• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Cindy700

#2921


'สี จิ้นผิง'ตั้งเป้าส่งวัคซีนโควิดช่วยทั่วโลก 2 พันล้านโดสในปีนี้ พร้อมบริจาคเงิน 100 ล้านดอลลาร์ให้แก่โครงการโคแวกซ์

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดี (5 ส.ค.) ว่า จีนจะจัดส่งวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จำนวน 2,000 ล้านโดสให้แก่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกภายในปี 2564 นี้

นอกจากนี้ ประธานาธิบดีสียังระบุว่าจีนจะบริจาคเงิน 100 ล้านดอลลาร์ให้แก่โครงการโคแวกซ์ซึ่งเป็นโครงการกระจายวัคซีนให้แก่ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย หลังจากที่ผ่านมา จีน ได้จัดส่งวัคซีนจพนวนกว่า 770 ล้านโดสไปให้ประเทศอื่นๆ

ทั้งนี้ เมื่อเดือนก.ค.ในการประชุมฉุกเฉินในระดับประมุขแห่งรัฐและรัฐบาลกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิก (เอเปก)ทางออนไลน์ ประธานาธิบดีสี สัญญาว่าจะให้ความช่วยเหลือทางการเงิน 3,000 ล้านดอลลาร์ แก่ประเทศกำลังพัฒนาเพื่อนำไปต่อสู้กับโควิด-19 ให้ฟื้นตัวจากผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ
#2922


แม้ไลน์ (LINE) แอปพลิเคชันส่งข้อความแชตยอดฮิตจะไม่ได้ประกาศตรงไปตรงมาว่า วางเป้าหมายของธุรกิจ LINE for Business ปี 2564-2565 ไว้ที่การผลักดันตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศไทย แต่ LINE ก็มั่นใจว่าทิศทางธุรกิจที่จะเกิดในปีนี้ จะเป็นแรงผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยเข้าใจ และเห็นเทรนด์ที่ 'มากพอ' จนให้ธุรกิจไทยเข้ามาประสานพลังเป็นองค์รวม ติดปีกให้ไทยสามารถแข่งขันได้ดีขึ้นในยุคนิวนอร์มัล

ถามว่าทำได้อย่างไร? เรื่องนี้ประเมินเบื้องต้นได้จากกองทัพแบรนด์และหน่วยงานที่มาเปิดบัญชีทางการบน LINE หรือที่เรียกว่า LINE OA (LINE Official Account) LINE เชื่อว่าด้วยศักยภาพของแพลตฟอร์ม LINE ที่เข้าถึงคนไทยกว่า 49 ล้านคน บริการ LINE OA จึงมีโอกาสกลายเป็นตัวกลางสำคัญให้บริษัทและองค์กรภาครัฐสามารถให้ข้อมูลหรือให้บริการบางส่วนได้โดยที่คนไทยไม่ต้องเดินทางมายังสถานที่ให้บริการ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโลกธุรกิจวันนี้

LINE ยืนยันว่า LINE OA มียอดใช้งานสูงผิดปกติ ย้อนไปช่วง พ.ค. ปีที่แล้ว LINE ประกาศว่าจำนวนหน่วยงานที่มาเปิดบัญชีทางการเป็น LINE OA เพิ่มขึ้นมาเป็น 4 ล้านราย ขยายขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มี 3 ล้านราย มาปี 64 ดาวรุ่งอย่าง LINE ยังคงยึดตัวเลขเดิมคือ 4 ล้านรายไว้ พร้อมกับย้ำว่าในสถานการณ์ที่ไม่มีโควิด-19 ยอด LINE OA ไม่ได้เติบโตปีละ 1 ล้านราย แต่มักต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะทำได้

ภาวะนี้สะท้อนโอกาสของ LINE OA โดยเฉพาะปี 64-65 ที่ LINE วางโฟกัสไปที่ธุรกิจร้านอาหารและค้าปลีก ผ่านบริการชื่อมายช็อป (MyShop) และมายเรสเตอรอง (MyRestaurant) ที่เปิดพื้นที่ให้ร้านค้ารับออเดอร์และบริการลูกค้าได้ฟรีในขณะนี้ ก่อนที่จะมีการออกแบบให้บริการมีความคุ้มค่าต่อธุรกิจมากขึ้น เพื่อปูทางสู่การพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ที่จะเริ่มเก็บค่าบริการในช่วงปี 65

***ไม่ใช่เก็บเงินจากของที่เคยฟรี

นรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ LINE ประเทศไทย กล่าวถึงแนวทางพัฒนาบริการ MyShop และ MyRestaurant ในปีหน้าว่าจะไม่มีการเปลี่ยนฟีเจอร์ให้บริการฟรีมาเป็นเก็บค่าบริการ แต่ LINE จะมีคุณสมบัติที่ดีขึ้นกว่าเดิมแล้วจึงค่อยเก็บค่าบริการ 

'เราอาจจะต้องขอเงินเป็นรายได้เราด้วย' นรสิทธิ์ระบุ 'เป้าหมายของ LINE คือการพัฒนาโซลูชันให้ใช้ง่าย เน้นให้ธุรกิจใช้ LINE OA ในการบริหารธุรกิจได้มากขึ้น ปัจจุบัน LINE ทำงานร่วมกับพันธมิตรหลายราย มีการเอา API มาปรับใช้เพื่อให้ธุรกิจใช้ LINE เป็นหน้าร้านได้ง่ายขึ้น เจาะกลุ่มคนไทยได้ทุกอายุ เรียกว่าถ้าใครหรือแบรนด์ใด ต้องการเข้าถึงคนไทยมากขึ้น ก็จะมาที่ LINE OA เชื่อว่าจะเป็นก้าวที่พัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ'

ผลดีของเศรษฐกิจ จะไปอยู่ที่กระเป๋าเงินของ LINE ด้วย
ผลดีของเศรษฐกิจ จะไปอยู่ที่กระเป๋าเงินของ LINE ด้วย

LINE OA เป็นโซลูชันหลักที่ LINE ให้บริการลูกค้าธุรกิจและ SME ภายใต้แบรนด์ LINE for Business ธุรกิจนี้ต่อยอดไปมากจากที่ LINE เคยเป็นเพียงแอปพลิเคชันแชตที่ใช้เพื่อรับส่งความช่วยเหลือในช่วงวิกฤตแผ่นดินไหวใหญ่ที่ญี่ปุ่นเมื่อปี 2554 แล้วจึงเข้าสู่เมืองไทยช่วง 9 ปีที่แล้วที่โซเชียลมีเดียกำลังบูม สำหรับไทย เชื่อกันว่าคนไทยเริ่มทดลองใช้ LINE เพราะว่ามีสติกเกอร์น่ารัก ปูทางให้ LINE เริ่มพาธุรกิจมาสู่บริการ LINE OA ซึ่งกลืน 'LINE@' ที่ให้บริการ SME ก่อนหน้านี้เอาไว้ด้วย

LINE เปิดให้บริการ LINE Pay ในช่วง 2 ปีหลังจากนั้น พร้อมกับเริ่มทำธุรกิจคอนเทนต์ เช่น LINE Today จนมีการเปิดบริการ LINE MAN ราว 2-3 ปีต่อมามีการผลักดันธุรกิจ LINE ไปสู่วงการดิจิทัลไฟแนนซ์ มีการร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทยเปิดเป็น LINE BK แล้วขยายไปเปิดธุรกิจอีคอมเมิร์ซผ่าน LINE Shopping ที่เข้าถึงผู้บริโภคตรงๆ ร่วมกับการขยายธุรกิจสติกเกอร์ให้ยิ่งใหญ่มากขึ้น และการทำโอเพ่นแชต ซึ่งสร้างเป็นชุมชนที่สมาชิกสามารถพูดคุยได้แบบไม่เปิดเผยตัวตน

สิ่งที่ไลน์มองต่อจากนี้คือการปิดช่องว่าง LINE มองตัวเองเป็นแพลตฟอร์มที่ปิดช่องว่างระหว่างวัยหรือ generation จากตอนนี้ที่คิดว่ามีแต่ผู้ใช้วัยรุ่น แต่ขณะนี้ย่ายายก็หันมาใช้งาน LINE ทุกคนสามารถมาพบเจอกันบน LINE

'วันนี้ทุกคนมีกลุ่ม LINE ครอบครัว, LINE หมู่บ้านและ LINE เครือญาติ ภารกิจที่มองก็คือการทำให้ LINE ใช้งานง่ายมากขึ้นและดีมากขึ้น เราต้องรับผิดชอบมากขึ้น เพราะว่าประเทศไทยใช้ social ไม่เหมือนตะวันตก คนประเทศอื่นไม่ให้แชตส่วนตัวในการทำงาน แต่คนไทยไม่ถือสา และใช้ LINE ส่วนตัวในการทำงาน'

ในเมื่อทุกคนใช้ชีวิตบน LINE บริษัทจึงวางแผนใหม่ต่อยอดจากปีที่ผ่านมา LINE มองตัวเองเป็น Mass adapter enabler เพราะทั้งกลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มผู้สูงวัยทั้งกรุงเทพฯและต่างจังหวัดล้วนสามารถใช้งานได้เร็วเมื่อมี LINE เป็นสื่อกลาง เรียกว่าเป็นตัวช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงผู้บริโภคได้เร็วขึ้น และเข้าใจการใช้งานได้มากขึ้น

ปีนี้ เชื่อว่าจะมีการใช้บริการการเงินใน LINE มากขึ้น ทะลุ 1 พันล้านทรานเซกชัน
ปีนี้ เชื่อว่าจะมีการใช้บริการการเงินใน LINE มากขึ้น ทะลุ 1 พันล้านทรานเซกชัน

LINE อธิบายว่าที่ผ่านมา บริษัทเน้นให้หน่วยงานที่ต้องการเข้าถึงคอนซูเมอร์มากขึ้น ได้ใช้งาน open API ซึ่งเป็นเหมือนปลั๊กที่เชื่อมทุกเทคโนโลยีให้ต่อติดกับ LINE และสามารถใช้ LINE เป็นหน้าบ้านให้คนทั้งประเทศใช้งานได้

ปรากฏว่าปีที่ผ่านมา หลายธนาคารไทยหันมาใช้งาน LINE มากขึ้น และในขณะที่แบรนด์ทั่วไปมักใช้ LINE แค่สื่อสารกับลูกค้า แต่กลุ่มธนาคารเป็นเซกเมนต์แรกที่ให้บริการ 'ง่ายๆ' บน LINE เลย ผลคือ LINE พบยอดเติบโตของการใช้งาน Digital Banking ผ่าน LINE API ตั้งแต่ปี 2562 มาจนถึงต้นปี 2564 ในรายเดือน (Monthly API Message) เพิ่มขึ้นถึง 80% การให้บริการ Digital Banking service ก้าวกระโดดมากขึ้นถึง 2.8 เท่า แปลว่ามีผู้เข้ามาใช้งานบริการการเงินจริงจังบน LINE ไม่ใช่แค่รับข่าวสารเท่านั้น

ตัวอย่างน่าสนใจคือ ธนาคารกสิกรไทยเปิดให้ผู้ใช้ LINE เปลี่ยนวงเงินบัตรโดยไม่ต้องไปที่สาขา สามารถยืนยันตัวตนได้โดยไม่ต้องโทรศัพท์ติดต่อเจ้าหน้าที่ ขณะที่ธนาคารกรุงไทยเปิดให้เช็คยอดเงินในบัญชีได้เลย ด้านธนาคารกรุงศรีอยุธยาก้าวไปอีกขั้นด้วยการเปิดให้เลือกวางแผนการลงทุนและซื้อกองทุนได้บน LINE เช่นเดียวกับธนาคารไทยพาณิชย์ที่เป็นเจ้าแรกซึ่งใช้ API ของ LINE ยังมี ธกส. ที่ตรวจผลสลากผ่าน LINE ได้เลย

'ในขณะที่ทั่วโลกพบว่าประชากรไทยใช้ mobile banking มากที่สุดในโลก ปีนี้เชื่อว่าจะมีการใช้บริการการเงินใน LINE มากขึ้น ทะลุ 1 พันล้านทรานเซกชัน'

***ปี 65 ขอเป็นส่วนเสริม

จาก Mass adapter enabler บทบาทของ LINE จะถูกเปลี่ยนเป็นส่วนเสริมเพื่อให้ประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลมากขึ้น โดย LINE มองว่าจะรองรับทั้งส่วนเวิร์กฟอร์มโฮม การประชุมออนไลน์ และการรับวัคซีน

นรสิทธิ์อธิบายว่าการแพร่ระบาดทำให้เกิดวิกฤตจริง แต่ก็มีโอกาสแฝงอยู่ เบื้องต้นพบว่าแบรนด์หรูที่เป็น luxury segment ซึ่งมีมานานแต่ไม่ได้เร่งการขายบนออนไลน์มาก เพราะสินค้ากลุ่มนี้คือกลุ่มที่ลูกค้ามักไปซื้อที่ต่างประเทศหรือร้าน duty free แต่เมื่อการท่องเที่ยวหยุดชะงัก แบรนด์กลุ่มนี้จึงมองว่าเป็นโอกาสที่จะขายบนออนไลน์ โดยตั้งแต่ปี 62 พบว่าใน luxury segment มี LINE OA เพิ่มขึ้น 60% ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเครื่องสำอาง รองลงมาเป็นแฟชั่น และกลุ่มยานยนต์

'จุดที่น่าแปลกใจ คือก่อนนี้กลุ่ม luxury ยังไม่กล้าลองขายออนไลน์ แต่ตอนนี้ทุกแบรนด์มี LINE OA กันหมด ตรงนี้ไทยถือเป็นประเทศแรกที่มีการขายสินค้ากลุ่มนี้ผ่านแชต ที่น่าสนใจคือคนไทยแชตเพื่อซื้อสินค้า luxury จริงจัง พบว่าคนไทยมากกว่า 8 แสนคนเป็นเพื่อนผู้ติดตามแบรนด์เครื่องสำอาง ขณะที่ 2 แสนคนเป็นเพื่อนกับค่ายรถ และ 9 หมื่นคนเป็นเพื่อนกับแบรนด์แฟชั่นหรูอย่างชาแนลและดิออร์ จำนวนการแชตแบบ 1 ต่อ 1 มีมากกว่า 5,000 แชตต่อวัน เชื่อว่ากลางปี 65 แบรนด์หรูจะขยับมาให้บริการลูกค้าแบบ 1 ต่อ 1 บนออนไลน์ได้สมบูรณ์'

ธุรกิจร้านอาหาร และค้าปลีก เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีจำนวนมากซึ่งได้รับผลกระทบหนักและมีส่งผลต่อ GDP ค่อนข้างสูง ในปีนี้ถึงปีหน้า LINE ตั้งเป้าผลักดัน 2 กลุ่มนี้เพื่อสนับสนุน GDP ไทยให้ไปต่อได้ในช่วงวิกฤต
ธุรกิจร้านอาหาร และค้าปลีก เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีจำนวนมากซึ่งได้รับผลกระทบหนักและมีส่งผลต่อ GDP ค่อนข้างสูง ในปีนี้ถึงปีหน้า LINE ตั้งเป้าผลักดัน 2 กลุ่มนี้เพื่อสนับสนุน GDP ไทยให้ไปต่อได้ในช่วงวิกฤต

ในภาพรวม LINE ย้ำว่าต้องการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยผ่านการระบาดไปได้ และสามารถปรับตัวเรียนรู้เพื่อแข่งขันได้บนเวทีโลกในช่วงหลังโควิด-19 ปัญหาคือขณะนี้ไทยกำลังอยู่ในวิกฤตสูญเสียตำแหน่งผู้นำตลาดโลกในหลายด้าน

'ขณะนี้ไทยต้องรู้ตัวและปรับตัวเอง ศักยภาพคนไทยมีมาก SME ไทยก็ไม่ธรรมดา มีการใช้เทคโนโลยีปรับตัวดีกว่าหลายประเทศ แต่ไทยก็ยังต้องทำหลายเรื่องในปีนี้'

ผู้บริหารย้ำว่า SME ไทยเป็นส่วนสำคัญเพราะเป็นเซกเมนต์ที่มีผลกับ GDP ไทยสูงมากคิดเป็นสัดส่วน 45% ในกลุ่มนี้ LINE พบว่ากลุ่มธุรกิจ SME ที่ได้รับผลกระทบหนักสุดในช่วงวิกฤตโควิด-19 คือ ธุรกิจอาหาร ซึ่งส่งผลต่อ GDP ลดลงถึง 37% รองลงมาคือ ธุรกิจขนส่ง และค้าปลีก ในอัตราส่วนที่ลดลง 21% และ 3.7% ตามลำดับ

ท่ามกลางวิกฤตนี้ LINE พบว่าอัตราการเติบโตของ LINE OA โดยธุรกิจกลุ่มร้านอาหารมีอัตราการเปิดใช้งาน LINE OA เพิ่มขึ้น (YoY) สูงสุดถึง 212% รองลงมาคือธุรกิจกลุ่มค้าปลีกที่ 191% ดังนั้น LINE จึงเน้นเรื่องการเปลี่ยนเพื่อให้ธุรกิจไปต่อได้
'LINE มีวิศวกรไทย 100% ไม่มีคนต่างชาติ ทุกคนพัฒนาโซลูชันจากสิ่งที่คนไทยต้องการ วันนี้ LINE มองเห็นว่าอุตสาหกรรมที่เดือดร้อนมากที่สุดคืออาหาร จึงพัฒนาเป็นบริการที่ตอบโจทย์เมืองไทยโดยเฉพาะ'

ตัวอย่างบริการสำหรับประเทศไทยคือ LINE MyShop ซึ่งผู้บริหารการันตีว่าเป็นบริการที่เปิดให้คนไทยสามารถเปิดหน้าร้านออนไลน์ได้ง่ายที่สุดเมื่อเทียบกับค่ายโซเชียลมีเดียอื่น เช่นเดียวกับ MyRestaurant ที่ง่ายและมีการปรับเปลี่ยนตลอดเพื่อให้ธุรกิจก้าวทัน จุดนี้เป็นผลจากความร่วมมือกับ 'LINE วงใน' ที่เปิดการสื่อสารให้ลูกค้าและร้านติดต่อกันได้ง่ายขึ้น และลูกค้าไม่จำเป็นต้องเข้าไปหารายการอาหารในแอป LINE MAN แก้ปัญหาค้นร้านไม่พบ ซึ่งไทยมีร้านอาหารจำนวนมากติดอันดับโลก
'การที่ร้านอาหารสามารถเปิดขายผ่าน LINE OA จะทำให้สามารถบอกต่อลูกค้าย่านใกล้เคียง สามารถนำ LINE OA ไปเผยแพร่เพื่อให้คนในชุมชนได้รู้ ซึ่งง่ายกว่าในการเข้าไปหาใน LINE MAN'

นอกเหนือจากนี้ ผู้บริหารมองว่าการใช้อินเทอร์เน็ตของคนไทยมีหลากหลาย แต่การใช้ดิจิทัลที่มีมูลค่ากลับไปที่ GDP ของประเทศไทยนั้นยังมีไม่มาก จุดนี้ LINE จึงวางบทบาทว่าต้องให้ความรู้ ให้ร้านทราบว่าไม่ใช่แค่การให้ความสำคัญกับความสะอาดหรืออร่อย แต่แท้จริงแล้ว จะต้องใช้ข้อมูล

'การจัดการร้านที่ดีควรให้ความสำคัญเรื่องการจัดการเวลา ต้นทุน และสินค้าคงคลัง จุดนี้หลายร้านในเมืองไทยยังไม่รู้ LINE จึงหวังว่าจะเพิ่มช่องทางเพื่อให้ร้านค้าสามารถคลิกอ่านเพิ่มความรู้ว่าการจัดการร้านแบบครบวงจรด้วยข้อมูลในระดับสากลนั้นเป็นอย่างไร หากทำได้สิ่งนี้จะกระทบไปที่ GDP' นรสิทธิ์ระบุ 'ไม่ใช่แค่ว่า คนไทยใช้งานอินเทอร์เน็ตมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่เรายังพัฒนาได้อีกมากในเรื่องของเศรษฐกิจ เราอยากให้ทุกคนได้รู้ว่า จะใช้บริการนี้ได้อย่างไร'

LINE มีแผนจะเน้นที่ผู้ค้าที่เป็นแบรนด์ เหตุผลคือร้านค้ากลุ่มที่อยู่ในประเภท 'ซื้อมาขายไป' เป็นธุรกิจที่ไม่มีผลต่อ GDP มากนัก เนื่องจากจะต้องซื้อสินค้าราคาต่ำกว่า เพื่อนำมาขายในราคาสูง ทำให้เกิดภาวะที่สินค้าเหมือนกันต้องตัดราคากัน สุดท้ายลูกค้าก็ต้องหาสินค้าที่ถูกกว่าแม้จะคุณภาพไม่เท่ากัน

นอกจากภาคธุรกิจแล้ว กลุ่มองค์กรที่สำคัญต่อการขับเคลื่อนประเทศไทย คือ กลุ่มบริการสาธารณะต่างๆ Public sector เหล่านี้ใช้ LINE OA ในอัตราเติบโต 30% สถิติชี้ว่ามีผู้ติดตามหน่วยงานอย่างการไฟฟ้านครหลวงจำนวนมากเกิน 1.7 ล้านคน

เชื่อว่ากลางปี 65 แบรนด์หรูจะขยับมาให้บริการลูกค้าแบบ 1 ต่อ 1 บนออนไลน์ได้สมบูรณ์
เชื่อว่ากลางปี 65 แบรนด์หรูจะขยับมาให้บริการลูกค้าแบบ 1 ต่อ 1 บนออนไลน์ได้สมบูรณ์

ที่สุดแล้ว นรสิทธิ์ไม่มองว่าการเน้นที่อาหารและค้าปลีกจะเป็นนโยบายเดิมที่ทำให้ LINE ย่ำอยู่กับที่ เพราะธุรกิจร้านอาหาร และค้าปลีก เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีจำนวนมากซึ่งได้รับผลกระทบหนักและมีส่งผลต่อ GDP ค่อนข้างสูง ในปีนี้ LINE จึงคิดว่า 2 กลุ่มธุรกิจนี้แม้จะไม่ใช่กลุ่มเซกเมนต์ใหม่ แต่ยังคงมีน้ำหนักความสำคัญต่อภาพเศรษฐกิจไทยโดยรวมอยู่มาก การผลักดัน 2 กลุ่มนี้จึงเป็นการผลักดันและสนับสนุน GDP ให้ไปต่อได้ในช่วงวิกฤตนี้

'สิ่งที่จะมาเปลี่ยนการใช้งานอินเทอร์เน็ตหลายด้านของคนไทยให้มีผลต่อ GDP คือการแก้ปัญหาผู้ประกอบการที่วันนี้ไม่ได้รับข้อมูลเพียงพอ หลายคนเข้าใจว่าแค่โพสต์-เปิดร้าน หรือซื้อโฆษณาก็สามารถทำ e-commerce ได้แล้ว หลายคนบ่นว่าทำไมขายไม่ได้ แต่วันนี้ LINE มีการพูดคุยมากขึ้น ทำให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น เชื่อว่าจะเป็นไกด์ไลน์ให้คนไทย ผู้ประกอบการไทยมีข้อมูล และมีมุมมองการใช้ออนไลน์ให้ประสิทธิภาพกับธุรกิจ และธุรกิจมีกำไรมากขึ้น จุดนี้จะสำคัญมากกว่า GDP และจะสู้กับสินค้าระดับโลกได้'

ปัญหานี้ถือว่าสำคัญ นรสิทธิ์อธิบายว่าเพราะขณะนี้ทุกคนสามารถซื้อสินค้าจากต่างประเทศได้เลยโดยตรง ไม่ต้องผ่านคนไทย มีเพียงกำแพงภาษีที่กั้นไว้ จุดนี้คนไทยจึงจำเป็นต้องมีเครื่องมือและได้รับการผลักดัน แม้จะยังไม่เห็นเป็นรูปธรรมมากนักในปี 65 เนื่องจากวิกฤติกำลังซื้อไทยหดตัว อุตสาหกรรมได้รับผลกระทบทั้งหมด

'สิ่งที่หวังว่าจะเกิดในปีนี้คือ การเป็นแรงผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยเข้าใจ และเห็นเทรนด์ที่มากพอ ให้ธุรกิจเข้ามาร่วมกัน ประสานกันเป็นองค์รวม จะได้สามารถแข่งขันได้มากขึ้น'

แน่นอนว่าผลดีจะไปอยู่ที่กระเป๋าเงินของ LINE ด้วย ในขณะที่หลายธุรกิจติดลบ สถิติรายได้ของ LINE Corp. ย้อนหลัง 5 ไตรมาสถือว่าน่าประทับใจ ด้วยอายุ 10 ขวบ ปัจจุบัน LINE มีผู้ใช้งานมากกว่า 186 ล้านคนต่อเดือนทั่วโลก (สถิติธันวาคม 2020)

ในภาพรวม LINE Corp. ทำรายได้รวม 62,900 ล้านเยน (18,861 ล้านบาท) ในไตรมาส 3 ปี 63 เพิ่มขึ้นเกิน 12.4% รายได้จากธุรกิจหลักมาจากการแสดงโฆษณาผ่านบริการบนแอปโดยเฉพาะ LINE OA และ Sponsored Stickers รวมถึงการโฆษณาบน LINE Part Time Job ขณะที่รายได้จากธุรกิจสื่อสารมาจากธุรกิจสติกเกอร์ และธุรกิจคอนเทนต์มีแหล่งรายได้สำคัญคือบริการ LINE Game

ไฮไลท์ของ LINE ยังอยู่ที่รายได้ในธุรกิจเสริม หรือที่ LINE เรียกเป็นธุรกิจกลยุทธ์ (strategy) ธุรกิจนี้ประกอบด้วยบริการฟินเทคเช่น LINE Pay รวมถึงบริการ AI, LINE Friends และ e-commerce ธุรกิจส่วนนี้เองที่มีอัตราเติบโตเป็นเลข 2 หลักทุกปี สวนทางกับธุรกิจหลักที่เติบโต 1 หลักเท่านั้น

LINE มองไกลแล้ว ขอให้คนไทย (และ GDP ไทย) ไปได้ไกลด้วยเช่นกัน.
#2923


ขณะนี้จังหวัดแม่ฮ่องสอนได้เร่งเดินหน้าโครงการหมู่บ้านปลอดโควิด-19 ท่ามกลางปัญหาการแพร่ระบาดมากขึ้น ซึ่งมีชุมชน/หมู่บ้านเข้าร่วมโครงการแล้ว 188 หมู่บ้าน จากทั้งหมด 415 หมู่บ้านของจังหวัด คิดเป็นร้อยละ 45.3

เฉพาะ อ.เมืองแม่ฮ่องสอน จากเป้าหมายจะต้องประกาศหมู่บ้านปลอดโควิดให้ได้อย่างน้อย 50 หมู่บ้านนั้น ล่าสุดเริ่มดำเนินการนำร่องได้แล้ว 3 หมู่บ้าน คือ บ้านทบศอก หมู่ที่ 8 ต.หมอกจำแป่, บ้านในสอย หมู่ที่ 4 ต.ปางหมู และที่บ้านห้วยเสือเฒ่า หมู่ที่ 8 ต.ผาบ่อง

โดย "บ้านห้วยเสือเฒ่า" เป็นหมู่บ้านด้านการท่องเที่ยวกะเหรี่ยงคอยาว แต่ในหมู่บ้านมีทั้งกะเหรี่ยงคอยาวและกะเหรี่ยงแดงอาศัยอยู่ ณ ขณะนี้แทบจะปิดหมู่บ้านเพราะไม่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยว แต่การรณรงค์ทำความเข้าใจกับชาวบ้านนั้นจะต้องใช้คนที่สื่อสารภาษาที่เข้าใจอย่างดีจึงจะได้ผล ซึ่งพบว่าชาวบ้านต่างตื่นตัวกันมากขึ้น เพราะหากป้องกันการแพร่เข้าไปยังหมู่บ้านไม่ได้ก็จะกระทบเป็นอย่างมาก เนื่องจากหย่อมบ้านแต่ละแห่งนั้นอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างหนาแน่น ง่ายต่อการแพร่ระบาดที่รวดเร็วได้

สำหรับแนวทางหมู่บ้านปลอดโควิดของแม่ฮ่องสอนนั้น กำหนดให้แต่ละหมู่บ้านนำทุกมาตรการป้องกันโควิด-19 ไม่ให้แพร่กระจายเข้าสู่ชุมชน ใช้ธงฟ้าเป็นสัญลักษณ์ ให้ผู้นำหมู่บ้านทำงานร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านหรือ อสม.เดินหน้าเคาะประตูทุกหลังคาเรือนทำความเข้าใจและให้รู้ถึงพิษภัยของโควิด แนะนำให้สวมใส่หน้ากากอนามัยครบ 100% การตั้งจุดตรวจผ่านเข้าออกของหมู่บ้าน มีการบันทึกการเข้าออกและสอดส่องบุคคลแปลกหน้าที่จะเดินทางเข้าไปยังหมู่บ้านตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับแม่ฮ่องสอน จนถึง 4 สิงหาคม 64 มีผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาแล้วรวม 182 ราย รับจากต่างจังหวัด 115 ราย มีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 2 ราย รักษาหายแล้ว 100 ราย
#2924


กรวัฒน์ เจียรวนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมิตี้ จำกัด เปิดมุมมองว่า การระบาดของโควิด-19 เป็นเสมือนตัวเร่งให้หลายองค์กรมองหาการสร้างชุมชนดิจิทัลและการมีส่วนร่วมของผู้ใช้เพิ่มมากขึ้น อมิตี้จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถรวมฟีเจอร์โซเชียลเข้าไปในแอพฯ และเว็บไซต์ขององค์กรได้โดยการเขียนโค้ดเพียงไม่กี่บรรทัด ทำให้ลูกค้าและผู้ใช้งานรายเดือนสามารถส่งข้อความและมีปฏิสัมพันธ์ผ่านหลายพันล้านข้อความในแต่ละเดือนได้โดยง่าย

"ในปีแรกของการระบาดของโควิด-19 อมิตี้เห็นความต้องการที่เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า จากองค์กรต่าง ๆ ที่ต้องการรวมฟีเจอร์โซเชียลต่าง ๆ เช่น ฟีด โปรไฟล์ กลุ่ม แชท และวิดีโอสตรีม เข้าไปในแอพฯและเว็บไซต์ขององค์กร เพื่อดึงดูดลูกค้า ผู้ใช้ และพนักงาน ซึ่งอมิตี้สามารถพลิกกลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัทตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นด้วยบริการที่ครอบคลุม ทั้งในด้านฟีเจอร์โซเชียล การมีส่วนร่วมของพนักงาน และแชทบอทที่ขับเคลื่อนด้วยแมชชีนเลิร์นนิ่งที่ดึงดูดผู้ใช้งานผ่านช่องทางที่หลากหลายได้อย่างชาญฉลาด"

ตั้งเป้าเบอร์ 1 ระดับโลก

ในปี 2563 อมิตี้ได้เข้าซื้อกิจการของ ConvoLab ซึ่งเป็นบริษัทแชทของไทย และย้ายบริการทั้งหมดไปยังคลาวด์ชั้นนำของโลกเพื่อเร่งพัฒนานวัตกรรมและปรับขนาดแพลตฟอร์มโซเชียลใหม่อย่างรวดเร็ว ให้มีความโดดเด่นในด้านบริการ ได้แก่ คอนเทนเนอร์ ฐานข้อมูล และแมชชีนเลิร์นนิ่ง โดยเสนอประสบการณ์การใช้โซเชียลและสร้างชุมชนดิจิทัลที่ไม่เหมือนใคร เพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า และเปิดโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่ 

นอกจากนี้ยังใช้สถาปัตยกรรมแบบ Serverless ช่วยให้บริษัทสามารถปรับขยายตามจำนวนลูกค้าได้เร็วขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลอัตโนมัติรองรับลูกค้าในกรณีที่มีการปล่อยแคมเปญบนโซเชียลมีเดียหรือทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย นอกจากนั้นการใช้ Amazon Personalize ซึ่งเป็นบริการแมชชีนเลิร์นนิ่ง ช่วยให้บริษัทต่าง ๆ สามารถสร้างประสบการณ์ผู้ใช้แบบเฉพาะเจาะจงสำหรับบุคคลแบบเรียลไทม์จำนวนมากที่มีความแม่นยำสูงได้รวดเร็วขึ้น

ในด้านขององค์กร อมิตี้ให้ความสำคัญในเรื่องของนวัตกรรมและการเติบโตระดับโลกได้เร็ว เนื่องจากอมิตี้เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีซอฟต์แวร์แห่งเดียวในประเทศและอาเซียน ที่โปรดักท์กำลังเติบโตในตลาดที่ใหญ่ที่สุดของโลกด้านซอฟต์แวร์ใน 3 ตลาด ได้แก่ จีน ยุโรป สหรัฐ รวมทั้งมีลูกค้าทั้งองค์กรระดับเอสเอ็มอี ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่หลายร้อยแห่ง และบริษัทที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งในเอเชียอย่างจีน ยุโรปและอเมริกาเหนือ


สร้างทีมงานระดับนานาชาติ

ส่วนมุมมององค์กรธุรกิจเทคโนโลยีในอาเซียนและไทย กรวัฒน์ มองว่า ยังมีขนาดเล็กทิ้งช่วงห่างยุโรป อเมริกาและจีน พอสมควร ทั้งในแง่ของการใช้จ่ายและขนาด ซึ่งยังไม่มีผู้เล่นรายใดที่พัฒนา B2B SaaS ที่ก้าวสู่ระดับยูนิคอร์น หรือบริษัทที่สำเร็จ ซึ่งอมิตี้เน้นการเป็นบริษัทระดับโลกตั้งแต่แรก โดยบริษัทมีพนักงานมากกว่า 30 ชาติ และมีสำนักงานในไมอามี่ ลอนดอน มิลาน และไทย ซึ่งในไทยมีพนักงานมากกว่า 20-25 ชาติ โดยจุดสำคัญคือพยายามสร้างทีมระดับนานาชาติที่มีความแข็งแกร่ง

"ทั้งนี้การสร้าง B2B SaaS ต่างจากการสร้างธุรกิจเทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภคทั่วไป ซึ่ง B2B SaaS เป็น ธุรกิจที่ยั่งยืน เพราะเป็นธุรกิจที่มีสัดส่วนกำไรสูงมาก หากดูมูลค่าตลาดของบริษัทที่ทำคลาวด์ เทคโนโลยี จะเห็นได้ว่าบริษัท B2B SaaS ทำกำไร และมูลค่าตลาดมากที่สุดในโลก แต่ธุรกิจเทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภคยังยากที่จะเห็นกำไร และสร้างให้เสถียรทำให้การเติบโตในต่างประเทศค่อนข้างยาก"

ส่วนคำแนะนำสำหรับตลาด B2B SaaS หากสตาร์ทอัพรายอื่นต้องการจะเข้าสู่ตลาดนี้ กรวัฒน์ กล่าวว่า B2B SaaS เป็นเนเจอร์ที่ค่อนข้างต่าง หากชนะในไทยได้ ก็ชนะตลาดยุโรป อเมริกา จีน ได้เช่นกัน แต่อย่างแรกคือ ต้องหาโฟกัส ตลาดที่เฉพาะเจาะจง ที่คนอื่นอาจจะยังไม่ได้ทำได้ดีมาก จากนั้นพยายามพัฒนาให้ตอบโจทย์ภูมิภาคและระดับโลก

อย่างไรก็ตามความได้เปรียบของลูกค้าไทยและอาเซียน คือมีการใช้สมาร์ทโฟนค่อนข้างเร็ว ทำให้เห็นว่าในอนาคตคนจะต้องการซอฟต์แวร์มากขึ้น อีกทั้งเรื่องของค่าใช้จ่าย ภาษี ทำให้ไทยมีความก้าวหน้ากว่าในอเมริกา ยุโรป จึงค่อนข้างง่ายที่จะเซ็ตอัพ 

ขณะเดียวกันภาพรวมการแข่งขัน กรวัฒน์ เผยว่า ยังไม่มีคู่แข่งที่สามารถสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นโซเชียลองค์กร บริการหรือฟีเจอร์สำเร็จรูป คู่แข่งส่วนใหญ่ตั้งเป้าไปที่บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีตลอดจนผู้บริหารด้านเทคนิค เป็นการซื้อโมดูลแชทและ plug-in เข้าไป ฉะนั้น จึงต้องพยายามเติบโตให้เร็ว เพราะอีกไม่นานจะมีคู่แข่งมากขึ้น และอีกหนึ่งจุดประสงค์ที่ทำให้อมิตี้แข่งในต่างประเทศได้ ต้องบอกว่าในไทยยังไม่ค่อยมีบริษัทที่ทำ IaaS ทั้งตลาดอาเซียน เอเชีย

เน้นเทคโนโลยีสร้างจุดแข็ง

ส่วนจุดแข็งของอมิตี้คือ การลงทุนด้านเทคโนโลยี โดยปีที่ผ่านมางบการวิจัยและพัฒนาของบริษัทประมาณ 7-8 ล้านดอลลาร์และใช้วิศวกรประมาณ 60-70 คน แน่นอนว่าเมื่อพัฒนาเทคโนโลยีมาตลาด 8-9 ปี งบการวิจัยและพัฒนาทั้งสิ้นประมาณ 20 ล้านดอลลาร์

เนื่องจากอมิตี้ต้องพัฒนาและจำหน่ายเทคโนโลยีให้กับลูกค้าวิศวกร ดังนั้น คุณภาพโปรดักท์ ความสามารถของกระบวนการ ระบบปฏิบัติการจะต้องดี ซึ่งต้องทำงานร่วมกับ AgriTech ของ AWS เพื่อดีไซน์ ทั้งลงทุนเพื่อที่จะทำสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์รองรับปริมาณการใช้งานจำนวนมาก ทุกเดือนอมิตี้ให้บริการ 3 พันล้านข้อความ นี่คืออุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดที่สูง

ทั้งนี้ เป้าหมายและทิศทางอมิตี้หลังจากนี้ จะมุ่งให้เกิดการเติบโตที่สุด และยึดหมวดหมู่ และ IaaS จึงต้องพยายามก้าวสู่ผู้นำในตลาดโลก โดยทุ่มทางการตลาดเพื่อให้เป็นที่รู้จักนำเสนอชุดผลิตภัณฑ์พร้อมฟีเจอร์สำเร็จรูป คาดว่า 3-4 ปี อมิตี้จะเป็นบริษัทที่ทำซอฟต์แวร์ใหญ่ระดับสากลได้
#2925


เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 64 นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ระลอกใหม่ ประกอบกับการมีข้อกำหนดในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 27) ขอความร่วมมือให้ประชาชนชะลอหรือหลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามจังหวัดโดยไม่มีเหตุจำเป็น

การรถไฟฯ จึงออกแนวทางปฏิบัติเพื่อการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 และช่วยเหลือประชาชนที่ต้องการยกเลิกการเดินทางตามนโยบายของภาครัฐ โดยเริ่มตั้งแต่บัดนี้ - 31 ส.ค.2564 ดังต่อไปนี้

- ให้ผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วโดยสาร (รายบุคคล หมู่คณะ) ตั๋วสำหรับเช่าขบวนรถพิเศษโดยสาร และเช่ารถโดยสารไว้ล่วงหน้า หากไม่มั่นใจในการเดินทางในช่วงดังกล่าวสามารถติดต่อขอคืนเงินค่าตั๋วก่อนวันเดินทางไม่น้อยกว่า 1 วัน โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมการคืนเงิน (คืนเต็มราคา) เป็นกรณีพิเศษ


- กรณีจังหวัดของสถานีต้นทางหรือปลายทางตามตั๋วของผู้โดยสาร ได้ประกาศมาตรการเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด อนุญาตให้คืนเงินค่าตั๋วก่อนขบวนรถออกไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมง โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมการคืนเงิน (คืนเต็มราคา) เป็นกรณีพิเศษ

- กรณีมีการจองซื้อตั๋วทางอินเตอร์เน็ต หากผู้โดยสารไม่ประสงค์เดินทางและไม่สะดวกในการคืนเงินค่าตั๋วผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ให้อนุญาตคืนเงินค่าตั๋วก่อนขบวนรถออกไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง โดยยื่นคำร้องขอคืนเงินได้ที่สถานี

ทั้งนี้ นายนิรุฒ กล่าวว่า การรถไฟฯ ยังได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ เพิ่มความถี่ในการดูแลทำความสะอาดภายในขบวนรถโดยสารทุกขบวน และทุกสถานีอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงให้เพิ่มความเข้มงวดตรวจสอบคัดกรองพนักงานรถไฟ ผู้ใช้บริการรถไฟ รวมทั้งผู้ประกอบการ ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกคน และตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนและหลังการปฏิบัติงานหรือใช้บริการอย่างเคร่งครัด
#2926


วันนี้( 4 สิงหาคม 2564) นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนสิงหาคม 2564 โดยมีนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เป็นประธาน กกร. และนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นประธานร่วมในการประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conference) โดยมีวาระสำคัญดังนี้

กกร. ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกปี จากโควิด-19 ระลอกใหม่ที่ส่งผลกระทบตลอดครึ่งปีหลัง การควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังไม่ประสบความสำเร็จ จำนวนผู้ติดเชื้อรายวัน รวมถึงจำนวนผู้ป่วยสะสมในโรงพยาบาลยังเพิ่มขึ้นในอัตราสูง แม้จะมีการใช้มาตรการ Lockdown มา 14 วันแล้วก็ตาม ทำให้ภาครัฐต้องขยายมาตรการ Lockdown ณ ขณะนี้ออกไปอีกจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม และขยายวงกว้างออกไปหลายจังหวัด ทั้งนี้ หากการกระจายวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับประชาชนทั่งประเทศยังทำได้ช้า ประเมินว่ามีความเสี่ยงสูงที่ยังต้องจำกัดกิจกรรมเศรษฐกิจตลอดไตรมาสที่ 4 รวมถึงลดทอนความเป็นไปได้หรือประโยชน์ของแผนการเปิดประเทศ ดังนั้น เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีจึงอยู่ในภาวะที่ฟื้นตัวได้ยาก และเป็นไปได้สูงที่เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีจะหดตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งอาจจะทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2564 เข้าสู่ภาวะถดถอยต่อเนื่องเป็นปีที่สองแม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งก็ตาม

อีกทั้ง ธุรกิจทุกภาคส่วนได้รับผลกระทบจากการระบาดที่ทวีความรุนแรงขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ภาคการส่งออก ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซายาวนานจากมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวดได้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs และลูกจ้างแรงงาน สะท้อนจากลูกหนี้ที่อยู่ในการดูแลช่วยเหลือของธนาคารต่างๆ ภายใต้มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 1.89 ล้านบัญชี หรือเป็นยอดเงินราว 2 ล้านล้านบาท โดยในระยะข้างหน้า นอกเหนือจากธุรกิจบริการ ท่องเที่ยว และการค้าขายทั่วไป ที่เปราะบางแล้ว การระบาดของโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานได้เริ่มส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและอุตสาหกรรมส่งออก ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เดียวของเศรษฐกิจไทยตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ดังนั้น ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันบูรณาการมาตรการการจำกัดวงจรของการระบาด โดยการเร่งหาวัคซีนหลักและวัคซีนทางเลือกให้เพียงพอสำหรับความต้องการของประชาชนและสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้โดยเร็ว และการเร่งกระจายการตรวจหาเชื้อโดย Antigen Test Kit เพื่อคัดแยกผู้ติดเชื้อโดยเร็ว


ทั้งนี้ ภาครัฐต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจที่วิกฤตและถลำลึกกว่าที่คาดไว้มาก ภาคธุรกิจบอบช้ำและต้องใช้พลังมากในการฟื้นฟูผู้ประกอบการที่อ่อนล้า เสถียรภาพของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยง โดยภาคครัวเรือนเผชิญภาระหนี้ที่เพิ่มสูงกว่าร้อยละ 90 ต่อจีดีพี และต้องการการเยียวยาเพื่อชดเชยรายได้ที่หดหายไปในระยะนี้และฟื้นฟูเพื่อให้กลับมามีเสถียรภาพในระยะต่อไป ซึ่งเมื่อประเมินจากภาวะเศรษฐกิจที่ถลำลึกกว่าที่คาดไว้มาก ภาครัฐจำเป็นสร้างความเชื่อมั่นโดยเตรียมความพร้อมในเรื่องของความเพียงพอของงบประมาณ เพดานหนี้สาธารณะควรขยายให้มากกว่าร้อยละ 60 ต่อจีดีพี เป็นร้อยละ 65-70 เพื่อให้เหมาะสมกับภาระกิจในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจในภาวะวิกฤต รวมไปถึงการจัดลำดับความสำคัญของงบประมาณภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยจำเป็นต้องพิจารณาแนวทางในการผ่อนคลายนโยบายการเงินและมาตรการกับสถาบันการเงินเพิ่มเติมภายใต้ข้อจำกัดที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ใกล้ระดับร้อยละ 0 เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินของประเทศ

โดยเห็นว่า เศรษฐกิจไทยยังวิกฤตและเผชิญความเสี่ยงค่อนข้างมากจากการระบาดระลอกใหม่ที่รวดเร็วและรุนแรง กระทบต่ออุปสงค์ในประเทศ ขณะที่เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวต่อเนื่องยังสนับสนุนส่งออกของไทยในระยะต่อไป ที่ประชุม กกร. จึงปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564 เป็น -1.5 % ถึง 0.0% ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโควิด-19 และมาตรการเพิ่มเติมของรัฐ ด้านการส่งออก กกร. คาดว่าจะขยายตัว 10.0% ถึง 12.0% จากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดี แต่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดูแล supply chain ไม่ให้เกิดการติดเชื้อในวงกว้าง โดยภาครัฐให้ความสำคัญเร่งด่วนกับการจัดหาวัคซีนให้กลุ่มแรงงานอย่างทั่วถึง ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบ 1.0% ถึง 1.2% โดยมีแรงกดดันจากราคาพลังงานและค่าขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระทบกับต้นทุนของผู้ผลิตสินค้า

รวมถึง การยกระดับและขยายพื้นที่ครั้งนี้เป็นการปรับตามสถานการณ์ที่มีการระบาดในต่างจังหวัดเพิ่มโดยประเมิณผลกระทบเพิ่มเติม เป็น 300,000-400,000 ล้านบาท (พื้นที่สีแดงเข้ม มีสัดส่วนถึง 78% ของ GDP ประเทศ) สถานการณ์ตอนนี้มีการยกระดับใกล้เคียงเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเคลื่อนย้ายของประชาชนลดลงมาก หากมีการล๊อคดาว์นแล้วจำเป็นต้องเร่งทำมาตรการอื่นควบคู่ไปด้วย ต้องเร่งควบคุมการแพร่ระบาดโดยเฉพาะสายพันธ์เดลต้าที่มีอัตราการกระจายวัคซีนมากและรวดเร็ว เพิ่มความสามารถในการเร่งฉีดวัคซีน การทำ Home Isolation และ Company Isolation นอกจากนั้น ต้องออกมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผลกระทบจากการปิดการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจ และทำให้การทะยอยผ่อนคลายให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเดินไปได้ โดยภาคเอกชนตอนนี้เข้ามาร่วมแบ่งเบาภาระของภาครัฐในการดูแลพนักงานของตนและปฏิบัติตัวตามมาตรการต่างๆ โดยเฉพาะหลายแห่งได้มีการทำ Active Screening โดยใช้ Rapid Antigen Test Kit เพื่อเร่งแยกคนติดออกมาไม่ให้มีการระบาดในสถานประกอบการ รวมถึงมีการดูแลเชื่อมระบบกับโรงพยาบาลและ Hospital ต่างๆอีกด้วย โดยร่วมมือกันทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วมกัน มีความรับผิดชอบทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม

เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพความจำเป็นทางเศรษฐกิจ และเพื่อบรรเทาผลกระทบของประชาชน เนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เสนอขอขยายระยะเวลาการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลงร้อยละ 90ออกไปอีก 1 ปี ของการจัดเก็บภาษี ปีภาษี 2565 (ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1มกราคม2565 จนถึงวันที่31ธันวาคม2565)

นอกจากนี้ ยังเสนอภาครัฐเพิ่มสัดส่วนการค้ำประกันความเสียหายผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นร้อยละ 60 ขึ้นไป เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 มากขึ้น,ขอกรมสรรพากร ยกเว้นภาษี SMEs 3 ปี โดยจะต้องทำบัญชีเดียวและยื่นภาษีผ่านระบบ E-Tax,รัฐบาลควรมีคำสั่งเดียว (Single Command) ในการสั่งการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19,เสนอให้ภาครัฐอนุญาตให้เอกชนนำเข้าวัคซีนได้อย่างเสรีโดยไม่ต้องผ่านผู้ผลิตหรือผู้แทนจำหน่ายและหน่วยงานรัฐ ภายใต้การกำกับดูแลจากภาครัฐ โดยภาครัฐเป็นผู้ออกใบสั่งซื้อและออกค่าใช้จ่าย,ให้ อย. เร่งอนุมัติวัคซีนยี่ห้ออื่นๆ โดยไม่ต้องรอบริษัทวัคซีนนำเอกสารมายื่น เพื่อเพิ่มทางเลือกและเปิดโอกาสในการจัดหาวัคซีนมากยิ่งขึ้น,ขอให้ภาครัฐสนับสนุนการลดหย่อนภาษี 2 เท่า สำหรับภาคเอกชนที่มีค่าใช้จ่ายในการซื้อชุดตรวจโควิด-19 แบบเร่งด่วน (Antigen Test Kit) และค่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 และให้เอกชนช่วยดำเนินการสนับสนุนการผลิตและจัดหายา "ฟาวิพิราเวียร์" ที่กำลังมีความต้องการสูง

อีกทั้ง สมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิก ได้ออกมาตรการช่วยหลือลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 ในช่วงต้นปี 2563 ทั้งมาตรการที่เป็นการช่วยเหลือเป็นการทั่วไป มาตรการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม เพื่อลดภาระทางการเงินให้กับลูกค้า และ มาตรการเสริมสภาพคล่อง ล่าสุด ตระหนักถึงความเดือดร้อนของลูกหนี้และเห็นความจำเป็นเร่งด่วน ออกมาตรการเร่งด่วนด้วยการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้ SMEs และรายย่อย เป็นระยะเวลา 2 เดือนให้กับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ทั้งในพื้นที่ควบคุมฯ 29 จังหวัด และนอกพื้นที่ควบคุมฯ ที่ต้องปิดกิจการจากมาตรการของทางการ ระยะเวลายื่นคำขอตั้งแต่ 19    กรกฎาคม -15 สิงหาคม 2564 โดยจะไม่เรียกเก็บเงินต้นและดอกเบี้ยที่ค้างอยู่ในทันที เพื่อไม่ให้เป็นภาระหนักกับลูกหนี้

ด้านมาตรการทางการเงินช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบการธุรกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานข้อมูลความคืบหน้าการยื่นคำขอตามพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2564 ล่าสุด ณ วันที่ 27 กรกฎาคม 2564 ธปท.รายงานตัวเลขคำขอสินเชื่อฟื้นฟู และได้รับการอนุมัติสินเชื่อแล้ว จำนวน 82,767 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนผู้ได้รับความช่วยเหลือ 27,219 ราย วงเงินเฉลี่ยที่ได้รับการอนุมัติ 3.0 ล้านบาทต่อราย ขณะที่ความคืบหน้าตัวเลขโครงการ "พักทรัพย์ พักหนี้" มีมูลค่าสินทรัพย์ที่รับโอนจำนวนทั้งสิ้น 1,060 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือ 18 ราย

สมาคมธนาคารไทยร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินการโครงการ Digital Supply chain finance เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดเล็ก SME ให้เข้าถึงเงินทุน ซึ่งเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการในระยะกลาง โดยให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาช่วยธนาคารในการจัดการบริหารความเสี่ยง เพื่อเป็นประโยชน์ใพิจารณาให้สินเชื่อได้มากขึ้น เงื่อนไขดีขึ้น คาดว่า เฟส 1 จะเสร็จสิ้น เพื่อนำไปใช้งานในไตรมาส 4 โดยสมาคมมีแผนขอการสนับสนุนไปยังภาครัฐในการให้ประโยชน์กับธุรกรรมที่เกิดขึ้นใน platform การพัฒนา e-invoicing platform เป็นส่วนสำคัญของ Thailand Smart Financial Infrastructure เป็นกลไกในการช่วยเหลือผู้ประกอบการให้เข้าถึงเงินทุนหมุนเวียนแบบ many- to- many ทั้งในช่วงที่ต้องประคับประคองกิจการ และในช่วงฟื้นฟูหลังสถานการณ์โควิด และสามารถเป็นฐานในการสร้างแพลตฟอร์มการค้าดิจิทัลระหว่างประเทศ (National Digital Trade Platform : NDTP) สำหรับการค้าระหว่างประเทศต่อไป
#2927


นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมฯ ได้รับรายงานจากผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) ที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ ที่ได้รายงานผลการดำเนินกิจกรรมโปรโมตร้านอาหารไทยที่ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ตามที่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้มอบหมายให้ขับเคลื่อนนโยบาย "อาหารไทย อาหารโลก" โดยทูตพาณิชย์ได้มีการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นการบริโภคอาหารไทยในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19

น.ส.ภรภัทร พันธ์งอก อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายการพาณิชย์) สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงจาการ์ตา กล่าวว่า สำนักงานฯ ได้จัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ร้านอาหาร Thai SELECT และสินค้าเครื่องปรุงรสจากไทย โดยการจัดสาธิตการปรุงอาหารไทยในงาน Thailand's Paradise 2021 และประชาสัมพันธ์ต่อเนื่องผ่าน Tiktok, Facebook และ Instagram ในช่วงที่อินโดนีเซียมีมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมฉุกเฉิน (PPKM) ซึ่งร้านอาหารสามารถจำหน่ายสำหรับนำกลับไปรับประทานที่บ้านเท่านั้น ซึ่งส่งผลให้ร้านอาหารไทยได้รับความนิยมจาก Gofood Application สั่งอาหารของ Gojek อย่างสูง และเครื่องปรุงอาหารไทยยังได้รับความนิยมจากการปรุงอาหารที่บ้าน ส่วนการสาธิตการทำอาหารไทยด้วยวัตถุดิบไทยผ่านอินฟลูเอนเซอร์มีผู้เข้าชมทุกช่องทางกว่า 30 ล้านครั้งต่อเดือน

น.ส.รชกร ศักดิ์ศรี ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโคเปนเฮเกน กล่าวว่า ได้จัดกิจกรรมกระตุ้นการขายให้แก่ร้านอาหาร Thai SELECT ในเดนมาร์ก ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 โดยจัดทำคลิปวิดีโอการสาธิตทำอาหารไทยจากร้านที่ได้รับ Thai SELECT และนำไปลงใน Social media ต่างๆ รวมทั้ง website ของ Scandinavia Standard ซึ่งเป็น Blogger ที่มีชื่อเสียงและมีผู้ติดตามจำนวนมาก ซึ่งได้ช่วยกระตุ้นยอดการจำหน่ายให้แก่อาหารไทยเพิ่มขึ้น

น.ส.สายทอง สร้อยเพชร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงนิวเดลี กล่าวว่า สำนักงานฯ ได้จัดกิจกรรมโปรโมตร้านอาหารที่ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้รับเกียรติจาก นางสาวสวียา สันติพิทักษ์ กงสุลใหญ่ ณ เมืองกัลกัตตา มอบประกาศนียบัตรตราสัญลักษณ์ Thai SELECT Signature แก่ร้านอาหาร Baan Thai ของโรงแรม Oberoi Grand Kolkata ซึ่งเป็นร้านอาหารไทยดั้งเดิมและมีเชฟไทย จึงมีรสชาติอาหารไทยแท้ เป็นที่นิยมของกลุ่มลูกค้าระดับบน ชาวต่างชาติ และแขกของโรงแรมหรูระดับ 5 ดาวแห่งนี้

ทั้งนี้ ร้าน Baan Thai เป็นร้านติดตรา Thai SELECT แห่งแรกของรัฐเบงกอลตะวันตก และเป็นร้านล่าสุดลำดับที่ 15 ในอินเดีย ซึ่งในช่วงการจัดกิจกรรม สำนักงานฯ ได้เชิญประธานหอการค้าแห่งรัฐเบงกอลตะวันตก สถานกงสุลใหญ่ และสื่อมวลชนร่วมรับประทาน และมอบกระเช้าผลไม้ไทยเพื่อประชาสัมพันธ์ตรา Thai SELECT อาหารไทย และผลไม้ไทยให้ผู้บริโภคในพื้นที่รับรู้ในวงกว้างด้วย
#2928


อุตสาหกรรมอาหารของไทยนอกจากเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในพื้นที่ EEC เพราะเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายในกลุ่ม First S-Curve แล้ว ยังสร้างรายได้ให้กับประเทศจากการส่งออกถึงกว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี แต่จากแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของอาหาร สุขภาพ สวัสดิภาพแรงงาน และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จึงต้องการรู้ที่มาที่ไปของอาหาร ขณะที่เทคโนโลยีการตรวจสอบย้อนกลับอาหารมีความก้าวหน้ามากขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยี Blockchain ที่ได้รับการจับตามองมากขึ้นเรื่อยๆ และถูกคาดหมายว่าจะพลิกโฉมระบบการตรวจสอบย้อนกลับอาหารในอนาคต

หลายท่านอาจสงสัยว่าเทคโนโลยี Blockchain ช่วยในการตรวจสอบย้อนกลับอาหารได้อย่างไร แต่ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ ผู้อ่านคงต้องเข้าใจก่อนว่า ความท้าทายจากความต้องการรู้ที่มาที่ไปของอาหารของผู้บริโภคจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจอาหารในรูปแบบใด

ในระยะข้างหน้าความต้องการรู้ที่มาที่ไปของอาหารจะมาในรูปแบบมาตรฐานและกฎระเบียบทางการค้าที่จะเป็นอุปสรรคสำหรับ

ผู้ส่งออกอาหารของไทย อาทิ นโยบาย Farm to Fork ของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นมาตรการทางการค้าที่กำหนดให้อาหารจะต้องตรวจสอบย้อนกลับได้และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงผู้บริโภค หรือมาตรฐานของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาที่กำหนดให้การตรวจสอบย้อนกลับอาหารเป็นในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาที่ไปของอาหารได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี 2023

กลับมาคำถามที่ว่า เทคโนโลยี Blockchain ช่วยในการตรวจสอบย้อนกลับอาหารได้อย่างไร?

Blockchain ช่วยในการจัดเก็บข้อมูลที่จำเป็นตลอดห่วงโซ่การผลิต เช่น ข้อมูลแหล่งผลิตฟาร์มและเพาะเลี้ยง ชนิดพันธุ์พืชหรือพันธุ์สัตว์ ปริมาณการใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลง ข้อมูลการแปรรูป เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับอาหารได้แบบเรียลไทม์ จึงทำให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในคุณภาพของอาหารมากยิ่งขึ้น สำหรับตัวอย่างผู้ประกอบการในต่างประเทศที่น่าสนใจซึ่งใช้เทคโนโลยี Blockchain มาช่วยในการตรวจสอบย้อนกลับอาหาร ได้แก่ บริษัทสตาร์ทอัพที่ชื่อว่า Beefchain ของสหรัฐอเมริกา ที่นำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้เก็บข้อมูลตั้งแต่กระบวนการเลี้ยงสัตว์ไปจนถึงผู้บริโภค เพื่อให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้า ซึ่งในกรณีที่มีการระบาดของโรคในสัตว์ Beefchain ช่วยลดเวลาที่ต้องใช้ในการติดตามสต็อกที่ติดเชื้อ โดยข้อมูลที่ได้รับการบันทึกในระบบแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ จึงทำให้เกิดความน่าเชื่อถือของข้อมูล

อีกตัวอย่างที่น่าสนใจ ได้แก่ Walmart บริษัทยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของโลกในสหรัฐอเมริกา ได้นำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ในการติดตามการขนส่งกุ้งมาจากประเทศคู่ค้าอย่างอินเดีย โดยใช้แพลตฟอร์ม IBM Food Trust ทำงานร่วมกับบริษัทสัญชาติอินเดียอย่าง Sandhya Aqua เพื่อบริหารจัดการกับระบบสต็อกสินค้าและการจัดเก็บอาหารทะเล 

นอกจากนี้ ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบได้ทันทีว่ากุ้งได้ถูกส่งมาจากที่ไหน ช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันการส่งออกสินค้าทางการเกษตรของอินเดีย

โดยสรุปแล้ว ไทยซึ่งเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าในกลุ่มอาหารจะต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐานและกฎระเบียบทางการค้าในด้านการตรวจสอบย้อนกลับ รวมถึงผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่การผลิต โดย Quick Win ที่จะทำให้ผู้ประกอบการไทยรับมือกับความท้าทายดังกล่าว คือ การร่วมมือกันทั้ง Ecosystem ตั้งแต่เกษตรกร ผู้ผลิต ผู้ค้า และผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีด้านการตรวจสอบย้อนกลับอาหาร รวมไปถึงหน่วยงานภาครัฐที่ให้การรับรองมาตรฐานและให้คำปรึกษาด้านมาตรฐานอาหาร
#2929


รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า ก.ล.ต.ได้รับรายงานการได้มา หุ้นของ บริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) หรือ SOLAR โดย นางสาว ปุณฑรีก์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ซึ่งเป็นการได้มา เมื่อวันที่ 2 ส.ค.2564 จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มา คิดเป็น 18.3781% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มา คิดเป็น 18.3781% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ส่วนจำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มา ของกลุ่มคิดเป็น 18.3781% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มา ของกลุ่มคิดเป็น 18.3781% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ทั้งนี้เป็นการทำธุรกรรมผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นการซื้อขายบนกระดานรายใหญ่ (บิ๊กล็อต) จากนายศึกษิต เพชรอำไพ ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 และยื่นแบบรายงานต่อ ก.ล.ต.ในวันที่ 2 ส.ค. ราคาเฉลี่ย 1.40 บาทต่อหุ้น จำนวนหลักทรัพย์ 100 ล้านหุ้น

นอกจากนี้ ก.ล.ต.ยังได้รับรายงานการจำหน่ายหุ้น SOLAR โดย นายศรีศักร เดชกิจวิกรม ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ซึ่งเป็นการจำหน่ายในวันเดียวกัน จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่าย คิดเป็น 6.944% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่าย คิดเป็น 3.7704% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

''ธุรกิจประกันชีวิต' ลั่นเงินกองทุนแกร่ง 329% พร้อมรับยอดเคลมโควิดพุ่ง
ขณะที่จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่าย ของกลุ่มคิดเป็น 6.944% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่าย ของกลุ่มคิดเป็น 3.7704% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ทั้งนี้เป็นการทำธุรกรรมผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน จำกัด (มหาชน) และยื่นแบบรายงานต่อ ก.ล.ต.ในวันที่ 3 ส.ค. จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่าย 37,784,200 หุ้น หรือ 6.9440% ส่งผลให้ นายศรีศักร เหลือถือหุ้น SOLAR จำนวน 20,515,800 หุ้น หรือ 3.7704%
#2930


สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต. แจ้งให้ บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG) และนายบุญ วนาสิน ชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับการเซ็นสัญญากับกระทรวงกลาโหมเพื่อนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์ รวมถึงการเสียเงินมัดจำจำนวน 500-600 ล้านบาท จากการผิดเงื่อนไขของสัญญา

สืบเนื่องจากนายบุญ ในฐานะประธานกรรมการ THG ให้ข่าวผ่านสื่อเมื่อวันที่ 3 ส.ค.2564 ว่า ภายในสัปดาห์นี้จะมีการเซ็นสัญญากับกระทรวงกลาโหมที่เป็นหน่วยงานนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์ ต่อมาในวันเดียวกัน โฆษกกระทรวงกลาโหมได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าวและยืนยันว่า ขณะนี้กระทรวงกลาโหมและหน่วยงานในสังกัดยังไม่มีแผนหรือความตกลงร่วมกับหน่วยงานภาคเอกชนใดๆ ในการสั่งซื้อหรือนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์แต่อย่างใด นอกจากนี้ นายบุญ ยังกล่าวถึงการที่ต้องเสียเงินมัดจำเป็นจำนวน 500-600 ล้านบาท เนื่องจากผิดเงื่อนไขของสัญญาด้วย

ก.ล.ต. เห็นว่าเนื่องจากข้อเท็จจริงดังกล่าวมีความขัดแย้งกัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความสำคัญผิด และอาจมีผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหุ้นหรือต่อการตัดสินใจลงทุนหรือต่อการเปลี่ยนแปลงในราคาหลักทรัพย์ ก.ล.ต. จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 58 (1) และ (2) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ให้ THG และนายบุญ ชี้แจงข้อมูลที่เกี่ยวข้องภายใน 7 วันนับแต่วันที่ 4 ส.ค.2564 พร้อมทั้งให้ THG เปิดเผยคำชี้แจงผ่านระบบของตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วย

ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้มีหนังสือ 2 ฉบับถึงประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ THG และนายบุญ วนาสิน ในฐานะประธานกรรมการของ THG ให้ชี้แจงกรณีดังกล่าว เมื่อช่วงเช้าวันที่ 4 ส.ค.2564

ด้านราคาหุ้น THG เมื่อเวลา 10.14 น. อยู่ที่ระดับ 28.50 บาท ลดลง 2.25 บาท หรือเปลี่ยนแปลง 7.32% มูลค่าการซื้อขาย 76.8 ล้านบาท
#2931


เมื่อวันที่ 3 ส.ค. นางสาวลัดดา แซ่ลี้ รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่มีครม. เมื่อวันที่ 13 ก.ค.64 และ 20 ก.ค.64 โดยมีรายละเอียดในส่วนของผู้ประกอบอาชีพอิสระมาตรา 40 คือ รัฐบาลจะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายให้ 5,000 บาท ต่อคน และยังให้สิทธิผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม ให้ขึ้นทะเบียนตาม ม. 40 ภายในเดือนเดือนก.ค. 2564 เพื่อรับค่าช่วยเหลือ 5,000 บาท เช่นกัน ปรากฏว่าจนถึงวันที่ 31 ก.ค.มีผู้ขึ้นทะเบียนสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 เป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งสมัครด้วยตนเองผ่านทางเว็บไซต์ www.sso.go.th และเครือข่ายประกันสังคม แต่ยังไม่ได้ชำระเงินสมทบงวดแรก ทำให้สถานะความเป็นผู้ประกันตนของยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งจะส่งผลต่อการรับเงินเยียวยา

"ขอแจ้งให้ผู้สมัคร ม.40 รีบดำเนินมาชำระเงินสมทบงวดแรกให้ทันภายในวันที่ 10 ส.ค.2564 นี้ โดยสามารถชำระเงินผ่านช่องทางที่สะดวก ได้แก่ เคาน์เตอร์เซอร์วิส (7-11) เคาน์เตอร์เทสโก้โลตัส เคาน์เตอร์บิ๊กซี เคาน์เตอร์ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัดมหาชน หรือผ่าน Mobile Application ShoppyPay และตู้บุญเติม ฟรีค่าธรรมเนียมทุกช่องทาง" นางสาวลัดดา กล่าว

รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม กล่าวย้ำว่า นอกจากการชำระเงินสมทบมาตรา 40 เพื่อรับเงินเยียวยาในพื้นที่เยียวยา 13 จังหวัด แล้ว การชำระเงินสมทบมาตรา 40 อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ทุก ๆ เดือน ก็จะทำให้ท่านได้รับสิทธิประโยชน์อย่างครบถ้วนทุกกรณี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1506 ให้บริการไม่เว้นวันหยุดราชการตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับ "แรงงานอิสระ" ที่เพิ่งสมัครเข้าระบบประกันสังคม ม.40 รายใหม่ และอยากทราบว่า ชื่อของตนเอง เข้าสู่ระบบประกันสังคมหรือยังนั้น

สำนักงานประกันสังคม ให้ข้อมูลว่า การสมัครเป็น "ผู้ประกันตนตาม มาตรา 40" จะมีสถานะความเป็นผู้ประกันตนตามกฎหมาย เมื่อจ่ายเงินสมทบงวดแรกแล้ว เท่านั้น

โดยผู้ประกันตนทุกราย ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกันตน มาตรา 33,39 หรือ มาตรา 40 ต่างก็สามารถ ตรวจสอบสถานะ การเป็นผู้ประกันตนด้วยตัวเองได้ง่ายๆ ผ่านระบบ อีเซอร์วิส ของประกันสังคม ผ่านเว็บไซต์ของประกันสังคม 

หากมีข้อสงสัยสอบถามสายด่วนประกันสังคม 1506 ให้บริการไม่เว้นวันหยุดราชการตลอด 24 ชั่วโมง

ทั้งนี้ คุณสมบัติของ "แรงงานอิสระ" หรือผู้ประกอบ "อาชีพอิสระ" ที่จะสมัครประกันสังคม มาตรา 40 ได้มีดังนี้

- มีสัญชาติไทย
- อายุตั้งแต่ 15 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์
- แรงงานอิสระหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระ
- ไม่เป็นลูกจ้างในบริษัท ห้างร้าน โรงงาน (ม.33)
- ไม่เป็นผู้ประกันตนโดยสมัครใจ (ม.39)
- ไม่เป็นข้าราชการหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ
- ผู้ถือบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยขึ้นต้นด้วยเลข 0,6,7 (ยกเว้นขึ้นต้นด้วย000)
- ผู้พิการที่รับรู้สิทธิก็สมัครได้

โดยผู้ประกันตน สามารถเลือกจ่ายเงินสมทบได้ 3 ทางเลือก ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ ที่แตกต่างกัน ดังนี้

ทางเลือกที่ 1 จ่าย 70 บาท : เจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต
ทางเลือกที่ 2 จ่าย 100 บาท : เจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต ชราภาพ
ทางเลือกที่ 3 จ่าย 300 บาท : เจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต ชราภาพ สงเคราะห์บุตร
ทั้งนี้ แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่กำลังระบาดหนัก และเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน จึงได้สั่งการให้ลดการจ่ายเงินสมทบ จากเดิมการจ่ายเงินสมทบ สำหรับ ประกันสังคมมาตรา 40 มีด้วยกัน 3 ทางเลือก คือ 70 บาท, 100 บาท และ 300 บาท แต่ในช่วงสถานการณ์โควิด ได้มีการปรับลดอัตราเงินสมทบ 40% เป็นเวลา 6 เดือน (1 ส.ค.64 - 31 ม.ค.65) เหลือเป็นเงินที่ต้องจ่ายสมทบ คือ 42 บาท, 60 บาท และ 180 บาท ตามลำดับ
#2932


ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์วันนี้(3 ส.ค.)ดัชนีภาคเช้าปิดที่ระดับ1,536.21 จุด เพิ่มขึ้น 11.10 จุด (+0.73%) มูลค่าการซื้อขายราว 37,590 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนบวกเป็นส่วนใหญ่ โดยทำระดับสูงสุด 1,536.31 จุด และระดับต่ำสุด 1,524.37 จุด

น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับขึ้นมาได้ดีกว่าคาด ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ลบกัน โดยเฉพาะตลาดหุ้นญี่ปุ่น,เกาหลี,ฮ่องกง ต่างปรับลง ยกเว้นตลาดกลุ่ม TIP ปรับขึ้นมาได้ โดยนักลงทุนเวียนมาเล่นหุ้นขนาดใหญ่บางตัวหลังราคาลงไปมากแล้ว แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ยังหนักอยู่ โดยจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดวันนี้อยู่ที่กว่า 18,000 ราย แต่ผู้ป่วยหายกลับบ้านได้เพิ่มขึ้น 18,000 รายเช่นกัน ขณะที่ตลาดฯปรับตัวลงสะท้อนไปในระดับหนึ่งแล้ว ทำให้เกิดเทคนิคเคิลรีบาวด์

ทั้งนี้แนะให้ติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันพรุ่งนี้ (4 ส.ค.) คาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับเดิม ส่วนปัจจัยนอกประเทศให้ติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯศุกร์นี้ และอัตราว่างงานของสหรัฐฯ แนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่าย ตลาดฯคงแกว่งตัวในกรอบสลับแรงขายเข้ามาบ้าง พร้อมให้แนวรับ 1,520 จุด ส่วนแนวต้าน 1,535-1,540 จุด

สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ได้แก่ ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,928.08 ล้านบาท ปิดที่ 176.50 บาท ลดลง 4.00 บาท,KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,320.15 ล้านบาท ปิดที่ 105.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท,RCL มูลค่าการซื้อขาย 1,048.92 ล้านบาท ปิดที่ 56.75 บาท ลดลง2.25 บาท,DTAC มูลค่าการซื้อขาย 928.88 ล้านบาท ปิดที่ 36.75 บาท ลดลง 0.75 บาท,SCB มูลค่าการซื้อขาย 866.42 ล้านบาท ปิดที่ 96.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.25 บาท
#2933


นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) เปิดเผยว่า การระบาดของโควิด -19 ที่รุนแรงขึ้นในช่วงนี้ ในช่วงนี้ต้องอาศัยความระมัดระวังในการออก "หุ้นกู้" เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะขายไม่หมด และนักลงทุนจะระมัดระวังในการลงทุนหุ้นกู้ในสถานการณ์เช่นนี้ 

ขณะที่ ผู้ออกหุ้นกู้ที่ขอยืดอายุหุ้นกู้ไปแล้ว ถ้าต้องการออกหุ้นกู้ใหม่ ก็อาจจะเหนื่อยขึ้น เพราะว่าปัจจุบันตอนนี้สัดส่วน80% เป็นกลุ่มหุ้นกู้ไฮยิลด์ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันกันหมด และผู้ที่ขอยืดหุ้นกู้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มไฮยิลด์ ถ้าจะออกเพิ่มต้องมีหลักทรัพย์มาค้ำทีประกันเพิ่มมากขึ้น เพราะเชื่อว่านักลงทุน มีความระมักระวังการลงทุนอยู่แล้ว คงไม่ได้ดูแค่ผลตอบแทนการลงทุนอย่างเดียว

"คาดคงจะไม่เห็นหุ้นกู้ไฮยิลด์ชำระหนี้หุ้นกู้ไม่ได้ตามกำหนด หรือดีฟอลเพราะผู้ออกหุุ้นกู้ไฮยิลด์เดิมนั้นมีการยืดหนี้ไปแล้ว และคาดว่าคงจะไม่มีรายใหญ่ออกหุ้นกู้ดังกล่าว เพราะนักลงทุนอาจไม่สนใจซื้อในสถานการณ์ขณะนี้"

สำหรับในปีนี้ผู้ออกหุ้นกู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด เรายังพบว่า ยังคงเป็นรายเดิมๆ ที่ได้รับผลกระทบตั้งแต่ปีก่อน ทำให้มีหุ้นกู้บางส่วนที่ขอยืดอายุชำระหนี้หุ้นกู้ออกไป และยังขอต่ออายุยืดหนี้ออกไปอีกเพราะการระบาดโควิด-19ลากยาวกว่าที่คาดในปีนี้ โดยผู้ออกหุ้นกู้ได้ขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้แล้วซึ่งผู้ถือหุ้นกู้ ก็เข้าใจสสถานการณ์เช่นนี้ดีว่าเป็นเหตุสุดวิสัย และยังคงยืดอายุชำระหนี้ให้ ซึ่งไม่น่าเป็นห่วง

ขณะที่สถานการณ์การออกหุ้นกู้ในช่วง 7 เดือนแรกปีนี้ อยู่ที่ 6.04 แสนล้านบาทเพิ่มขึ้น 52%เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน  โดยนหุ้นกู้ครบกำหนดในปีนี้ โดยเดือนส.ค.ถึงสิ้นปีนี้ จะมีหุ้นกู้ครบกำหนดราว 3.3 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้สัดส่วนถึง 92% เป็นหุ้นกู้ระดับอินเวสต์เมนต์ เกรดเชื่อว่าจะไม่มีประเด็นการโรลโอเวอร์ ขณะที่ในหุ้นกู้ไฮยิลด์ ราว 2.5 หมื่นล้านบาท ที่ออกมาตั้งแต่ช่วงต้นปีมานี้ สัดส่วนกว่า 80% เป็นการออกที่มีหลักทรัพย์หรือมีผู้ค้ำประกัน ซึ่งเป็นส่วนที่เข้ามาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน

นางอาริยา กล่าวว่า คาดการประชุมกนง. ในวันนี้ น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่0.5% เนื่องจาก เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าลงจากการระบาดของโควิด-19 และ ธปท. ได้ทำการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ธุรกิจ เอสเอ็มอีและหนี้ครัวเรือน ความจำเป็นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจึงลดลง
#2934


แรปเปอร์หนุ่มมาดกวน "Yung Raja" ปล่อยเพลงใหม่ "Spice Boy" เผ็ดร้อนตามสไตล์ Asian Hip-Hop พร้อม MV แหวกแนวสุดกวน แฟนเพลงฮิปฮอปตัวจริงห้ามพลาด!!

"Yung Raja" แรปเปอร์มากความสามารถ ที่หลงใหลไปกับเสน่ห์ของความดั้งเดิม และในขณะเดียวกันก็ยังมองไปถึงสิ่งแปลกใหม่ในอนาคต ซึ่งเขานั้นมีสไตล์การร้องเพลงที่โดดเด่น ในการผสมผสานภาษาทมิฬ และภาษาอังกฤษเข้าด้วยกันในวิธีการที่แปลกใหม่ เขาคือแรปเปอร์ที่ได้ขึ้นแสดงซิงเกิลล่าสุด "Mami" ในรายการ "The Tonight Show Starring Jimmy Fallon" ที่สร้างความฮือฮาทั่วโซเชียล นอกจากนี้ เขายังคงมุ่งมั่นไปสู่ความฝันที่จะเป็นศิลปินระดับโลก โดยที่ไม่ได้ทิ้งรากเหง้าของตัวเอง โดยล่าสุด "Yung Raja" ได้ปล่อยซิงเกิลใหม่ "Spice Boy" ที่ไม่เพียงแค่โชว์ศิลปะแห่งการผสมผสาน แต่ยังโชว์ให้เห็นว่ารากเหง้าของเขาคือสิ่งที่ขับเคลื่อนเขาไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

ซึ่ง เพลง "Spice Boy" นั้น ถูกโปรดิวซ์โดย "Flightsch" และ "RIIDEM" ซึ่งเขาประกาศว่า มันถึงเวลาแล้วที่จะโอบรับตัวตนของพวกเขา และเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมหลากหลายมิติเข้ามาใส่ไว้ในฮิปฮอปเอเชีย ด้าน "Yung Raja" บอกว่า "ตั้งแต่เด็ก ผมภูมิใจในวัฒนธรรม รากเหง้า ภาษาแม่ และทุกอย่างที่ทำให้ผมเป็นผม มาโดยตลอด การเรียนรู้ที่จะโอบรับสิ่งเหล่านั้นตั้งแต่เด็ก เป็นปัจจัยหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังศิลปะสองภาษาของผม หนุ่มสองภาษา เกิดที่สิงคโปร์ ได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ชาวอินเดียใต้ - นี่คือตัวตนของผม"

สำหรับ MV เพลง "Spice Boy" ถ้าไม่ใช่แนวคิดที่แหวกแนวเกินจินตนาการ ก็คงไม่ใช่การผจญภัยของ "Yung Raja" ซึ่ง "ความสุดเหวี่ยง" นี้ มีแค่ "Vadbibes" เท่านั้นที่จะรังสรรค์ขึ้นมาได้ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ "Jasper Tan" ผู้กำกับและผู้ร่วมทำเพลง (collaborator) สุดเก๋า และใน MV เพลง "Spice Boy" เราจะได้เห็นการเล่นใหญ่ตลอดเวลาสามนาที บวกกับท่าทางสุดกวน วิกผมหยิก ชุดซูโม่พองลม และการถ่าย Close Up ที่ชวนเวียนหัว แต่เต็มไปด้วยความสนุก ตามสไตล์ของ "Yung Raja" ทั้งหมดนี้ถูกกำกับด้วยความรู้สึกสนุกสุดเหวี่ยงของ "Jasper Tan" เรื่องราวสุดฮาในโลเคชั่นที่แสนน่ากลัว มองตรงออกมาจากฮอลลีวูด มี "Yung Raja" เป็นตัวเอกดึงจุดสนใจ ด้วยการปลุกจิตวิญญาณนักแสดงในตำนานอย่าง "Rajnikanth" อีกด้วย

สามารถรับชม MV เพลง "Spice Boy" สุดกวนได้ที่ : https:// youtu.be/hSFO951TOiQ และ สามารถฟังเพลง "Spice Boy" ได้ที่ : https:// yungrajath.lnk.to/SpiceBoyPR
#2935


นางแก้วกาญจน์ วสุพรพงศ์ รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่มีการรวมกิจการระหว่างธนาคารธนชาตและธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ภายใต้ชื่อ ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) นั้น ซึ่งในส่วนของธนาคารธนชาตเดิม จะมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลเลขที่บัญชีเงินฝากธนาคารของลูกค้าเดิมทั้งหมด และมีผลตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป เพื่อให้การโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารที่ใช้รับเงินเดือน ค่าจ้างประจำ เบี้ยหวัดบำนาญ และเงินอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน รวมทั้งการโอนเงินเดือนพลทหารกองประจำการ ผ่านระบบจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจำ (e-Payroll) ระบบบำเหน็จบำนาญ (e-Pension) และระบบบูรณาการฐานข้อมูลสวัสดิการสังคม (e-Social Welfare) ของกรมบัญชีกลางมีความต่อเนื่อง

"ขอประชาสัมพันธ์ให้ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญและเงินอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกันหรือพลทหารกองประจำการ ที่เป็นลูกค้าของธนาคารธนชาตเดิม ไปติดต่อธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) เพื่อขอเปลี่ยนแปลงเลขที่บัญชีเงินฝากธนาคารใหม่ และนำเลขที่บัญชีเงินฝากดังกล่าว ไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ในสังกัดหน่วยงานของท่าน ที่ปฏิบัติงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบ e-Payroll หรือระบบบำเหน็จบำนาญ e-Pension หรือระบบ e-Social Welfare แล้วแต่กรณี เพื่อดำเนินการเปลี่ยนแปลงเลขที่บัญชีเงินฝากธนาคารใหม่ให้แก่ผู้มีสิทธิรับเงินต่อไป ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ"
#2936


นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทขยายความร่วมมือใหม่ ในกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ ภายใต้บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ด้วยการร่วมทุนกับบริษัท โตคิว แลนด์ เอเชีย จำกัด ในเครือโตคิว แลนด์ คอร์เปอเรชั่น หนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของญี่ปุ่น ในสัดส่วน 51:49 เพื่อพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส "วันพญาไท" มูลค่า กว่า 3,600 ล้านบาท

"โตคิว แลนด์ เอเชีย เป็นพันธมิตรรายใหญ่ที่มีวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องกับเราในการพัฒนาอสังหาฯ ครบวงจร เพื่อสร้างอีโคซิสเท็มแห่งการใช้ชีวิตที่ดีที่สุดเพื่อผู้บริโภค"

นายมาซาโอกิ คาเนมัตซึ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โตคิว แลนด์ เอเชีย จำกัด กล่าวว่า การร่วมทุนพัฒนาโครงการวัน พญาไท เป็นการเข้ามาลงทุนในไทยเป็นครั้งแรกของบริษัทหลังจากพิจารณามองหาพันธมิตรที่เหมาะสมและมีชื่อเสียงในไทยมายาวนาน บริษัทหวังว่าการร่วมทุนครั้งนี้จะก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างกัน และเป็นรากฐานสำคัญสู่โอกาสสร้างความร่วมมือในธุรกิจด้านอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจพลังงานทดแทน รวมถึงธุรกิจอื่นๆ ที่สามารถสร้างการเติบโตในอนาคตในตลาดที่กำลังเติบโตอย่างประเทศไทย

โครงการวัน พญาไท เป็นโครงการมิกซ์ยูส สูง 31 ชั้น 1 อาคาร บนพื้นที่ 1-3-0 ไร่ ตั้งอยู่ติดกับโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่พาร์ค ออริจิ้น พญาไท พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด 'ONE STEP JOURNEY' เป็นแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิตจากส่วนคอนโดที่พักอาศัย ห่างจากรถไฟฟ้าบีทีเอส และแอร์พอร์ต เรลลิงก์ สถานีพญาไทย 200 เมตร

และยังเป็นโครงการแรกในไทยที่จะมีแบรนด์โรงแรมระดับโลก 2 แบรนด์ภายในอาคารเดียวกัน คือ โฮเทล อินดิโก โรงแรมในแนวคิดบูทีคโฮเทล มีห้องพัก 210 ห้อง และ ฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส มีห้องพัก 202 ห้อง โดยทั้ง 2 แบรนด์ภายใต้เครือ IHG Hotels & Resorts จะช่วยตอบสนองความต้องการที่แตกต่างให้กับทั้งนักเดินทางที่มาท่องเที่ยวหรือติดต่อธุรกิจย่านใจกลางเมือง

นอกจากนี้ ภายในอาคารยังมีพื้นที่เชิงพาณิชย์สำหรับร้านค้าและอาคารสำนักงาน 2,200 ตารางเมตร สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมพื้นที่ใช้สอยกว่า 26,880 ตารางเมตรโดยจะเริ่มก่อสร้างไตรมาส 3 ปีนี้ และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2566 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คาดว่าสถานการณ์โควิด-19 น่าจะคลี่คลายแล้ว

สำหรับโตคิว แลนด์ เอเชียเป็นบริษัทพัฒนาและลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเครือโตคิว แลนด์ คอร์เปอเรชั่น หนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาฯ จากประเทศญี่ปุ่นที่มีประสบการณ์ 67 ปี ภายใต้การดำเนินธุรกิจของโตคิว ฟูโดซัง โฮลดิ้ง คอร์เปอเรชั่น บริษัทยักษ์ใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น ซึ่งติดหนึ่งในบริษัทดัชนี นิกเคอิi 225 มีมูลค่าทรัพย์สิน ณ สิ้นปีงบการเงินล่าสุดของญี่ปุ่น (31 มี.ค.2564) ประมาณ 2,652,000 ล้านเยน หรือราว 790,000 ล้านบาท
#2937


แม้จะอยู่ในช่วงเวลาของสถานการณ์โควิด-19 แต่บทสนทนาเกี่ยวกับวงการเพลง K-Pop ยังคงครองใจผู้ใช้ทวิตเตอร์ทั่วโลก เมื่อเหล่าแฟนเพลงหันมาใช้ทวิตเตอร์เพื่อคอนเน็คกับศิลปิน K-Pop ที่ชื่นชอบ และคอมมูนิตี้ #KpopTwitter ทั่วโลก

K-Pop เขย่าโลก 7.5 พันล้านทวีตในทวิตเตอร์

ในปีที่ผ่านมาระหว่าง 1 กรกฎาคม 2563 - 30 มิถุนายน 2564 มีทวีตกว่า 7.5 พันล้านทวีตเกี่ยวกับ K-Pop ซึ่งถือว่าเป็นสถิติใหม่ที่มากที่สุดในประวัติการณ์ 

หากย้อนดู 10 ปีที่ผ่านมาจะเห็นการเติบโตของ K-Pop บนทวิตเตอร์ที่มากขึ้นอย่างเท่าทวีคูณ โดยจำนวนทวีตเกี่ยวกับ K-Pop ย้อนหลัง 10 ปีมีดังนี้

2010=5.1 ล้านทวีต
2011=15.7 ล้านทวีต
2012=42 ล้านทวีต
2013=214 ล้านทวีต
2014=445 ล้านทวีต
2015=795 ล้านทวีต
2016=1.4 พันล้านทวีต
2017=4.1 พันล้านทวีต
2018=5.6 พันล้านทวีต
2019=6.1 พันล้านทวีต


ประเทศที่มีการทวีตเกี่ยวกับ K-Pop มากที่สุด
การที่แฟนเพลง K-Pop เข้ามาเชื่อมต่อกันบนทวิตเตอร์ ทำให้บทสนทนาที่เกี่ยวกับ K-Pop ส่งเสียงสะท้อนดังออกไปทั่วทั้งโลก โดยประเทศที่มีจำนวนทวีตที่พูดถึงแวดวง K-Pop มากที่สุด (เก็บข้อมูลจากจำนวนทวีตที่เกี่ยวกับ K-Pop ของประเทศต่างๆ ระหว่าง 1 ก.ค.2020 - 30 มิ.ย.2021) 20 ประเทศที่ติดอันดับได้แก่

1.อินโดนีเซีย 2.ฟิลิปปินส์ 3.ไทย 4.เกาหลีใต้ 5.สหรัฐอเมริกา 6.บราซิล 7.มาเลเซีย 8.เม็กซิโก 9.ญี่ปุ่น 10.อินเดีย 11.อาร์เจนตินา 12.เปรู 13.สหราชอาณาจักร 14.เวียดนาม 15.ตุรกี 16.ฝรั่งเศส 17.ชิลี 18.แคนาดา 19.ซาอุดีอาระเบีย 20.สิงคโปร์


ซึ่งกระแสความนิยมของ K-Pop ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ฐานแฟนคลับของ K-Pop ที่มีอยู่ทั่วโลกบนทวิตเตอร์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทั้งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และทวีปอเมริกาใต้ 

ขณะที่ 20 อันดับประเทศที่มีจำนวนแฟน K-Pop บนทวิตเตอร์มากที่สุด โดยทวิตเตอร์เก็บข้อมูลจากจำนวนผู้ใช้ทวิตเตอร์ในประเทศต่างๆ ที่พูดถึง K-Pop ระหว่าง 1 ก.ค.2020 - 30 มิ.ย.2021 มีดังนี้

1.อินโดนีเซีย 2.ญี่ปุ่น 3.ฟิลิปปินส์ 4.เกาหลีใต้ 5.สหรัฐอเมริกา 6.บราซิล 7.ไทย 8.เม็กซิโก 9.มาเลเซีย 10.อินเดีย 11.ตุรกี 12.อาร์เจนตินา 13.สหราชอาณาจักร 14.ฝรั่งเศส 15.สเปน 16.ซาอุดีอาระเบีย 17.แคนาดา 18.เวียดนาม 19.เปรู 20.โคลอมเบีย


ศิลปิน K-Pop ที่มีแฟนคลับทวีตถึงมากที่สุด
เป็นครั้งแรกที่ทวิตเตอร์ประกาศ ศิลปิน K-Pop 20 อันดับแรกที่ถูกทวีตถึงมากที่สุด เพื่อให้แฟนๆ บนทวิตเตอร์สามารถร่วมฉลองให้กับศิลปินวงโปรดของพวกเขาร่วมกัน ได้แก่

1. BTS (@BTS_twt)
2. NCT (@NCTsmtown)
3. BLACKPINK (@BLACKPINK)
4. EXO (@weareoneEXO)
5. TREASURE (@treasuremembers)
6. TOMORROW X TOGETHER (@TXT_members)
7. ENHYPEN (@ENHYPEN)
8. GOT7 (@GOT7Official)
9. TWICE (@JYPETWICE)
10. SEVENTEEN (@pledis_17)



11. ATEEZ (@ATEEZofficial)
12. Stray Kids (@Stray_Kids)
13. THE BOYZ (@WE_THE_BOYZ)
14. Red Velvet (@RV_smtown)
15. MONSTA X (@OfficialMonstaX)
16. iKON (@YG_iKONIC)
17. IZ*ONE (@official_izone)
18. DAY6 (@day6official)
19. ASTRO (@offclASTRO)
20. SHINee (@SHINee)

5 อันดับทวีตของศิลปิน K-Pop ที่มีรีทวีตมากที่สุด
5 อันดับทวีตยอดนิยมของศิลปิน K-Pop ที่มีคนรีทวีตมากที่สุด (ระหว่าง 1 กรกฎาคม 2563 - 30 มิถุนายน 2564)

• BTS

• NCT

• BLACKPINK

• EXO

• TREASURE

https:// www.thairath.co.th/entertain/news/2153288
#2938
ขายที่ดินเหมาะทำรีสอร์ท อำเภอแม่จัน เชียงราย

ขายที่ดินเหมาะทำรีสอร์ทเชียงราย อำเภอแม่จัน  ทำโฮมสเตย์ ร้านอาหาร ใกล้แหล่งท่องเที่ยว
ขายที่ดินเหมาะทำรีสอร์ทเชียงราย อำเภอแม่จัน  ทำโฮมสเตย์ ร้านอาหาร ใกล้แหล่งท่องเที่ยว ทีดินบนเนินเขา ขายที่ดินใกล้แหล่งท่องเที่ยวแม่จัน-เชียงราย  พื้นที่ 10ไร่ 1 งาน 35 ตารางวา พัฒนาแล้ว เหมาะมากสำหรับทำรีสอร์ท โฮมสเตย์ ใกล้แหล่งท่องเที่ยว

ขายที่ดินเหมาะทำรีสอร์ทเชียงราย อำเภอแม่จัน  ทำโฮมสเตย์ ร้านอาหาร ใกล้แหล่งท่องเที่ยว ขายที่ดินสวยและถูกแม่จัน เชียงรายโฮมสเตย์ ใกล้แหล่งท่องเที่ยว
ขายถูกที่ดินแม่จันสวยมาก เชียงราย ทีดินสวยมากบนเนินเขา เนื้อที่ 10ไร่ 1 งาน 35 ตารางวา ขายที่ดินใกล้แหล่งท่องเที่ยวแม่จัน พัฒนาแล้ว ปรับแต่ง ภูมิทัศน์ จัดมุมต่างอย่างสวยงาน เหมาะทำรีสอร์ท โฮมสเตย์ ใกล้แหล่งท่องเที่ยว

ขายที่ดินสวยและถูกแม่จัน เชียงราย เหมาะทำรีสอร์ท ขายที่ดินใกล้แหล่งท่องเที่ยวแม่จัน
เชียงราย ขายที่ดินสวยและถูกแม่จัน ใกล้แหล่งท่องเที่ยว จังหวัดเชียราย
เดินทางสะดวก ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เห็นวิวธรรมชาติ อากาศดีมาก เป็นส่วนตัว ใกล้ ตัวเมือง,แหล่งท่องเที่ยว,
-โรงพยาบาล เดินทาง 10 นาที 8 กม.
-โลตัส เดินทาง 10 นาที 8 กม.
-เซเว่น เดินทาง 5 นาที 4 กม.
-ตลาด เดินทาง 5 นาที 4 กม.
-ห้าแยกพ่อขุน เดินทาง 40 นาที 35 กม.
-ม.แม่ฟ้าหลวง เดินทาง 25 นาที 20 กม.
-ไร่ชาฉุยฟง เดินทาง 25 นาที 18.5 กม.
-พระตำหนักดอยตุง เดินทาง 30 นาที 29 กม.
ทีดินเหมาะสร้างบ้านแม่จัน หรือ เหมาะทำรีสอร์ท โฮมสเตย์ ทำแหล่งท่องเที่ยว จุดกางเต้นท์ รีสอร์ท ร้านอาหาร ได้
ขายที่ดินอำเภอแม่จันเหมาะทำรีสอร์ท โฮมสเตย์ ปล.ที่ดินพัฒนาแล้ว ระบบน้ำไฟ พร้อม และ ได้ทำการจัดวางมุมต่างๆให้ดูสวยงาม พื้นที่ดินได้รับการดูแลอยู่เสมอ รอคุณมาเป็นเจ้าของ


ราคา ยกแปลง 13 ล้านบาท
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
090-1419966, 081-1122440

รายละเอียดเพิ่มเติม
https://freepost.website/ขายที่ดินเหมาะทำรีสอร์/

คำค้น
ขายที่ดินสวยและถูกแม่จันเหมาะทำรีสอร์ท, ขายที่ดินสวยและถูกแม่จัน-เชียงราย, ขายที่ดินใกล้แหล่งท่องเที่ยวแม่จัน,  ขายที่ดินเหมาะทำโฮมสเตย์แม่จัน-เชียงราย, ทีดินเหมาะสร้างบ้านแม่จัน 
  
 
#2939



สมาคมประกันวินาศภัยไทยเดินหน้าปรับเกณฑ์การจ่ายค่าสินไหมทดแทน COVID-19 เพื่อเพิ่มผลประโยชน์และอำนวยความสะดวกให้กับผู้เอาประกันภัย

นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทยเปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในปัจจุบัน ซึ่งได้ทวีความรุนแรงและขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่อง ส่งผลทำให้ภาครัฐต้องดำเนินการเพิ่มช่องทางการนำผู้ติดเชื้อ COVID-19 เข้าสู่ระบบการดูแลในรูปแบบของการดูแลผู้ติดเชื้อที่บ้าน (Home Isolation) และการดูแลผู้ติดเชื้อด้วยระบบชุมชน (Community Isolation) เพิ่มจากเดิมที่กำหนดให้เป็นการเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล โรงพยาบาลสนาม หรือ Hospitel เท่านั้น

สมาคมฯ ได้มีการหารือกับสำนักงาน คปภ. และบริษัทสมาชิก ในการพิจารณาปรับเกณฑ์การจ่ายค่าสินไหมทดแทน COVID-19 ให้เหมาะสมกับรูปแบบการดูแลผู้ติดเชื้อมากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มผลประโยชน์และอำนวยความสะดวกให้กับผู้เอาประกันภัย ดังต่อไปนี้
1. กรมธรรม์ประกันภัยซึ่งให้ความคุ้มครองกรณีเจ็บป่วยหรือตรวจพบเชื้อ COVID-19 (แบบ เจอ จ่าย จบ) เนื่องจากในกรมธรรม์ประกันภัยแบบเจอ จ่าย จบ ได้กำหนดให้ผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นผู้ติดเชื้อ COVID-19 ต้องแสดงหลักฐานใบรับรองแพทย์ประกอบการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน อย่างไรก็ตาม ระบบการดูแลผู้ติดเชื้อในรูปแบบ Home Isolation และ Community Isolation ทำให้ผู้เอาประกันภัยไม่สามารถขอใบรับรองแพทย์จากสถานพยาบาลได้ และอาจทำให้การดำเนินการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนไม่ได้รับความสะดวกในสถานการณ์ปัจจุบัน
สมาคมฯ จึงได้ขอความร่วมมือจากบริษัทสมาชิกในการอนุโลมไม่ต้องเรียกเอกสารใบรับรองแพทย์จากผู้เอาประกันภัยในช่วงเวลานี้ โดยขอให้ใช้เพียงเอกสารการตรวจพบเชื้อ COVID-19 แบบ RT-PCR ของผู้เอาประกันภัย จากหน่วยงานตรวจหาเชื้อ COVID-19 ที่มีมาตรฐานและผ่านการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อให้สามารถยืนยันตัวตนของผู้ที่รับการตรวจหาเชื้อได้และผลการตรวจมีความน่าเชื่อถือ

2. กรมธรรม์ประกันภัยซึ่งให้ความคุ้มครองกรณีการเจ็บป่วยระยะสุดท้าย และ/หรือ ภาวะโคม่า และ/หรือ ภาวะสมองตายและระบบประสาทล้มเหลว จากโรค COVID-19 เป็นเหตุให้เสียชีวิต

เนื่องจากในกรมธรรม์ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองดังกล่าว กำหนดให้ผู้เอาประกันภัยต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าการเจ็บป่วยระยะสุดท้าย และ/หรือ ภาวะโคม่า และ/หรือ ภาวะสมองตายและระบบประสาทล้มเหลว เป็นสาเหตุให้เสียชีวิต แต่ในกรณีที่มีการเสียชีวิตด้วยโรค COVID-19 นอกสถานพยาบาล เช่น ที่บ้าน หรือสถานที่อื่นๆ ซึ่งไม่มีการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าผู้เสียชีวิตอยู่ในภาวะดังกล่าวก่อนเสียชีวิต บริษัทประกันวินาศภัยจะอนุโลมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัย

3. กรมธรรม์ประกันภัยซึ่งให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากโรค COVID-19เนื่องจากในกรมธรรม์ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล จะให้ความคุ้มครองเฉพาะการรักษาตัวแบบผู้ป่วยในในสถานพยาบาล โรงพยาบาลสนาม หรือ Hospitel เท่านั้น บริษัทประกันวินาศภัยจึงได้ขยายความคุ้มครองถึงค่ารักษาพยาบาลระหว่างการรักษาตัวในรูปแบบ Home Isolation และ Community Isolation โดยบริษัทประกันวินาศภัยจะอนุโลมจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับผู้เอาประกันภัยตามความจำเป็นทางการแพทย์ที่ได้จ่ายจริงในขอบเขตการรักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยนอก แต่ไม่เกินวงเงินคุ้มครองที่ระบุไว้ในตารางกรมธรรม์ประกันภัย
4. กรมธรรม์ประกันภัยซึ่งให้ความคุ้มครองค่าชดเชยรายวันหรือค่าชดเชยรายได้จากโรค COVID-19
เนื่องจากในกรมธรรม์ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองค่าชดเชยรายวันหรือค่าชดเชยรายได้ จะให้ความคุ้มครองสำหรับการรักษาตัวแบบผู้ป่วยในในสถานพยาบาล โรงพยาบาลสนาม หรือ Hospitel เท่านั้น บริษัทประกันวินาศภัยจึงได้อนุโลมจ่ายค่าชดเชยรายวันหรือค่าชดเชยรายได้ให้กับผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นผู้ป่วยโรค COVID-19 ที่มีความจำเป็นทางการแพทย์ต้องเข้ารับการรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน แต่ไม่สามารถหาสถานพยาบาล โรงพยาบาลสนาม หรือ Hospitel รองรับได้ จึงต้องเข้ารักษาตัวในรูปแบบ Home Isolation หรือ Community Isolation

ทั้งนี้ บริษัทประกันวินาศภัยจะจ่ายค่าชดเชยให้เฉพาะกลุ่มผู้ป่วย COVID-19 ที่มีความเสี่ยงสูงตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข เช่น ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ผู้มีภาวะอ้วน (ดัชนีมวลกายมากกว่า 30 หรือน้ำหนักตัวมากกว่า 90 กิโลกรัม) หรือ ผู้มีโรคประจำตัวได้แก่ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โรคไตเรื้อรัง (CKD Stage 3,4) โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ หรือโรคอื่นๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ โดยบริษัทประกันวินาศภัยจะจ่ายค่าชดเชยให้ไม่เกิน 14 วันนับแต่วันที่ปรากฏหลักฐานการติดเชื้อ COVID-19 ซึ่งระยะเวลาดังกล่าวได้อ้างอิงตามระยะเวลาการดำเนินโรค COVID-19

นายอานนท์ วังวสุ ได้กล่าวปิดท้ายว่า "สมาคมประกันวินาศภัยไทยและภาคธุรกิจประกันวินาศภัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า มาตรการผ่อนผันและผลประโยชน์ต่างๆ ที่ได้กำหนดเพิ่มเติมนั้น จะช่วยเหลือและช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นลูกค้าของเราได้เหมาะสมกับสถานการณ์มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ธุรกิจประกันวินาศภัยได้ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารความเสี่ยงมืออาชีพให้กับประชาชนและสังคมได้อย่างแท้จริง และมีส่วนร่วมในการนำพาประเทศก้าวข้ามผ่านวิกฤติในครั้งนี้"
#2940



ผู้ป่วยโรคโควิด-19 จำนวน 80 เปอร์เซนต์มีอาการน้อย หรือไม่มีอาการใดๆ โรคนี้กว่าจะแสดงอาการ มักเป็นช่วงที่เชื้อจะอยู่ในตัวเราแล้ว 5-6 วัน จนกระทั้ง 1 สัปดาห์แรก ผู้ป่วยรับเชื้ออาจจะรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นหวัดเล็กๆ น้อยๆ แต่แท้จริงแล้ว หลังจากรับเชื้อประมาณ 5-7 วัน เชื้อจะลงปอดอย่างรวดเร็ว นำพามาสู่ปัญหาปอดติดเชื้อ


ผู้ป่วยส่วนหนึ่งอาการทรงตัวดี แต่อาจแย่ลงอย่างรวดเร็ว เรียกว่า 3 วันอันตราย ถ้าคนไข้อยู่ในความดูแลของหมอ หมอจะดูในวันที่ 5, 6 และ 7 ว่ามีอาการปอดติดเชื้อหรือไม่

จากคำถามที่ว่าปอดของผู้ติดเชื้อจะกลับมาเป็นปกติหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความหนักเบา ถ้าพบอาการปอดติดเชื้อเล็กน้อยไม่มีอะไร ตรงนี้สามารถกลับมาเป็นปกติได้ แต่อาจจะใช้ระยะเวลาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน แล้วแต่ความหนักเบา แต่ถ้าถึงขั้นการหายใจล้มเหลว สภาพปอดถูกทำลายไปเยอะแล้ว ก็อาจกลับมาไม่เป็นปกติ

ใครคือกลุ่มเสี่ยงโควิด-19

กลุ่มเสี่ยงที่น่าเป็นห่วงที่สุดของการติดเชื้อโควิด-19 อันดับแรก คือ ผู้สูงอายุ ทางการแพทย์นับที่อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป และกลุ่มต่อมาคือผู้ที่มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะเบาหวาน เพราะผู้ป่วยที่มีโรคโควิด-19 และเบาหวานร่วมด้วยจะมีอัตราการเสียชีวิตที่สูงกว่าโรคอื่นๆ โรคประจำตัวอื่นๆ ที่น่าเป็นห่วงก็จะพวกโรคเรื้อรัง โรคปอด โรคหัวใจ ไต ตับ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมถึงภาวะอ้วนด้วย

ผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 แล้วหายได้เองมีหรือไม่
มีโอกาสที่เป็นไปได้ เพราะจากที่กล่าวข้างต้นว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้ติดเชื้อมีอาการน้อยหรือไม่แสดงอาการ ถ้าผู้ติดเชื้อไม่ได้ตระหนักว่าตัวเองมีความเสี่ยงก็อาจจะไม่ได้ไปตรวจ แต่จะกลายเป็นผู้แพร่เชื้อ (Super Spreader) ให้แก่คนอื่นได้

บทความโดย : พญ.พิมฑิราภ์ สุจริตวงศานนท์ ศูนย์ทางการแพทย์ อายุรกรรม โรคทางเดินหายใจ โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์