• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Chanapot

#2721


วันนี้ (17 สิงหาคม 2564) นอกจากเป็นวันอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติ ยังเป็นวันครบรอบ 2 ปี ที่พวกเราคนไทยได้สูญเสียน้อง "มาเรียม" พะยูนน้อยขวัญใจคนไทย ไปจากขยะพลาสติกครับ จากการสูญเสียครั้งนั้น ผมได้มอบแนวคิดในการทำงานอนุรักษ์สัตว์ป่าและสัตว์ทะเลหายากอย่างเป็นระบบ ภายใต้ชื่อ "มาเรียมโปรเจกต์" เพื่อสะท้อนความสำคัญและปัญหาด้านการจัดการสัตว์ป่าและสัตว์ทะเลหายาก

นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต่างได้เร่งกำหนดแนวทางและมาตรการกันอย่างจริงจังและต่อเนื่อง หนึ่งในแผนสำคัญ คือการเสนอแผนอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติ ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติแล้ว โดยตั้งเป้าหมายว่า ประเทศไทยจะต้องมีพะยูนไม่น้อยกว่า 280 ตัว ในปี 2565 ซึ่งปัจจุบัน ปี 2564 นี้ เราสำรวจพบพะยูนในทะเลไทยได้ 261 ตัวครับ



2 ปีที่ผ่านมา เราได้เร่งขับเคลื่อนโครงการ ภายใต้แผนอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติ กว่า 7 โครงการสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นงานด้านวิชาการ การกำหนดมาตรการจัดการเครื่องมือประมง การพัฒนาองค์ความรู้และประชาสัมพันธ์ การทำแผนระดับพื้นที่ และการเพิ่มกำลังในการลาดตระเวน รวมถึงบทเรียนสำคัญที่เราได้เรียนรู้จากการตายของน้องมาเรียม คือ ปัญหาขยะทะเล ซึ่งรัฐบาลชุดปัจจุบัน ได้ประกาศ Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561 - 2573 โดยเร่งขับเคลื่อนการจัดการขยะทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางก่อนลงสู่ทะเล

สำหรับแนวทางและมาตรการในการดูแลสัตว์ทะเลหายากรวมถึงการคุ้มครองพื้นที่แหล่งที่อยู่อาศัย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้เตรียมประกาศมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่อำเภอปะเหลียน อำเภอหาดสำราญ อำเภอย่านตาขาว อำเภอกันตัง และอำเภอสิเกา จังหวัดตรัง โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อประกาศบังคับใช้ต่อไปครับ

"การไม่ทิ้งขยะลงสู่ทะเล นอกจากจะเป็นการช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์ทะเล รวมถึงระบบนิเวศทางทะเลมีความอุดมสมบูรณ์อย่างที่ควรจะเป็นแล้ว ยังเป็นการสร้างทัศนียภาพทางทะเลให้กลับมางดงามดังเดิมอีกครั้งหนึ่งด้วยนะครับ"

พะยูน เป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 และเป็นสัตว์น้ำชนิดแรกของประเทศไทยที่ได้รับการกำหนดให้เป็นสัตว์ป่าสงวน พะยูนเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่ในทะเลเขตอบอุ่น มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dugong dugon

ถือเป็นหนึ่งในสัตว์หายาก และนับวันยิ่งมีจำนวนน้อยลง เพราะเสี่ยงต่อภาวะสูญพันธุ์เป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ การเพิ่มประชากรพะยูน การดูแลพื้นที่อาศัยของพะยูน การจัดการท่องเที่ยว การประมงเพื่อลดการรบกวนพะยูน การจัดตั้งศูนย์ช่วยชีวิต การสร้างพิพิธภัณฑ์สัตว์หายากและศูนย์เรียนรู้ฯ รวมไปถึงการรณรงค์เพื่อการอนุรักษ์พะยูน จึงถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการอนุรักษ์พะยูนให้คงอยู่คู่ทะเลไทยสืบไป

ข้อมูลอ้างอิง TOP Varawut - ท็อป วราวุธ ศิลปอาชา
#2722
 
 
 
ข้าวอินทรีย์ (Organic Rice)ข้าวสุขภาพสุรินทร์ เป็นข้าวที่ได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นวิธีการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีหรือสารสังเคราะห์ต่างๆ เป็นต้นว่า ปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโต สารควบคุมและกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าวในทุกขั้นตอนการผลิตและในระหว่างการเก็บรักษาผลผลิต หากมีความจำเป็นแนะนำให้ใช้วัสดุจากธรรมชาติ และสารสกัดจากพืชที่ไม่มีพิษต่อคนหรือไม่มีสารพิษตกค้างปนเปื้อนในผลผลิต ในดินและในน้ำ ในขณะเดียวกันก็เป็นการรักษาสภาพแวดล้อม ทำให้ได้ผลิตผลข้าวเพื่อสุขภาพที่มีคุณภาพดีและปลอดภัย ส่งผลให้ผู้บริโภคมีสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ข้าวสุขภาพ(Organic Rice) เป็นข้าวที่ได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นวิธีการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีหรือสารสังเคราะห์ต่างๆ เป็นต้นว่า ปุ๋ยเคมี สารควบคุมและสารกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าวในทุกขั้นตอนการผลิตและในระหว่างการเก็บรักษาผลผลิต หากมีความจำเป็นแนะนำให้ใช้วัสดุจากธรรมชาติ และสารสกัดจากพืชที่ไม่มีพิษต่อคนหรือไม่มีสารพิษตกค้างปนเปื้อนในผลผลิต ในดินและในน้ำ ในขณะเดียวกันก็เป็นการรักษาสภาพแวดล้อม ทำให้ได้ผลิตผล ข้าวอินทรีย์แฟร์เทรด ที่มีคุณภาพดีและปลอดภัย ส่งผลให้ผู้บริโภคมีสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
 
       ประเภทของข้าวอินทรีย์
   1. ข้าวอินทรีย์รับรองมาตรฐาน Certified Organic เป็นระบบการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีป้องกันศัตรูพืช มีการขอรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จากหน่วยงานอิสระ โดยมีทั้งภาครัฐ เอกชนและหน่วยงานจากต่างประเทศ มีตราสัญลักษณ์ติดที่ผลิตภัณฑ์ และจะต้องมีการตรวจเพื่อต่ออายุใบรับรองทุกปี
 
   2. ข้าวอินทรีย์ระยะปรับเปลี่ยน In-conversion เป็นข้าวที่อยู่ในช่วงระยะเวลาที่เริ่มทำเกษตรอินทรีย์ในปีแรกก่อนจะได้รับการรับรองผลผลิตว่าเป็นเกษตรอินทรีย์ โดยระยะปรับเปลี่ยนเป็นการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและความอุดมสมบูรณ์ของดิน
 
   3. ข้าวอินทรีย์แบบยังไม่รับรอง Non Certified เป็นการปลูกข้าวอินทรีย์แบบพึ่งตนเอง ส่วนใหญ่เป็นการทำเกษตรแบบพื้นบ้านหรือปลูกในระบบผสมผสานหรือในไร่หมุนเวียน ไม่มีการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานใดๆ เกษตรกรกลุ่มนี้อาจเป็นกลุ่มที่ทำการผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือนและนำผลผลิตส่วนเกินมาจำหน่ายผ่านระบบตลาดท้องถิ่น ทั้งนี้อาจมีการรับรองกันเองในระบบกลุ่มหรือชุมชนข้าวอินทรีย์กรมการข้าว ข้าวสุขภาพ คือ ข้าวที่ได้จากการผลิตภายใต้ระบบการผลิตข้าวอินทรีย์ซึ่งมีการจัดการการผลิตข้าวที่เกื้อกูลต่อระบบนิเวศรวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพ เน้นใช้วัสดุธรรมชาติ ไม่ใช้วัตถุดิบสังเคราะห์และมีการจัดการกับผลิตภัณฑ์โดยเน้นการแปรรูปด้วยความระมัดระวังเพื่อรักษาสภาพการเป็นข้าวอินทรีย์และคุณภาพที่สำคัญของผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ 
ขั้นตอนการผลิตข้าวอินทรีย์  ปลูกข้าวออแกนิคส่งทั่วไทย ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่
ข้าวอินทรีย์วิถีพื้นบ้าน
เป็นระบบการผลิต ข้าวหอมมะลิปลอดสารพิษส่งทั่วไทย ที่ไม่ใช้สารเคมีทางการเกษตรทุกชนิด เช่น ปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโตสารควบคุมและกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรคแมลงและสัตว์ศัตรูข้าวตลอดจนสารเคมีที่ใช้รมเพื่อป้องกันกำจัดแมลงศัตรูข้าวในโรงเก็บ การผลิตข้าวอินทรีย์นอกจากจะทำให้ผลผลิตข้าวมีคุณภาพ ปลอดภัยจากสารพิษแล้วยังเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นการพัฒนาการเกษตรแบบยั่งยืน
ข้าวอินทรีย์มาตรฐานสากล
การผลิตข้าวอินทรีย์มาตรฐานสากล มีกระบวนการผลิตการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตภัณฑ์อินทรีย์ และห้ามใช้สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุ์หรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุ์ในกระบวนการผลิตและแปรรูปข้าวอินทรีย์ ซึ่งผู้ผลิตและผู้ประกอบการต้องผฏิบัติตามเพื่อให้ได้รับการรับรอง มีขั้นตอนการปฏิบัติเป็นลำดับขั้น ดังนี้
1.เกษตรกรจะต้องมีการปฏิบัติตามข้อกำหนดในการผลิตข้าวอินทรีย์ (  เกษตรกรจังหวัดสุรินทร์ปลูกข้าวอินทรีย์ )
2.เกษตรกรจัดทำบันทึกขั้นตอนการใช้ปัจจัยการผลิต โดยแสดงแหล่งที่มาและปริมาณการใช้
3.สมัครขอรับรองต่อกรมการข้าว เกษตรกรต้องแสดงข้อมูลต่อไปนี้
- ประวัติการใช้พื้นที่
- ประวัติการใช้สารเคมี และผลการวิเคราะห์สารพิษตกค้างในดินและน้ำ (ถ้ามี)
- แผนที่และแผนผังแปลงนาที่ขอการรับรองและพื้นที่ข้างเคียง
- แผนการผลิตในทุกขั้นตอน
- บันทึกขั้นตอนการใช้ปัจจัยการผลิต
- บันทึกกิจกรรมในแปลงนา และข้อมูลอื่นๆ

ส่งออกข้าวอินทรีย์  ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์   ต้นข้าวอินทรีย์ 277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
Facebook :https://www.facebook.com/Hor.Organic
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  ปลูกข้าวหอมมะลิออแกนิค
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิเกษตรอินทรีย์ 
3. ข้าวปะกาอำปึล #ข้าวพื้นถิ่นสุรินทร์
4.  ข้าวหอมมะลิผสมหลายสายพันธุ์อินทรีย์สุรินทร์
5.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงออร์แกนิก
6.ข้าวมะลินิลอินทรีย์สุรินทร์
7.  ข้าวไรซ์เบอร์รี่ออร์แกนิค

ข้าว Hor พร้อมขายแล้วที่ Shopee & Lazada
https://shopee.co.th/hor.boutique
https://www.lazada.co.th/shop/horboutique/

#ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์
#ข้าวออแกนิคสุรินทร์
#ข้าวออแกนิกสุรินทร์
#ข้าวอินทรีย์สุรินทร์
#ข้าวคุณภาพสุรินทร์


 

 

 
 
#2723


เมื่อวันที่ 14 ส.ค. เพจ "GMMTV" ออกมาโพสต์ข้อความเตือนไปถึงกลุ่ม หรือบุคคลที่มีการโพสต์พาดพิงนักแสดงในสังกัดให้ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ทางค่ายจะดำเนินคดีทางกฎหมาย ทั้งนี้ ทาง "GMMTV" ได้ระบุข้อความว่า

"บริษัท จีเอ็มเอ็มทีวี จำกัด ขอแจ้งว่า เนื่องจากพบว่ามีบุคคลที่กล่าวหรือพาดพิงถึงนักแสดงในสังกัด GMMTV ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ Social Media ไม่ว่าจะเป็น Twitter หรือ TikToK โดยใช้ข้อความในลักษณะที่ทำให้นักแสดงผู้ถูกกล่าวถึง และ GMMTV ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง รวมทั้งทำให้เกิดความเข้าใจผิดหรือถูกเกลียดชังจากประชาชน

ผู้รับทราบข่าวสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ดังกล่าว จีเอ็มเอ็มทีวีขอให้ท่านหยุดการกระทำดังกล่าว ไม่ว่าการโพสต์ หรือแชร์ในข้อมูลดังกล่าว หากจีเอ็มเอ็มทีวีได้รับการแจ้ง หรือพบว่ายังมีการกระทำการในลักษณะเดียวกันอีก ไม่ว่าจะใช้ชื่อหรือบัญชีผู้ใช้บัญชีเดิมหรือเปลี่ยนไปใช้ชื่อใหม่ไม่ว่าชื่อใดก็ตาม จีเอ็มเอ็มทีวีจะไม่นิ่งเฉยและพร้อมจะดำเนินกระบวนการทางกฎหมายจนถึงที่สุด ไม่ว่าทางแพ่งหรืออาญา ต่อท่านผู้โพสต์ หรือผู้แชร์ข้อมูลการโพสต์ดังกล่าว เพื่อปกป้องสิทธิ และชื่อเสียงของนักแสดงและบริษัทต่อไป"
#2724


ในปีที่แล้วนั้น การขยายตัวทางเศรษฐกิจของโลกลดลง5% โดยลดลงทุกประเทศ รวมทั้งการลงทุนซึ่งเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดก็ลดลง 42% หรือเกือบ ๆ ครึ่งที่หายไปจากปีก่อนหน้านี้ หนักที่สุดก็เป็นกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่ลดการลงทุนกว่า69%

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทั่วโลกจะลดลง 4% และในส่วนของภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้นี้ลดลง31% ลดลงเกือบทุกประเทศ ยกเว้นฟิลิปปินส์ ส่วนประเทศไทยนั้นมีเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเหลือเพียง 1.5 พันล้านดอลลาร์ ผลสุทธิที่มีจำนวนน้อยนี้ อาจเป็นผลจากถอนการลงทุนของบริษัทเทสโก้ สหราชอณาจักร แต่เมื่อเทียบกับเวียดนาม ที่ลดลง10%  แต่ก็มี FDI ไหลเข้ากว่า 14 พันล้านดอลลาร์  มากกว่าไทยหลายเท่า ก็ทำให้น่าห่วงและมีคำถามใหญ่ ๆ ที่ต้องสนใจว่า "นักลงทุนต่างประเทศกำลังเลิกสนใจไทย" หรือ "ไทยกำลังถูกนักลงทุนทิ้ง"

คำถามที่คนชอบตั้งประเด็นจากผลการศึกษาของหลายสำนักเศรษฐกิจภาคเอกชนที่ FDI ไหลเข้าลดลงมากและตามหลังเกือบทุกประเทศที่สำคัญในภูมิภาคนี้  เพราะเดิมทีประเทศไทยยังคงเสน่ห์ในการเป็นสวรรค์ของนักลงทุนต่างประเทศนั้น ไม่ได้มาจากอัตราภาษีที่ลดแลกแจกแถมเหมือนคนอื่น แต่นักลงทุนจะมองที่ความสงบทางการเมือง สังคมที่เปิดกว้างในการยอมรับวัฒนธรรมอื่น ค่าแรงงานที่ไม่สูง ฝีมือและทักษะ สาธารณูปโภคที่สะดวกสบาย และความโปร่งใสในการทำธุรกิจ รวมทั้งนโยบายของรัฐที่เอื้อและสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศ    

       ทำให้กลายเป็นประเทศที่ FDI ด้านการผลิตเข้ามามากที่สุดในอาเซียน (ยกเว้นทางการเงินที่ไปสิงค์โปร์มากสุด) แต่ความรุ่งโรจน์นั้นเป็นเพียงเรื่องเล่าของอดีตเท่านั้น เสน่ห์ที่เรามีน้อยและบางอย่างไม่มีด้วยซ้ำไปเมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาคนี้

ความยุ่งยากของระบบกฎหมายบ้านเราที่เป็นประเภท One fits all ทำให้เราพยายามสร้างเสน่ห์อื่นขึ้นมาแทนซึ่งในขณะนี้ เราลงไปในระดับพื้นที่เป้าหมายเฉพาะที่ตอนนี้ เรียกง่าย ๆ ว่า เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยมี พ.ร.บ. ของตนเอง เพื่อเลี่ยงที่จะใช้ระเบียบแบบเดียวกันทั้งประเทศ ซึ่งก็ทำได้ไม่มาก แต่ก็มีพิเศษมากกว่าที่อื่น ๆ แม้ว่าจะผ่านเครื่องมือเดิม ๆ ก็ตาม เช่น ผ่าน BOI แต่มีสิทธิประโยชน์มากกว่านอกพื้นที่ผ่านการ Plus Plus ให้ หรือการมีสาธารณูปโภคระดับโลก สิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ อาทิ Smart Visa รวมทั้งการเตรียมแรงงานมีฝีมือทันสมัย เพื่อให้พื้นที่นี้เพื่อให้ทุกอย่างโดดเด่นขึ้นมาในสายตาของนักลงทุน ทดแทนสิ่งที่เราไม่มี เช่น FTA กับประเทศใหญ่ ๆ หรือการส่งเสริมการลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง และแรงงานที่ไม่ถูกและยังหายากอีก (ซึ่งอย่างหลังเราก็พยายามเน้นอุตสาหกรรมที่ใช้ระบบอัตโนมัติมากขึ้น)

แม้ว่ามูลค่าการขอรับการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในปี 2564 นี้อาจจะแสดงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศที่มีต่อประเทศไทย แต่เราจะสังเกตเห็นว่ายังคงวนเวียนอยู่กับอุตสาหกรรมเดิม ๆ ที่เรามีรากฐานที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว เช่น ยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ อาหาร ฯลฯ ส่วนอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่นั้น แม้ว่าจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังถือน้อยมาก ที่จะเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ให้ประเทศ ดูแล้วเราคงต้องออกแรงกว่านี้มาก เพราะการลงทุนที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีการลงทุนไปแล้วกว่า 1.5 ล้านล้านบาท ในสามปีที่ผ่านมา แต่ก็เป็นการลงทุนของโครงการร่วมรัฐเอกชน (PPP) ด้านสาธารณูปโภคเป็นส่วนมาก แต่ FDI ในอุตสาหกรรม New S-Curve ยังต้องออกแรงอีกเยอะ

เรายังหวังว่า "เสน่ห์" ที่เรากำลังสร้างในพื้นที่ EEC ในส่วนต่าง ๆ ขึ้นมานั้นสามารถทดแทนเสน่ห์เก่า ๆ ที่หายไป หมดยุค หรือไร้ซึ่งความสนใจของลูกค้า และด้อยกว่าคู่แข่ง ก็ได้แต่หวังว่าคนที่ดูแลภาพของเสน่ห์รวม จะพยายามดูให้ครบว่า เสน่ห์ ที่นักลงทุนต้องการนั้นคืออะไรจริง ๆ และหากเราทำไม่ได้ อะไรคือสิ่งที่มี "ค่า" สำหรับเขา (ไม่ใช่เรา) พอจะทดแทนสิ่งที่เราไม่มีให้เขาได้บ้าง ที่มองภาพรวมแล้ว ไทยยังมีเสน่ห์ในการลงทุนมากกว่าที่อื่น
#2725


2 สิงหาคม 2564 เวลา 10.29 น. รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการที่สถานีกลางบางซื่อ แบ่งเป็น 2 เส้นทาง ได้แก่ บางซื่อ-รังสิต ระยะทาง 26 กิโลเมตร มี 10 สถานี และบางซื่อ-ตลิ่งชัน ระยะทาง 15 กิโลเมตร มี 3 สถานี

พร้อมกับ สถานีกลางบางซื่อ ที่ตั้งเป้าหมายจะเป็นศูนย์กลางคมนาคมระบบรางที่ใหญ่ที่สุด รองรับทั้งรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง รถไฟทางไกล รถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ และรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินในอนาคต

แม้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 จะเปิดให้บริการจากสถานีกลางบางซื่อ เที่ยวแรก 06.00 น. เที่ยวสุดท้าย 19.30 น. ตามมาตรการของภาครัฐ แต่ถ้าสถานการณ์ดีขึ้น ก็มีแผนที่จะเปิดให้บริการไปถึงเวลา 24.00 น.

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีโอกาสใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีแดงครั้งแรก แม้จะช้ากว่าคนอื่นบ้าง แต่ก็พยายามสังเกต และเก็บเล็กผสมน้อยเพื่อที่จะบอกเล่าคุณผู้อ่านให้ฟัง เป็นประโยชน์ในการเดินทางไม่มากก็น้อย

ถึงแม้ว่าโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงจะใช้เวลายาวนาน 12 ปี กว่าจะเป็นรูปเป็นร่าง นับตั้งแต่ก่อสร้างงานโยธาช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชันในปี 2552 แต่ยอมรับว่า กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ทำการบ้านไว้ดีมาก

โดยเฉพาะปัญหาหลักคือ "เมื่อถึงปลายทางแล้วจะไปยังไงต่อ?" จำเป็นต้องมีระบบฟีดเดอร์ (Feeder) เชื่อมต่อกัน

นอกจาก การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จะก่อสร้างอุโมงค์เชื่อมสถานีกลางบางซื่อ กับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีบางซื่อแล้ว องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ยังเพิ่มเส้นทางรถเมล์ 4 สาย รองรับรถไฟฟ้าสายสีแดง

ขณะที่กระแสสังคม โดยเฉพาะบรรดาคนรักรถไฟ ต่างช่วยกันผลักดันรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วยกันสื่อสารและบอกต่อเพื่อให้ประชาชนสนใจทดลองใช้บริการ แม้ว่ามาตรการล็อกดาวน์ของภาครัฐ จะทำให้ช่วงนี้ผู้โดยสารเดินทางไม่มากก็ตาม

น่าสนใจว่า รถไฟฟ้าสายสีแดงจะเติมเต็มการเดินทางและคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นได้อย่างไร ขอพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง



เราตั้งต้นมาที่ สถานีชุมทางตลิ่งชัน ที่เป็นทั้งสถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง และรถไฟทางไกลสายใต้ จากสถานีกรุงเทพและสถานีธนบุรี ถ้านั่งรถไฟจากภาคใต้หรือภาคตะวันตก ก็ลงที่สถานีนี้ และเปลี่ยนมานั่งรถไฟฟ้าสายสีแดงได้

ส่วนรถประจำทาง ปัจจุบัน ขสมก. ได้เพิ่มเส้นทาง สาย 79 (เสริม) ออกจากอู่บรมราชชนนี ผ่านสถานีขนส่งสายใต้ใหม่ ผ่านสถานีตลิ่งชัน สถานีบางบำหรุ ไป MRT สิรินธร, MRT บางยี่ขัน สิ้นสุดที่สถานีขนส่งสายใต้เดิม (ปิ่นเกล้า)

แต่ถ้าไม่อยากรอรถเมล์นาน ยังมีอีกวิธีหนึ่ง คือ ลงรถเมล์ที่ ป้ายไปรษณีย์ตลิ่งชัน ถนนบรมราชชนนี เดินย้อนไปปากทางถนนฉิมพลี ก่อนถึงสะพานลอย แล้วต่อมอเตอร์ไซค์รับจ้างจะใกล้กว่าและเร็วกว่า

รถเมล์สายที่ผ่านป้ายไปรษณีย์ตลิ่งชัน ได้แก่ รถที่ออกจากสถานีขนส่งสายใต้ใหม่ ตลิ่งชัน (สาย 28, 35, 40, 66, 507, 511) จากถนนบรมราชชนนี (สาย 79, 123, 124, 515, 539, 556) ถนนกาญจนาภิเษก (สาย 127, 516)

รวมทั้งคนที่นั่งรถตู้จากบางบัวทองไปปิ่นเกล้า หรือรถตู้ บ.ข.ส. จากนครปฐม กาญจนบุรี ราชบุรี ฯลฯ ที่จะไปสายใต้เดิม ปิ่นเกล้า ก็บอกคนขับให้จอดที่ป้ายไปรษณีย์ตลิ่งชัน แล้วเดินย้อนมาที่ถนนฉิมพลี ต่อมอเตอร์ไซค์รับจ้างได้เช่นกัน

แต่สำหรับคนที่นั่งรถเมล์ สาย 515 ศาลายา-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หรือ สาย 539 อ้อมน้อย-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แนะนำให้ใช้บริการสถานีบางบำหรุ จะสะดวกกว่า โดยลงรถเมล์ที่ ป้ายสถานีบางบำหรุ แล้วเดินย้อนไปที่สถานีไม่กี่ก้าวเท่านั้น

ส่วนคนที่ลงรถไฟที่สถานีชุมทางตลิ่งชัน สามารถรอรถเมล์สาย 79 (เสริม) ได้ที่จุดจอดรถเมล์ด้านหน้าสถานี ส่วนสถานีบางบำหรุ ป้ายรถเมล์จะอยู่ฝั่งถนนเลียบทางรถไฟ ใต้ทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอกตะวันตก









ด้านในสถานีชุมทางตลิ่งชันจะมี เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ 7 เครื่อง เครื่องเติมเงินอัตโนมัติ (Add Value Machine) 1 เครื่อง น่าสังเกตว่าเติมเงินได้ทั้งเหรียญ ธนบัตร รวมทั้งบัตรเครดิตได้ด้วย แต่ช่วงนี้เครื่องทั้งหมดยังไม่เปิดให้บริการ

หลังสแกนไทยชนะ ตรวจวัดอุณหภูมิแล้ว ตรงประตูกั้นอัตโนมัติ พนักงานจะให้สแกนคิวอาร์โค้ด เข้าสู่ Google Forms ตอบคำถามเพียงแค่จะไปลงที่สถานีไหนก็พอ ไม่ถามข้อมูลส่วนตัว เพื่อเก็บข้อมูลผู้โดยสารนำไปพัฒนาบริการ

เมื่อเข้าประตูกั้นอัตโนมัติแล้ว จะลงบันไดเลื่อนไปชั้นใต้ดิน ไปตามทางเดินเพื่อลอดอุโมงค์ไปยังชานชาลาที่ 1 แล้วขึ้นบันไดเลื่อนอีกครั้ง จะเห็นขบวนรถไฟฟ้าที่คนรักรถไฟเรียกกันว่า "หนูแดง" จอดอยู่

สัมผัสแรกที่พบเห็น พลันนึกถึง ตอนข้ามพรมแดนไทย-มาเลเซีย นั่งรถไฟ กอมมูเตอร์ (Komuter) จากสถานีปาดังเบซาร์ ไปสถานีบัตเตอร์เวอร์ธ ระยะทาง 170 กิโลเมตร เป็นรถปรับอากาศขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า นั่งแล้วรู้สึกชอบมาก

เคยนึกฝันว่า ประเทศไทยน่าจะมีแบบนี้ วันนี้ได้เกิดขึ้นจริง แม้ระยะทางจะสั้นไปหน่อยก็ตาม









ด้านในขบวนรถจะเป็นหน้าต่างบานใหญ่ เก้าอี้พลาสติกสีแดง ด้านบนจะมีชั้นวางของ มีป้ายบอกสถานี และหน้าจอบอกสถานะสถานีที่มาถึง เสียงแจ้งเตือนปิดประตูจะคล้ายกับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต ลิงก์ แต่เวลาปิดประตู เสียงจะดังน้อยกว่า

เมื่อนึกถึงเสียงประกาศบนรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงินและสีม่วง แอ้ม-สโรชา พรอุดมศักดิ์ ผู้ประกาศข่าว จะออกแนวขึงขัง หนักแน่น ส่วนเสียงประกาศบนของรถไฟฟ้าบีทีเอส โหน่ง-พิมพ์ลักษณ์ กมลเพชร นักร้องชื่อดัง จะออกแนวหวานแหลม

แต่สำหรับรถไฟฟ้าสายสีแดง ทราบว่าใช้เสียงของ แอน-นันทนา บุญหลง นักร้อง นักพากษ์ชื่อดัง และ นงอร มาสมบูรณ์ อดีตแอร์โฮสเตสสาว เสียงจะออกแนวหวานละมุนปนหนักแน่นเล็กน้อย







จากสถานีชุมทางตลิ่งชัน ใช้เวลาประมาณ 4 นาที แวะจอดที่สถานีบางบำหรุ ก่อนที่จะวิ่งข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา แวะจอดที่สถานีบางซ่อน ซึ่งเป็นสถานีสุดท้าย ก่อนที่จะเข้าสู่สถานีกลางบางซื่อ เบ็ดเสร็จใช้เวลาประมาณ 15 นาทีพอดี

เมื่อลงจากขบวนรถ ทีแรกรู้สึกงงเล็กน้อยว่าจะไปทางไหน เพราะต้องการเปลี่ยนขบวนรถไปรังสิต ไม่ได้ต้องการออกจากสถานี กระทั่งตัดสินใจลงบันไดเลื่อนก็ถึงบางอ้อ มีป้ายบอกทาง "รถไฟฟ้าชานเมือง บางซื่อ-รังสิต ไปชานชาลา 3-4"

จำไว้ว่า ถ้าจะเปลี่ยนขบวนรถที่สถานีกลางบางซื่อ ให้ลงบันไดเลื่อนแล้วสังเกตป้าย ก่อนขึ้นบันไดเลื่อนไปชานชาลาอีกครั้ง "รถไฟฟ้าชานเมือง บางซื่อ-รังสิต ไปชานชาลา 3-4" และ "รถไฟฟ้าชานเมือง บางซื่อ-ตลิ่งชัน ไปชานชาลา 9-10"







ปัญหาอย่างหนึ่งของสถานีกลางบางซื่อ รวมถึงสถานีอื่นๆ คือ ป้ายบอกทางไม่มีความโดดเด่น สีกลืนกันหมด ทำให้เวลาอ่านมองไม่ชัด ถ้าเปลี่ยนรูปแบบให้ตัวหนังสือชัดเจนขึ้นก็จะดีกว่านี้

เราขึ้นมายังชานชาลา 3-4 ซึ่งเป็นชานชาลาขบวนรถที่จะมุ่งหน้าไปรังสิต ใช้เวลารอรถไฟเข้าสู่ชานชาลาประมาณ 10 นาที รถไฟฟ้าจากรังสิตก็มาถึง และเปิดให้ผู้โดยสารขึ้น-ลงจากขบวนรถ โดยไม่ต้องรอตรวจความเรียบร้อย

รถไฟจะจอดที่สถานีชุมทางบางซื่อประมาณ 5 นาที จากนั้นจะปิดประตู และเคลื่อนขบวนมุ่งหน้าไปยังรังสิต สถานีแรกที่จอดคือสถานีจตุจักร ต่อด้วยสถานีวัดเสมียนนารี แนวเส้นทางจะขนานไปกับถนนวิภาวดีรังสิต

ผ่านสถานีบางเขน สถานีทุ่งสองห้อง สถานีหลักสี่ สถานีการเคหะ และ สถานีดอนเมือง ที่หากนับจากสถานีกลางบางซื่อ จะใช้เวลาประมาณ 18 นาที ต่อไปจะนั่งเครื่องบินไปต่างจังหวัด ที่ท่าอากาศยานดอนเมืองได้ที่สถานีนี้

โดยจะมีทางเชื่อมสกายวอล์ก ที่ทางออกหมายเลข 6 (ถนนวิภาวดีรังสิต ขาออก) จะเห็นทางเลื่อนใต้ทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์ ให้เดินเข้าไปตามป้ายบอกทาง ก็จะไปออกอาคารจอดรถ 7 ชั้น และอาคารผู้โดยสารในประเทศ (Terminal 2)







เดิมเวลาไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินดอนเมือง ปกติจะขึ้นรถ A1 หรือ A2 ที่สถานีสวนจตุจักร เสียค่าโดยสาร 30 บาท รถจะขึ้นทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์ ไปลงที่ทางลงสนามบินดอนเมือง จอดที่หน้าอาคาร 1 แล้วเดินเท้าไปเข้าอาคาร 2

นับจากนี้ คนที่นั่งรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน จะไปสนามบินดอนเมืองก็สะดวกขึ้น เพียงแค่ลงที่สถานีบางซื่อ ออกจากระบบแล้วเดินเข้าทางเชื่อมสถานีกลางบางซื่อ ซื้อตั๋วเข้าระบบเสร็จเดินขึ้นบันไดเลื่อนไปที่ชานชาลา 3-4 แล้วรอรถได้เลย

แต่ต้องกะเวลาเดินทางสัก 2-3 ชั่วโมง เผื่อรถไฟฟ้าขัดข้อง และสกายวอล์กเดินไกลมาก แต่ถ้ามีเวลาเหลือ จะมีศูนย์อาหารราคาประหยัด Magic Food Point อยู่ตรงนั้น ถัดมามีร้านยาเอ็กซ์ตร้า กาแฟมวลชน และร้านเซเว่นอีเลฟเว่น

เมื่อออกจากสถานีดอนเมือง ขบวนรถจะลงมายังทางระดับดิน สังเกตได้ว่ารถไฟจะเร่งความเร็วขึ้น ผ่านตลาดสี่มุมเมือง ถึงสถานีหลักหก จุดนี้จะมีสกายวอล์กไปยังสะพานเอกทักษิณ มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเมืองเอก และมหาวิทยาลัยรังสิต

จากนั้นรถไฟจะไต่ระดับลอยฟ้าอย่างช้าๆ ข้ามถนนรังสิต-ปทุมธานี เข้าสู่ปลายทางสถานีรังสิต หากนับจากสถานีตลิ่งชันจะใช้เวลารวมกัน 55 นาทีเท่านั้น ซึ่งรวมเวลาเปลี่ยนขบวนรถที่สถานีกลางบางซื่อด้วย



สถานีรังสิต เป็นทั้งสถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง และรถไฟทางไกลสายเหนือ และสายตะวันออกเฉียงเหนือ โดยแบ่งออกเป็นชานชาลาด้านล่างรถไฟทางไกล ชั้น 2 ห้องจำหน่ายตั๋ว และชั้น 3 ชานชาลารถไฟฟ้าสายสีแดง

บริเวณตรงข้ามประตูกั้นอัตโนมัติ จะมีห้องจำหน่ายตั๋วรถไฟทางไกล ถ้าจะนั่งรถไฟต่อไปอยุธยา ชุมทางบ้านภาชี หรือสถานีอื่นๆ สามารถซื้อตั๋วรถไฟแล้วลงไปที่ชั้นล่าง รวมทั้งมีตู้จำหน่ายตั๋วรถไฟอัตโนมัติสำหรับรถไฟชานเมืองอีกด้วย

เวลาคนที่นั่งรถไฟจากภาคเหนือ ภาคอีสาน หรือมาจากลพบุรี ชุมทางแก่งคอย ชุมทางบ้านภาชี อยุธยา จะไปต่อรถไฟฟ้าสายสีแดง ก็ลงที่สถานีรังสิต แล้วขึ้นไปชั้น 2 เข้าระบบรถไฟฟ้าสายสีแดง แล้วขึ้นไปชั้น 3 รอรถไฟที่ชานชาลาได้

เหมือนกับเวลานั่งรถไฟจากภาคตะวันออก หรือมาจากฉะเชิงเทรา จะไปต่อรถไฟแอร์พอร์ตลิงก์ เดินขึ้นบันไดเลื่อนไปที่ชั้น 2 ซื้อเหรียญหรือแตะบัตรโดยสาร แล้วขึ้นไปชั้น 3 แต่ที่ตั้งสถานีลาดกระบัง รถไฟธรรมดากับแอร์พอร์ตลิงก์จะแยกกัน

ทราบมาว่าในอนาคต รถไฟทางไกลสายเหนือและสายอีสาน มีแผนจะไปเริ่มต้นที่สถานีรังสิต โดยจะมีขบวนรถที่ให้บริการสถานีกลางบางซื่อ เฉพาะขบวนรถพาวเวอร์คาร์ (รถกำลังไฟฟ้า) มี 4 ขบวน ไป-กลับ รวม 8 ขบวน

ได้แก่ ขบวนรถอุตราวิถี (กรุงเทพ-เชียงใหม่) อีสานวัตนา (กรุงเทพ-อุบลราชธานี) อีสานมรรคา (กรุงเทพ-หนองคาย) และทักษิณารัถย์ (กรุงเทพ-ชุมทางหาดใหญ่) เท่านั้น เพราะไม่มีปัญหาเรื่องควันรถและมลพิษในสถานี

อีกส่วนหนึ่งจะเป็นขบวนรถไฟชานเมือง ได้แก่ กรุงเทพ-ชุมทางบ้านภาชี, กรุงเทพ-ลพบุรี, กรุงเทพ-ชุมทางแก่งคอย จะใช้ทางรถไฟยกระดับ แต่จะไม่เข้าสถานีกลางบางซื่อ ลงมาระดับดินผ่านสถานีบางซื่อเก่า เพื่อไปยังสถานีหัวลำโพง

เรื่องนี้ต้องรอให้การรถไฟฯ ประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้ง แต่บอกไว้ก่อนเพื่อจะได้เตรียมตัว
#2726


นิตยสาร Forbes เลือก"โลกา" สตาร์ทอัพผู้ให้บริการแท็กซี่ผ่านแอพของลาว เข้าในทำเนียบ 100 บริษัทในเเอเชียที่ต้องจับตา เหตุสามารถสร้างรายได้เพิ่มแม้เจอวิกฤตโควิด-19

วันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์นิตยสาร Forbes ได้เผยแพร่ทำเนียบ 100 บริษัทในเอเซียที่ต้องจับตา โดย 1 ในนั้นมีบริษัทโลก้า ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพของลาว ติดอยู่ในรายชื่อดังกล่าวด้วย ถือเป็นธุรกิจขนาดย่อมแห่งแรก ของลาวที่ได้ขึ้นมาติดทำเนียบระดับโลก

ทำเนียบ 100 บริษัทที่ต้องจับตาจัดทำโดยทีมงาน Forbes เอเซีย โดยคัดเลือกจากกิจการขนาดย่อมและบริษัทสตาร์ทอัพกว่า 900 บริษัทในเอเซีย ที่มีผลประกอบการเติบโตขึ้นท่ามกลางวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดย Forbes จะตีพิมพ์รายละเอียดของบริษัททั้งหมดในทำเนียบนี้ลงในนิตยสาร Forbes ฉบับเดือนสิงหาคม 2564

เหตุผลที่ Forbes เลือกโลกาเข้ามาในทำเนียบ 100 บริษัทในเอเชียที่ต้องจับตา

บริษัทโลกาทำธุรกิจให้บริการแท็กซี่รับส่งผู้โดยสารโดยผ่านแอปพลิเคชั่น ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2561 โดยนายสุลิโย วงดาลา นักธุรกิจหนุ่มที่เติบโตมาจากสายเทคโนโลยี่และการสื่อสารในลาว ปัจจุบันโลกามีให้บริการอยู่ใน 3 แขวง คือนครหลวงเวียงจันทน์ หลวงพระบาง และจำปาสัก

เหตุผลที่ให้ Forbes เลือกโลกาเข้ามาอยู่ในทำเนียบนี้ เนื่องจากบริษัทสามารถปรับแผนการตลาดเพื่อรับมือกับวิกฤตโควิด-19 โดยตัดสินใจเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จากเดิมที่ให้บริการแก่นักนักท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นหลักในช่วง 2 ปีแรก มาให้บริการแก่คนลาว โดยใช้จุดขายเรื่องความสะดวกและปลอดภัย และให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง

การตัดสินใจครั้งนั้น ทำให้บริษัทสามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศในลาวจะหายไปทั้ง 100% จากโควิด-19 นอกจากนี้ รายได้ของโลก้ายังเพิ่มขึ้นถึง 30% เมื่อเทียบกับช่วงที่โควิด-19 ยังไม่ระบาด จากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่

ปัจจุบัน นอกจากให้บริการแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชั่นโดยมีรถให้บริการอยู่ประมาณ 500 คัน ใน 3 พื้นที่แล้ว โลกายังขยายกิจการออกไปอีกหลายแขนง ได้แก่ ธุรกิจโฆษณาเคลื่อนที่ โดยใช้รถแท็กซี่เป็นสื่อ ธุรกิจซื้อ-ขายสินค้าทางออนไลน์ ธุรกิจขนส่งสินค้า รวมถึงให้บริการรถรับส่งพนักงานแบบเหมาเป็นรายเดือนสำหรับองค์กร

ก่อนหน้านี้ ระหว่างวันที่ 8-9 ตุลาคม 2562 นายสุลิโย วงดาลา เคยนำโมเดลธุรกิจของโลกา มาร่วมแข่งขันในรายการ Mekong Innovative Startups in Tourism ในกรุงเทพ ซึ่งมีธุรกิจสตาร์ทอัพจากหลายประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเข้าร่วม โดยบริษัทโลกาได้รับรางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1
#2727


คาริม เบนเซมา เหมาคนเดียวสองประตู ก่อนที่นาโช จะมาบวกอีกหนึ่งลูก พา รีล มาดริด บุกไปเอาชนะ อลาเบส ถึงถิ่น 4-1 เก็บสามคะแนนประเดิมลาลีกา สเปน ซีซั่นใหม่

ศึกฟุต.ลาลีกา สเปน ฤดูกาล 2021/22 วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม 2564 เกมที่น่าสนใจ "ราชันชุดขาว" รีล มาดริด ยกพลไปเยือน อลาเบส ที่เอสตาดิโอ เมนดิซอร์รอตซ่า

"ราชันชุดขาว" ภายใต้การคุมทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ เกมนี้จัด 3 ประสานในแดนหน้า อย่าง คาริม เบนเซมา, เอเด็น อาซาร์ และแกเร็ธ เบล ลงสนาม โดยมี ลูกา โมดริช กับ คาเซมิโร คุมเกมแดนกลาง 

ขณะที่ อลาเบส นำทัพโดย โฆเซลู หัวหอกตัวเก่ง, มานู การ์เซีย, เอ็ดการ์ เมนเดซ และหลุยส์ ริโอฆา โดยมี ฟาคุนโด เปลลิสตรี ปีกดาวรุ่งที่ยืมตัวมาจาก แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นตัวทีเด็ดบนม้านั่งสำรอง 

ครึ่งเวลาแรกแม้ รีล มาดริด จะเป็นฝ่ายครอง.ได้เหนือกว่า มีโอกาสลุ้นประตูหลายต่อหลายครั้ง แต่จังหวะจบสกอร์ยังทำได้ไม่ดีพอ ขณที่อลาเบส ยังแทบตั้งเกมของตัวเองไม่ได้ หมดเวลา 45 นาทีแรก เสมอกันไปแบบไร้สกอร์ 0-0

ครึ่งหลัง รีล มาดริด มาได้ประตูออกนำ 1-0 ในนาทีที่ 48 จากจังหวะที่ แกเร็ธ เบล เปิดจากริมกรอบเขตโทษฝั่งซ้ายมาให้ ลูคัส บาซเกซ ที่ฝั่งขวา ก่อนจ่ายเข้ากลางมาให้ เอเด็น อาซาร์ กระดก.หนึ่งจังหวะให้ คาริม เบนเซมา วิ่งมาซัดเต็มข้อเข้าไป

น.56 รีล มาดริด มาได้ประตูหนีห่าง 2-0 จากจังหวะที่ ลูกา โมดริช เปิด.จากบริเวณหน้ากรอบเขตโทษเยื้องมาทางฝั่งขวาไปให้ นาโช วิ่งมาตวัดยิงด้วยขวาผ่านมือนายทวารเจ้าถิ่นเข้าไป

น.62 "ราชันชุดขาว" ขยับนำเป็น 3-0 จากจังหวะที่ เฟเดริโก บัลเบร์เด ลาก.มาคนเดียวจากครึ่งสนามหลุดเข้ามาในกรอบเขตโทษฝั่งขวา ก่อนตบเข้ากลางให้ คาริม เบนเซมา ยิงจังหวะแรก.ขลุกขลิกไปติดเซฟของผู้รักษาประตูถิ่น แต่ยังเด้งมาเข้าทางเจ้าตัวซ้ำด้วยซ้ายเข้าไป เป็นประตูที่สองของตัวเองในเกมนี้

น.64 อลาเบส มาได้จุดโทษ จากจังหวะที่ จอห์น กุยเดตติ โดน ธิโบต์ กูร์ตัวส์ สะกิดล้มลงในเขตโทษ ผู้ตัดสินชี้ให้เป็นจุดโทษ และเป็น โฆเซลู กองหน้าตัวเก่ง ซัดเข้าไปไม่พลาด ช่วยให้เจ้าถิ่นตีตื้นมาเป็น 1-3

ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ น.90+2 รีล มาดริด มาได้ประตูตอกฝากโลงหนีห่าง 4-1 จากจังหวะที่ ดาวิด อลาบา บรรจงเปิด.จากริมเขตโทษฝั่งซ้ายมาให้ วินิซิอุส จูเนียร์ โหม่งระยะเผาขนเข้าไป 

ช่วงเวลาที่เหลือทั้งสองทีมไม่มีใครทำประตูกันเพิ่มเติม หมดเวลาการแข่งขัน 90 นาที รีล มาดริด บุกชนะ อลาเบส ถึงถิ่น 4-1 คว้าสามคะแนนเปิดหัวลาลีกา สเปน ฤดูกาล 2021/22 ได้สำเร็จ

รายชื่อ 11 ตัวจริงของทีมรีล มาดริด
ธิโบต์ กูร์ตัวส์ (GK), ลูคัส บาสเกซ, เอแดร์ มิลิเตา, นาโช, ดาวิด อลาบา, คาเซมิโร, เฟเดริโก บัลเบร์เด, ลูกา โมดริช, แกเร็ธ เบล, เอเด็น อาซาร์, คาริม เบนเซมา


ผลฟุต.าลีกา สเปน วันที่ 14 สิงหาคม 2564 คู่อื่นๆ
บาเลนเซีย 1-0 เกตาเฟ
มายอร์กา 1-1 รีล เบติส
กาดิซ 1-1 เลบานเต
โอซาซูนา 0-0 เอสปันญอล
 
#2728


ศึกกอล์ฟ พีจีเอ ทัวร์ รายการ วินด์แฮม แชมเปียนชิพ ชิงเงินรางวัลรวม 6.4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 212 ล้านบาท ที่สนาม เซดเกฟิลด์ คันทรี คลับ ระยะ 7,127 หลา พาร์ 70 เมืองกรีนส์โบโร รัฐนอร์ธ คาโรไลนา สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ที่ผ่านมา เป็นการชิงชัยในวันที่สาม

ปรากฎว่า รัสเซลล์ เฮนลีย์ โปรกอล์ฟหนุ่มชาวอเมริกัน เก็บเพิ่ม 1 อันเดอร์พาร์ รวมสกอร์สามวันมี 15 อันเดอร์พาร์ รั้งตำแหน่งผู้นำต่อไป โดยมี ไทเลอร์ แม็คคัมเบอร์ โปรกอล์ฟเพื่อนร่วมชาติ รั้งอันดับ 2 มี 12 อันเดอร์พาร์ ตามหลังอยู่ 3 สโตรก

ส่วนผลงานของโปรกอล์ฟรายอื่นๆ ที่น่าสนใจ อดัม สก็อตต์ ก้านเหล็กออสเตรเลีย มี 10 อันเดอร์พาร์ รั้งอันดับ 9 ร่วม เช่นเดียวกับ จัสติน โรส โปรกอล์ฟอังกฤษ, เซบาสเตรียน มูญอซ มี 9 อันเดอร์พาร์ รั้งอันดับ 15 ร่วม

ด้าน "โปรอาร์ม" กีรเดช อภิบาลรัตน์ โปรกอล์ฟหนึ่งเดียวจากประเทศไทย วันนี้ตีเกินไป 1 โอเวอร์พาร์ รวมสกอร์สามวัน 5 อันเดอร์พาร์ รั้งอันดับที่ 39 ร่วม
#2729


กลายเป็น TALK OF THE TOWN ในทันที่ สำหรับ "ฟ้าทะลายโจร" หลังจากมีข่าว "การถอนผลวิจัย" ที่ชื่อว่า "Efficacy and safety of Andrographis paniculata extract in patients with mild COVID-19: A randomized controlled trial" ของคณะวิจัยจากประเทศไทย ซึ่งกำลังได้รับการตีพิมพ์ในวารสารต่างประเทศ และเผยแพร่อยู่บนเว็บไซต์ "เมดอาซีฟ" (www.medrxiv.org) เว็บไซต์คลังงานวิจัยที่เป็นต้นฉบับที่ยังไม่ตีพิมพ์เกี่ยวกับการแพทย์ การทดลองทางคลินิก และวิทยาศาสตร์สุขภาพอื่น ๆ

งานวิจัยชิ้นนี้ เป็นผลงานของนักวิจัย 7 คน โดย 5 คนมาจากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข อีก 2 คนมาจากโรงพยาบาลสมุทรปราการ และสาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

เมื่อเรื่องปรากฏต่อสาธารณชน ความสับสนอลหม่านก็เกิดขึ้นไปทั่วประเทศ เนื่องจากเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ที่ผ่านมา "คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ" ได้เพิ่มยาสารสกัดจากฟ้าทะลายโจร และยาจากผงฟ้าทะลายโจร เป็นยาในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร ให้เป็นยาที่ใช้กับผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีความรุนแรงน้อย และประชาชนที่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาต่างก็พากันไปซื้อฟ้าทะลายโจรมาใช้เป็นจำนวนมาก

กระทั่ง "พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์" อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ต้องตั้งโต๊ะแถลงข่าวเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 ว่า การขอถอนข้อมูลงานวิจัยชิ้นดังกล่าวไม่ได้เป็นการถูกปฏิเสธจากวารสารวิชาการ แต่นักวิจัยไทยได้ขอถอนงานวิจัยกลับมาชั่วคราว เนื่องจากพบ "ความผิดพลาดของสถิติหนึ่งจุด" และระบุว่าผลลัพธ์การทดลองที่มีความคลาดเคลื่อนทางสถิติดังกล่าวไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิธีการกินยาหรือจ่ายยาฟ้าทะลายโจรในกลุ่มผู้ป่วยโควิด-19

หรือแปลไทยเป็นไทยก็คือ ยังสามารถใช้ "ฟ้าทะลายโจร" ในการต่อสู้กับโควิด-19 ได้ต่อไป

อย่างไรก็ดี ถ้าหากสังคมพินิจพิเคราะห์ "ปรากฏการณ์ถอนงานวิจัยฟ้าทะลายโจร" ที่เกิดขึ้นก็จะพบ "ความผิดปกติ" โดยเฉพาะกรณี "ความผิดพลาดของสถิติจุดหนึ่ง" ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้กับ "งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์" ที่ต้องมีความแม่นยำก่อนที่จะเผยแพร่ผลงานออกไปสู่สาธารณชน ยิ่งเป็นการตีพิมพ์ในวารสารต่างประเทศด้วยแล้ว ยิ่งไม่ใช่เรื่องที่จะทำ "มั่วซั่ว" ได้ เพราะต้องไม่ลืมว่านี่คือ "งานวิจัยทางการแพทย์ งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์" ซึ่งไม่ใช่ "งานวิจัยทางสังคมศาสตร์" ที่สามารถมีข้อโต้แย้งในภายหลังหากพบ "หลักฐานใหม่"

หลายคนตั้งคำถามว่า หรือจะเป็นเพราะ "คณะวิจัย" ทำด้วย "ความเร่งรีบ" หรือทำงานภายใต้ "ภาวะกดดันบางประการ" จนทำให้เกิด "ความผิดพลาดของสถิติหนึ่งจุด" ซึ่งก็มีความเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้

ขณะที่อีกหลายคนก็อาจตั้งคำถามว่ามี "อะไรในกอไผ่" หรือไม่ดังสมมติฐานและเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น เหมือนดังที่ "ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์" คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ตั้งคำถามเอาไว้ว่า "มีคำถามอยู่ว่างานระดับที่ป้อนข้อมูลและใช้การคำนวณโดยโปรแกรมเช่นนี้ เกิดความผิดได้อย่างไร? จนถึงขั้นแปลผลผิดจากแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ กลายเป็นแตกต่างกันแต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ" (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมหน้า 48)

ทีนี้ มาดูรายละเอียดในงานวิจัยชิ้นนี้กันว่า เป็นอย่างไร

พญ.อัมพร อธิบายรายละเอียดเอาไว้ว่า งานวิจัยนี้นี้เริ่มต้นในช่วงที่ยังไม่มียาตัวใดเลยที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการว่าสามารถฆ่าไวรัสโคโรนาหรือรักษาโรคโควิด-19 ได้โดยตรง จึงมีการทดลองและเก็บข้อมูลการใช้ยาชนิดต่าง ๆ ที่คาดว่าจะใช้รักษาโควิดได้ เช่น ฟาวิพิราเวียร์ เรมเดซิเวียร์ และสมุนไพรฟ้าทะลายโจร โดยเป็นการทดลองแบบสุ่มโดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบ ใช้ผู้ป่วยโควิดอาการเล็กน้อยอายุตั้งแต่ 18-60 ปี จำนวน 57 คน ที่ยืนยันการตรวจพบเชื้อไวรัสด้วยวิธี RT-PCR แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งกินสารสกัดฟ้าทะลายโจร อีกกลุ่มกินยาหลอก หรือเม็ดยาเปล่า ๆ ที่ไม่ได้มีฟ้าทะลายโจร

"พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์" อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
"พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์" อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก

จากผู้ป่วย 57 ราย ในกลุ่มผู้ได้รับสารสกัดฟ้าทะลายโจร 29 ราย ไม่พบอาการปอดอักเสบ แต่ในกลุุ่มที่ได้ยาหลอก 28 ราย พบอาการปอดอักเสบ 3 ราย คิดเป็น 10.7%

สำหรับเรื่องความคงอยู่ของตัวไวรัสในวันที่ 5 พบผู้ป่วยกินสารสกัดฟ้าทะลายโจร ใน 29 ราย ไวรัสอยู่แค่ 10 ราย (34.5%) ส่วนผู้ป่วยกลุ่มกินยาหลอก 28 ราย เจอว่าไวรัสยังอยู่ 16 ราย (57.1%)

ขณะที่ในเรื่องความคลาดเคลื่อนนั้นอยู่ที่ค่านัยสำคัญทางสถิติในกลุ่มผู้ป่วยที่ได้ยาหลอกในการทดลอง โดยค่านัยสำคัญทางสถิติที่คำนวณได้ครั้งแรกมีความคลาดเคลื่อน กล่าวคือตอนแรกคำนวณได้ว่าเป็น 0.03 และได้นำเสนอไป แต่เมื่อได้กลับพิจารณาอีกครั้ง จึงค้นพบว่ามีจุดอ่อนอยู่จุดหนึ่งแทนที่จะเป็น 0.03 ก็เป็น 0.112 หรือหมายความว่า หากมีการทดลอง 100 ครั้ง การค้นพบว่าผลลัพธ์คงเดิมจะอยู่ที่ประมาณ 97 ครั้ง ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจมาก แต่ตัวเลขที่คำนวณถูกต้อง หรือ 0.112 จะหมายความได้ว่า หากมีการทดลอง 100 ครั้ง ผลลัพธ์ที่เจอว่าเหมือนเดิมจะอยู่ที่ 90 ครั้ง ความคงที่จะลดลงมาในระดับหนึ่ง

วิญญูชนก็น่าจะ "คิด วิเคราะห์ แยกแยะ" พร้อมตั้งคำถามได้ว่า เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย

เอาเป็นว่า หลังจากที่ถอนผลวิจัยออกมาแล้ว คงต้องติดตามกันต่อไปว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับการปรับปรุง "ความผิดพลาดทางสถิติหนึ่งจุด" ดังกล่าว การวิจัยจะเสร็จสิ้นเมื่อไหร่และจะมีการนำเสนอเพื่อกลับไปตีพิมพ์เหมือนเดิมด้วยข้อมูลที่ออกมาในลักษณะไหน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ "ไม่อาจกระพริบตา" ได้เลยทีเดียว

อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ที่ติดตามเรื่องฟ้าทะลายโจรมาอย่างต่อเนื่อง คงต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมามีความพยายามที่จะ "ด้อยค่าฟ้าทะลายโจร" จาก "แพทย์แผนปัจจุบัน" ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังจากที่ "นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์" ศัลยแพทย์หัวใจและผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ครอบครัว ซึ่งออกมาโพสต์เรื่องการถอนผลวิจัยฟ้าทะลายโจรเป็นรายแรกๆ จนต้องออกมาโพสต์แก้ไขซ้ำอีกครั้ง

นพ.สันต์โพสต์เอาไว้ว่า "คณะผู้วิจัยชาวไทยที่ทำวิจัยฟ้าทะลายโจรรักษาโควิดได้ขอถอนต้นฉบับของตัวเองกลับออกมาจากเว็บไซต์งานวิจัยรอตีพิมพ์ (medRxiv) เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดในการคำนวณเชิงสถิติในประเด็นการคิดค่านัยสำคัญทางสถิติ (p-value) คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้ตัดเอาบทความของตนครึ่งบรรทัดไปโพนทะนาผ่านทางหนังสือพิมพ์และสื่อต่างๆ ว่า ฟ้าทะลายโจรใช้รักษาโควิดไม่ได้ ผลเสียแล้วควรต้องเลิกใช้ ซึ่งเป็นการตัดบทความเอาไปแค่บรรทัดเดียวแล้วเอาไปกระเดียดที่ได้ผล ทั้งนี้ ตนขอแก้ไขคำพูดใหม่ เป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนให้ใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด-19 ในคนยังมีไม่มากพอ เพราะยังขาดงานวิจัยระดับ RCT จึงต้องทำวิจัยซ้ำโดยการขยายกลุ่มตัวอย่างให้ใหญ่ขึ้น เพราะการที่กลุ่มตัวอย่างเล็กได้ค่า p มากกว่า 0.05 ก็บอกได้แค่ว่ายังบอกไม่ได้ว่าความแตกต่างในผลการรักษา คือการเกิดปอดบวม ในทั้งสองกลุ่มมันต่างกันจริงหรือไม่ การจะรู้ได้ก็ต้องมีกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่กว่านี้ ไม่ได้บ่งชี้ว่าการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด-19 ไม่ได้ผล ซึ่งยาคู่แข่งกันที่ใช้ในเมืองไทยอีกตัว คือ Favipiravir ก็มีข้อมูลน้อยประมาณเดียวกัน คือทุกอย่างติดอยู่ที่ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ"

"แต่ฟ้าทะลายโจรมีความพิเศษกว่า Favipiravir ตรงที่แค่ทำวิจัยซ้ำขยายกลุ่มตัวอย่างให้ใหญ่ขึ้นอีกนิดเดียว ก็จะเห็นดำเห็นแดงแล้วว่าได้ผลหรือไม่ได้ผลต่างจากยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ อีกทั้งฟ้าทะลายโจรเป็นพืชสามัญในท้องถิ่น หาง่ายกว่า ราคาถูกกว่า มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของชาติมากกว่า ในแง่การค้าขายระดับนานาชาติ หากจะขายฟ้าทะลายโจรก็ต้องมีงานวิจัยระดับ RCT สนับสนุน ตัวหมอสันต์จึงลุ้นตัวโก่งให้ทำงานวิจัยนี้ต่อให้เบ็ดเสร็จสะเด็ดน้ำ โดยยินดีช่วยทุกอย่างเท่าที่หมอแก่คนหนึ่งจะช่วยได้"

หรือแม้กระทั่ง "กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก" เอง โดยเฉพาะตัว "อธิบดี" เองที่ให้สัมภาษณ์ในการแถลงข่าวเรื่องการถอนผลงานวิจัยเอาไว้ว่า "เราไม่ได้ต้องการให้เชื่อมั่นในฟ้าทะลายโจรจนเกินความพอดี ใช้กันอย่างพร่ำเพรื่อโดยไม่ระมัดระวัง อันนี้ถือเป็นแรงกระตุกที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม" ซึ่งฟังดูแล้วต้องใช้คำว่า "แปลกๆ" ทั้งๆ ที่ "คณะทำงานหลัก" ของการวิจัยชิ้นนี้ก็มีถึง 5 คนที่มาจากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเอง

คำว่า "อันนี้ถือเป็นแรงกระตุกที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม" หมายความว่า ดีแล้วที่มีการถอนการวิจัยออกมาเช่นนั้นหรือ?

แล้วที่เป็น "ดรามา" ไม่แพ้กันคือ "หมอแล็บคนดัง" ที่ไปแชร์ข้อความจากเฟซบุ๊กของแพทย์คนหนึ่ง พร้อมระบุว่า งานวิจัยฟ้าทะลายโจรชิ้นนี้ผู้วิจัยขอถอนออกไปแล้ว เพราะคำนวณสถิติผิดพลาด สรุปที่ถูกต้องสำหรับงานวิจัยนี้คือ "ฟ้าทะลายโจรไม่แตกต่างจากยาหลอก" ซึ่งมีคนวิพากษ์วิจารณ์กันมากว่าฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับไปกระเดียดอย่างที่ "หมอสันต์" ว่า จนเกิดปรากฏการณ์ "ทัวร์ลง" ทว่า "หมอแล็บคนดัง" ก็ออกมาโพสต์ข้อความในเพจว่า "เสียใจ หาฟ้าทะลายโจรมาให้ผู้ป่วยเยอะมาก ล่าสุดแชร์งานวิจัยที่ถูกถอนแค่งานวิจัยเดียว โดนหาว่าด้อยค่าฟ้าทะลายโจรไปอีกครับ ชีวิตอดสูมาก นอนแพ้บ"

แต่ความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ เพราะความจริงก็คือ ในเฟซบุ๊กหมอแล็บคนดังได้ลบข้อความที่ระบุว่า "งานวิจัยฟ้าทะลายโจรชิ้นนี้ถูกถอดออกไปแล้วครับ เพราะคำนวณสถิติผิดพลาด สรุปที่ถูกต้องสำหรับงานวิจัยนี้คือ ฟ้าทะลายโจรไม่แตกต่างจากยาหลอก" ออกจากเพจไป ซึ่งมิอาจมองเป็นอื่นได้ว่า ฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับไปกระเดียด ด้วยมีผู้ "แคปข้อความ" เอาไว้ได้เป็นหลักฐานชัดเจน

ความจริง ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรใหญ่โตมากนักสำหรับ "หมอแล็บคนดัง" ถ้าหากจะยอมรับความผิดพลาดอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่การที่แถไถและลบข้อความออกไป ทำให้นักเทคนิคการแพทย์ผู้นี้ถูกมองว่า "ด้อยค่าฟ้าทะลายโจร" อย่างที่เจ้าตัวบ่นพึมพำในเพจเฟซบุ๊กของตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ที่สำคัญคือ การใช้คำว่า "ฟ้าทะลายโจรไม่ต่างจากยาหลอก" ถือเป็นคำที่นัยสำคัญมาก

ในทางการแพทย์ "ยาหลอก" (Placebo) ก็คือยาที่ถูกสร้างขึ้นมา โดยทำให้มีลักษณะ สี และขนาดต่าง ๆ ให้ดูคล้ายกับยาทั่วไป แต่ไม่มีสารออกฤทธิ์ทางการแพทย์ มีส่วนประกอบหลักที่ทำมาจาก แป้งหรือน้ำตาล จากนั้นก็นำไปให้ผู้ป่วยรับประทานเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ที่คนไข้มีอาการต่างๆ ดีขึ้น จากการให้ยาที่ไม่ได้มีตัวยาอยู่จริง โดยมีการนำมาใช้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1785

ที่สำคัญคือ ในการทดลองพบว่า ยาหลอกก็มีผลต่อการรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้เช่นกันแม้ไม่มีสารออกฤทธิ์ทางการแพทย์

แต่ในความเข้าใจของประชาชนคนทั่วไป เมื่อเห็นคำว่า "ยาหลอก" มักเข้าใจว่าคือ "ยาปลอม" ซึ่งไม่ถูกต้อง

ดังนั้น การที่ใช้คำว่า "ไม่ต่างจากยาหลอก" จึงเสมือนเป็นการ "ด้อยค่าฟ้าทะลายโจร" ทั้งในทางการแพทย์คือมองว่าเป็นยาที่ไม่มีสารออกฤทธิ์กับโควิด-19 ทั้งในความรู้สึกของประชาชนที่อาจเข้าใจว่าเป็น "ยาปลอม" ไปเลยก็ได้

ทั้งๆ ที่มีผลวิจัยและผลการศึกษามากมายที่ยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัยของฟ้าทะลายโจร หนึ่งในนั้นก็คือสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์

สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์เผยแพร่ผลการศึกษาเรื่อง "ฟ้าทะลายโจร" เอาไว้ดังนี้

"สืบเนื่องจากมีผู้เผยแพร่ข้อมูลว่าใช้ฟ้าทะลายโจรแล้วทำให้ตับพัง จากงานวิจัยฟ้าทะลายโจรในต่างประเทศที่ใช้ฟ้าทะลายโจรทั้งชนิดผงและสารสกัด ในการรักษาอาการหวัด หลอดลมอักเสบ ไม่มีรายงานว่าฟ้าทะลายโจรก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อตับ นอกจากนั้นในการศึกษาทางคลินิกเกี่ยวกับความปลอดภัยและการเปลี่ยนแปลงสภาพยาของการใช้ผงฟ้าทะลายโจรปริมาณ 12 แคปซูล (4.2 กรัม) ต่อวัน ติดต่อกัน 3 วัน (มีปริมาณสาร Andrographolide 97 มิลลิกรัมต่อวัน) ไม่พบว่าการทำงานของเอนไซม์ตับ AST (Aspartate Aminotransferase) และ ALT (Alanine Aminotransferase) ผิดปกติ (Suriyo et al., 2017) สำหรับการศึกษาความปลอดภัยและการเปลี่ยนแปลงสภาพยาของสารสกัดฟ้าทะลายโจรปริมาณ 9 แคปซูล ต่อวัน (มีปริมาณสาร Andrographolide ขนาด 180 มิลลิกรัมต่อวัน) [อยู่ระหว่างดำเนินการศึกษา] ติดต่อกันเป็นเวลา 7 วัน ซึ่งเป็นการเพิ่มทั้งขนาดและระยะวันการได้รับฟ้าทะลายโจร ก็ไม่พบการเปลี่ยนแปลงการทำงานของเอนไซม์ตับเช่นกัน

"แต่หากใช้สารสกัดฟ้าทะลายโจรที่มีปริมาณสาร Andrographolide ในขนาดสูงถึง 360 มิลลิกรัมต่อวัน ติดต่อกัน 7 วัน จะพบการเปลี่ยนแปลงของ AST เล็กน้อย ในอาสาสมัคร 1 คนใน 12 คน ซึ่งค่าเอนไซม์ตับที่สูงขึ้นนี้จะกลับเป็นปกติภายใน 1 สัปดาห์ ส่วนค่าเอนไซม์ ALT จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในอาสาสมัคร 4 คน ซึ่งคิดเป็น 33.33% แต่การทำงานของเอนไซม์ก็จะกลับเป็นปกติภายใน 1-3 สัปดาห์ ดังนั้นขนาดของสาร Andrographolide ที่เหมาะสม คือ 180 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นเวลา 5 วัน จึงไม่ควรใช้ในขนาดและระยะเวลานานเกินกว่านี้

"เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เป็นจำนวนมากที่ต้องการยารักษาโรคโควิด-19 และยาฟ้าทะลายโจรก็เป็นสมุนไพรที่ได้มีการศึกษาอย่างกว้างขวาง ทั้งกลไกการออกฤทธิ์ อาการข้างเคียง และการศึกษาในทางคลินิกในผู้ติดเชื้อจริง ทั้งในประเทศไทยและประเทศจีน ซึ่งได้มีการใช้ในรูปแบบผง สารสกัด และการพัฒนาสารอนุพันธ์ Andrographolide ให้อยู่ในรูปแบบยาฉีด ดังนั้นหากมีการพบการติดเชื้อโควิด-19 จึงควรใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจรทั้งรูปแบบผงและสารสกัดทันที ในขนาดและระยะเวลาที่ถูกต้อง ซึ่งจะเป็นยาที่มีประโยชน์มากและมีความปลอดภัยในระดับที่รับได้ เป็นการช่วยลดภาระของรัฐบาลและช่วยระบบสาธารณสุขของชาติได้"

จากสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้นเกี่ยวกับ "ฟ้าทะลายโจร" ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องและเต็มไปด้วยอุปสรรคนานัปการ ฟันธงแบบไม่กลัว "ธงหัก" ได้เลยว่า สงครามโควิด-19 ซีซั่นใหม่นี้ ไม่อาจกระพริบตาด้วยมีความลึกลับซับซ้อนและปริศนาในทุกมิติเลยทีเดียว.
#2730


เรียกว่าเป็นเจ้าแม่นักจัดกิจกรรมตัวยงจริงๆ สำหรับบอสใหญ่ "ประวีรัตน์ เทวอักษร" เจ้าแม่อาณาจักร บมจ.วิลล่า คุณาลัย (KUN) ที่ล่าสุด ลุกขึ้นมาสร้างความสุขให้กับคนในครอบครัวคุณาลัย โดยขอเปลี่ยนบ้านให้เป็นโลกแห่งดนตรี ยุคNew Normalโควิด-19 แบบอยู่บ้าน กักตัว ไม่กักใจ ซึ่งงานนี้ขอเกี่ยวก้อย "พี่ป๊อด ธนชัย อุชชิน" มาร้องเพลงเพราะๆให้ฟังแบบชิลๆใกล้ชิดถึงบ้าน กับ LIVE มินิคอนเสิร์ต 12 สิงหาคมนี้ "รักแม่ไม่มีวันหยุด" ผ่านทาง FB KUNALAI (https:// www.facebook.com/VillaKunalai/) ตั้งแต่เวลา 18.00 น.เป็นต้นไป งานนี้เรียกว่าสร้างความสุขแบบอบอุ่นให้ทุกคนในครอบครัวจริงๆ สมกับคอนเซ็ปต์ที่ว่า " ความสุขสร้างบ้าน " จริงๆนะคะ KUN


"ASW" ผลประกอบการโตทะยาน ยอดขายทะลุเป้า

หุ้นอสังหาฯผลประกอบการแกร่งตอนนี้ ต้องยกให้กับ บมจ.แอสเซทไวส์ (ASW) สมกับเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาฯ รุ่นใหม่ เดินหน้าเติบโตด้วยกลยุทธ์ "Best Choice" โดยนำกลยุทธ์ขายแบบออนไลน์ ผนึกกับโปรโมชั่นสุดคุ้ม จนสามารถผลักดันยอดขายทะลุเป้า สะท้อนได้จากผลประกอบการไตรมาส 2/2564 ออกมาดูดี มีอนาคต กำไรเพิ่มขึ้นกว่า 76.1% แถมยังมีเซอร์ไพรส์ด้วยจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล เป็นหุ้นในอัตรา 8 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล และเงินสด 0.02206 บาทต่อหุ้น ดีต่อใจจริงๆ แบบนี้สามารถฝ่ากระแสวิกฤติโควิด-19 ไปได้อย่างไม่ต้องกังวลใจ เอาเป็นว่า ผลงานโค้งหลังปีนี้ จะสดใสขนาดไหน มารอฟังจากซีอีโอคนเก่ง "กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์" ในงาน Opportunity Day ผ่านแพลตฟอร์มระบบออนไลน์ https:// www.set.or.th/streaming/vdos-oppday ในวันที่ 16 ส.ค.นี้ เวลา 10.15-11.00 น. งานนี้เกาะติดกันไว้ พร้อมเสิร์ฟข้อมูลแน่นๆกันเลย
#2731


ท่ามกลางความมืดมิดจากวิกฤตโควิด-19 ผู้คนล้มตายประชาชนสิ้นหวังในเข้าถึงระบบสาธารณสุข โดยเฉพะพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ด้วยระบบราชการที่เต็มไปด้วยข้อจำกัด โครงสร้างพื้นฐานสาธารณสุขของกรุงเทพฯ ที่อ่อนยวบ แต่แล้วแสงแห่งความหวังได้ปะทุขึ้นเมื่อ "ชมรมแพทย์ชนบท"เปิดยุทธการ "แพทย์ชนบทบุกกรุง" จัดทัพกู้ภัยโควิด กทม.

โดยแม่ทัพใหญ่ "นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ"ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จังหวัดสงขลา หมอของขวัญในฐานะประธานชมรมแพทย์ชนบท นำทีมลงพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อปฏิบัติการตรวจเชิงรุก ปักหมุดหมาย "ชุมชนแออัด" ซึ่งเกิดการแพร่ระบาดรุนแรง ตั้งเป้าหาผู้ติดเชื้อให้มากที่สุด เจอให้เร็วรักษาให้เร็ว พร้อมจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ นำเข้าระบบ Home isolation ตั้งเป้าลดอัตราป่วยหนัก-เสียชีวิต อันเนื่องจากการเข้าไม่ถึงยาและโรงพยาบาล สร้างโมเดลต้นแบบต่อสู้โควิด-19 ทลายข้อจำกัดระบบราชการ มุ่งหวังให้ทุกพื้นที่สามารถนำไปปรับใช้ได้

สำหรับปฏิบัติการ "แพทย์ชนบทบุกกรุง" สำเร็จลุงล่วง ได้รับความร่วมมือจากทั้งหน่วยงานภาครัฐ และเครือข่ายประชาชนทีมโควิดชุมชน (Com-Covid) ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญ ดำเนินการต่อเนื่องครั้งล่าสุดครั้งที่ 3 ระดมบุคลากรสาธารณสุขในต่างจังหวัดกว่า 400 คน แบ่งทีมย่อยลุยแผนดาวกระจายทั่วกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 4-10 ส.ค. 2564 รวมพื้นที่ดำเนินแล้ว 196 จุดตรวจ รวม 369 ชุมชน ตรวจเชิงรุกประชาชน 141,516 ราย พบผลติดเชื้อสะสมจำนวน 15,588 ราย (ร้อยละ 11)

ถอดบทเรียนปฏิบัติ "แพทย์ชนบทบุกกรุง" พูดคุยกับแม่ทัพใหญ่ "นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ" ภายใต้แรงกดดันสถานการณ์โรคระบาด ผู้คนเผชิญกับความทุกข์ยาก ระบบสาธารณสุขที่ใกล้ล่มสลาย ระบบราชการที่เป็นอุปสรรคในการสู้รบกับโควิด แพทย์ชนบทได้จุดไฟแห่งความหวังให้ประชาชน เสมือนเข็มทิศนำทางให้รัฐปรับยุทธศาสตร์แก้วิกฤตโควิด-19

- ทำไมชมรมแพทย์ชนบทเลือกพื้นที่กรุงเทพฯ ทั้งที่จังหวัดอื่นๆ เกิดการแพร่ระบาดรุนแรงไม่ต่างกัน
จังหวัดอื่นแม้เกิดการระบาดหนัก แต่ว่าปรากฎการณ์ตายคาบ้านแทบไม่มี ไม่เหมือนในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ต่างจังหวัดผู้ป่วยมาเสียชีวิตที่โรงพยาบาล สถานการณ์ในโรงพยาบาลต่างจังหวัดหากป่วยอย่างไรก็สามารรับได้ คนต่างจังหวัดหากสงสัยว่าติดเชื้อโควิด โรงพยาบาลยังสามารถตรวจได้ เพราะประชากรน้อยโรงพยาบาลจึงสามารถจัดการได้ แต่ว่ากรุงเทพฯ จุดตรวจโควิดแทบจะหาไม่ได้ ความสูญเสียชีวิตที่บ้านเห็นชัดเจนมาก

การลงพื้นที่กรุงเทพฯ ของแพทย์ชนบท เป้าหมายคือค้นหาผู้ติดเชื้อให้มาก เจอให้เร็ว รักษาจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์เร็ว นำเข้าระบบ home isolation จะได้ลดอัตราป่วยหนักที่ต้องการเตียงโรงพยาบาล และลดอัตราการเสียชีวิตอันเนื่องจากการเข้าไม่ถึงยาหรือเข้าไม่ถึงโรงพยาบาล ถึงแม้ลดอัตราการติดเชื้อไม่ได้โดยง่าย แต่หวังว่าจะลดอัตราเตียงล้นโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ และลดอัตราตายลงได้บ้าง

การตรวจเชิงรุกในกรุงเทพฯ เราใช้ Rapid Antigen Test ที่มีคุณภาพสูง ยี่ห้อที่องค์การอนามัยโลกรับรอง เป็นยี่ห้อที่ใช้ในโรงพยาบาลมาตรวจ ซึ่งประเด็นนี้มีความน่าสนใจเพราะองค์การเภสัชฯ ทำการจัดซื้อ Rapid Antigen Test แต่ได้ยี่ห้อที่มีปัญหา ซึ่งน่าเป็นห่วงมาก เพราะการตรวจสามารถรู้ผลได้เลย ความแม่นยำจึงมีความจำเป็น มิเช่นนั้น ต้องไปเสียเวลาตรวจซ้ำ RT-PCR ซึ่งเสียเวลาเสียทรัพยากรด้วย

สรุปผลการลงพื้นที่กรุงเทพฯ ครั้งแรก ระหว่าง 14 - 16 ก.ค. 2564 ครั้งที่ 2 ระหว่าง 21 - 23 ก.ค. 2564 และครั้งที่ 3 ระหว่าง 4– 10 ส.ค. 2564 สรุปผลพื้นที่ดำเนินการสะสม 196 จุดตรวจ รวม 369 ชุมชน มีประชาชนรับบริการสะสมจำนวน 141,516 ราย ผลติดเชื้อสะสมจำนวน 15,588 ราย ผลการตรวจผู้ป่วยทั้งหมดแบ่งเป็นผู้ป่วยระดับสีเขียว 10,838 ราย ระดับสีเหลือง 4,427 ราย และระดับสีแดง 323 ราย แจกยาฟ้าทะลายโจร จำนวน 3,509 ราย และแจกยาฟาวิพิราเวียร์ จำนวน 8,939 ราย และให้บริการวัคซีนสะสม จำนวน 7,412 ราย



-ปัญหาที่พบหลังจากทีมแพทย์ชนบทลงพื้นที่ตรวจเชิงรุกบริเวณชุมชนแออัดในกรุงเทพฯ
แพทย์ชนบทเข้าไปในชุมชนแออัดชัดเจนว่าเป็นกลุ่มคนจน พวกเขาเข้าไม่ถึงบริการสุขภาพ แม้กรุงเทพฯ เต็มไปด้วยโรงพยาบาล คลีนิคเอกชน เต็มไปศูนย์บริการสาธารณสุขต่างๆ แต่พวกเขาเข้าไม่ถึงบริการเหล่านี้ ซึ่งการล็อกดาวน์เศรษฐกิจฟุบยาวนาน ทำให้เขาแทบจะไม่มีรายได้ ชีวิตยากลำบาก อยากจะตรวจโควิดก็ไม่มีที่ให้ตรวจ ป่วยแล้วก็ไม่รู้จะไปไหน โทร. 1669, 1330 แจ้งไปก็ไม่มีใครมารับ พอติดโควิดอยู่บ้านหลังเล็กแคบอยู่กันแออัด ติดในครอบครัว ติดเพื่อนบ้าน ลามติดกันทั้งชุมชน ยกตัวอย่าง ชุมชนริมคลองสามเสน ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด 200 คน คือตัวเลขที่มีการตรวจก่อนแพทย์ชนบทจะเข้าไป ดังนั้น เราคาดการณ์ได้เลยว่าชุมชนนี้แพร่กระจายเชื้อติดกันไปมากกว่า 1,000 แล้ว จากประสบการณ์ทำให้รู้ว่า หากมี 1 คนติดเชื้อ จะมีอีก 5 คนที่ติดเชื้อ อาจจะไม่แสดงอาการ มีอาการเล็กน้อย เพราะการที่ไม่ได้รับตรวจหาเชื้อ ไม่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อแล้ว ทำให้มีการระบาดกว้างขวางมากโดยเฉพาะในชุมชนแอดอัด

-หลังจากแพทย์ชนบทสร้างโมเดลต้นแบบปฎิบัติการเชิงรุกต่อสู้โควิด-19 กู้วิกฤตโรคระบาด เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านการจัดการบริการสุขภาพในพื้นที่กรุงเทพฯ บ้างหรือไม่
เราเห็นสัญญาณที่ดีอยู่บ้าง พื้นที่กรุเทพฯ มีการเปิดตรวจจุดเคลื่อนที่เร็ววันละ 5 - 6 จุดเพิ่มขึ้นมาจากเดิม 500-1,000 คน หรืออย่างหน่วยทหารได้เปิดจุดตรวจในค่ายทหารก็เป็นมีสัญญาณที่ดี มีความพยายามในการเพิ่มจุดตรวจมากขึ้น แต่สิ่งที่เราเสนอมากกว่าเปิดจุดตรวจจากประสบการณ์ตั้งแต่เรามาครั้งที่ 1 คาดหวังให้เปิดจุดตรวจโควิด Rapid Antigen Test มากขึ้น แต่เราพบปัญหาว่าหลังรู้ผลติดเชื้อ ผู้ป่วยหาโรงพยาบาลไม่ได้ไม่มียา สุดท้ายก็เสียชีวิตที่บ้านให้เห็นเป็นจำนวนมาก

ครั้งที่ 3 แพทย์ชนบทมาด้วยชุดโมเดลที่สมบูรณ์ขึ้น ตรวจเสร็จแล้วจ่ายยาเลย เราได้รับการสนับสนุนฟาวิพิราเวียร์จากกระทรวงสาธารณสุข เราตรวจแล้วก็จ่ายยาเลยสำหรับคนที่อยู่ในเกณฑ์ เช่น ผู้สูงอายุ มีโรคประจำตัว มีอาการ ซึ่งจริงๆ เราอยากให้จุดตรวจจุดอื่นจ่ายฟาวิพิราเวียร์ เพราะว่าถ้าผู้ติดเชื้อกลับไปอาจจะไม่ได้กลับมาอีกเลยถ้าเขาไม่ได้กินยา

ความยากคือจุดตรวจเหล่านั้นจะเอาฟาวิพิราเวียร์จากไหน เพราะว่าระบบการกระจายยายังเป็นปัญหา การนำเข้าน้อย องค์การเภสัชฯ ผลิตได้ไม่เพียง หรือถึงจะเพียงพอ แต่โจทย์คือจะกระจายยาอย่างไรให้ไปถึงประชาชนที่เป็นโควิด การพึ่งเพียงแต่โรงพยาบาลพึ่งการไปหาหมอที่โรงพยาบาลเป็นไปไม่ได้ ประชาชนเข้าไม่ถึง เรื่องการกระจายยาเป็นโจทย์ยากที่รอการจัดการ ซึ่งจริงๆ ไม่ยากหรอกครับ แค่ทำให้นโยบายเปิด เพราะปัจจุบันยังไม่เปิดเท่าที่ควร ฟาวิพิราเวียร์ยังเป็นยาเทวดาอยู่ คนยากคนจนเข้าไม่ถึง

ณ วันนี้ คนรวยติดโควิดเข้าถึงการรักษาไม่ยากครับ โรงพยาบาลเอกชนยินดีรับ โรงพยาบาลเอกชนยังมีเตียงว่างอยู่พอสมควรไม่ใช่ว่าไม่มีเตียง แต่ว่าเขาเก็บเตียงไว้สำหรับคนที่มีความสามารถในการจ่าย หรือมีประกันชีวิต การเข้ารักษาที่โรงพยาบาลเอกชนต้องมีเงินไม่ต่ำกว่า 2 – 3 แสน นอน 14 วัน เป็นอย่างต่ำ

ส่วนคนจนรอเข้ารับรักษาในโรงพยาบาลของรัฐซึ่งเตียงมันเต็มหมดแล้ว ต้องลุ้นเอาว่าเป็นหนักมั้ย ถ้าเป็นหนักก็อาจจะไม่รอด แม้ว่าเข้าถึงการรักษาเข้าโรงพยาบาลสนามยังอาจไม่รอดเลย ดังนั้น เราต้องกลับมาตั้งหลักใหม่ดูแลประชาชนดีๆ ตรวจเชื้อให้มากที่สุด ให้เขาเข้าถึงยาเร็วที่สุด อัตราเสียชีวิตจะลดลงต้องได้ยาฟาวิพิราเวียร์ตั้งแรกไม่ใช่ว่าอาการหนักแล้วถึงจะได้ยา ถ้าอาการหนักแล้วได้รับยาก็ไม่ทัน การที่เขาได้ยาฟาวิพิราเวียร์เร็วมีความหมายมากต่อการรอดชีวิต ประเด็นสำคัญฟาวิพิราเวียร์จะได้เร็วก็ต่อเมื่อได้ตรวจเร็ว รู้ผลเร็วตั้งแต่ยังมีอาการน้อย เพราะหลายคนไปตรวจตอนที่อาการหนักแล้ว หอบแล้ว เหนื่อยแล้ว เดินไม่ไหวแล้ว ไปตรวจตอนนั้นกว่าจะตรวจกว่าจะรู้ผลกว่าจะได้ยาก็ช้าไปแล้วดังนั้น การตรวจเชิงรุกในชุมชนมีประโยชน์มาก ทำให้รู้ตัวเร็วว่าติดเชื้อแล้วได้รับยาเร็วมีโอกาสรอดสูง



-ในส่วนของผู้ติดเชื้อโควิด-19 จากการตรวจเชิงรุกของทีมแพทย์ชนบท มีแนวทางดูแลรักษาอย่างไรต่อ
ทุกคนที่ตรวจโพสิทีฟพบว่าติดเชื้อ เราจะให้เขาสแกนคิวอาร์โค้ดเข้าสู่ระบบ หนึ่ง-เข้าสู่ Home Isolation ของ สปสช. สำหรับอาการไม่รุนแรง เราจะลงข้อมูลให้ประชาชนเข้าสู่ฐานข้อมูลกลาง จากนั้นโรงพยาบาลต่างๆ ก็จะมาช้อนมารับตัวของเขาไปดูแลในระบบ Home Isolation ซึ่งรัฐให้ค่าใช้จ่ายต่อโรงพยบาลที่ดูแลผู้ป่วย 1000 บาทต่อวันต่อคน ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สูง แต่ปรากฎว่าหลายหมื่นนคนก็ยังค้างอยู่ในระบบ ไม่มีโรงพยาบาลไหนรับการดูแลยังล่องลอยอยู่ในฐานข้อมูล เป็นสถานการณ์ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

สอง-เข้าสู่ Community Isolation หรือศูนย์พักคอย กทม. ซึ่งพื้นที่ที่ศูนย์พักคอยประชาชนก็มีโอกาสเข้าถึงระบบสาธารณสุขมากขึ้น แต่ว่าศูนย์พักคอยที่ กทม. มีน้อยมาก และสามหากอาการหนักส่งตัวเข้าโรงพยาบาล ซึ่งยิ่งยากเพราะอย่างที่ทราบกันว่าโรงพยาบาลแต็ม แต่ก็มีความพยายามช่วยกันเยอะ จำนวนหนึ่งได้เข้ารักษาที่โรงพยาบาล แต่ไม่ได้เข้าทุกคน จำนวนมากต้องยอมกักตัวที่บ้านไปก่อน

-วิกฤตโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ สะท้อนความล้มเหลวของโครงสร้างพื้นฐานด้านบริการสุขภาพที่ต้องรอการปฏิรูป
มองภาพเปรียบเทียบกับต่างจังหวัด ในต่างจังหวัดระดับตำบลมีสถานีอนามัยดูแลประชาชนประมาณ 2,000 -5,000 คน มีเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ 5-10 คน ทุกอำเภอมี 1 โรงพยาบาลอำเภอ ดูแลประชาชน 30,000 คน 50,000 คน 100,000 คน แตกต่างกันไป อย่างโรงพยาบาลจะนะดูแล 100,000 คน มีบุคลากร 300 คน ในขณะที่ กทม. แขวงเทียบเท่ากับตำบลดูแลคน 5,000 คน แต่ตัวเลขจริงมากกว่านั้นเป็นหมื่นเพราะมีประชากรแฝงด้วย แขวงไม่มีสถานีอนามัย ไม่มีศูนย์บริการสาธารณสุขของ กทม. ทุกคนพึ่งพาคลินิกส่วนตัว ร้านขายยา

โครงสร้างสาธารณสุข กทม. มีแค่ศูนย์บริการสาธารณสุข กทม. ซึ่งรับผิดชอบระดับเขต มี 50 เขต 65 ศูนย์ บางเขตมี 2 ศูนย์ ซึ่งบุคลากรน้อยมาก แต่ละเขตมีโรงพยาบาลไม่กี่แห่ง มีโรงพยาบาลไม่ครบทุกเขต เขตนึงดูแลคนเป็นแสนๆ แต่ไม่มีโรงพยาบาล หลายเขตพึ่งพาโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย หรืออย่างโรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลภูมิพล ซึ่งไม่ใช่โรงพยาบาลของ กทม. การเจ็บป่วยไม่ได้มีเรื่องของการป้องกัน เรื่องโครงสร้างการดูแลปฐมภูมิ เรื่องของการควบคุมโรค การดูแลรักษาผู้ป่วยเชิงลึก โครงสร้างพื้นฐานของ กทม. ระบบบริการสุขภาพที่ผ่านมามีการลงทุนน้อยมาก มีการพัฒนาระบบน้อยมาก

โควิดทำให้เห็นภาพชัดเจนว่า บ้านนอกอย่างน้อยเจ็บป่วยก็มีอนามัยดูแล สงสัยป่วยโควิดก็ได้ตรวจ swab ตรวจแล้วผลเป็นลบอีก 7 วันนัดมาตรวจใหม่ ต่างจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นใน กทม. โดยสิ้นเชิง ประเด็นโครงสร้างระบบบริการสุขภาพของ กทม. ต้องการการลงทุนอย่างมาก ในอนาคตอันใกล้ต้องปรับระบบขนาดใหญ่ เราคาดหวังกับผู้ว่าฯ กทม. คนใหม่ ซึ่งไม่รู้จะเลือกตั้งเมื่อไหร่ อยากให้เรื่องนี้เป็นนโยบายหลักของผู้ว่าฯ เพราะถ้าไม่แก้ปัญหามันก็จะเรื้อรังระยะยาว ศูนย์บริการสาธารณสุข กทม. ทำงานหนักมากนะครับ ไม่ใช่ว่าไม่ทำงาน แต่เขาทำงานหนักภายใต้ข้อจำกัดโครงสร้างการทำงานที่เล็กมาก เจ้าหน้าที่น้อยมากทำงานไม่ไหว ดูแลไม่ไหว

-การกู้วิกฤตโควิด-19 สิ่งที่รัฐต้องดำเนินการจัดการโดยเร่งด่วนคืออะไร
เปิดจุดตรวจให้มากที่สุด เพิ่มจุดพักคอย จากการลงพื้นที่ของเราจุดที่เราลงตรวจให้ชาวบ้าน เราใช้วัด มัสยิดใช้ลานชุมชน ลานกลางแจ้ง กางเต้นท์ใต้ทางด่วน เป็นพื้นที่ที่มีชุมชนอำนวยความสะดวกได้ เราแทบไม่ได้ใช้โรงเรียน อาคารสถานที่ราชการ เรารู้สึกได้ว่าหน่วยราชที่ กทม. ยังไม่สามัคคี ไม่ทุ่มเท ทั้งๆ ที่หน่วยราชการมีเยอะมาก อาคารหน่วยราชการเยอะมาก ซึ่งโรงเรียนเป็นอาคารที่น่าสนใจมากที่สุด ถ้าเป็นในต่างจังหวัดโรงเรียนจะถูกใช้เป็นโรงพยาบาลสนาม เป็นศูนย์พักคอย แต่ใน กทม. ทรัพยากรที่มีไม่ถูกระดมมาใช้กู้ภัยโควิด กับประชาชนต้องเผชิญหน้าอยู่กับเหตุการณ์ด้วยตัวเอง โดยมีกระทรวงสาธารณสุข หรือ กทม. ทำงานกันเต็มที่แต่ก็ไม่ไหว เพราะว่าเป็นการทำงานภายใต้ทรัพยากรที่มีไม่เพียงพอต่อสถานการณ์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงระบบราชการที่มันแตกตัวมาก

-ชมรมแพทย์ชนบทเรียกร้องให้รัฐระงับการส่งออกวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าหวังเพิ่มการฉีดวัคซีนให้คนไทยลดอัตราการเสียชีวิต
อัตราการติดเชื้อมันไกลเกินกว่าควบคุมการแพร่ระบาดด้วยวิธีมาตรฐาน ระบาดไปไกลมากแล้ว วิธีการควบคุมระบาดมีวิธีเดียวก็คือฉีดวัคซีนให้ถ้วนหน้า แต่ว่าวัคซีนที่เราได้มาน้อยมากในปัจจุบัน รัฐพูดเองว่าแอสตร้าฯ ได้เดือนละ 10 ล้านโส แต่เอาเข้าจริงได้เดือนละ 5 ล้านโดส ซึ่งมันไม่พอ ซิโนแวคก็เป็นวัคซีนที่ไม่มีใครอยากฉีด การระบาดแย่ลงมากไม่เฉพาะใน กทม. ตอนนี้เราระดมฉีดวัคซีนอย่างหนักใน กทม. แต่ต่างจังหวัดมีการฉีดน้อย ขาดแคลนวัคซีนด้วย

เราคิดว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศเรามีวัคซีนมากขึ้น ดูรัฐบาลก็ไม่มีความสามารถในการจัดหาวัคซีนได้ ได้รับบริจาคล็อตเล็กๆ เดือนละ 4 - 5 แสนโดส 1 ล้านโดส ก็ไม่พอ ฉะนั้น ช่องทางกฎหมายที่เราทำได้ตาม พ.ร.บ วัคซีนแห่งชาติ คือการจำกัดการส่งออก จัดการได้ตามกฎหมาย เป็นหนึ่งในข้อเสนอต่อรัฐครับ จริงๆ เรามีเป้าหมายในการเพิ่มปริมาณวัคซีนในประเทศ ถ้ารัฐบาลสามารถใช้มาตรการอื่นจัดการวัคซีนด้วยวิธีการอื่นมาได้ เราก็ยินดีไม่ต้องมาใช้มาตรการทางกฎหมายเช่นนี้ แต่ถ้าหาไม่ได้เลยจริงๆ เราคิดว่านี่คือสิ่งที่จำเป็น มิเช่นนั้น สถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศจะแย่มาก เปิดประเทศ 120 วันจะไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง อัตราการตายจะสูงขึ้น อัตราการแพร่ระบาดจะสูงขึ้น อัตราการแพร่ระบาดจะเพิ่ม 4 - 5 หมื่นคนต่อวัน วัคซีนคือคำตอบในการทำให้การแพร่ระบาดลดลง อัตราป่วย อัตราตายลดลง

-การบริหารวัคซีนเราพลาดตรงไหน ประเทศไทยถึงเดินมาถึงจุดนี้
อดีตสถานการณ์เราดีจริงนะ ผู้ติดเชื้อน้อย เราควบคุมการระบาดได้ดี ก็คงทำให้เราประมาทไปในเรื่องการจัดกาวัคซีน พอเราจองวัคซีนช้า ระบบราชการที่เทอะทะเต็มไปด้วยขั้นตอนทางกฎหมายมากมาย ยิ่งทำให้การจองวัคซีนช้า จ่ายเงินช้า ทุกอย่างช้าไปหมด วัคซีนธุรกิจไม่ใช่วัคซีนการกุศล แล้วเราเชื่อมั่นในสยามไบโอไซเอนซ์ว่าจะผลิตวัคซันได้มาก พอผลิตได้น้อยว่าที่ประมาณการณ์ไว้ก็ส่งผลให้มีวัคซีนไม่เพียงพอ ก็มีแต่ซิโนแวคที่เราซื้อได้ตลอด แต่ว่าผู้คนตั้งคำถามต่อซิโนแวคอย่างมาก ที่พลาดไปแล้วไม่เป็นไรนะ แก้ไขให้ได้ แก้ไม่ได้มันก็ไม่ไหว

-ประเด็น ร่าง พ.ร.ก. คุ้มครองบุคลากรสาธารสุข กับข้อครหานิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง คุณหมอมีความเห็นอย่างไร
มี 2 ประเด็นนะครับ โดยส่วนตัวเชื่อว่าความตั้งใจของผู้เสนอ พ.ร.ก. ฉบับนี้ ตั้งใจดูแลบุคลากรที่ฉีดวัคซีนถ้ามีปัญหาจะได้ไม่ต้องรับผิด แต่ว่าด้วยความไม่เชื่อมั่นของผู้คนต่อรัฐบาลรวมถึงความไม่ชัดเจนของเป้าหมายในการออก พ.ร.ก ฉบับนี้ ว่าจริงๆ แล้วควรจะเอาแค่ผู้ปฏิบัติก็เลยทำให้มีความสับสน ผมว่าเริ่มต้นง่ายที่สุดคือการรับฟังเสียงให้กว้างขวางแล้วทำให้เรื่องนี้มันโปร่งใส ไม่ควรเป็นเหมาเข่ง ให้เวลากระทรวงฯ พิจารณา ไม่จำเป็นต้องรีบเร่ง



-จะมีปฏิบัติแพทย์ชนบทบุกกรุง ครั้งที่ 4 หรือไม่
ไม่แน่ครับ เราอยากเห็น กทม. รวมมือจัดการตัวเองให้ได้ เราไม่ได้ต้องบุกกรุงเทพฯ เราจะอยู่ต่างจังหวัด โมเดลตรวจเชิงรุกของแพทย์ชนบทใช้ได้ทั่วประเทศไม่จำเป็นต้องใช้เฉพาะ กทม. อย่าง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งเริ่มมีการนำโมเดลไปใช้แล้ว

-ทราบว่าทีมแพทย์ชนบทกว่า 400 คนที่ร่วมปฏิบัติการในกรุงเทพฯ มากันโดยความสมัครใจ ทุกคนฉีดวัคซีนกันครบแล้วใช่ไหม
อัตราการติดเชื้อในกรุงเทพฯ ลงพื้นที่ชุมชนแออัดสูงมาก ทีมที่ลงพื้นที่จะฉีดเข็ม 3 มาเลย ส่วนใหญ่ ซิโนแวค 2 เข็ม แอสตร้าฯ เข็ม 3 ถ้วนหน้า เพราะไฟเซอร์มาช้ามาไม่ทันเราบุกกรุง เรามากันด้วยความสมัครใจ

- ปฏิบัติงานด่านหน้ามีความเสี่ยงสูง ทีมแพทย์ฯ มีความรู้สึกหวาดกลัวบ้างไหม
ทั้งตัวผมเองและทุกคนที่มากลัวติดโควิดหมดเลยนะ แต่เราก็เป็นเหมือนทหาร ถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะทำ เราก็ได้วัคซีนเข็มที่ 2 เข็มที่ 3 มากกว่าประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้รับวัคซีนสักเข็ม ทีมที่มาฉีดแอสตร้าฯ เข็ม 3 ให้กับตัวเองก่อนเดินทางมา กทม. เรามีชุด PPE หน้ากาก N95 มีองค์ความรู้มากกว่าใคร เราแต่งตัวได้รัดกุมมากในการปฎิบัติงานเมื่อเทียบกับภาคประชาชนที่มาช่วยงานเรา พวกเขาน่าเป็นห่วงกว่าเราเยอะ เขามาช่วยเราเรียกคิวมาช่วยลงทะเบียน การแต่งกายรัดกุมน้อยมากอุปกรณ์ก็ขาดแคลน เรามีความเสี่ยงติดโควิดจริง แต่จริงๆ เราเสี่ยงน้อย

ปฎิบัติการบุกกรุงครั้งที่ 2 มีพยาบาลจังหวัดน่าน ติดโควิด จาก 120 คน ปฎิบัติการบุกกรุง ครั้งที่ 3 ก่อนกลับเราตรวจมีคนติดแล้ว 1 คน ยังต้องติดตามกันว่าพวกเราจะติดโควิดกันกี่คน แต่ถึงติดโควิดก็ไม่เป็นไร เพราะเราเป็นบุคลากรการแพทย์ เรามียาฟาวิพิราเวียร์ โรงพยาบาลเราก็มีเตียง เราเป็นชนชั้นสูงในสายสุขภาพ เราเข้าถึงบริการอยู่แล้ว ติดโควิดก็กักตัวรักษาไม่ใช่ปัญหา เราไม่ใช่ชาวบ้านคนด้อยโอกาสเข้าไม่ถึงบริการ เราไม่ได้ลำบาก แต่เราก็ตรวจตัวเองเพื่อให้เรารู้ให้ไม่ติดคนอื่นในครอบครัว เรามีวินัยในการปฏิบัติงาน เราป้องกันตัวเองดีมีโอกาสติดโควิดน้อยมาก

ผมชื่นชมทีมงานที่มามากเลยนะ มากันตั้ง 40 ทีม 400 คน มันสะท้อนถึงจิตวิญญาณอุดมคติที่มันยังมีอยู่ในตัวบุคลากรสุขภาพ ใครไหวก็มา โรงพยาบาลไหนไหวก็มา ครูบาอาจารย์สอนให้เราทำงานเพื่อชาวบ้าน เพื่อผู้คน จิตวิญญาณยังมีอยู่ซ่อนอยู่ถึงเวลาวิกฤตมีคนอาสามา
#2732


กระแสความสนใจของประชาชน วันนี้ กรณีการแจกเงินเยียวยา ให้แก่ประชาชนแรงงานผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 จังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม หรือพื้นที่ควบคุมสูงสุด และเข้มงวด ที่ประกาศ ล็อกดาวน์ โดยประกันสังคม เปิดลงทะเบียนผ่าน www.sso.go.th สำหรับผู้ประกันตนตาม มาตรา 33 (ม.33) , มาตรา 39 (ม.39) และมาตรา 40 (ม.40) ดังนี้


สำนักงานประกันสังคม แจ้งวันนี้ ให้นายจ้างและลูกจ้างผู้ประกันตน ม.33 ม.39 ม.40 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด 29 จังหวัด 9 ประเภทกิจการ ท่านสามารถตรวจสอบสิทธิเยียวยาได้แล้ววันนี้ ทางเวปไซต์สำนักงานประกันสังคม ที่เดียวเท่านั้น คลิก


ผู้ประกันตนมาตรา 33 ใน 9 ประเภทกิจการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ คลิกตรวจสอบสิทธิ์

แรงงานและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงมีมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการ "ล็อกดาวน์" ในพื้นที่สีแดงเข้ม 13 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา เพิ่มเติม จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา ครอบคลุม 9 ประเภทกิจการ นั้น ได้แก่ กิจการก่อสร้าง กิจการที่พักแรมบริการด้านอาหาร กิจกรรมศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ กิจกรรมบริการด้านอื่น ๆ สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า สาขาขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ สาขากิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน สาขากิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ และสาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร นั้น

สำหรับความคืบหน้าการเยียวยากลุ่มนายจ้างมาตรา 33 จำนวน 3,000 บาท ต่อลูกจ้างไม่เกิน 200 คน นั้น ขณะนี้มีนายจ้างได้ทยอยยื่นขอรับเงินชดเชยเข้ามาในระบบ e -service โดยในพื้นที่ 13 จังหวัดนั้นมีนายจ้างทั้งหมดประมาณ 180,000 ราย

ทั้งนี้ รมว.แรงงาน ยังได้สั่งการให้สำนักงานประกันสังคม เร่งประชาสัมพันธ์กระตุ้นเตือนไปยังนายจ้างที่ยังไม่ได้ยื่นขอรับค่าชดเชยเยียวยาสามารถยื่นความประสงค์ขอรับเงินได้ที่ ระบบ e – service ของประกันสังคม จากนั้นปริ้นข้อมูลแบบรับการเยียวยาแล้วกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์ม ส่งกลับมาให้ประกันสังคมโดยถ้าเป็นนายจ้างที่เป็นนิติบุคคลต้องแนบเลขบัญชีธนาคารกลับมาด้วย แต่ถ้าเป็นนายจ้างบุคคลธรรมดาให้นายจ้างผูกพร้อมเพย์กับบัตรประชาชนเพื่อประกันสังคมจะได้โอนเงินให้โดยเร็ว


ผู้ประกันตนมาตรา 39 และผู้ประกันตนมาตรา 40 คลิกตรวจสอบสิทธิ์

เช้าวันนี้ ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาล ย้ำว่าผู้ประกันตน ม.39 และ ม.40 ตรวจสิทธิรับเงินเยียวยาได้แล้ว ประกันสังคม เปิดให้ ผู้ประกันตน มาตรา 39 และ มาตรา 40 (29 จังหวัดแดงเข้ม 9 กลุ่มกิจการ) ตรวจสอบสิทธิ รับเงินเยียวยา รายละ 5,000 บาท ได้แล้ว คลิกตรวจสอบสิทธิ์


ทั้งนี้ การสมัครมาตรา 40 ไม่เกี่ยวข้องกับสิทธิรักษาพยาบาลร่วมกับบัตรทอง (สปสช.) รวมทั้งสิทธิประโยชน์สวัสดิการแห่งรัฐต่างๆ แต่อย่างใด และสิทธิที่เคยได้รับยังเหมือนเดิม และมีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย หรือสิทธิประโยชน์กรณีเสียชีวิตจากสำนักงานประกันสังคมเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย ส่วนสิทธิประโยชน์ของมาตรา 40 แต่ละทางเลือกขึ้นอยู่กับทางเลือกที่ผู้ประกันตนสมัคร


 ผู้สื่อข่าวตรวจสอบและรายงานด้วยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 64 เห็นชอบกรอบวงเงิน 33,471 ล้านบาท เยียวยาผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ในพื้นที่ 29 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐตามข้อกำหนดฯ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด โดยช่วยเหลือค่าครองชีพคนละ 5,000 บาท รวมทั้งสิ้น 6,694,201 คน

โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้

1. พื้นที่ดำเนินการ 29 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา ฉะเชิงเทรา ชลบุรี พระนครศรีอยุธยา นครราชสีมา ระยอง ราชบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ลพบุรี เพชรบูรณ์ ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี เพชรบุรี ตาก อ่างทอง นครนายก สมุทรสงคราม และสิงห์บุรี

2. กลุ่มเป้าหมายรวมประมาณ 6,694,201 คน ประกอบด้วย กลุ่มผู้ประกันตนตามมาตรา 39 จำนวน 1,436,171 คน และมาตรา 40 จำนวน 5,258,030 คน

3. คุณสมบัติของกลุ่มเป้าหมาย เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ที่มีสัญชาติไทย สถานะเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ในฐานทะเบียนประกันสังคมที่มีสถานะ A (Active) ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 (พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด) หรือ ณ วันที่ 3 สิงหาคม 2564 (พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 16 จังหวัด) กรณีเป็นผู้สมัครเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ในฐานทะเบียนประกันสังคมที่มีสถานะรอชำระเงิน W (Wait) ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 ทั้งนี้ ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ต้องไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หรือมาตรา 39 และผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ต้องไม่เป็นข้าราชการหรือผู้รับบำนาญของกรมบัญชีกลาง

4. วิธีการจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 จะโอนเงินให้กับผู้ประกันตนผ่านบัญชีพร้อมเพย์ (PromptPay) เฉพาะที่ผูกบัญชีกับเลขประจำตัวประชาชน


ที่มา - รัฐบาลไทย


ครม. ยังให้กระทรวงแรงงาน เร่งตรวจสอบยืนยันตัวตนของผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือตามเป้าหมายเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน รวมทั้งขอให้โอนเงินให้ความช่วยเหลือผู้ประกันตนตาม ม.39 และ ม.40 ที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดใน 10 จังหวัด ก่อนระยะเวลาที่กำหนด ภายในวันที่ 24 สิงหาคม 2564
เนื่องจากเป็นกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ที่มีสถานการณ์การระบาดของโควิด -19 ที่รุนแรงและได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติตามข้อกำหนดฯ ก่อนพื้นที่อื่น ๆ



ตรวจสอบสิทธิ ม.39, ม.40 รับเงินเยียวยา 5,000 บาท

สำนักงานประกันสังคม เปิดให้ตรวจสอบสิทธิ โครงการเยียวยานายจ้าง - ผู้ประกันตน ม.39 และ ม.40 ใน 9 ประเภทกิจการ เพื่อรับเงินเยียวยาจำนวน 5,000 บาท ในพื้นที่สีแดงเข้ม 10 จังหวัดแรก โดยคาดว่าจะโอนเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์ได้ภายในวันที่ 24 ส.ค. 64

ส่วนผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระและสมัคร ม.40 ใน 3 จังหวัด (พระนครศรีอยุธยา ชลบุรี ฉะเชิงเทรา) และ 16 จังหวัดสีแดงเข้ม ( เช่น กาญจนบุรี สมุทรสงคราม สุพรรณบุรี และจังหวัดอื่น ๆ ) จะประกาศวันจ่ายเงินเข้าบัญชีอีกครั้ง
.
วิธีตรวจสอบสิทธิโครงการเยียวยานายจ้าง – ผู้ประกันตนฯ

1. เข้าเว็บไซต์ www.sso.go.th คลิกเลือก "ตรวจสอบสิทธิโครงการเยียวยาฯ (ผู้ประกันตนม.39)", "ตรวจสอบสิทธิโครงการเยียวยาฯ (ผู้ประกันตนม.40)"
2. จากนั้นกรอกเลขบัตรประชาชน 13 หลัก และรหัสตามรูปที่กำหนด
3. กดค้นหา
4. ระบบจะแสดงผลการค้นหา ว่าได้/ ไม่ได้รับสิทธิตามเงื่อนไขโครงการ

สำหรับวิธีการจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ประกันตนทุกมาตรา จะโอนเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์เฉพาะที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชน เพื่อให้ระบบสามารถโอนเงินได้ตามกำหนด

ผู้มีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนประกันสังคม โทร. 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง



วันนี้ กระทรวงแรงงาน แจ้ง ยื่นก่อน ได้ก่อน รับเงินเยียวยานายจ้าง ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ
นายจ้างที่อยู่ในพื้นที่ 13 จังหวัดสีแดงเข้ม และอยู่ใน 9 ประเภทกิจการที่ถูกควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
จะได้รับเงินเยียวยา 3,000 บาทต่อลูกจ้าง 1 คน (สูงสุดไม่เกิน 200 คน)
สำนักงานประกันสังคมจะเริ่มโอนเงินเข้าบัญชี ตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2564 นี้ เป็นต้นไป
นายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐใน 10 จังหวัด 9 ประเภทกิจการ ที่ยังไม่ยื่นขอรับเงินชดเชยเยียวยา ขอให้ท่านดำเนินการยื่นแบบความประสงค์ขอรับเงินโดยด่วน ขั้นตอนคือเข้าระบบ e-service บนเว็บไซต์ www.sso.go.th ของสำนักงานประกันสังคม

กรอกข้อมูลแล้วส่งกลับมาให้สำนักงานประกันสังคมในเขตพื้นที่รับผิดชอบของสถานประกอบการนั้นตั้งอยู่

กรณีนายจ้างที่เป็นนิติบุคคลให้แนบสำเนาบัญชีธนาคารกลับมาด้วย
นายจ้างบุคคลธรรมดาให้ผูกบัญชีพร้อมเพย์เลขบัตรประชาชน เพื่อสำนักงานประกันสังคมจะโอนเงินได้อย่างรวดเร็ว
ที่มา - สำนักงานประกันสังคม 
#2733


ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14.88 จุด หรือ 0.04% ปิดที่ 35,499.85 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 13.13 จุด หรือ 0.30% ปิดที่ 4,460.83 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 51.13 จุด หรือ 0.35% ปิดที่ 14,816.26 จุด

แอ๊ปเปิ้ล อิงค์ ไมโครซอฟต์ อเมซอนดอทคอม อัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล และเฟซบุ๊ค ซึ่งมีมูลค่าตลาดคิดเป็นราวๆ 1 ใน 4 ของเอสแอนด์พี 500 เป็นแกนนำเอสแอนด์พี 500 และแนสแด็ก เคลื่อนไหวในแดนบวก ส่วนดัชนีดาวโจนส์ แกว่งตัวขึ้นมาทุบสถิติสูงสุดในช่วงท้ายของการซื้อขาย


นอกจากนี้ตลาดยังได้แรงหนุนจากความเคลื่อนไหวในแดนบวกของหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง เทสลา อิงค์ เอ็นวิเดีย คอร์ป และโมเดอร์นาอิงค์ แม้หุ้นส่วนใหญ่ในตลาดจะปรับตัวลดลงมากกว่าปรับตัวขึ้นก็ตาม

การซื้อขายยังได้รับอิทธิพลจากการที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 12,000 ราย สู่ระดับ 375,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานยังคงฟื้นตัวแม้มีความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา

ขณะเดียวกัน ดัชนีราคาผู้ผลิต (พีพีไอ) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต พุ่งขึ้น 1% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 0.6%

มื่อเทียบรายปี ดัชนีพีพีไอพุ่งขึ้น 7.8% ในเดือนก.ค. หลังจากที่ขยายตัว 7.3% ในเดือนมิ.ย. แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในปี 2553

ส่วนดัชนีพีพีไอพื้นฐาน ที่ไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ดีดตัวขึ้น 1% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน และพุ่งขึ้น 6.2% เมื่อเทียบรายปี
#2734


ทันทีที่ผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 ตัวเลขพุ่งกระฉูด รัฐประกาศ "ล็อกดาวน์" เต็มรูปแบบในพื้นที่สีแดงเข้ม ส่งผลให้ประชาชนแห่ซื้อสินค้าจำเป็น บะหมี่ฯ น้ำดื่ม น้ำอัดลม สินค้าดูแลสุขอนามัย ยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร ฯ ถูกตุนไว้มากขึ้น ผู้บริโภคหวังลดความถี่ออกนอกบ้าน ช่วยหยุดเชื้อเพื่อชาติ "มาม่า" ย้ำ 3 ส่วน ทำสินค้า "ขาดตลาด" เซเว่นอีเลฟเว่น ข้าวของจำเป็นเกลี้ยงเชลฟ์ "ไลอ้อนฯ" ยันกำลังผลิตเพียงพอ "อ้วยอันโอสถ" ป้อนฟ้าทะลายโจรไม่ทัน "ล็อกซเล่ย์" ชี้น้ำมันพืชแบบขวดขายดีมาก  "น้ำดื่มสิงห์" เร่งกระจายสินค้าให้ทันความต้องการ 

นายพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการสำนักกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด(มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า ฯ เปิดเผยว่า สถานการณ์สินคาอุปโภคบริโภคที่จำเป็นกำลังขาดตลาดเป็นบางช่วงบางเวลาเกิดจาก 3 ปัจจัย 1.ด้านปริมาณการผลิตหรือซัพพลายจากโรงงาน ซึ่งขณะนี้การแพร่ระบาดของโรโควิด-19 ส่งผลให้ในส่วนของผู้ผลิตต้องระมัดระวังการดูแลด้านสุขอนามัยของพนักงานมากขึ้น หากมีพนักงานออกจะไม่รับใหม่เพราะกังวลจะมีผู้ติดเชื้อเข้ามา 

นอกจากนี้ หากรับคนเข้าทำงานจะต้องตรวจหาเชื้อโควิดและใช้เวลา 7 วัน เพื่อรอผลที่ชัดเจน หรือหากโรงงานใดพบญาติมีการติดเชื้อไวรัสจะแจ้งให้พนักงานหยุดงานทันที ปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อการผลิตสินค้า ทำให้ไม่สามารถใช้กำลังการผลิตได้ 100% 

2.ด้านความต้องการของผู้บริโภคหรือดีมานด์ ต้องยอมรับว่าหลังจากรัฐประกาศมาตรการล็อกดาวน์เต็มรูปแบบ ทำให้การซื้อสินค้ามีปริมาณมากขึ้น แต่ไม่ใช่การตื่นตระหนกซื้อเหมือนการล็อกดาวน์ในครั้งแรกเมื่อปี 2563 ขณะเดียวกันตัวเลขผู้ติดเชื้อที่สูง ทำให้ประชาชนซื้อสินค้าไว้ตุนไว้ เพื่อลดความเสี่ยง ความถี่ในการออกจากบ้าน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด 

อย่างไรก็ตาม เมื่อสินค้าบางรายการ บางแบรนด์หายไปจากชั้นวางหรือเชลฟ์ เป็นปกติที่พฤติกรรมผู้บริโภคจะหันไปซื้ออีกแบรนด์ 


นอกจากนี้ ความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้น ยังเกิดจากทุกภาคส่วนมีการซื้อสินค้าจำเป็นพื่อบริจาคให้กับผู้ป่วย หรือศูนย์ผู้ป่วย พักคอย หน่วยงานต่างๆมากขึ้น ซึ่งแต่ละครั้งเป็นการซื้อสินค้าในปริมาณค่อนข้างมาก เป็นต้น  

"ภาวะสินค้าขาดตลาดครั้งนี้ โรงงานผู้ผลิตมีการระมัดระวังด้านสุขอนามัยของพนักงานมากขึ้น จึงอาจส่งผลต่อการผลิต มีการผลิตน้อยลงบ้าง เช่น บริษัทที่ผ่านมาโรงงานบะหมี่ฯเส้นขาว ที่อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี หยุดการผลิตไปราว 2 สัปดาห์ กระทบกำลังการผลิตบะหมี่หึ่งสำเร็จรูปโดยรวมหายไป 2.5% เท่านั้น เพราะเส้นขาวคิดเป็นสัดส่วน 10% ของกำลังการผลิตทั้งหมด แต่บะหมี่ฯเส้นเหลืองมาม่าไม่หยุดผลิต"  

ส่วนที่ 3 ด้านการขนส่งและกระจายสินค้า มีการสะดุดไปบ้าง เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัส แต่ไม่ถึงกับเกิดภาวะ "ช็อต" ทั้งนี้ หากสินค้าผลิตและส่งจากโรงงานจะมีการเติมไปยังร้านค้าต่างๆตลอดเวลา หากวันรุ่งขึ้นไม่มีการเติมสินค้า นั่นเกิดจากโรงงานผลิตได้รับกระทบ อย่างไรก็ตาม บริษัทไทยเพรซิเดนท์ฯ มีการส่งบะหมี่ฯ ไปยังศูนย์กระจายสินค้าของพันธมิตรห้างค้าปลีกต่างๆ จากนั้นทางห้างจะเป็นผู้กระจายไปยังสาขาต่างๆเอง 


อย่างไรก็ตาม การเติมสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค และเข้าสู่ภาวะปกติ อาจใช้เวลาอีกระยะ หรือราวเดือนกันยายนนี้ ดังนั้น สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องระวังคือกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ชะลอตัวลง จะส่งผลปรมาณการสต๊อก และกำลังผลิตสินค้าอีกระลอก

"ยืนยันว่าการขาดแคลนสินค้าบนเชลฟ์ไม่ได้เกิดจากความตระหนกซื้อ และไม่เหมือนกับเหตุการณ์น้ำท่วม และคาดว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติเดือนหน้า" 

นายธิติพร ธรรมาภิมุขกุล หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มการตลาดแบรนด์ บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า ในส่วนการผลิตน้ำดื่มสิงห์ ขณะนี้ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด บริษัทยังคงใช้กำลังการผลิตได้ตามปกติ สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค แต่ในด้านการกระจายสินค้า อาจจะไม่สามารถดำเนินการได้ทันเวล่า เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส  

  

นายบุญฤทธิ์ มหามนตรี ประธานกรรมการ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทยังมีกำลังการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค เช่น กำลังการผลิตเหลือ 20% หรือ30% บ้าง ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า  แต่ยอมรับว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ทำให้ร้านค้าต่างๆ โดยฉพาะในต่างจังหวัด งดให้ตัวแทนจำหน่ายหรือเซลล์เข้าพบ เพื่อป้องกันและดูแลด้านสุขอนามัย 

ทั้งนี้ หากร้านค้าประสบภาวะขาดแคลนสินค้า สามารถติดต่อมายังบริษัทไลอ้อน หรือลบริษัท สหพัฒนพิบูลโดยตรง เพื่อประสานการแก้ปัญหาได้ตรงความต้องการมากขึ้น เช่น บริษัทจะติดต่อซัพพลายเออร์ หรือร้านค้าใกล้เคียงเพื่อป้อนสินค้าให้ ส่วนผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ได้

"เรายืนยันสินค้าดูแลสุขอนามัย และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่างๆไม่ขาดตลาด ผู้บริโภคไม่ต้องตกใจ และบริษัทยังมีกำลังการผลิตเพียงพอต่อความต้องการ"  

นายสุรช ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้ผู้บริโภคอยู่บ้านมากขึ้น  มีการทำกับข้าวเพื่อรับประทานเอง ส่งผลให้ยอดขายน้ำมันพืชแบบขวดขายดีมาก อย่างบริษัทเป็นผู้จัดจำหน่ายและกระจายน้ำมันพืชกุ๊ก พบว่ายอดขาย 6 เดือน มีอัตราการเติบโตเกือบ 100% รวมถึงสินค้ากะปิ น้ำปลา ผงปรุงรส ยอดขายเติบโตเช่นกัน  

นายชนรรค์ สมบูรณ์เวชชการ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อ้วยอันโอสถ จำกัด กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์สมุนไพร โดยเฉพาะที่ผลิตจากกระชาย ฟ้าทะลายโจรฯ มีการขาดตลาดอย่างมาก เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคมีสูง ซึ่งบริษัทส่งสินค้าป้อนร้านขายยา 7,000-8,000 แห่งทั่วประเทศ ได้รับคำสั่งซื้อหรือออเดอร์เข้ามาจำนวนมาก แต่การส่งผลิตภัณฑ์ยังค้างอยู่หลักแสนรายการ 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ห้างค้าปลีกประเภทร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น จะพบสินค้าขาดตลาดค่อนข้างมาก ส่วนห้างค้าปลีกสมัยใหม่ เช่น เทสโก้ โลตัส ยังพบการขาดตลาดน้อย มีเพียงบางหมวดเท่านั้นที่หายจากเชลฟ์ ส่วนร้านขายยา นอกจากฟ้าทะลายโจรขาดตลาด น้ำยาอุทัยทิพย์ แอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือ ขาดตลาดเช่นกัน
#2735


แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของโครงการเราชนะในส่วนของกรอบวงเงินในโครงการจากเดิมที่ได้รับจัดสรรวงเงินประมาณ 2.8 แสนล้านบาท ปรับลดลงเหลือ 2.73 แสนล้านบาท โดยปรับลดลงประมาณ 6.76 พันล้านบาท

ทั้งนี้วงเงินที่ปรับลดลงเหลือ 2.73 แสนล้านบาทดังกล่าวได้รวมวงเงินที่อยู่ระหว่างดำเนินการระงับสิทธิ์ชั่วคราวของผู้ประกอบการที่กระทำการเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการเราชนะวงเงินประมาณ1.42 หมื่นล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงของผู้ประกอบการและประชาชนที่กระทำการเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯซึ่งหกาตรวจสอบแล้วไม่พบการทุจริตจะดำเนินการยกเลิกการระงับสิทธิ์แอปพลิเคชั่น "ถุงเงิน"และจ่ายเงินให้กับร้านค้าต่อไป


สำหรับผลการดำเนินงานของโครงการเราชนะกระทรวงการคลังได้รายงานให้ที่ประชุม ครม.รับทราบว่า ณ วันที่ 30 มิ.ย.2564 มีผู้ได้รับสิทธิ์ตามโครงการฯจำนวนทั้งสิ้นกว่า 33.22 ล้านคน แบ่งเป็นกลุ่มผู้มีบัตรสัสดิการแห่งรัฐจำนวน 13.6 ล้านคน กลุ่มผู้มีแอพพลิเคชั่นเป๋าตังค์จำนวน 8.3 ล้านคน

กลุ่มผู้ลงทะเบียนฯจำนวน 8.71 ล้านคน และกลุ่มต้องการความช่วยเหลือ จำนวน 2.4 ล้านคน โดยมีผู้ได้รับสิทธิ์ตามโครงการฯที่ใช้จ่ายจนครบวงเงินสิทธิ์จำนวนกว่า 2.72 แสนล้านบาท โดยในจำนวนนี้รวมวงเงินที่ต้องมีการดำเนินการโอนเงินซ้ำให้แก่ผู้ประกอบการที่โอนเงินไม่สำเร็จจำนวน 645,533.77 บาท

กระทรวงการคลังโดย สศค. ได้มีการกำหนดแนวทางเพื่อควบคุมและป้องกันการกระทำผิดวัตถุประสงค์ของโครงการฯ อย่างเข้มงวด โดยได้มีการจัดตั้งคณะทำงานพิจารณาตรวจสอบข้อมูลและเรื่องร้องเรียนสำหรับโครงการเราชนะ โดยคณะทำงานฯ ในการติดตามตรวจสอบผู้ประกอบการและประชาชนที่กระทำการเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ อย่างต่อเนื่องในกรณีที่ตรวจพบธุรกรรมที่มีความผิดปกติและเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯ เช่น การรับ แลกวงเงินสิทธิ์เป็นเงินสด เป็นต้น จะดำเนินการระงับสิทธิ์ชั่วคราวการเข้าร่วมโครงการฯ และร่วมมือกับ หน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและขยายผลการสืบสวนสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป 

โดยปัจจุบันกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบผู้ประกอบการที่มีธุรกรรมผิดปกติและเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯจำนวน 3,000 ราย โดยมีวงเงินการระงับสิทธิ์ชั่วคราวของผู้ประกอบการที่กระทำการเข้าข่ายผิดหบักเกณฑ์และเงื่อนไขอยู่ประมาณ 1.42 หมื่นล้านบาท
#2736


เมื่อวันที่ 11 ส.ค.64 ติดตามความคืบหน้า ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ประกาศผ่าน เฟซบุ๊ก ศูนย์ข้อมูลราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ แจ้งว่า เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2564

ขอเชิญคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป ลงทะเบียนเข้ารับวัคซีนซิโนฟาร์ม โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 12-16 สิงหาคม 2564 ผ่านทาง LINE Official รพ.จุฬาภรณ์ >> https://bit.ly/MomForm

ทั้งนี้ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จะส่งข้อความ SMS ถึงคุณแม่ที่ลงทะเบียนเข้ามาทุกท่านให้เข้ามาดำเนินการทำแบบคัดกรองและใบยินยอม และนัดหมายการเข้ารับวัคซีนต่อไป

คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องมีอายุครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป
เข้ารับบริการที่ศูนย์ฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) อาคาร 9 (ทีโอทีเดิม) ถนนแจ้งวัฒนะ เท่านั้น
ในวันฉีดวัคซีนกรุณานำเอกสารการฝากครรภ์ และบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อแสดงเป็นหลักฐานในการเข้ารับบริการฉีดวัคซีน
#2737


ราคาทองฟิวเจอร์ ปิดวันพุธ(11ส.ค.)ปรับตัวขึ้น 21.60 ดอลลาร์ ขานรับตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐที่ชะลอตัว ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
นอกจากนี้ ราคาทองยังได้ปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ หลังการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ


สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ส่งมอบเดือนธ.ค. บวก 21.60 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,753.30 ดอลลาร์/ออนซ์

ทั้งนี้ ดอลลาร์ที่อ่อนค่าจะเพิ่มความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดยระบุว่า ดัชนีซีพีไอ ปรับตัวขึ้น 0.5% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากดีดตัวขึ้น 0.9% ในเดือนมิ.ย.

เมื่อเทียบรายปี ดัชนีซีพีไอพุ่งขึ้น 5.4% ในเดือนก.ค. ใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.3% หลังจากทะยานขึ้น 5.4% เช่นกันในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2551

'
นอกจากนี้ หากไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ดัชนีซีพีไอพื้นฐานปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.4% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนมิ.ย.

เมื่อเทียบรายปี ดัชนีซีพีไอพื้นฐานดีดตัวขึ้น 4.3% ในเดือนก.ค. หลังจากพุ่งขึ้น 4.5% ในเดือนมิ.ย.

นักลงทุนจับตาการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค. โดยคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินคิวอีในการประชุมดังกล่าว

'บิตคอยน์'ปรับตัวขึ้นเคลื่อนไหวที่ 45,000 ดอลล์

ราคาบิตคอยน์เทรดที่เว็บไซต์คอยน์เดสก์ เมื่อเวลา 05.55 น.ของวันนี้ (12 ส.ค.)ปรับตัวขึ้น 0.38% เคลื่อนไหวที่ 45,688.24 ดอลลาร์
#2738


ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากเดิมที่ประเมินว่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ของดีเวลลอปเปอร์มากขึ้นในครึ่งปีหลัง 2564 แม้แต่ "ศุภาลัย" ก็ได้มีการปรับแผนการเปิดตัวจากไตรมาส 3 ขยับไปไตรมาส 4 หรือ ปี 2565 หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น

ฉะนั้น คาดว่า ปี 2564 การเปิดตัวโครงการใหม่ในกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล ลดลงกว่าปี 2563 แต่ไม่ได้หมายความว่ายอดขายจะไม่ดี เพราะแม้ยอดเปิดตัวโครงการครึ่งปีแรกลดลง แต่พบว่าโครงการแนวราบยังไปได้ทำให้ยอดขายยังดีอยู่

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ปัญหาหลักนอกเหนือจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 พบว่า "เทรนด์การปล่อยสินเชื่อของธนาคาร" ยังมีสัญญาณที่ไม่ดีนัก บางธนาคารเริ่มเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปสรรคหลักของการทำตลาดอสังหาฯ ไม่นับรวมกับการที่ธนาคารปล่อยสินเชื่อโครงการยากขึ้น! ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาทำให้การเปิดตัวโครงการลดลง

ขณะเดียวกัน ต้องรอดูว่า "งานก่อสร้าง" จะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้มากน้อยแค่ไหน? เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการปิดแคมป์ก่อสร้าง 30 วันก่อนหน้านี้ ทำให้การก่อสร้างหยุดชะงัก แรงงานกระจายตัวออกต่างจังหวัด แม้จะอนุญาตเปิดแคมป์แต่แรงงานยังไม่กลับมา 100% ต้องใช้เวลา! ทำให้ดีเวลลอปเปอร์ต้องปรับตัวช่วงครึ่งปีหลัง แต่ "ศุภาลัย" โชคดี!! ที่การโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมอยู่ช่วงกลางปี การปิดแคมป์ 1 เดือน จึงสามารถกลับมาได้ทันเวลา เมื่อเทียบกับดีเวลลอเปอร์ที่มีกำหนดการโอนกรรมสิทธิ์ปลายปี มีโอกาสที่ต้องขยับไปโอนข้ามปี

ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ บริษัทยังคงแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่อง ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม รวม 22 โครงการ มูลค่า 24,820 ล้านบาท เป็นแนวราบ 18 โครงการ คอนโดมิเนียม 4 โครงการ ผลักดันการเติบโตทางด้านรายได้และกำไรได้ต่อเนื่องตามเป้าหมาย 28,000 ล้านบาท

โดยที่ "ศุภาลัย" ได้เตรียมความพร้อมทางต้นทุนทางการเงิน การบริหารความเสี่ยง เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยภายนอกตลอดเวลา


สำหรับสถานการณ์การฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ นั้น ขึ้นอยู่สถานการณ์การติดเชื้อ และมาตรการ "ล็อกดาวน์" มีผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค และกำลังซื้อลูกค้าที่ชะลอตัว

ในฐานะดีเวลลอปเปอร์ต้องปรับตัวด้วยการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้า โดยมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ และเพิ่มช่องทางการตลาดในรูปแบบ "เวอร์ชวล" รับชมโครงการเสมือนจริง และออนไลน์บุ๊กกิ้ง เพื่อเพิ่มความสะดวก ปลอดภัย รวมถึง "Supalai Private Tours" เป็นการสื่อสารและชมโครงการได้ทุกที่ทุกเวลา เพื่อลดการสัมผัสให้เหมาะสมกับวิกฤติโควิด!

นอกจากนี้ มุ่งเน้นการสื่อสารการตลาดรูปแบบใหม่ร่วมกับพันธมิตรธุรกิจ ทั้งทรู เฮลท์ จาก ทรู ดิจิทัล สามารถพบหมอออนไลน์ หรือบริษัท ซีเนริโอ จำกัด ในการผลิตซีรีส์ แนะนำโครงการ ร่วมกับ "บ้านและสวน" แชร์ไอเดียใหม่ ๆ สำหรับลูกค้าที่จะนำไปตกแต่งสวนสวยงามให้ที่อยู่อาศัย

สำหรับ ผลประกอบการครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มียอดขาย 13,005 ล้านบาท เติบโต 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นสัดส่วน 50% ของเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งไว้ 27,000 ล้านบาท การเติบโตในครึ่งปีแรกมาจากการขายโครงการแนวราบเป็นหลัก มีมูลค่า 10,080 ล้านบาท เติบโต 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อีก 2,925 ล้านบาท เป็นยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งลดลง 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่

ในครึ่งปีแรกบริษัทเปิดตัว 9 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 9,000 ล้านบาท เป็น "แนวราบ" ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวโครงการใหม่ปี 2564 ยึดแผนเดิมที่จำนวน 31 โครงการ มูลค่ารวม 34,000 ล้านบาท! ซึ่ง 22 โครงการใหม่ในครึ่งปีหลัง ทยอยเปิดช่วงไตรมาส 3 เป็นแนวราบทั้งหมด 7 โครงการ และไตรมาส 4 เปิดตัวแนวราบอีก 11 โครงการ คอนโดมิเนียม 4 โครงการ
#2739


นายสมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM Drama-Addict เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2 (เม.ย.-มิ.ย.) ปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 201 ล้านบาท ทั้งนี้กำไรของบริษัทยังคงได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงมากขึ้นกว่าระลอกที่ผ่านมา โดยในไตรมาสนี้รายได้จากการดำเนินงานจำนวน2,403 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 86 ล้านบาท หรือ 3.5% แต่ด้วยการบริหารจัดการด้านต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวดทำให้กำไรสุทธิเพิ่มจากปีก่อน 49 ล้านบาท หรือ 32.2%

โดยบริษัท มีรายได้จากค่าผ่านทาง ลดลง 103 ล้านบาท รายได้จากค่าโดยสารและรับจ้างเดินรถ ลดลง 15 ล้านบาทขณะที่มีรายได้พัฒนาเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้น 32 ล้านบาท

สำหรับผลดำเนินงานรอบ 6 เดือน (ม.ค.-มิ.ย.)2564 บริษัท มีกำไรสุทธิในส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้น จำนวน 506 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน จำนวน 154 ล้านบาท หรือ 23.3% จากผลกระทบการแพร่ระบาด ของโควิด-19 ทำให้ปริมาณจราจรและปริมาณผู้โดยสารลดลง

ภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบาก BEM ยังคงดูแลผู้โดยสารและผู้ใช้บริการทางพิเศษให้ได้รับความสะดวก ปลอดภัย ตลอดการเดินทาง ทั้งนี้ บริษัทเชื่อมั่นว่าปริมาณผู้โดยสารและปริมาณจราจรจะฟื้นตัวกลับมาเร็ว เมื่อแนวโน้มการระบาดลดลง และอัตราการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้น
#2740


ไปรู้จักกับ 5 ดารา-นักร้อง "คุณแม่หน้าเด็ก" ที่แม้อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย แต่ในหน้านั้นดูละอ่อนเด็กกว่าวัยมาก ที่สำคัญยังสวยไม่สร่าง

12 สิงหาคมของทุกปี เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และ "วันแม่แห่งชาติ"

และเนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติปีนี้ (พ.ศ.2564) เราจะพาไปดู 5 ดารา-นักร้อง เหล่าบรรดาคุณแม่วัยเก๋าในวงการบันเทิงแต่หน้าเด็ก ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดี

ดารา-นักร้องที่คัดสรรมา 5 คนนี้ แต่ละคนนอกจากจะสวย เก่ง มากความสามารถแล้ว ยังเป็นพวกคุณแม่วัยเก๋าที่แม้อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย แต่ในหน้านั้นดูละอ่อนเด็กกว่าวัยมาก ที่สำคัญคือยังสวยไม่สร่างชนิดที่สาวรุ่น ๆ เห็นแล้วอดอิจฉาไม่ได้

นอกจากนี้ปัจจุบันลูก ๆ ของเธอ ก็เป็นขวัญใจใครหลาย ๆ คน จนเหล่าบรรดาแฟนคลับขอสมัครมาเป็นลูกเขย ลูกสะใภ้ จนหัวกระไดบ้านไม่แห้ง เรียกว่าออร่าซุปตาร์จับกันทุกคน แต่จะมีใครบ้างไปดูกันเลย

1.ปิ่น เก็จมณี


ประเดิมกับคุณแม่หน้าเด็กคนแรก "ปิ่น เก็จมณี" กับอายุ 47 ปีบริบูรณ์ ที่วันนี้เป็นคุณแม่คนสวยสุดแซ่บ ของ 3 เจ้าสุดหล่อ เจ้านาย เจ้าขุน และเจ้าสมุทร ที่เป็นขวัญใจของเหล่าบรรดาสาวเล็ก สาวใหญ่ทั่วบ้านทั่วเมือง จนทำให้คุณแม่ปิ่นขึ้นแท่นดีกรีเป็นคุณแม่สามีแห่งชาติหมายเลข 1 ไปแล้ว

2.แอน สิเรียม


"แอน - สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์" ในวัย 50 ปี นางเอกหน้าเด็กตลอดกาล เหมือนสต๊าฟเวลาไว้ เพราะไม่ว่ากี่ปีผ่านไป เลขอายุกลับทำอะไรเธอไม่ได้เลย

สำหรับคุณแม่แอนไม่บอกไม่รู้ว่าเธอเป็นคุณแม่ ลูก 1 ถ้าพูดถึงความสวย เรียกว่าเชื้อไม่ทิ้งแถวจริง ๆ กับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน น้องนนนี่ นนลนีย์ ชนิดที่เวลาถ่ายรูปแม่-ลูกคู่กัน นอกจากจะดูสวยแพ็คคู่แล้ว ยังดูเหมือนพี่สาวกับน้องสาวมากกว่า

3.หมู พิมพ์ผกา

"หมู-พิมพ์ผกา เสียงสมบูรณ์" คุณแม่คนเก่ง สุดสตรอง ในวัย 51 ปี ที่หน้ายังสวยเหมือนเดิมเป๊ะ จนหลายคนยกให้แม่ เป็นไอดอล ขวัญใจคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว แถมลูกชายสุดหล่ออย่าง นาย ณภัทร ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด จนสาว ๆ พากันอิจฉาอยากมาสมัครเป็นลูกสะใภ้กันเป็นแถว ส่วนเรื่องความเก่ง ไม่ต้องพูดถึงได้แม่มาเต็ม ๆ

4.นิโคล เทเรโอ


"นิโคล เทเรโอ" ยังคงดูเด็กไม่เปลี่ยนไปเลยจริง ๆ นับตั้งแต่เริ่มเข้าวงการ มาจนถึงตอนนี้ก็จะมีอายุ 49 ปีเต็มแล้ว

นิโคล เทเรโอเป็นคุณแม่ลูก 1 แต่ก็ เหมือนเพิ่งจะผ่านมาเพียงไม่กี่ปียังไงยังงั้น นั่นก็เพราะว่าปัจจุบันรูปร่างหน้าตาของเธอยังสวย และเด็กเว่อร์ เรียกได้ว่าแทบจะไม่แตกต่างกับตอนที่เพิ่งเข้าวงการใหม่ ๆ เลยทีเดียว มาพร้อมกับลูกชายน้อง น้องทิกเกอร์ หล่อเข้ม ร้องเพลงเพราะ แถมความสามารถรอบด้านจริง ๆ

5.มาช่า วัฒนพานิช


ปิดท้ายด้วย "มาช่า วัฒนพานิช" คุณแม่คนนี้จัดเป็นพวกสวยอมตะ เพราะอายุปาเข้าไป 50 แล้ว แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรมาบั่นทอนความสวยของแม่ได้ แถมยังมีหนุ่มหล่ออย่าง "กาย นวพล" ที่อากาศว่าร้อนแล้ว ยัง Hot สู้ลูกชายแม่ไม่ได้เลย