบัติเป็นประจำทุกวัน นอกจากนี้ยังได้ติดตั้ง GUARD SHIELD ที่เคาน์เตอร์ต่างๆ, ติดตั้ง TABLE SHIELD บนโต๊ะอาหาร รวมทั้งมีบริการตู้อบฆ่าเชื้อ UV-C STERILIZING สำหรับอบฆ่าเชื้อสินค้าให้กับลูกค้า และเดอะมอลล์ กรุ๊ป ยังสร้างความมั่นใจในการใช้บริการด้วยการสร้างสังคมไร้สัมผัส TMG TOUCHLESS SOCIETY อาทิ TOUCHLESS PAYMENT การชำระเงินแบบไร้สัมผัส ผ่าน APP ของธนาคาร, TAP & GO,E-WALLET และ APP ต่างๆ สำหรับชาวต่างชาติ



นอกจากนี้ เดอะมอลล์ กรุ๊ป พร้อมปฏิบัติตามเงื่อนไขและเกณฑ์ในการปฏิบัติเข้มข้นตามกรอบแนวทางมาตรการ ของสมาคมผู้ค้าปลีกไทย และคณะกรรมการกลุ่มการค้าปลีกและบริการ หอการค้าไทย
ในการเปิดให้ศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้า ในด้านอื่นๆ อีกด้วย ได้แก่
• ผู้เข้ามาใช้บริการปฏิบัติตาม D-M-H-T-T (DISTANCING- MASK WEARING- HAND WASHING- TEMPERATURE- TESTING) พร้อมคัดกรองตัวเองผ่าน THAI SAFE THAI (TST) และแสดงให้ผู้รับบริการก่อนเข้าสถานประกอบการ
• ควบคุมจำนวนพนักงานและลูกค้า 1 คน ต่อ 5 ตารางเมตร ในสถานประกอบการ
(กรมอนามัยใช้หลักเกณฑ์ 1 ต่อ 4 ตารางเมตร)
• กำหนดให้มีการจองการเข้ารับบริการผ่านทาง APPLICATION หรือ โทรศัพท์ หรือรับบัตรคิวล่วงหน้าในทุกธุรกิจของการบริการ
• เพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดบริเวณจุดสัมผัสสูง HIGH TOUCH AREA อย่างน้อยทุกๆ 1 ชั่วโมง (กรมอนามัยใช้หลักเกณฑ์ทุกๆ 2 ชั่วโมง)

ทั้งนี้ ศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าในเครือเดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้แก่ เดอะมอลล์, เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ทุกสาขา, ดิ เอ็มโพเรี่ยม, ดิ เอ็มควอเทียร์, พารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ พร้อมเปิดให้บริการศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าตามปกติ รวมทั้งเปิดให้บริการร้านอาหาร โดยให้นั่งทานได้ 50% (งดจำหน่ายและดื่มสุราในร้าน) , ร้านเสริมสวย ร้านตัดผม เปิดให้บริการไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อคน ต้องมีการนัดหมายก่อนเข้าใช้บริการ,
ร้านนวด เปิดเฉพาะนวดเท้า, คลินิกเสริมความงาม ต้องมีการนัดหมายก่อนเข้าใช้บริการ โดยเปิดให้บริการตามปกติตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นไป และเปิดให้บริการได้ถึงเวลา 20.00 น.



เพื่อเป็นการร่วมฟื้นฟูและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าในกลุ่มเดอะมอลล์ ได้ผนึกกำลังพันธมิตรธุรกิจ ซัพพลายเออร์ แบรนด์ชั้นนำในห้างสรรพสินค้า ผู้ประกอบการร้านค้าใน
ศูนย์การค้า จัดแคมเปญ "SHOPPING MUST GO ON #จะช้อปต้องได้ช้อป" ลดสูงสุด 80%
ช้อปทุกชั้น ทั้งห้างฯ รับคืนรวมสูงสุด 3,000 บาท รวมช่องทางออนไลน์ MONLINE.COM และGOURMETMARKETTHAILAND.COM, M CHAT & SHOP และCALL TO ORDER หรือเลือกรับสิทธิ์
"ยิ่งใช้ยิ่งได้" รับ E-Voucher ภาครัฐสูงสุด 7,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม – 28 กันยายน 2564
ที่ เดอะมอลล์ ทุกสาขา, เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน, เอ็มโพเรียม, เอ็มควอเทียร์ และพารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ และแคมเปญ "THE SHOPPERS RETURN" มอบโปรโมชั่นและสิทธิประโยชน์ แทนคำขอบคุณและเป็นกำลังใจในการร่วมกันฝ่าฟันวิกฤติโควิด -19 ทั้งส่วนลด และบัตรกำนัลจากแบรนด์และร้านค้าชั้นนำมากมาย สิทธิพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรเครดิต SCB M, SCB และ CITI BANK ทุกวันช้อปครบ 3,000 บาท
รับคืนสูงสุด 300 บาท พิเศษ เสาร์-อาทิตย์ ช้อปครบ 5,000 บาท รับคืนสูงสุด 800 บาท และอิ่มฟินกับ
THE MALL DINING ทุกวัน ทานครบ 700 บาท รับคืนสูงสุด 200 บาท พิเศษ วัน เสาร์-อาทิตย์ ซื้อ DINING VOUCHER 2,000 บาท รับ 2,400 บาท ระหว่างวันที่ 8 กันยายน – 28 ตุลาคม 2564 ที่ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ และ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ทุกสาขา

ศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้า ในเครือเดอะมอลล์ กรุ๊ป พร้อมเปิดให้บริการตามปกติ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 เวลา 10.00 – 20.00 น. หรือช้อปผ่านช่องทาง MONLINE.COM และ GOURMETMARKETTHAILAND.COM, แชทผ่าน M CHAT & SHOP, โทรสั่งผ่าน CALL TO ORDER, ช้อปสบายผ่าน LIVE PERSONAL SHOPPER เดอะมอลล์ กรุ๊ป พร้อมให้บริการด้วยมาตรฐานความปลอดภัยและสุขอนามัยสูงสุด อย่างเคร่งครัด มีความสะอาด ปลอดภัย มั่นใจได้ในทุกตารางเมตร และยังคงมุ่งมั่นพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อให้บริการด้วยหัวใจและมาตรฐานความปลอดภัยครอบคลุมทุกมิติ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ WWW.FACEBOOK.COM/THEMALLTHAILAND