• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Cindy700

#2861
อเนกประสงค์ หลายคนคงกำลังคิดว่ามันคือ โต๊ะที่หน้าตาเป็นแบบอย่าง ในความเป็นจริงแล้วมันก็คือโต๊ะธรรมดาที่เรารู้จัก แต่ความพิเศษของมันนั้นอาจจะดัดแปลงได้หลายอย่าง หรือสามารถที่จะใช้งานได้หลายประโยชน์โดยเฉพาะในส่วนของ โต๊ะพับ การใช้งานที่สะดวกสบายของอุปกรณ์ชนิดนี้เราควรจะเลือกใช้งานในแบบที่มีความหลากหลายและความหลากหลายนั้นจะต้องแบ่งแยกได้หลายชนิดมันคือ

1 ต้องใช้งานได้กับทุกประเภท

การเลือกซื้อหรือมี โต๊ะอเนกประสงค์ ไว้กับตัวเราเองนั้นจะต้องใช้งานได้หลายประเภทอย่างเช่นสามารถวางของร้อนได้ เราเคยเจอพื้นผิวในลักษณะที่พอเจอของร้อน ก็ทำให้ตัวของโต๊ะนั้นมีการเปลี่ยนรูปทรงเปี่ยมสีสันไปในทันที เราจึงควรเลือกวัสดุอุปกรณ์ที่สามารถทนทานต่อความร้อนได้เป็นอย่างดี

2 เลือกที่มีน้ำหนักเบาแต่แข็งแรง

เราจะต้องเลือกวัสดุอุปกรณ์ที่มีน้ำหนักเบา แต่แข็งแรงซึ่งปัจจุบันนี้มีการใช้วัสดุอุปกรณ์ที่มีคุณภาพมากขึ้นทนต่อความร้อนทนต่อแรงขีดข่วน และมีความแข็งแรงในตัวมันค่อนข้างดีไม่ว่าจะเป็นพื้นผิวของ โต๊ะ หรือในส่วนของขาตั้งต้องมีน้ำหนักที่ไม่มากจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่จะต้องทำการเคลื่อนย้ายได้อย่างสะดวก

3 ราคาเหมาะสม

เรื่องของราคานั้นถือว่าเป็นปัจจัยหลักสำหรับการเลือกซื้อโต๊ะอเนกประสงค์ หรือการเลือกซื้อโต๊ะพับ ในความเป็นจริงแล้ว บางครั้งบางทีเราอาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องมีจำนวนมากเกินเหตุหรือซื้อไว้เพื่อ เป็นการเก็บรักษามากกว่าการใช้งาน ถ้าสินค้ามีราคาที่แพงเกินไป การใช้งานแต่ละครั้งก็คงจะไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ โดยส่วนใหญ่แล้วสินค้าแพงเรามักจะไม่กล้าใช้งานมากนักเพราะกลัวจะเสียหายหรือกลัวจะเป็นรอย แต่ถ้าเราเลือกราคาที่ไม่สูงเกินไปการใช้งานสะดวกสบายก็ดูเหมือนว่าคุ้มต่อการใช้งานที่เราลงทุนไปเป็นอย่างมาก การเลือกอุปกรณ์หลายอย่างการเลือกสินค้าหลายชนิดราคาจึงเป็นตัวตัดสินใจให้เรานั้นซื้อได้ยากหรือซื้อได้ง่ายด้วยเช่นกัน

โต๊ะพับ หรือ โต๊ะอเนกประสงค์ ถือว่าแต่ละบ้านนั้นควรจะมีติดบ้านไว้อย่างน้อย 1-2 ตัวไว้สำหรับการใช้งานนอกสถานที่หรือการใช้งานในความจำเป็นแต่ละอย่าง ลองเลือกให้เหมาะสมกับตัวเราเอง เชื่อว่าประโยชน์จะเกิดขึ้นเยอะ
#2862


2 ปีที่ทั้งโลกและ "ประเทศไทย" ต้องฝ่าวิกฤติครั้งใหญ่  จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตผู้คน ต้องหยุดเชื้อเพื่อชาติ เศรษฐกิจ ธุรกิจชะงักงัน จากการร่วมมือหยุดการแพร่ระบาดไวรัส รวมถึงมาตรการรัฐสั่ง "ล็อกดาวน์" พื้นที่ต่างๆ ทำให้กิจกรรมการค้าต้องแน่นิ่งไปไม่น้อย 

ทั้งนี้ การคาดหวังผลประกอบการของแต่ละบริษัทใหอยู่ในภาวะขาขึ้นหรือเป็นบวก "เติบโต" ไม่ใช่เรื่อง่าย ท่ามกลางสถานการณ์เปราะบางทั้งเศรษฐกิจ กำลังซื้อของผู้บริโภค แต่ผู้ประกอบการต้องงัดทุกยุทธวิธี เพื่อใหธุรกิจอยู่รอด หากผ่านด่านหรือบททดสอบยากๆได้ ย่อมส่งผลดีต่อองค์กร ภาพรวมเศรษฐกิจ 

หนึ่งในอาณาจักรธุรกิจยักษ์ใหญ่ของเมืองไทยอย่าง "บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน" ของ "เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี" มักถูกจับตาเสมอ ไม่ว่าจะทำอะไร ยอดขาย รายได้ กำไรของบริษัทออกมา "เติบโต-ติดลบ" ล่าสุด ไทยเบฟฯ รายงานผลประกอบการ 9 เดือน(ต.ค.63-มิ.ย.64) ต่อตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ บริษัทสร้างยอดขายรวม 192,120 ล้านบาท เติบโตล็กน้อย 1.1% และมีกำไรก่อนหักภาษี(EBITDA) 36,638 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.5% โดยไม่เผย "กำไรสุทธิ"


หากย้อนดูผลประกอบการ "ครึ่งปีแรก" บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 137,092 ล้านบาท หดตัว 4.3% โกยกำไรสุทธิ 16,076 ล้านบาท เติบโต 7.6%

เมื่อแยกผลประกอบการเป็นรายกลุ่ม โปรดักท์แชมป์เปี้ยนตลอดกาลที่ทำรายได้สูง และทำ "กำไร" เป็นกอบเป็นกำ เพิ่มความมั่งคั่งให้กับ "ราชันย์น้ำเมา" ยังคงเป็น "กลุ่มสุรา" โดย 9 เดือน ทำรายได้จากการขายรวม 91,630 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% ด้านยอดขายเชิงปริมาณเติบโตไม่แพ้กันที่ 4.2% ภายใต้ข้อจำกัดการค้าขายที่ช่องทาง On-Premise หรือผับ บาร์ ร้านอาหาร สถานบันเทิงในประเทศไทยถูกปิดให้บริการนานแรมปี แต่การปรับตัว มีความยืดหยุ่น สินค้าในพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลายผ่่านช่องทางห้างร้านต่างๆหรือ Off-Premise ตอบโจทย์การบริโภคในบ้านได้ 

ธุรกิจสุราในไทยสร้างผลงานโดดเด่น แต่ตลาดใน "เมียนมา" ทรงตัว แต่แบรนด์และส่วนแบ่งทางการตลาดของ "วิสกี้" ยังแข็งแกร่ง ทำให้ภาพรวมกำไรก่อนหักภาษีอยู่ที่  23,605 ล้านบาท พิ่มขึ้น 9.5% 

"กลุ่มเบียร์" ทั้งตลาดในประเทศไทยและเวียดนาม ต่างได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ทำให้ยอดขายรวมอยู่ที่ 80,265 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.2% แต่ยอดขายเชิงปริมาณ "ลดลง 1.1%" หากเทียบตลาดเบียร์โดยรวม "ติดลบ" มากกว่านี้ จึงสะท้อนว่า "ไทยเบฟ" ฝ่าวิกฤติได้ดีไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ลงลึกรายละเอียดยอดขาย เกิดจาก "SABECO" หรือไซ่ง่อน เบียร์ แอลกอฮอล์ เบฟเวอเรจ คอร์เปอเรชั่นเป็นปัจจัยที่ "ฉุด" ตัวเลขให้ดิ่งลงนั่นเอง ด้านกำไรก่อนหักภาษีธุรกิจเบียร์อยู่ที่ 10,631 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.4% โดยบริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ ปรับแผนการขายให้เข้ากับสถานการณ์


ส่วน "กลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์" ยอดขายรวม 11,688 ล้านบาท ลดลง 6.4%โดยยอดขายเชิงปริมาณลดลง 8.6% ทำให้บริษัทต้องบริหารจัดการต้นทุนอย่างระมัดระวัง ลดค่าใช้จ่าย ทั้งด้านสื่อสารการตลาดด้วยการโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่างๆ สำหรับเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในพอร์ตโฟลิโอของไทยเบฟมีมากมาย เช่น น้ำดื่มคริสตัล, น้ำอัดลมเอส, ชาเขียวพร้อมดืื่มโออิชิ, เครื่องดื่มชูกำลังเรนเจอร์ เป็นตน 

ขณะที่ "กลุ่มอาหาร" ยอดขายรวม  8,649 ล้านบาท ลดลง 12.9% ผลพวงเกิดจากมาตรการรัฐห้ามเปิดบริการนั่งรับประทานในร้าน ดังนั้น ภารกิจควบคุม บริหารจัดการต้นทุนจึงต้องทำต่อเนื่อง รวมถึงการเพิ่มผลิตผล(Productivity)การทำงานของพนักงาน และที่ขาดไม่ได้คือการปรับตัวของธุรกิจ หันมารุกการซื้อกลับบ้าน(Take Away) ส่งอาหารเดลิเวอรี่มากขึ้น โดยร้านอาหารขึ้นชื่อมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ชาบูชิ, โออิชิ อีทเทอเรียม, เคเอฟซี, โออิชิ ราเมน เป็นต้น 

ทั้งนี้ การปรับตัวของธุรกิจร้านอาหารโออิชิ ล่าสุด ส่งมากรบ  "รถจำหน่ายอาหารเคลื่อนที่  โออิชิ ฟู้ด ทรัค" เสิร์ฟเมนูอร่อยให้ผู้บริโภคซื้อกลับบ้านและจัดส่งหรือเดลิเวอรี่ โดยอาหารจานโปรดง่ายๆ มาครบครันย้ำต้นตำรับอาหารญี่ปุ่น ราคาย่อมเยา เช่น เมนูกลุ่มเบนโตะ (ข้าวกล่องญี่ปุ่น) : ยากิโทริ เทอริยากิ เบนโตะ เซ็ต, บูตะ สตะมินะ เบนโตะ เซ็ต, และ แซลมอน เบนโตะ เซ็ต เมนูกลุ่มดงบุริ (ข้าวหน้าญี่ปุ่น) : ข้าวหน้าหมูเกาหลี, ข้าวหน้าไก่ย่างซีอิ๊ว, และ ข่าวหน้าปลากซาบะ ไปจนถึง เมนูกลุ่มอาหารว่างและของทานเล่น ราคาเริ่มต้น 69 บาท (สำหรับเมนู เกี๊ยวซ่าทอด) เป็นต้น

สำหรับโมเดล โออิชิ ฟู้ด ทรัค ไม่เพียงเป็นการปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หรือหวังสร้างสีสันในการทำตลาดเท่านั้น แต่จะชูเป็นกลยุทธ์หลักในการขยายสาขาและพื้นที่ให้บริการ ในเวลาที่ร้านอาหารญี่ปุ่น โออิชิ ไม่สามารถให้บริการได้ตามปกติ เพื่อสร้างโอกาสในช่วงล็อกดาวน์นั่นเอง 
#2863


โดย ดร.ร่มฉัตร จันทรานุกูล
มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และธุรกิจระหว่างประเทศ วิทยาลัยนานาชาติ กรุงปักกิ่ง (UIBE)

ภายใต้การระบาดของโควิด-19 มามากกว่า 2 ปีและหลายระลอก หลายคนปรับตัวเองไปสู่โหมดปกติใหม่เป็นที่เรียบร้อย การระบาดโรคโควิด-19 กระทบการใช้ชีวิต การไปมาหาสู่ทั้งในประเทศและต่างประเทศทำให้ทั้งภาครัฐ เอกชนและประชาชนต่างก็เริ่มเป็นห่วงเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้องและรายได้ แน่นอนว่าในยามนี้การนำของรัฐในด้านการแก้ปัญหาด้านต่าง ๆ นั้นสำคัญมาก

จีนเป็นประเทศหนึ่งในโลกที่มีการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ปัจจัยหลักสองประการที่สำคัญคือ "หนึ่ง" การระงับการระบาดในประเทศให้ได้มากและรวดเร็วที่สุด "สอง" การให้คนกลับมาทำงาน การผลิตในฝั่งอุตสาหกรรมให้กลับมาเร็วที่สุด เพราะเหตุผลสองประการนี้ทำให้เศรษฐกิจจีนเริ่มฟื้นขี้นมาตั้งแต่ไตรมาสสองของปี 2020 เป็นต้นมา

หากท่านผู้อ่านติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจจีนอยู่สม่ำเสมอจะทราบว่าในปี 2020 ทั้งปีจีนมีการเติบโต GDP เฉลี่ย +2.3% ถึงแม้ว่าจะเป็นตัวเลขที่ไม่มาก แต่เป็นชาติเดียวในโลกที่มีการเติบโตจีดีพีเป็นบวก ส่วนต้นปีนี้หกเดือนแรกการเติบโตจีดีพี ของจีนเฉลี่ยที่ +12.7%

การฟื้นฟูเศรษฐกิจจีนมาพร้อมกับนโยบายเบนเข็มที่จะเพิ่มการใช้จ่ายเพิ่มการหมุนเวียนในประเทศมากยิ่งขึ้น และการที่จีนคุมการระบาดของโควิด-19 ได้ดีก็แลกมาด้วยการปิดประเทศเป็นเวลายาวนาน

ตั้งแต่ไตรมาสที่สองของปีที่แล้วเป็นต้นมา การปิดประเทศอย่างเข้มข้นของจีนกระทบกับการเดินทางระหว่างประเทศอย่างมาก การนำเข้าสินค้าต่างประเทศก็มีมาตรการเพิ่มเรื่องการป้องกันโรคระบาดขึ้นมา มีการเก็บตัวอย่างบนพื้นผิววัสดุกล่องหรือสินค้าเพื่อตรวจสอบว่ามีตัวไวรัสโควิด-19 อยู่หรือไม่

หมายความว่าระยะเวลาของสินค้าผ่านด่านเข้าออกจะใช้เวลามากยิ่งขึ้น ตรงนี้เป็นความยากลำบากขึ้นของการค้าและการเดินทางระหว่างประเทศ แต่กระนั้นในปีนี้ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึง กรกฎาคม การค้าต่างประเทศของจีนรวมเติบโตขึ้นกว่าปีที่แล้วในช่วงเดียวกัน 24.5% มีมูลค่าถึง 21.34 ล้านล้านหยวน โดยการส่งออกมีมูลค่ามากกว่านำเข้า แบ่งเป็นส่งออก 11.66 ล้านล้านหยวน และนำเข้า 9.68 ล้านล้านหยวน ทำลายสถิติในช่วงสิบปีที่ผ่านมา และเกินดุลการค้ารวมกับต่างประเทศ

จีนมีศักยภาพด้านอุตสาหกรรมในการผลิตที่ต้นน้ำถึงปลายน้ำที่ครบเครื่อง สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ในประเทศและสถานการณ์โลกปัจจุบันได้อย่างรวดเร็ว

โรงงานโลกของจีนไม่ใช่ศูนย์รวมโรงงานโลกที่ใช้แรงงานเข้มข้นอีกต่อไป แม้อุตสาหกรรมแรงงานเข้มข้นจีนยังหลงเหลืออยู่บ้าง แต่อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นกลาง-สูงกำลังเติบโตอย่างมากในจีน ทำให้โครงสร้างสินค้าอุตสหกรรมส่งออกของจีนค่อย ๆเปลี่ยนแปลงไป

ด้านการนำเข้าส่งออกของจีนถึงแม้ว่าจะดูเหมือนสดใส แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่ยังต้องเฝ้าระวัง คือเรื่องของ ห่วงโซ่อุปทานระดับโลก (Global chain Supply) ที่อาจจะหยุดชะงักในสถานการณ์โควิด-19 ระบาดทั่วโลก อีกทั้งสถานการณ์กดดันทางการค้าที่มีการเมืองระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง

ดังนั้นการเติบโตของการค้าระหว่างประเทศสำหรับจีนเป็นเรื่องดีแต่ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงที่แฝงตัวอยู่มาก

โดยภาพรวมแล้ว หกเดือนแรกของปีนี้การเติบโตหลังการฟื้นฟูด้านการระบาดของโควิด-19 ของจีนเริ่มเห็นได้ชัดเจน เศรษฐกิจในประเทศมีสัญญาณค่อนข้างดี กำลังการซื้อใช้จ่ายของประชาชนเริ่มกลับมา ราคาสินค้าในประเทศด้านอุปโภคบริโภคค่อนข้างทรงตัว

สิ่งที่รัฐบาลจีนตัดสินใจเด็ดขาดและยืนหยัดในช่วงเวลาสองปีนี้ คือการใช้มาตรการต่าง ๆ อาทิ ให้ใช้บ้านเพื่อการพักอาศัยอย่างแท้จริงไม่ใช่เพื่อเก็งกำไร ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ไม่ร้อนแรงอีกต่อไป แต่จะกลับมาสู่ภาวะทรงๆ ไม่หวือหวา

รัฐบาลท้องถิ่นต่างก็ต้องตอบรับนโยบายของรัฐบาลกลาง ทำให้เงื่อนไขการซื้อบ้านและปล่อยกู้เงินของธนาคารทำได้ยากขึ้น รายได้จากการปล่อยเช่าที่ดินของรัฐบาลท้องถิ่น ต่อจากนี้อาจจะลดลงแต่ก็ต้องพยายามเบนเข็มไปพัฒนาด้านอื่นที่ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก ทำให้หลังจากนี้ไปเศรษฐกิจจีนจะลดการพึ่งพาภาคอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต

ผู้เขียนก็สังเกตเห็นว่า บริษัทอสังหาริมทรัพย์จีนหลายแห่งตั้งแต่เล็กไปจนใหญ่ ต่างเริ่มมีปัญหาทางการเงินชัดเจนยิ่งขึ้น อาชีพในภาคอสังหาริมทรัพย์จีนก็ไม่ร้อนแรง ไม่ทำเงินกันได้เป็นกอบเป็นกำเหมือนในแต่ก่อนอีกต่อไป

ตัวอย่างใกล้ตัวคือเพื่อนผู้เขียนบางคนที่เคยเป็นเซลล์ขายบ้านก็เปลี่ยนอาชีพไปทำอย่างอื่นกันก็มาก

ยังมีมาตรการอีกด้านหนึ่งคือ การลงดาบบริษัทเอกชนไอที ที่เติบโตใหญ่เกิน ไร้ทิศทาง สุดท้ายอาจเป็นภัยคุกคามต่อประเทศชาติและประชาชน จึงมีการตรวจสอบที่มากขึ้น การลงโทษปรับเงิน การหยุดให้การสนับสนุน เป็นสัญญาณสำคัญของรัฐบาลที่ต้องการให้บริษัทเอกชนนี้เข้าร่องเข้ารอย กล่าวคือต้องคิดถึงประเทศให้มาก ไม่ใช่จะคิดแต่ผลประโยชน์กอบโกยของกลุ่มตนเองไปจนกลายเป็นการผูกขาดตลาด

หากผู้อ่านที่สนใจประเด็นนี้สามารถไปหาข่าวที่เกี่ยวข้องกับการลงดาบในบริษัทไอทียักษ์ต่าง ๆ ของจีนเช่น Alibaba, Tencent, Didi, Meituan เป็นต้น

มาตรการต่อมา คือเรื่องของการลงดาบธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาเอกชน ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและชักนำแนวคิดทางการศึกษาไปในทางบิดเบี้ยว ทั้งหมดทั้งปวงนี้คือการจัดระเบียบของรัฐบาลจีน ที่เราก็พอจะคาดเดาได้ถึงแนวทางและแนวโน้มการเติบโตของจีนจะเป็นอย่างไร


หกเดือนสุดท้ายของปลายปีนี้จนอนาคต แนวทางการเติบโตของจีนจะเป็นแบบการเติบโตแบบมีคุณภาพหรือที่ภาษาจีนว่า "高质量发展" (เกาจื่อเลี่ยงฟาจ่าน) จากปัญหาที่ประสบอยู่ในปัจจุบันจะผลักดันสู่การหาทางออกในอนาคต "ประการแรก" คือ มองไกล มีความต่อเนื่อง

"ประการที่สอง" ต้องเป็นกิจการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม เช่น การอนุรักษ์และรักษาสิ่งแวดล้อม พลังงานสีเขียว ประหยัดและสะอาด เป็นต้น

"ประการที่สาม" คือหลักประกันคุณภาพชีวิตของคนในประเทศ นอกเหนือจากประกันสังคมพื้นฐานที่มีอยู่ จีนจะสนับสนุนกิจการประกันภัยและผลิตภัณฑ์ที่เป็นประโยชน์ที่แท้จริงต่อสังคมมากขึ้น

ในปัจจุบันอัตราการซื้อประกันภัยส่วนตัวของประชาชนจีนยังต่ำอยู่มาก เนื่องจากการขาดความรู้และขาดความเชื่อมั่นในบริษัทประกันภัย ทำให้ต่อจากนี้รัฐบาลจะเข้ามาควบคุมและตรวจสอบมากยิ่งขึ้น เพื่อความโปร่งใสและประโยชน์ระยะยาวที่แท้จริงของประชาชน

"ประการที่สี่" คือการลงทุนพื้นฐานของรัฐบาลในพื้นที่ห่างไกล กระจายความเจริญ ผลักดันการพัฒนาการเกษตรสมัยใหม่เพื่อเพิ่มรายได้ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของสินค้าเกษตร เป้าหมายเพื่อให้เกษตรกรมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม

หลังจากนี้ไปจีนจะสนับสนุนธุรกิจที่ทำประโยชน์ให้สังคมและประเทศชาติอย่างจริงจัง ยับยั้งการผูกขาดตลาด ปรับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจให้เหมาะสมกับยุคสมัย

การเปิดประเทศรับการลงทุนที่มีคุณภาพและเทคโนโลยีชั้นสูง ซึ่งจากความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนส่งผลให้ในปี 2020 จีนกลายเป็นประเทศที่รับการลงทุนทางตรงจากต่างชาติมากที่สุดในโลกจำนวนกว่า 1.05 ล้านล้านหยวนอีกด้วย

จีนแม้ว่าจะเริ่มฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการระบาดหนักของโรคโควิด-19 มาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ประเด็นปัญหาด้านทั้งในและต่างประเทศก็ยังมีความท้าทาย ดังนั้นต้องค่อย ๆ หาทางออกกันไปทีละเปราะ  
#2864


หลังจากเสียฟอร์มแพ้นัดแรกของฤดูกาล พลพรรคแข้ง ไลป์ซิก ก็คืนฟอร์มคว้าชัยชนะแรกได้สำเร็จ หลังเปิดบ้านยำใหญ่ใส่ สตุ๊ตการ์ต 4-0 ศึก บุนเดสลีกา เยอรมนี เมื่อคืนวันที่ 20 สิงหาคม ที่ผ่านมา

เกมนัดสองของซีซั่น ไลป์ซิก อันดับ 13 ไม่มีแต้ม เจอ สตุ๊ตการ์ต จ่าฝูงมี 3 แต้ม เกมนี้ ไลป์ซิก มี อังเดร ซิลวา กับ เอมิล ฟอร์สเบิร์ก เป็นแกนบุก ส่วน "ม้าขาว" ฝาก ฟิลิปป์ ฟอร์สเตอร์ กับ ฮามาดี อัล กัดดิอุย ลงสังหาร

เริ่มเกม 5 นาที ไลป์ซิก จะเอาประตู เอมิล ฟอร์สเบิร์ก พา.ฝ่าขึ้นหน้าแล้วยิงแต่ ฟลอเรียน มุลเลอร์ พุ่งปัดไว้ ขณะที่ นาที 16 ไลป์ซิก มาอีก คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู เงยหน้ายิงจากซ้าย ฟลอเรียน มุลเลอร์ ปัด.โดนหัว อังเดร ซิลวา เด้งหาประตู แต่เดชะบุญออกข้าง

สตุ๊ตการ์ต ตอบโต้ นาที 33 โรแบร์โต้ มัสซิโม โยนมา ฮามาดี อัล กัดดิอุย จับแล้วยิงขวาแต่หลุดกรอบ กระทั่ง นาที 38 ไลป์ซิก นำจนได้ โดมินิค โซบอสซาไล เก็บ.ได้ทางขวาแล้วตะบันเสียบเสาไกลสวยงาม 1-0 และจบครึ่งแรกที่ผลนี้

ครึ่งหลังแวบเดียว นาที 46 ไลป์ซิก ได้เม็ดสอง อังเดร ซิลวา ตอกส้นให้ เอมิล ฟอร์สเบิร์ก เติมขึ้นมาแปตุงตาข่าย 2-0 ไม่พอ นาที 51 ไลป์ซิก ได้ฟรีคิกระยะไกลทางซ้ายแล้ว โดมินิค โซบอสซาไล บรรจงซัดแหวกอากาศเข้าประตูทิ้งห่างอีก 3-0

ยังไม่หนำ นาที 64 เจ้าบ้านได้จุดโทษหลัง มาร์ค โอลิเวอร์ เคมป์ เผลอทำแฮนด์.แล้ว อังเดร ซัลวา สังหารไม่พลาด 4-0 ต่อมา นาที 79 ม้าขาว จะตีไข่แตก โรแบร์โต้ มัสซิโม่ โยนเข้ากลางให้ วาตารุ เอ็นโดะ สะบัดคอโหม่งแต่เข้ามือ ปีเตอร์ กูลาสซี เวลาที่เหลือไม่มีประตูแล้ว จบเกม ไลป์ซิก ประเดิมคว้า 3 แต้มแรกในซีซั่นนี้ได้สำเร็จ
#2865


วันที่ 20 ส.ค. เฟซบุ๊ก "วีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี" ของนายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร โพสต์ข้อความระบุว่า "ยามไร้เด็ดดอกหญ้าแซมผม พลันที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข แถลงเมื่อวานถึงประสิทธิภาพการฉีดวัคซีนแบบไขว้ ได้ผลอย่างดียิ่ง

ผมจึงขอทางโรงพยาบาลสมุทรสาครช่วยมาวัดภูมิคุ้มกันให้หน่อย จะได้บอกให้ชาวบ้านทราบได้ว่า ดีจริงอย่างที่กระทรวงแจ้งรึปล่าว เพราะผมเองก็คือคนหนึ่งที่ฉีดไขว้ เข็มแรก SV (ซิโนแวค) เข็มสอง AZ (แอสตร้าเซนเนก้า)

ขอในที่ประชุมตอนเช้า ออกจากห้องประชุมตอน 11.00 น. เจอคุณหมอรอเจาะเลือดไปตรวจเลย ผลออกตอนบ่ายแก่ๆ ว่า ภูมิคุ้มกันผมมีสูงถึง 42,888 AU/mL หมอบอกว่า ถ้ามีมากกว่า 50 AU/mL ถือว่าใช้ได้ แต่นี่สูงถึงขนาด นพ.อนุกูล ไทยถานันดร์ (ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมุทรสาคร) แจ้งว่า มีมากกว่าตนถึงสิบเท่า

ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แจ้ง J&J (จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน) และ AZ ไม่มาตามนัด วัคซีนสูตรผสมจึงออกมา และได้ผลดี ผมเชื่อหมอ มาฉีดไขว้กันได้ครับ

#แอบบ่นนิดนึงว่า #ทั้งเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมยังได้วัคซีนไม่ถึงเดือนละแสนครับ"


รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ก่อนหน้านี้ นายวีระศักดิ์ เข้ารับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เข็มที่สอง เมื่อวันที่ 16 ก.ค. ที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร จากที่ก่อนหน้านี้ฉีดวัคซีนซิโนแวค เมื่อวันที่ 16 มี.ค. ก่อนออกจากโรงพยาบาลศิริราชในวันที่ 19 มี.ค. หลังเข้ารับการรักษาจากโควิด-19 ยาวนานถึง 82 วัน


อนึ่ง สำหรับคำว่า "ยามไร้เด็ดดอกหญ้าแซมผม" มาจากวรรณคดีเรื่อง ลิลิตพระลอ สื่อถึงยามที่ไม่มีดอกไม้หอมใช้แซมผม ให้เด็ดดอกหญ้าแล้วดม นึกจินตนาการว่าสวยและหอมไปก่อน คิดเสียว่าเป็นดอกสุกรม ดอกลำดวน และดอกแก้ว ซึ่งคนสมัยก่อนนิยมนำมาแซมผมเพราะมีกลิ่นหอมและปลูกง่าย อุปมาอุปไมยหมายถึง "หาอะไรพอใช้แทนได้ ก็ทนใช้กันไปก่อน"

สำหรับบทกลอนฉบับเต็ม ความว่า

ยามไร้เด็ดดอกหญ้า แซมผม พระเอย
หอมบ่หอมทัดดม ดั่งบ้า
สุกกรมรำดวนชม เชยกลิ่น พระเอย
หอมกลิ่นเรียมโอ้อ้า กลิ่นแก้วติดใจ
#2866


เมื่อวันที่ 19 ส.ค. OnlyFans ผู้ให้บริการคอนเทนท์ภาพและวิดีโอแบบสมัครสมาชิก ประกาศปรับกลยุทธ์ธุรกิจครั้งสำคัญ โดยจะไม่อนุญาตให้เหล่าครีเอเตอร์สร้าง "เนื้อหาทางเพศโจ่งแจ้ง" (sexually explicit) อีกต่อไป ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นี้

อย่างไรก็ตาม OnlyFans ที่มีสำนักงานใหญ่ในกรุงลอนดอน เผยว่า จะยังอนุญาตให้ครีเอเตอร์โพสต์เนื้อหา "นู้ด" หรือภาพเปลือยเชิงศิลปะ ตราบใดที่ไม่ขัด "นโยบายการใช้งานที่ยอมรับได้" ของแพลตฟอร์ม

แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า จะใช้เกณฑ์ใดพิจารณาว่าโพสต์ไหนมีเนื้อหาทางเพศโจ่งแจ้ง หรือจะมีผลในทางปฏิบัติอย่างไร ซึ่ง OnlyFans บอกเพียงว่าจะชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมในภายหลัง

เงื่อนไขการบริการของ OnlyFans ระบุข้อห้ามไว้หลายข้อ รวมไปถึงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับบุคคลอายุต่ำกว่า 18 ปี และเนื้อหาที่ผิดกฎหมายอื่น ๆ หรือมีความรุนแรงด้วย


"เรายังคงทุ่มเทเพื่อชุมชนของผู้ใช้งาน 130 ล้านคนและครีเอเตอร์กว่า 2 ล้านคนที่สร้างรายได้กว่า 5,000 ล้านดอลลาร์บนแพลตฟอร์มของเราต่อไป" OnlyFans แถลง

มุ่งสู่ถนนสายใหม่

OnlyFans ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสุดฮิตมานานสำหรับเหล่าดาราหนังผู้ใหญ่ (AV) ที่ต้องการสร้างรายได้จากการแสดง ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 เนื่องจากบรรดาคนดังที่ขายความเซ็กซี่และผู้ค้าบริการทางเพศ (sex worker) หันมาใช้แพลตฟอร์มนี้เข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานในออนไลน์กันมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือน OnlyFans เตรียมช่องทางทำมาหากินใหม่เอาไว้แล้ว เพื่อขยายกลุ่มผู้ชมนอกเหนือจากกลุ่มที่นิยมคอนเทนท์ผู้ใหญ่

เมื่อเร็ว ๆ นี้ OnlyFans ได้เปิดตัวเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นบริการสตรีมมิงแบบไม่เสียเงิน ชื่อว่า "OFTV" ซึ่งจะไม่เน้นนำเสนอคอนเทนท์ 18+ เหมือนกับแพลตฟอร์มเดิม แต่จะเสนอคอนเทนท์ที่ดูได้อย่างปลอดภัยในที่ทำงาน เช่น คลิปทำอาหาร เล่นดนตรี เล่นโยคะ หรือออกกำลังฟิตกล้าม 


แม้ผู้สร้างคอนเทนท์เหล่านี้ยังมีอยู่บ้างใน OnlyFans แต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อย และไม่ใช่จุดขายของแพลตฟอร์มที่ให้สมาชิกจ่ายเงินเพื่อดูเนื้อหา "ลับเฉพาะ" หรือ 18+ ซึ่งเป็นหมวดที่ได้รับความนิยมที่สุด

การขยายแนวคอนเทนท์ของ OnlyFans มายัง OFTV ซึ่งมีครีเอเตอร์คุ้นตาจาก OnlyFans กว่า 100 คน นอกจากจะช่วยเพิ่มฐานผู้ชมแล้ว ยังเป็นการแข่งขันกับแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ เช่น "Facebook" ที่เปิดให้เหล่าครีเอเตอร์สร้างรายได้ออนไลน์บนแพลตฟอร์มตัวเองเช่นกัน

"พันธมิตร-ทุน" ตีตัวห่าง 18+

ถึงแม้เนื้อหาผู้ใหญ่ หรือ 18+ เป็นแม่เหล็กดึงดูดรายได้และผู้ใช้จำนวนมากมาตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่สตาร์ทอัพสัญชาติอังกฤษให้เหตุผลถึงการตัดสินใจแบนคอนเทนท์โป๊เปลือยว่า "ทำตามคำขอจากบรรดาพาร์ทเนอร์" ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านธนาคารและการชำระเงิน


"เพื่อรับประกันความยั่งยืนในระยะยาวของแพลตฟอร์ม และให้สามารถสร้างชุมชนสำหรับครีเอเตอร์และแฟน ๆ ต่อไปได้ เราจึงต้องปรับหลักเกณฑ์ด้านเนื้อหาของเราใหม่" แถลงการณ์ของ OnlyFans ระบุ

แหล่งข่าวใกล้ชิดเผยกับเว็บไซต์วอลล์สตรีทเจอร์นัลว่า ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา OnlyFans อยู่ระหว่างการระดมทุน และนักลงทุนหลายรายต่างเลี่ยงลงทุนในธุรกิจที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องเชิงลบทางเพศ รวมถึงสื่อลามกด้วย

ขณะที่เว็บไซต์แอกซิออส (Axios) ระบุว่า นักลงทุนจำนวนมากตีตัวห่างจาก OnlyFans เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับ "เนื้อหาผู้ใหญ่" กองทุนร่วมลงทุน (เวนเจอร์ ฟันด์) บางราย ถูกห้ามลงทุนในเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาทางเพศ เนื่องจากทำข้อตกลงกับนักลงทุนสถาบันของตนไว้

นอกจากนี้ ความเคลื่อนไหวล่าสุดของ OnlyFans เกิดขึ้นหลังจากในปีที่แล้ว "มาสเตอร์การ์ด" และ "วีซ่า" 2 ผู้ให้บริการด้านการชำระเงินรายใหญ่ตัดสัมพันธ์กับเว็บไซต์หนังผู้ใหญ่ยอดนิยมอย่าง "Pornhub"

เว็บไซต์ AV ชื่อดังเผชิญข้อกล่าวหาว่าเป็นแหล่งแพร่คลิปที่มีเนื้อหาการมีเซ็กซ์กับผู้เยาว์ การข่มขืน และคลิปอนาจารแก้แค้นอดีตคนรัก

อย่างไรก็ตาม Pornhub ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าเว็บไซต์ปล่อยให้เนื้อหาล่วงละเมิดทางเพศเด็ก และได้ปรับกฎเข้มให้งวดขึ้นโดยห้าม "ผู้ใช้ที่ไม่ยืนยันตัวตน" อัพโหลดคลิปวิดีโอ หวังช่วยลดข้อครหานี้

โกยรายได้หมื่นล้านช่วงโควิด

จุดเริ่มต้นของ OnlyFans เกิดขึ้นจากการก่อตั้งเว็บไซต์เมื่อปี 2559 โดย "ทิม สโตคลีย์" นักธุรกิจชาวอังกฤษ และนั่งเก้าอี้ซีอีโอบริษัทถึงปัจจุบัน สื่ออังกฤษบางรายอย่าง The Sunday Times ตั้งฉายาให้สโตคลีย์ว่า "ราชาแห่งสื่อลามกโฮมเมด"


- ทิม สโตคลีย์ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ OnlyFans -

เดิมนั้น เจ้าของ OnlyFans คือ บริษัทฟีนิกซ์ อินเตอร์เนชันแนล ลิมิเต็ด (Fenix International Limited) ของสโตคลีย์ ก่อนจะขายหุ้น 75% ใน OnlyFans ให้กับเลียวนิด รัดวินสกี นักธุรกิจสื่อลามกชาวยูเครน-อเมริกัน เมื่อปี 2561

OnlyFans รายงานผลประกอบการมีรายได้สุทธิ 375 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.25 หมื่นล้านบาทในปีที่แล้ว ซึ่งเริ่มมีการระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก

บริษัทคาดการณ์ว่า ในปี 2564 จะมีรายได้เพิ่มเป็น 1,200 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4 หมื่นล้านบาท และภายในปี 2565 น่าจะโกยรายได้สูงขึ้นอีกเป็น 2,500 ล้านดอลลาร์ (ราว 4 หมื่นล้านบาท)


กว่า 50% ของรายได้ OnlyFans นับถึงสิ้นเดือน มี.ค. 2564 มาจากส่วนแบ่งการสมัครรับคอนเทนท์ของผู้ใช้ ขณะที่อีกกว่า 30% มาจากการแชท และส่วนที่เหลือมาจากทิป/สตรีม และโพสต์ที่เสียค่าโฆษณาสำหรับบัญชีที่เปิดให้ชมคอนเทนท์ฟรี

ขณะที่บรรดาครีเอเตอร์ใน OnlyFans ที่มีรายได้โดยตรงจากผู้ชม ก็รับทรัพย์หลักล้านบาทต่อปี มีรายงานว่า ครีเอเตอร์กว่า 300 คนโกยรายได้อย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์ (ราว 33.3 ล้านบาท) ต่อปีและครีเอเตอร์ราว 1.6 หมื่นคนโกยรายได้อย่างน้อย 5 หมื่นดอลลาร์ (ประมาณ 1.66 ล้านบาท) ต่อปี

ปัจจุบัน OnlyFans ยังคงอยู่ในช่วงการระดมทุน เว็บไซต์บลูมเบิร์กรายงานว่า บริษัทตั้งเป้าระดมทุนให้ได้มูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์

-------------

อ้างอิง: Bloomberg, CNBC, Axios, Reuters, WSJ
#2867


นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ผู้นำเข้าและส่งออกทองคำแท่งรายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า นักลงทุนไทยมีโอกาสที่ในปีนี้จะเข้ามาลงทุนในทองคำมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่สถาบันคุ้มครองเงินฝากลดการคุ้มครองเหลือ 1 ล้านบาท อาจทำให้มีเงินลงทุนบางส่วนถูกโยกมาพักไว้ที่ทองคำ เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย และไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ โดยจากต้นปีถึงปัจจุบันพบว่ามีนักลงทุนมาเปิดบัญชีซื้อขายทองคำกับวายแอลจีเพิ่มขึ้นในทุกประเภททั้งทองคำแท่ง ออมทอง รวมไปถึงการลงทุนตลาดอนุพันธ์

ขณะที่แนวโน้มราคาทองคำมองว่า หลังการปรับลดค่อนข้างมากในสัปดาห์ก่อน แต่ในระยะสั้นเริ่มมีการดีดกลับ แต่ก็ยังมีแรงขายเมื่อปรับตัวขึ้นไปถึงแนวต้านทำให้การเคลื่อนไหวในช่วงนี้จะยังเป็นการแกว่งตัวในกรอบ อย่างไรก็ดีสาเหตุที่ราคาทองคำไม่ได้ปรับลดลงอย่างรวดเร็วเช่นสัปดาห์ก่อน เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับสถานการณ์ในอัฟกานิสถาน การที่จีนคุมเข้มกฎระเบียบในบริษัทกลุ่มเทคโนโลยี และการระบาดของ โควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวลดลงจากแรงซื้อพันธบัตรในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้ตลาดทองคำยังคงปรับตัวลดลงอย่างจำกัด

ทั้งนี้เมื่อต้นสัปดาห์ราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,795 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่เป็นแนวโน้มการปรับขึ้นในระยะสั้น แม้ต้นสัปดาห์จะปรับขึ้นมาค่อนข้างดี แต่เมื่อทองคำเข้าใกล้แนวต้านจะมีแรงขายออกมา แต่แรงขายก็ไม่ได้ทำให้ทองคำปรับลงมามาก ดังนั้นในระยะนี้นักลงทุนต้องจับตาว่าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวไปแบบไหน เพราะแม้จะมีสัญญาณบวกในระยะสั้นแต่ระยะกลางยังเป็นสัญญาณอ่อนตัว โดยเฉพาะราคาทองคำในประเทศที่ขณะนี้ได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่าช่วงสั้นๆ

อย่างไรก็ตามปัจจัยที่มีผลกระทบต่อราคาทองคำในช่วงนี้มีทั้งปัจจัยลบและปัจจัยบวก โดยในด้านปัจจัยลบนั้นมาจากกองทุน SPDR ซึ่งเป็นกองทุนทองคำขนาดใหญ่ขายทองคำออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาทองคำกลับมามีสัญญาณชะลอตัว หรือ ขยับขึ้นอย่างจำกัด รวมถึงปัจจัยของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่ต้องจับตามอง

ส่วนปัจจัยบวกทองคำยังได้รับแรงหนุนจากการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่ถูกกดดันจากผลกระทบการระบาดของโควิด -19 และกรณีที่จีนมีนโยบายป้องปรามการขยายตัวของธุรกิจเทคโนโลยี ห้ามการผูกขาด ห้ามแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ทำให้หุ้นในจีนปรับฐานและอ่อนตัวลงในช่วงหลายวันที่ผ่านมาอย่างชัดเจน ทั้งนี้ บริษัทเทคโนโลยีของจีนนั้นจดทะเบียนทั้งในตลาดหุ้นจีนและสหรัฐจึงอาจส่งผลกระทบในวงกว้าง ประเด็นนี้จึงเป็นหนึ่งปัจจัยที่พยุงทองคำให้ไม่ปรับตัวลดลงไปอย่างรวดเร็ว

สำหรับปัจจัยทางเทคนิค หากทองคำมีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องและขึ้นไปยืนเหนือ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จะทำให้มีโอกาสปรับตัวได้อีกแม้ว่าทิศทางทองคำระยะกลางยังเป็นลักษณะอ่อนตัวลง แต่หากราคาไม่มีระดับต่ำสุดใหม่และมีปัจจัยบวกมาหนุนจากการไหลเข้าของเงินทุนที่ไหลออกจากการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะตลาดหุ้นก็มีโอกาสปรับขึ้นได้ โดยมองแนวต้านระยะสั้นที่ 1,796 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 28,350 บาท หากผ่านได้มีโอกาสทดสอบ 1,814 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 28,650 บาท ด้านแนวรับ 1,768 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 27,900 บาทโดยมีแนวรับสำคัญที่ 1,751 หรือ 27,650 บาท
#2868


สิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JP ผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนา ผลิตและจำหน่าย ยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบบครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีจุดแข็งทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความสามารถนำองค์ความรู้ตามหลักวิทยาศาสตร์มาพัฒนาเป็นสินค้าเชิงพาณิชย์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันที่ดีขึ้นและสนับสนุนกลยุทธ์องค์กรที่มีเป้าหมาย ต้องการผลักดันการเติบโตด้วยผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าของบริษัทฯ (Own Brand)

โดยมีแผนงานนำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพสูงของบริษัทฯ เช่น ยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณและผลิตภัณฑ์สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับบำรุงสุขภาพและความงาม รวมถึงใช้ประสบการณ์ความเชี่ยวชาญและองค์ความรู้ด้านธุรกิจยาและสมุนไพรมานานกว่า 70 ปี เพื่อรองรับเทรนด์ผู้บริโภคในปัจจุบันหันมาใช้ภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย จากการเลือกใช้ยาแผนโบราณและผลิตภัณฑ์สมุนไพรเป็นทางเลือกในการป้องกันและรักษาโรคมากขึ้น   

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้นำศักยภาพการผลิตของโรงงานทั้ง 2 แห่ง ที่กรุงเทพฯและจังหวัดลำพูน ที่มีการรับรองมาตรฐานการผลิตสำหรับการผลิตยา (GMP PIC/s) จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข สอดคล้องและทัดเทียมกับมาตรฐานของสหภาพยุโรปและมาตรฐาน GMP มาสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างเป็นระบบและครบวงจรเพื่อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง มีความหลากหลายทั้งขนาด ส่วนผสม และรูปแบบ

ทำให้ JP สามารถตอบสนองการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้บริโภคเข้าสู่สังคมแห่งการดูแลสุขภาพ  ช่วยสนับสนุนแผนขยายฐานลูกค้าใหม่ในกลุ่มรับจ้างผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ลูกค้า (OEM) ซึ่งบริษัทฯ ให้การบริการที่ครอบคลุม ตั้งแต่การให้คำปรึกษาด้านการพัฒนาสินค้า การคิดค้นและพัฒนาสูตร การขอทะเบียนตำรับยาหรือการจดแจ้งเลขสารบบอาหาร (เลข อย.) การออกแบบบรรจุภัณฑ์และควบคุมการผลิตให้มีคุณภาพ


ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JP กล่าวว่า ปัจจุบัน บริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์สุขภาพในเชิงดูแลป้องกันและรักษาโรค ภายใต้ตราสินค้าบริษัทฯ ประกอบด้วย (1) กลุ่มผลิตภัณฑ์ยาแผนปัจจุบันที่ใช้รักษาผู้ป่วย ภายใต้ตราสินค้า COXTM ได้แก่ ยาแก้ไอชนิดน้ำเชื่อม ยาน้ำแก้ไข้และยาคุมกำเนิด (2) ผลิตภัณฑ์สมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่สกัดจากธรรมชาติ ที่ใช้ทั้งภายในและภายนอก ภายใต้ตราสินค้า สุภาพโอสถTM เช่น ยาเม็ดสมุนไพรฟ้าทะลายโจร ยาแก้ไข้ ยาบำรุงโลหิต ยาขับลม ยาแคปซูลผสมเถาเอ็นอ่อน ยาหม่อง และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่สกัดจากธรรมชาติ เช่น น้ำมันสกัดเย็น 4 ชนิด  และสาหร่ายสไปรูริน่า

(3) กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับบำรุงสุขภาพและความงาม ภายใต้ตราสินค้า EVITONTM  ได้แก่ ผลิตภัณฑ์คอลลาเจน ผลิตภัณฑ์วิตามินรวม ผลิตภัณฑ์สารสกัดน้ำมันธรรมชาติ (4) กลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ภายใต้ตราสินค้า JSPTM ที่ระดับความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ ตั้งแต่ร้อยละ 70-95 ด้วยบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลาย รับความต้องการใช้ในครัวเรือนจนถึงกลุ่มอุตสาหกรรม และ (5) ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เป็นการจัดซื้อเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาเพื่อจำหน่ายแก่หน่วยงานภาครัฐและเอกชน

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายก้าวสู่บริษัทชั้นนำด้านการวิจัย ผลิตและจัดจำหน่ายยา เวชภัณฑ์และอาหารเสริม เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ผ่านแนวทางการตลาดมุ่งสร้างตราสินค้าของตัวเองให้เข็มแข็งและขยายช่องทางจัดจำหน่ายให้มีความหลากหลาย (Multi -Channel Marketing) ทั้งร้านขายยาทั่วไป ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ร้านสะดวกซื้อ ทีวีโฮมช้อปปิ้ง และช่องทางออนไลน์ (Online Channel) ในมาร์เก็ตเพลส เช่น Shopee Lazada เป็นต้น เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทั่วถึง รวมถึงขยายช่องทางจำหน่ายไปยังกลุ่มประเทศ CLMV ผ่านรูปแบบแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในแต่ละประเทศ

นางสาวจิรดา แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน JP กล่าวว่า ภาพรวมการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2561-2563) บริษัทฯ สามารถผลักดันการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้จากการขาย 3 ปีย้อนหลัง อยู่ที่  348.88 ล้านบาท 360.69 ล้านบาท และ 455.64 ล้านบาทตามลำดับ ซึ่งตลอดระยะที่ผ่านมาที่บริษัทฯ ได้มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณและผลิตภัณฑ์สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้ Own Brand ทำให้มีสัดส่วนรายได้ปรับตัวดีขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 21-25%

และยังช่วยส่งเสริมความสามารถการทำกำไรขั้นต้นที่ดีกว่าการรับจ้างผลิต OEM ทำให้กำไรสุทธิปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือทำได้ 12.39 ล้านบาทในปี 2561 เพิ่มเป็น 23.57 ล้านบาทในปี 2562 และในปี 2563 เติบโตเพิ่มเป็น 31.08 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 3.52 ร้อยละ 6.44 และร้อยละ 6.72 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม จากปัจจัยลบการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2564 (มกราคม-มีนาคม) บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 94.81 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 7.48 ล้านบาท

นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัทฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า หลังจาก บมจ.โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) หรือ JP ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 115 ล้านหุ้น และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)

โดยจะนำเงินที่ระดมทุนได้ไปยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันในทุกมิติ ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การขยายตลาด การสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ การปรับปรุงและขยายโรงงานทั้ง 2 แห่ง ส่วนที่เหลือนำไปชำระเงินกู้สถาบันการเงินและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานต่อไป ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต. ได้นับ 1 แบบไฟลิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นายโชษิต เดชวนิชยนุมัติ  กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม อัลฟา แคปปิตอล จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วม กล่าวว่า บริษัทฯ มีศักยภาพและความพร้อมรุกขยายตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพทั้งในเชิงดูแลป้องกันและการรักษา ด้วยกลยุทธ์นำเสนอนวัตกรรมที่มีคุณภาพสูง ในกลุ่มยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณและผลิตภัณฑ์สมุนไพร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้ตราสินค้าของตัวเอง

พร้อมแผนทำตลาดสร้างการรับรู้ในตราสินค้าไปสู่กลุ่มเป้าหมายและขยายช่องทางการจำหน่ายผ่าน Online เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภค ตลอดจนแผนขยายตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV รวมถึงนำความสามารถด้านการผลิตของโรงงานทั้ง 2 แห่งเข้าช่วยผลักดันฐานลูกค้า OEM  เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป
#2869


จอน ราห์ม นักกอล์ฟมือ 1 โลกชาวสแปนิช เปิดฉากการแข่งขัน เดอะ นอร์เธิร์น ทรัสต์ ด้วยผลงานเยี่ยมตี 8 อันเดอร์พาร์ เป็นผู้นำร่วมกับ จัสติน โธมัส เจ้าบ้าน เมื่อจบรอบแรก วันที่ 19 สิงหาคม ที่ผ่านมา

ศึกกอล์ฟ พีจีเอ ทัวร์ รายการ เดอะ นอร์เธิร์น ทรัสต์ ชิงเงินรางวัลรวม 9.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 316 ล้านบาท) ณ สนาม ลิเบอร์ตี เนชันแนล กอล์ฟ คลับ ระยะ 7,353 หลา พาร์ 71 นิว เจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา เปิดฉากแข่งรอบแรกไปแล้ว

จบวันแรก ผู้นำคือ จอน ราห์ม สวิงเบอร์ 1 โลกจากสเปน ตีได้อย่างไร้เทียมทาน 8 เบอร์ดีไม่มีพลาด กินเต็ม 8 อันเดอร์พาร์ แต่ก็ต้องแชร์เก้าอี้กับ จัสติน โธมัส มือ 5 โลกชาวอเมริกัน ที่ตีสกอร์ขึ้นมานำร่วมเท่ากัน

"ผมรู้สึกว่าตัวเองตีได้ดีกว่าที่เห็นภายนอกมาก เมื่อคุณจัดการตัวเองได้ดี ทุกอย่างก็จะดูง่ายขึ้นจากสกอร์ที่ออกมา" ราห์ม เผยหลังจบวันแรก

ด้านผู้เล่นคนอื่น ฮิเดกิ มัตสึยาม่า มือดังจากญี่ปุ่น อันดับ 15 ร่วม หลังตีวันแรก 2 อันเดอร์พาร์ ส่วน บรูค์ส โคปก้า ซูเปอร์สตาร์เจ้าบ้าน ตีได้ 1 อันเดอร์พาร์ อันดับ 34 ร่วม
#2870


"บล.กรุงศรี" คาดหุ้นไทยวันนี้ (20 ส.ค.) แกว่งตัว 1,535-1,555จุด ปัจจัยบวกวลับลบ แม้มีแรงเฟดลดคิวอีในปีนี้ -ราคาน้ำมันดิบทรุดตัวลง-ม็อบไล่รัฐบาลยืดเยื้อกดดันแต่ยอดผู้ติดเชื้อโควิดเริ่มทรงตัว ฉีดวัคซีนเร่งตัว หวังผ่อนคลายล็อกดาวน์หนุน

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี จำกัด เปิดเผยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (20 ส.ค.2564) คาดดัชนี SET แกว่งตัว 1,535 – 1,555 จุด จากปัจจัยบวกและลบที่คละเคล้าโดยภาวะตลาดมีแรงกดดันจาเฟด ส่งสัญญาณลดการใช้ คิวอีลงในปีนี้ รวมถึงราคาน้ำมันดิบที่ทรุดตัวลงแรงและการชุมนุมขับไล่รัฐบาลที่ยืดเยื้อ อย่างไรก็ตามยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศเริ่มทรงตัวรวมถึงการฉีดวัคซีนที่เร่งตัวขึ้นจึงคาดหวังการผ่อนคลาย ล็อกดาวน์ ซึ่งช่วยหนุนเศรษฐกิจและภาวะการลงทุน


กลยุทธ์การลงทุน แนะเลือกลงทุน ( Selective Buy) เช่น กลุ่มส่งออก HANA KCE TU CPF GFPT ASIAN EPG NER อานิสงส์เงินบาทอ่อนค่า ,กลุ่มเดินเรือ PSL TTA RCL แนวโน้มค่าระวางเรือปรับตัวขึ้น และกลุ่มเปิดเมือง AOT CPN CRC HMPRO AAV BA MINT CENTEL AMATA WHA 

สำหรับหุ้นแนะนำวันนี้ ได้แก่ EPG (ปิด 12.6 ซื้อ/เป้า 16 บาท) แนวโน้ม 2Q22 (ก.ค.- ก.ย.) ยังแกร่งต่อจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของทั้ง 3 ธุรกิจ คือ ฉนวนกันความร้อน, ชิ้นส่วนรถยนต์ และ Packaging ขณะที่วันนี้ได้ Sentiment บวกจากเงินบาทอ่อนค่าและน้ำมันดิบร่วงแรงหนุนมาร์จิ้นเพิ่ม

และTMT (ปิด 11 ซื้อ/เป้า 12.5) ดักซื้อก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 27 ส.ค. ให้เงินปันผล 0.6 บาทต่อหุ้นให้ Dividend yield 5.5% ขณะที่แนวโน้ม 3Q21 ยังดีต่อเนื่องจากราคาเหล็กยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงและคาดว่าตลาดจะทยอยปรับเพิ่มคาดการณ์
#2871


สืบเนื่องจากที่ บริษัท ไทยลีก จำกัด ประกาศยืนยันการเริ่มฤดูกาลของฟุต.ไทยลีก 1-2 ประจำฤดูกาล 2564/65 ในวันที่ 3 กันยายน 2564 นั้น

ในการนี้ สมาคมกีฬาฟุต.แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงได้ประสานไปยัง สหพันธ์ฟุต.นานาชาติ (FIFA) เพื่อร้องขอให้มีการเปิดตลาดซื้อ-ขายนักกีฬา (Transfer Window) ครั้งที่ 1 ของฤดูกาล 2564/65 อีกครั้ง หลังจากที่ตลาดซื้อ-ขายนักกีฬา ได้ปิดชั่วคราวตามความเห็นชอบระหว่างไทยลีก และสโมสรสมาชิก

โดย สหพันธ์ฟุต.นานาชาติ (FIFA) ได้รับคำร้องของสมาคมฯ และเข้าใจสถานการณ์ จึงอนุญาตให้เปิดตลาดซื้อ-ขายนักกีฬา (Transfer Window) ครั้งที่ 1 อีกครั้ง โดยระหว่างวันที่ 21 – 27 สิงหาคม 2564 เพื่ออำนวยความสะดวกแก่สโมสรสมาชิกในการดำเนินการซื้อ-ขายนักกีฬา และเพิ่มเวลาในการขึ้นทะเบียนให้มากขึ้น สำหรับรองรับสถานการณ์การจัดการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นใหม่

ทั้งนี้ สมาคมฯ และ บริษัท ไทยลีก จำกัด จะมีการจัดส่งรายละเอียดและขั้นตอนการลงทะเบียนนักกีฬา เพื่อให้สโมสรสมาชิกรับทราบต่อไป
#2872


ดร.ขนิษฐา บูรณพันศักดิ์ หัวหน้างานสังคมสงเคราะห์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่า จังหวัดปทุมธานี โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม ดำเนินโครงการ "การพัฒนาสมรรถนะนักสังคมสงเคราะห์และรูปแบบการดูแลทางสังคม" ดูแลและติดตามคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโควิด-19 ที่รักษาหายแล้ว แต่ต้องกักตัวอยู่บ้านอีก 14 วัน รวมถึงผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรงแยกกักตัวดูแลตนเองที่บ้าน หรือ HOME ISOLATION



ซึ่งจากการลงพื้นที่ให้คำปรึกษา ช่วยเหลือ ลดความกังวลใจ พบว่า ผู้ป่วยจำนวนมากประสบปัญหาไม่มีรถรับ-ส่งในการเดินทางมาโรงพยาบาล จึงต่อยอดขยายผลจัดทำโครงการ 'อาสาTAXI ปทุมฯ ห่วงใยช่วยภัยโควิด' โดยชักชวนอดีตผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาชีพขับแท็กซี่ เคยรักษาในโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ฯ รวมกลุ่มแท็กซี่ ขับรถรับ-ส่งอำนวยความสะดวกให้ผู้ป่วยในการมารับการรักษาที่โรงพยาบาล ขณะนี้มีแท็กซี่ที่เข้าร่วมโครงการฯ แล้วจำนวน 6 คัน


"จากการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง พบว่าผู้ป่วยจำนวนมากประสบปัญหาไม่มีรถส่วนตัว ในการเดินทางมาตรวจเอกซเรย์ปอด หรือรักษาที่โรงพยาบาล กลุ่มจิตอาสา และเครือข่ายผู้ขับรถแท็กซี่ จึงอาสาเข้ามาช่วย โดยร่วมกันปรับปรุงรถแท็กซี่ให้ใช้งานรับส่งผู้ป่วยไป-กลับบ้าน และโรงพยาบาล ทำฉากกั้นระหว่างคนขับกับผู้โดยสาร และคนขับแท็กซี่ทุกคนจะใส่ชุดป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ตลอดการขับขี่ เช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อทุกครั้งหลังใช้งาน เพื่อความปลอดภัยและป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ส่วนค่าบริการจะคิดตามราคามิเตอร์ ในกรณีผู้ป่วยยากไร้ โรงพยาบาลจะพิจารณาช่วยเหลือค่าโดยสารเป็นรายๆ ไป" ดร.ขนิษฐา กล่าว


นายพจนารถ แย้มยิ้ม จิตอาสา TAXI ปทุมฯ ห่วงใยช่วยภัยโควิด กล่าวว่า ได้มาเป็นแท็กซี่จิตอาสารับ-ส่งผู้ป่วย เนื่องจากติดเชื้อโควิด-19 ในการระบาดระลอกแรก ช่วงเดือนมีนาคม 2563 และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ฯ ได้พบกับกลุ่มนักสังคมสงเคราะห์ที่เข้ามาให้กำลังใจ พอหายดีกลับมาขับแท็กซี่พบว่า จำนวนผู้โดยสารลดลงส่งผลให้รายได้ไม่เพียงพอ

กลุ่มนักสังคมสงเคราะห์จึงชักชวนให้มาขับรถแท็กซี่เพื่อรับ-ส่ง ช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ของโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ฯ พบว่า มีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่สามารถเดินทางมาเข้ารับการรักษาได้ จึงได้ชักชวนเพื่อนแท็กซี่มาเข้าร่วมโครงการฯ นอกจากจะมีรายได้เพิ่มแล้ว ยังได้ช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ด้วย

"รู้สึกตื้นตันใจทีได้ช่วย ผู้ป่วยโควิด-19 ที่ไม่มีรถมาโรงพยาบาล และสามารถช่วยแบ่งเบาภาระรถฉุกเฉินของโรงพยาบาล หน่วยงานสาธารณสุข รถกู้ภัย ในการช่วยเหลือผู้ป่วย และยังลดการติดเชื้อจากการสัญจรของผู้ติดเชื้อได้ ซึ่งผู้โดยสารหลายคนดีใจมากที่มีรถมารับ บางครั้งหากผู้โดยสารไม่มีทุนทรัพย์ก็ไม่คิดเงินถือว่าได้ช่วยเหลือกัน"

"นอกจากงานแท็กซี่จิตอาสาแล้ว ยังร่วมกับทีมนักสังคมสงเคราะห์ ในการให้คำปรึกษา แนะนำดูแลเฝ้าระวัง และการป้องกันตนเองจากโควิด-19 ให้กับชุมชน พร้อมมอบของอุปกรณ์ยังชีพต่างๆ เพื่อให้กำลังใจด้วย" นายพจนารถ กล่าว

ทั้งนี้ หากท่านใดต้องการใช้บริการ 'อาสา TAXI ปทุมฯ ห่วงใยช่วยภัยโควิด' สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ 061-868-5246 แจ้งล่วงหน้า 1 วัน รับ-ส่งในพื้นที่ กรุงเทพฯ และ ปริมณฑล
#2873


รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า ก.ล.ต.ได้รับรายงานการได้มา หุ้นของ บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XPG โดย นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ซึ่งเป็นการได้มา เมื่อวันที่ 17 ส.ค.2564

จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มา คิดเป็น 2.2821% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มา คิดเป็น 6.1024% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ส่วนจำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มาของกลุ่มคิดเป็น 2.2821% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มาของกลุ่มคิดเป็น 6.1024% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ


ทั้งนี้ เป็นการทำธุรกรรมผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ก่อนจะยื่นแบบรายงานต่อ ก.ล.ต.วันที่ 17 ส.ค. โดยจำนวนหุ้นที่ได้มาอยู่ที่ 65,400,000 หุ้น คิดเป็น 2.2821% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ที่ราคาเฉลี่ย 9.95 บาทต่อหุ้น รวมมูลค่า 650.73 ล้านบาท

ภายหลังการได้มาจะส่งผลให้ นายชูชาติ ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 5 ของ XPG จากข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 29 ก.ค.2564 รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ 5 อันดับแรก ได้แก่

1. บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) 403,379,000 หุ้น หรือ 14.08%

2. นายมงคล ประกิตชัยวัฒนา 363,041,000 หุ้น หรือ 12.67%

3. ELEVATED RETURNS LLC 346,000,000 หุ้น หรือ 12.07%

4. บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) 268,918,000 หุ้น หรือ 9.38%

5. UBS AG SINGAPORE BRANCH 83,425,856 หุ้น หรือ 2.91%
#2874


วันนี้ (19 สิงหาคม 2564) นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุ เพื่อประกอบการระบบบริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ผ่านระบบการประชุมทางไกล ระหว่าง กระทรวงการคลังโดย สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และบริษัท โกลเบิลแอโร่แอสโซซิเอทส์ จํากัด (GAA) กิจการร่วมค้าของบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BAFS) และ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR)

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานในพิธีฯกล่าวแสดงความยินดีต่อคู่สัญญาที่มาร่วมลงนามสัญญาในวันนี้ และกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยเผชิญกับวิกฤตการณ์ครั้งสำคัญของมนุษยชาติจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจและวิถีการดำรงชีวิตและการทำงาน รัฐบาลจำเป็นต้องรักษาสมดุลของการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับระบบบริหารจัดการทางด้านสาธารณสุข และการผลักดันให้ภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม ยังคงดำเนินการต่อไปได้อย่างราบรื่น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC สำหรับโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกนั้น เป็นโครงการร่วมลงทุนที่สำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของ EEC เพื่อรองรับการขนส่งทางอากาศทั้งการขนส่งผู้โดยสารและการขนส่งสินค้า และระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานภายในสนามบินก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินงานของสนามบิน จำเป็นต้องมีการคัดเลือกเอกชนให้เข้ามาเป็นผู้ประกอบการ ซึ่งรวมถึงระบบบริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน และในวันนี้ สกพอ. ได้ดำเนินการคัดเลือกผู้ประกอบการระบบบริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานจนประสบความสำเร็จ จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง และถือเป็นอีกก้าวหนึ่งในการพัฒนา EEC เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทางด้านการค้าและการลงทุนให้แก่นักลงทุน และกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในพื้นที่ EEC มากขึ้น อันจะนำไปสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง

นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวว่า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดย สกพอ. ร่วมกับกองทัพเรือ ได้คัดเลือกเอกชนเพื่อเข้าร่วมพัฒนาระบบสาธารณูปโภค ซึ่งในส่วนของงานบริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานได้ดำเนินการคัดเลือกผู้ประกอบการด้วยความเป็นธรรม โปร่งใส และตรวจสอบได้ จนประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง

โดยได้คัดเลือก "กิจการร่วมค้าบาฟส์และโออาร์" เป็นผู้เช่าที่ดินราชพัสดุเพื่อประกอบการระบบบริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งเป็นผู้ที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน มีความเชี่ยวชาญ และมีมาตรฐานการดำเนินงานในระดับสากล นับเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ และก่อให้เกิดประโยชน์ ทั้งในด้านการได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่จากภาคเอกชน อีกทั้ง เป็นการลดภาระในด้านงบประมาณและบุคลากรในส่วนของภาครัฐ และเป็นการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนมีโอกาสในการดำเนินธุรกิจได้มากขึ้น ทำให้ภาคประชาชนได้รับประโยชน์และความสะดวกสบายจากการบริการสาธารณะที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น


นายประกอบเกียรติ นินนาท กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) หรือบาฟส์ (BAFS) เปิดเผยว่า BAFS เป็นผู้นำในด้านการให้บริการระบบเติมน้ำมันอากาศยานแบบครบวงจรของประเทศ ที่ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทน้ำมันและสายการบินจากทั่วโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานและส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรมการบินของประเทศ การจัดตั้งบริษัท โกลเบิลแอโร่แอสโซซิเอทส์ จำกัด หรือ GAA ร่วมกับ OR ในครั้งนี้ จะเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก และเป็นก้าวสำคัญในการรองรับการเติบโตของโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ ECC และประเทศไทยต่อไปในอนาคต


นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ (OR) เปิดเผยว่า OR ในฐานะที่เป็นหนึ่งใน Flagship ของกลุ่ม ปตท. และเป็นผู้นำด้านพลังงาน OR ให้บริการเชื้อเพลิงอากาศยานที่มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐานสากลด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย สามารถตอบสนองได้ทุกความต้องการของลูกค้าในอุตสาหกรรมการบิน การร่วมมือกับ BAFS ในการจัดตั้งกิจการร่วมค้า คือ บริษัท โกลเบิลแอโร่แอสโซซิเอทส์ จำกัด หรือ GAA ถือเป็นการเสริมศักยภาพในการแข่งขัน และเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานภายในสนามบินอู่ตะเภา สอดคล้องกับเป้าหมายในการยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินนานานชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ ดิศกุล ประธานกรรมการ บริษัท โกลเบิลแอโร่แอสโซซิเอทส์ จํากัด (GAA) กล่าวว่า GAA พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง และการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับสังคม ด้วยความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจด้านการบริหารจัดการและการให้บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานและธุรกิจด้านพลังงาน มามากกว่า 30 ปี โดย BAFS และ OR จะสนับสนุนให้ GAA มีศักยภาพ ด้วยความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อให้การบริหารจัดการและการให้บริการณสนามบินอู่ตะเภามีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการค้าน้ำมันเสรีแบบ Open Access ดูแลระบบท่อส่งน้ำมันใต้ลานจอด และในทุกกระบวนการตามขั้นตอนและมาตรฐานสากลที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก

GAA จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 ด้วยมีทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาท โดย BAFS ถือหุ้น 55% และ OR ถือหุ้น 45% สำหรับโครงการเช่าที่ดินราชพัสดุดังกล่าวมีมูลค่าการลงทุนเริ่มแรกประมาณ 2,300 ล้านบาท ซึ่ง GAA จะจัดเตรียมความพร้อมในด้านระบบบริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน ส่งเสริมศักยภาพสนามบินอู่ตะเภาที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 60 ล้านคนต่อปี เพื่อสร้างความมั่นคงด้านการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานรองรับการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของสนามบินอู่ตะเภา ในปี 2568 และการเติบโตของ EEC ตามนโยบายการพัฒนาประเทศของรัฐบาล
#2875


นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด(มหาชน) หรือ MFC เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงาน6 เดือนแรกปี 2564  มีกำไรสุทธิ183.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 191.74%  และมีรายได้ 826.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 106.63% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

สาเหตุหลักมาจากในปีนี้บริษัทจัดตั้งกองทุนรวมใหม่จำนวน 10 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ(AUM) 8,223 ล้านบาท เพิ่มขึ้น314.3 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นจำนวนลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 998.4%

โดยมีกองทุนที่โดดเด่น ที่เป็นกองทุนยอดนิยม คือ MRENEW กองทุนพลังงานทดแทนกองแรกในไทย, M-EM กองทุนตลาดเกิดใหม่, MFTECH กองทุนฟินเทค, MEURO กองทุนหุ้นยุโรป, MCHINA กองทุนหุ้นจีน A-shares, MGF กองทุนหุ้นเติบโตคุณภาพดีทั่วโลก และ MMPLUS กองทุนตราสารหนี้ เป็นต้น

และปัจจัยจากการปรับขยายช่องทางการขายผ่านตัวแทนขายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

 ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทมีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวมอยู่ที่ 31.55 % และมีอัตรากำไรสุทธิต่อรายได้รวมเท่ากับ 22.21 %


พร้อมกันนี้ บริษัทยังได้รับงานบริหารการลงทุน 2 แห่ง โดยเป็น "ผู้จัดการกองทรัสต์โรงพยาบาลรายแรกในไทย" และ "ทรัสตีรายแรกของกองโทเคน" ดังนั้นบริษัทตั้งเป้าขยายทีมงานและพัฒนาทักษะการดำเนินงานของทุกภาคฝ่าย ให้มีความพร้อมและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อเตรียมรับการเข้าบริหารงานกองทุนในโครงการใหม่ๆที่กำลังจะมีเข้ามาในอนาคต

นายธนโชติ กล่าวว่า บริษัทเตรียมเข้ารับหน้าที่เป็น "ผู้จัดการกองทรัสต์" โดยยื่นไฟล์ลิ่งขอจัดตั้งและเสนอขายกองทรัสต์โรงพยาบาลแห่งแรกของประเทศไทยคือ "ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เครือโรงพยาบาลบางปะกอก" หรือ "Bangpakok Hospital Group Leasehold Real Estate Investment Trust" (ชื่อย่อหลักทรัพย์ BHGRT) คาดว่ามีมูลค่าเข้าลงทุนครั้งแรกไม่เกิน 5,200 ล้านบาท

โดยจะเข้าลงทุนในสิทธิการเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโครงการโรงพยาบาลบางปะกอก1 (BPK 1) และโรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล (BPK 9) รวมถึงระบบสาธารณูปโภค งานระบบและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่วนควบของสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว และกรรมสิทธิ์ในอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่สำคัญต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการดำเนินกิจการใน

สำหรับโครงการดังกล่าว มีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด เป็นทรัสตี และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน การเข้าเป็นผู้จัดการกองทรัสต์ BHGRT นั้นจะเป็นการเพิ่มความหลากหลายของประเภททรัพย์สินที่ MFC บริหารจัดการ ช่วยเพิ่มความน่าสนใจและเพิ่มโอกาสในการเป็นผู้จัดการกองท

อีกทั้งบริษัทยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ทรัสตี ในโครงการ "โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนสิริฮับ" หรือ "SiriHub Investment Token"มีหน้าที่จัดการกองทรัสต์ และติดตาม ดูแลการบริหารจัดการทรัพย์สินของผู้ออกโทเคนดิจิทัล ซึ่ง MFC เป็นทรัสตีรายแรกของไทย ที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ให้ประกอบธุรกิจการเป็นทรัสตีของทรัสต์สำหรับธุรกรรมการเสนอขายโทเคนดิจิทัลที่อ้างอิงหรือมีกระแสรายรับจากอสังหาริมทรัพย์ เมื่อวันที่ 24มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา

ด้าน "สิริฮับ" เป็นโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนที่อ้างอิงกระแสรายรับจากอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate-backed ICO) รายแรกในไทย ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่  29กรกฎาคม 2564 มีมูลค่าการเสนอขาย 2,400 ล้านบาท

จุดประสงค์เพื่อกระจายโอกาสให้นักลงทุนทุกกลุ่มสามารถลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพและมีมูลค่าสูงได้ โดยมีกลไกการคุ้มครองนักลงทุนในทุกขั้นตอน ปลอดภัยสูงบนเทคโนโลยีบล็อกเชน เนื่องจากในการเสนอขายโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนสิริฮับครั้งนี้ ถูกรองรับด้วยเทคโนโลยีระบบบล็อกเชน (Blockchain) ของเทโซส (Tezos) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มบล็อกเชนที่ทันสมัยที่สุดถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการระดมทุนในรูปแบบของโทเคนดิจิทัลที่มีสินทรัพย์อ้างอิงโดยเฉพาะ ยังเป็นการขยายช่องทางและโอกาสการเป็นทรัสตีในอนาคตอีกด้วย  
#2876


นางสุภาพร ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)กรุงศรี เปิดเผยว่า ปัจจุบันกระแสการลงทุน ESG ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance)กำลังเป็นที่นิยมของนักลงทุนทั่วโลกอย่างมาก โดยกระแสดังกล่าวจุดติดหลังเกิดกการแพร่ระบาดโควิด-19 เมื่อปีก่อนนักลงทุนพยายามกระจายการลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีและลดความผันผวนของตลาด

ขณะเดียวกันธีมลงทุน ESG ยังมีโมเมนตัมที่ดี สำหรับการลงทุน เพื่อหวังผลตอบแทนในระยะกลางถึงยาว แต่ในระยะสั้นก็สามารถสร้างความโดดเด่นได้ โดยในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้หุ้นกลุ่มESGได้พักฐานไปแล้วจากการสลับเปลี่ยนกลุ่มลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีและในช่วง 2 เดือนมานี้นักลงทุนเริ่มกลับมาลงทุนในธีม ESG อีกครั้ง ซึ่งราคาหุ้นยังไม่ปรับตัวสูงจนแพงเกินไปจึงเป็นโอกาสที่เข้ามาลงทุนได้

ล่าสุด บลจ.กรุงศริ เปิดตัวกองทุน ESG ใหม่ "กองทุนเปิดกรุงศรี Equity Sustainable Global Growth" ( KFESG) มูลค่ากองทุน 10,000 ล้านบาท ลงทุนขั้นต่ำ 500 บาทเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO)ระหว่างวันที่ 16-24 ส.ค.นี้ และสำหรับนักลงทุนรายย่อย เมื่อลงทุนทุกๆ 100,000 บาทในช่วงเสนอขาย IPO รับเพิ่มหน่วยลงทุนKFESG-A มูลค่า 100บาท


นายเกียรติศักดิ์ ปรีชาอนุสรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนทางเลือก บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า สำหรับกองทุน KFESG เน้น 3 ธีมการลงทุนหลักที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)ได้แก่ สภาวะอากาศ (Climate) สุขภาพ (Health) และการเสริมสร้างบทบาทและความเท่าเทียมในสังคม (Empowerment)ที่จะสร้างโอกาสเติบโตอย่างแตกต่างในระยะยาวผ่านกองทุนหลัก AB Sustainable Global Thematic Portfolio

 โดยกองทุนหลัก ABSustainable Global Thematic Portfolio สร้างธีมการลงทุนดังกล่าวที่เกี่ยวข้องกับ 17 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ ทำให้มีโอกาสเติบโตที่ยั่งยืนได้ในระยะยาว ด้วยการสนับสนุนจากนานาประเทศทั่วโลก พร้อมเม็ดเงินลงทุนมหาศาล โดยตัวเลขคาดการณ์อยู่ที่90ล้านล้านดอลลาร์

กทั้งพอร์ตการลงทุนที่ผู้จัดการกองทุนเชื่อมั่น สร้างขึ้นจากการวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงลึก บนมุมมองการเติบโตในระยะยาวและสร้างผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีชี้วัดณ 30 มิ.ย. 2564ผลการดำเนินงานกองทุนหลัก AB ย้อนหลังเฉลี่ย1ปีอยู่ที่42.11% ขณะที่ดัชนีชี้วัดMSCIอยู่ที่39.26% ผลการดำเนินงานย้อนหลังเฉลี่ย3ปีอยู่ที่20.26%ดัชนีชี้วัดอยู่ที่14.57% ผลการดำเนินงานย้อนหลังเฉลี่ย5ปีอยู่ที่18.97%ดัชนีชี้วัดอยู่ที่14.61%

"ภาวะการลงทุนหุ้นในปีนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกและไทยยังมีความผันผวนสูง อีกทั้งมีการสลับสับเปลี่ยนกลุ่มหุ้นและภูมิภาคอยู่บ่อยครั้งแนะนำว่า การลงทุนธีมหุ้นที่ชัดเจน โดยเฉพาะธีมหุ้นยัั่งยืนทั่วโลก ในธุรกิจที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งเติบโตสูง พอร์ตลงทุนมีการกระจายตัวสูง โดยสามารถแบ่งเงินที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ มาลงทุนในกองทุนKFESG ระยะ 3ปีขึ้นไป ช่วยให้การลงทุนประสบความสำเร็จในภาวะเช่นนี้ได้สูง"  
#2877
111-Lotto 111  ตัวแทนจำหน่าย ล็อตเตอรี่ออนไลน์ รายใหญ่ของ มังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์  ปรับเปลี่ยนรูปแบบการซื้อล็อตเตอรี่แบบใหม่  ยุค new normal




ไม่ต้องไปหน้าแผง ไม่ต้องเสียเวลาก้มหาเลข ไม่ต้องไปลุ้นว่าจะมีเลขที่อยากได้มั้ย แค่แอดไลน์ หาเรา บอกเลขที่ต้องการ เลขเด็ด เลขดัง แจ้งโอนเงิน จะได้รับ SMS ยืนยัน




ถ้าถูกรางวัลสามารถขึ้นเงินได้จริง ได้รับเงินจริงไม่เกิน 24 ชม โดยปกติใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงหลังผลสลากกินแบ่งรัฐบาลออกเท่านั้น 

ขั้นตอนการซื้อ ล็อตเตอรี่ออนไลน์ กับเรานั้น ง่ายๆ มาก มี 2 แบบให้เลือกแล้วแต่สะดวก

1. แอดไลน์ @111-lotto หรือคลิกทีนี่ เพื่อ คุยกับแอดมินโดยตรงและทำการสั่งซื้อและโอนเงินผ่านไลน์ มีเจ้าหน้าที่แนะนำทุกขั้นตอน 

111-lotto รีบแอดไลน์เพื่อเลือกเลขรางวัลก่อนใคร

Add Line : @111-lotto





2. สั่งซื้อผ่านระบบ 111-lotto ล็อตเตอรี่ของของมังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์ ด้วยตัวเอง จะทำที่ไหน เมื่อไหร่ เวลาไหนก็ได้ Add Line : @111-lotto


 


 
#2878


ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย และ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไนอาก้า อินโดนีเซีย ร่วมให้บริการชำระเงินผ่าน QR Code ระหว่างประเทศไทยและประเทศอินโดนีเซีย ตอกย้ำยุทธศาสตร์ของธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ในการก้าวเป็น 'a Digital-led with ASEAN Reach'

ภายใต้ความร่วมมือระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารกลางอินโดนีเซีย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เป็น 1 ใน 3 ธนาคารที่ได้รับความไว้วางใจในระดับภูมิภาคอาเซียนให้เป็นผู้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการชำระดุล (Settlement Bank) ของประเทศไทย ในการชำระเงินผ่าน QR Code ระหว่างประเทศไทยและอินโดนีเซีย โดยธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จะเริ่มให้บริการเดือนกันยายน 2564  

คนไทยที่เดินทางไปอินโดนีเซีย สามารถใช้ CIMB THAI Digital Banking แอปพลิเคชันหลักของธนาคารบนมือถือ จ่ายเงินผ่าน QR Code ที่อินโดนีเซีย โดยสแกน QRIS (Quick Response Code Indonesian Standard) ซึ่งเป็น QR มาตรฐานของประเทศอินโดนีเซีย ขณะที่คนอินโดนีเซียที่เดินทางมาไทยสามารถใช้ OCTO Mobile แอปของธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไนอาก้า ชำระสินค้าที่ไทย โดยสแกน Thai QR Code  เพิ่มความสะดวกสบายให้ทั้งนักท่องเที่ยวและร้านค้า เพราะปัจจุบัน การชำระเงินผ่าน QR Code เป็นวิธีการชำระและรับเงินได้ทันที มีประสิทธิภาพ ช่วยลูกค้าปลอดภัยเพราะไม่ต้องพกเงินสด และประหยัดค่าธรรมเนียมต่างๆ อาทิ ค่าธรรมเนียมการแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศ

นายพอล วอง ชี คิน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า "การชำระเงินข้ามพรมแดนผ่าน QR Code ระหว่างไทย-อินโดนีเซีย เป็นการเปิดช่องทางใหม่ในอาเซียน ประเทศที่ 2 แล้วของธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ที่เข้าไปมีส่วนร่วม และเป็นอีกก้าวสำคัญในการเชื่อมโยงการชำระเงินในอาเซียนให้กว้างยิ่งขึ้น เราตื่นเต้นที่จะได้เห็นคนอาเซียนเชื่อมโยงกันใกล้ชิด ผ่านการชำระเงินของผู้บริโภครายย่อยและร้านค้าแบบเรียลไทม์ เราหวังให้ภูมิภาคของเราสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ได้โดยเร็ว และอาเซียนกลับมาเปิดประเทศกันได้อีกครั้ง" นายพอล วอง กล่าว

Mr. Tigor M. Siahaan, President Director & Chief Executive Officer, PT Bank CIMB Niaga Tbk เปิดเผยว่า "การขยายตัวของการชำระเงินด้วย QR Code ในอาเซียนสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการบูรณาการทางการเงินระดับภูมิภาคผ่านนวัตกรรมดิจิทัลที่มองไปข้างหน้า และเป็นความภาคภูมิใจที่ ซีไอเอ็มบี ไนอาก้า ซีไอเอ็มบี ไทย และสมาชิกอื่นๆ ของกลุ่มซีไอเอ็มบีได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อให้บริการลูกค้าของเราได้ดียิ่งขึ้นทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน"

ทั้งนี้ เมื่อเดือนมิถุนายน 2564 ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ได้รับเลือกให้เป็นผู้ให้บริการ QR payment ระหว่างประเทศไทย และมาเลเซีย จากความร่วมมือระหว่างธนาคารกลางมาเลเซีย และธนาคารแห่งประเทศไทย
อนึ่ง กลุ่มซีไอเอ็มบี มีเครือข่ายครบทั้ง 10 ประเทศอาเซียน ทั้งการเป็นสาขาเต็มรูปแบบ สำนักงานตัวแทน และเครือข่ายธุรกิจ ตลอดจนผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เชื่อมโยงความเป็นอาเซียน อาทิ BizChannel@CIMB Mobile app ที่ให้ลูกค้าธุรกิจสามารถบริหารจัดการทุกบัญชี CIMB ทั่วอาเซียนได้ในแอปเดียว สำหรับลูกค้ารายย่อยผู้ถือบัตรเดบิต ของกลุ่มซีไอเอ็มบี สามารถกดเงินข้ามประเทศผ่านตู้ ATM ของกลุ่มซีไอเอ็มบีโดยไม่เสียค่าธรรมเนียม
#2879


ดร.สุทธาภา อมรวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี อบาคัส จำกัด กล่าวว่า ในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นี้ ทาง เอสซีบี อบาคัส และแอปพลิเคชั่น "เงินทันเด้อ" มีความยินดีที่ได้ร่วมแคมเปญกับ ฟู้ดแพนด้า เพื่ออำนวยความสะดวกทางด้านสินเชื่อให้กับไรเดอร์ฟู้ดแฟนด้า ซึ่งถือเป็นกำลังหลักในการช่วยเหลือพี่น้องคนไทยให้อยู่บ้านเพื่อรักษาระยะห่าง นอกจากนี้ แคมเปญนี้ยังสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของเราที่ต้องการมุ่งเน้นการบริการทางการเงินเพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนยุคใหม่ที่ต้องการเงินทุนเพื่อการประกอบอาชีพ โดยทาง เอสซีบี อบาคัส หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือกันในครั้งนี้จะช่วยให้ไรเดอร์ฟู้ดแพนด้ามีเงินทุนหมุนเวียนเพื่อประกอบอาชีพเสริม และมีกำลังใจในการให้บริการอย่างดีเยี่ยมต่อไป


การร่วมมือกันระหว่าง ฟู้ดแพนด้า และ เอสซีบี อบาคัส จะช่วยอำนวยความสะดวกให้ไรเดอร์ฟู้ดแพนด้าทั่วประเทศ ที่มีความจำเป็นต้องขอสินเชื่อ โดยสามารถขอสินเชื่อตั้งหลักผ่านทางแอปพลิเคชั่น "เงินทันเด้อ" ได้ทันที ไม่ต้องเตรียมเอกสารให้ยุ่งยาก เพียงแค่มีรายได้ขั้นต่ำต่อเดือนจากการให้บริการเดลิเวอรี่กับฟู้ดแพนด้า 2,000 บาทขึ้นไป สัญชาติไทย อายุ 20-57 ปี ก็สามารถสมัครใช้บริการได้ เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น "เงินทันเด้อ" สมัครใช้บริการและยื่นขอสินเชื่อตั้งหลัก โดยรู้ผลไวภายใน 15 นาที และรับเงินภายใน 24 ชั่วโมงหลังได้รับการอนุมัติสินเชื่อ โดยมีวงเงินสินเชื่อสูงสุดที่ 50,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 2.75 ต่อเดือน และระยะเวลาการผ่อนชำระสูงสุด 15 เดือน นับว่าเป็นบริการทางการเงินที่สะดวก รวดเร็ว และตอบสนองความต้องการของไรเดอร์ ซึ่งเป็นบุคลากรคนสำคัญของฟู้ดแพนด้าอย่างแท้จริง

นายอเล็กซานเดอร์ เฟลเดอร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟู้ดแพนด้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "หนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของการดำเนินธุรกิจของ ฟู้ดแพนด้า นอกเหนือจากร้านค้าพาร์ทเนอร์ และลูกค้าทุกท่านแล้ว ไรเดอร์ คือบุคลากรสำคัญที่คอยส่งมอบความสุข ความอร่อย และประสบการณ์ที่ดีเยี่ยม ทางบริษัทได้ตระหนักถึงความทุ่มเทและความตั้งใจของไรเดอร์ที่คอยส่งมอบบริการจากฟู้ดแพนด้าถึงมือลูกค้าทุกท่านเป็นอย่างดีเสมอมา นับตั้งแต่วันแรกที่ได้ให้บริการคนไทยจวบจนปัจจุบัน เรารับฟังทุกความต้องการของไรเดอร์มาโดยตลอด จากผลสำรวจพบว่าไรเดอร์ต้องการการสนับสนุนด้านเงินทุน ฟู้ดแพนด้า จึงได้ร่วมมือกับบริษัท เอสซีบี อบาคัส จำกัด ผู้พัฒนาแอปพลิเคชั่น "เงินทันเด้อ" บริการสินเชื่อตั้งหลักที่จะมาอำนวยความสะดวกในเรื่องเงินทุนหมุนเวียนเพื่อประกอบอาชีพเสริม รวมถึงเป็นการให้กำลังใจไรเดอร์ของเราทุกคน ในช่วงเวลาที่ยากลำบากขณะนี้"

"นี่เป็นเพียงหนึ่งในแคมเปญที่ทางฟู้ดแพนด้าได้จัดตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนไรเดอร์ ขอสัญญาว่าเราจะเดินหน้าต่อไปเพื่อพัฒนาการให้บริการให้ดีขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง และดูแลพาร์ทเนอร์ของฟู้ดแพนด้าให้ดีที่สุด ขอบคุณทุกท่านและพนักงานทุกคนที่ให้โอกาสและเชื่อมั่นในฟู้ดแพนด้า" 
#2880


นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2564 ได้ร่วมกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยและสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ จัดการประชุมหารือกับหน่วยงานกำกับดูแลการนำเข้าข้าวของรัฐบาลมาเลเซีย (Padiberas Nasional Berhad : BERNAS) ผ่านระบบ Video Conference  

ปี 2564 นี้ คาดว่ามาเลเซียจะนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่มีปริมาณ 1.08 ล้านตัน เนื่องจากมีปัญหาด้านการเพาะปลูกในประเทศ ทั้งนี้ ประเทศไทยถือเป็นแหล่งนำเข้าข้าวหลักของมาเลเซียมาโดยตลอดเนื่องจากข้าวไทยมีคุณภาพดีและเป็นที่นิยมของผู้บริโภคชาวมาเลเซีย อย่างไรก็ดี ในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา BERNAS จำเป็นต้องนำเข้าข้าวจากแหล่งอื่น เช่น อินเดีย ปากีสถาน และเวียดนาม เพิ่มขึ้น แม้ว่าคุณภาพข้าวจะด้อยกว่าไทยแต่เนื่องจากประเทศเหล่านี้สามารถส่งข้าวในราคาที่ถูกกว่าข้าวไทยมาก

 


อย่างไรก็ดี BERNAS เห็นว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 อุปสงค์ของข้าวไทยจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาข้าวไทยลดลงมาอยู่ในระดับที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อได้ ทั้งนี้ นอกจากปัจจัยด้านราคาที่ปรับตัวลดลงทำให้ข้าวไทยแข่งขันได้มากขึ้นแล้ว ผู้บริโภคในมาเลเซียยังเชื่อมั่นในคุณภาพและนิยมข้าวไทยมากกว่าข้าวจากแหล่งอื่น โดยจะเห็นได้จากปริมาณคำสั่งซื้อข้าวจากไทยที่เริ่มมีมากขึ้นในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นอีกในช่วงครึ่งปีหลัง

 

นอกจากนี้ BERNAS ยังมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมส่งเสริมตลาดและประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในมาเลเซียว่าควรเริ่มดำเนินการในช่วงเดือนตุลาคมเป็นต้นไป เนื่องจากคาดว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะเริ่มคลี่คลาย ประชาชนจะเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติ รวมถึงอุปสงค์จากธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารจะเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ช่วยให้อุปสงค์ข้าวไทยเพิ่มขึ้นด้วย

 
นายกีรติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในระยะต่อไปกรมฯ มีแผนหารือกับบังกลาเทศ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ เพื่อผลักดันและส่งเสริมให้ข้าวไทยมีส่วนแบ่งในตลาดเป้าหมายเพิ่มขึ้นต่อไป

 

สำหรับสถานการณ์ส่งออกข้าวไทยตั้งแต่ (1 ม.ค. – 29 ก.ค.) ไทยส่งออกข้าวปริมาณ 2.74 ล้านตัน ลดลง 17.07%  คิดเป็นมูลค่า 1,671 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 50,925 ล้านบาท) ลดลง 24.84%  แต่คาดว่าในช่วง 6 เดือนหลังสถานการณ์การส่งออกข้าวน่าจะดีกว่า 6 เดือนแรก