• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Panitsupa

#2881

 
วันนี้(14 ส.ค. 2564)​ นางสาวลัดดา แซ่ลี้ โฆษกสำนักงานประกันสังคม เปิดเผยถึงสิทธิประโยชน์และเงินทดแทนการขาดรายได้ จากกองทุนประกันสังคมในกรณีป่วยโควิด-19 แยกกักตัวที่บ้าน Home Isolation ว่า สำนักงานประกันสังคมจะจ่ายบริการทางการแพทย์แก่สถานพยาบาลและแพทย์ผู้ดูแลรักษาพิจารณาแล้วว่าผู้ป่วยเข้าเกณฑ์การดูแลรักษาในที่พักระหว่างรอเข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยในโรงพยาบาล โดยใช้หลักเกณฑ์การจ่ายประเภทผู้ป่วยใน ตามประกาศคณะกรรมการการแพทย์


นอกจากนี้เมื่อผู้ประกันตนกรณีโรคโควิด-19 สามารถขอใบรับรองแพทย์จากสถานพยาบาลที่รับผิดชอบการรักษาได้ หรือบันทึกภาพหน้าจอจาก Application Line หรือโปรแกรมอื่นใด ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกับสถานพยาบาลที่รับการรักษาผู้ประกันตนในสถานที่กักตัว หรือสถานที่ดูแลรักษา และสำเนาเวชระเบียนที่ได้จากการบันทึกหน้าจอจาก Application Line หรือโปรแกรมอื่นๆ โดยมีรายละเอียดระบุวันที่เริ่มรักษา จนสิ้นสุดการรักษา รวมไปถึงการให้หยุดพักรักษาตัวต่อ เพื่อใช้ประกอบการเบิกเงินค่าทดแทนการขาดรายได้จากสำนักงานประกันสังคม

โฆษก สปส. กล่าวด้วยว่า สำหรับเงื่อนไขการเบิกค่าทดแทนการขาดรายได้นั้น ผู้ประกันตนต้องมีการนำส่งเงินสมทบ 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนใช้สิทธิ และพิจารณาตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน คือกรณีผู้ประกันตนลาป่วย 30 วันแรกรับค่าจ้างจากนายจ้าง หากมีความจำเป็นต้องหยุดพักรักษาตัวนานเกินกว่า 30 วัน ผู้ประกันตนสามารถเบิกสิทธิประโยชน์กรณีขาดรายได้จากสำนักงานประกันสังคมได้ ตั้งแต่วันที่ 31 ของการลาป่วยเป็นต้นไป ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้าง (จ่ายครั้งละไม่เกิน 90 วัน 1 ปีปฏิทิน แต่ไม่เกิน 180 วัน) ทั้งนี้ ผู้ประกันตนสามารถยื่นเบิกขาดรายได้ภายใน 2 ปี เมื่อรักษาหายจากอาการเจ็บป่วยแล้ว ให้ติดต่อขอรับประโยชน์ทดแทนได้ที่สำนักงานประกันสังคมได้ทุกแห่งทั่วประเทศตามที่ท่านสะดวก สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อสายด่วน 1506 ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
#2882


"กรุงเทพธุรกิจ" สัมภาษณ์พิเศษ "ปกาสิต วัฒนา" กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบรนเนอร์จี้ จำกัด บริษัทที่ขับเคลื่อนด้วย "กลุ่มคนรุ่นใหม่" ที่เข้าใจและก้าวไปกับการเปลี่ยนแปลงของโลกเน้นคิด และดีไซน์ดิจิทัลโซลูชั่น เป็นบริษัทในเครือ เบญจจินดา โฮลดิ้ง

เบรนเนอร์จี้ (Brainergy) เป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วย "กลุ่มคนรุ่นใหม่" ที่เข้าใจและก้าวไปกับการเปลี่ยนแปลงของโลกเน้นคิด และดีไซน์ดิจิทัลโซลูชั่น ตอบโจทย์กลุ่มธุรกิจตั้งแต่ขนาดใหญ่จนถึงเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ เป็นบริษัทในเครือของบิ๊กคอร์ปชั้นนำของไทย ที่มีผลงานและชื่อเสียงเป็นที่ประจักษ์ในแวดวงธุรกิจมาอย่างยาวนานอย่าง "กลุ่มบริษัทเบญจจินดา โฮลดิ้ง จำกัด" 

นั่นทำให้ เบรนเนอร์จี้ มีโอกาสทำงานกับกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก ทำให้มีความเข้าใจภาพรวมของธุรกิจ และสามารถตอบโจทย์ได้หลายประเภทและหลายขนาดองค์กร เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้เกิดการพัฒนาโซลูชั่นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง

 โดยเฉพาะห้วงวิกฤติและความท้าทายใหม่ ที่ธุรกิจต้อง "รอด" และมีหนทางเดินไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน การทรานส์ฟอร์มไปสู่สิ่งที่ดีกว่า มีนวัตกรรมเป็นหัวใจหลักจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจที่สุด "ดิจิทัล โซลูชั่น" เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะกรุยทางให้ทุกธุรกิจมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ 

"กรุงเทพธุรกิจ" สัมภาษณ์พิเศษ "ปกาสิต วัฒนา" กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบรนเนอร์จี้ จำกัด หัวเรือใหญ่คนรุ่นใหม่ไฟแรง ที่พร้อมดัน 3 ดิจิทัลโซลูชั่นหลัก SmartTAX  SmartFLOW และ SmartSIGN ช่วยทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่ดิจิทัลในชั่วข้ามคืน พร้อมเป้ารายได้ 100 ล้านบาท ท่ามกลางวิกฤติรอบด้าน

ปลุกดิจิทัลทรานส์ฟอร์ม-วางเป้า100ล.

"ดิจิทัล โซลูชั่น ของเบรนเนอร์จี้ ถูกพัฒนาขึ้นด้วยความมุ่งหวังให้ช่วยแก้ไข Pain Point ที่หลายองค์กรพบเจอให้หมดไป ไม่ว่าเป็นเรื่องการจัดการเอกสารที่มีความวุ่นวาย การทำข้อมูลภาษีที่มีความยุ่งยาก การลดขั้นตอนการทำงานที่มีความซ้ำซ้อน หรือ การลดสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้การดำเนินการต่างๆ ในองค์กรเกิดความล่าช้า"

ปกาสิต บอกว่า เบรนเนอร์จี้ เน้นมาตรฐานการให้บริการที่ตอบโจทย์ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นแบบองค์กรขนาดใหญ่ นำองค์ความรู้ที่แตกต่างแต่ละสายธุรกิจ และความต้องการพื้นฐานที่เหมือนกันทุกธุรกิจมาประยุกต์ใช้เข้าด้วยกัน เพื่อลดจุดด้อยและเสริมจุดแข็งพัฒนาเป็นโซลูชั่น 

ขณะที่ ห้วงเวลาที่ทุกองค์กรเผชิญวิกฤติ เขายอมรับว่า เครือเบญจจินดาเป็นอีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติที่ทุกคนเจอ ซึ่งทุกองค์กรล้วนได้รับผลกระทบมากน้อยที่ต่างกันไป  

"สำหรับเบรนเนอร์จี้ ผ่านเหตุการณ์มาตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปีนี้ เราต้องเรียนรู้ และสร้างโปรดักส์ ปีนี้เป้าหมายเราหวังไปแตะ 100 ล้าน แต่วันนี้จุดที่เรายืนอยู่ ยังเจอความท้าทาย ลูกค้าชะลอโปรเจคออกไป แต่ยังโชคดีที่มีลูกค้าหลายรายมากกว่า 10 โปรเจค ยังมองว่าการเกิดโควิดเป็นตัวกระตุ้นให้เขาต้องรีบทรานส์ฟอร์ม"



ปกาสิต ขยายความว่า เป้า 100 ล้านบาท หลักๆ มาจากกลุ่มลูกค้าเก่าที่เคย on board ไว้แล้ว และยังทำต่อในส่วนของเฟสถัดไป ซึ่งเบรนเนอร์จี้ พยายามสนับสนุนลูกค้าในทุกส่วนท่ามกลางวิกฤติ ให้ลูกค้าสามารถใช้งานดิจิทัลโซลูชั่นตอบโจทย์การทำงานในยุคนี้ได้จริง 

"ยอมรับว่าวันนี้กลุ่มลูกค้า มีทั้งต้องหยุดการทรานส์ฟอร์มเอาไว้ก่อน เพราะต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยเหตุผลวิกฤติ ต้องหยุดหรือปิดหน้าร้าน ธุรกิจดำเนินต่อไม่ได้ ขณะที่อีกกลุ่มที่เป็นกลุ่มพวกซัพพลาย กลุ่มนี้เป็นกลุ่มต้องการนำดิจิทัลโซลูชั่นเข้าไปใช้ และมองหาว่าอะไรที่ทำแล้วทำให้เขา Quick win ได้" 

ชู 3 ดิจิทัลโซลูชั่นบุกองค์กรทุกระดับ 

ปกาสิต มองว่า ทั้ง 3 ดิจิทัลโซลูชั่นหลัก ที่เป็นจะเป็นเรือธงของเบรนเนอร์จี้นับจากนี้ จะตอบโจทย์การทำงานในองค์กรต่างๆ ยุคนี้ได้ดี และช่วยลดต้นทุน ไม่ว่าจะเป็น โซลูชั่น SmartTAX ระบบจัดทำและนำส่งข้อมูลภาษีอิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรฐานที่กรมสรรพากรกำหนด SmartFLOW ระบบการจัดการและขออนุมัติเอกสารออนไลน์ และ SmartSIGN ระบบลงลายมือชื่อดิจิทัล ซึ่งทั้ง 3 โซลูชั่นยังเป็นไปตามกฏหมายด้านธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด 

"กลุ่มลูกค้าหลักของเรา มีทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม รีเทล ประกันภัย ธนาคาร พลังงาน และเร็วๆ นี้จะเข้าไปมากขึ้นในกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอี ซึ่งเรามองว่า เขามีศักยภาพในแง่ของการพัฒนาโปรดักส์ แต่จะดีมากหากมีระบบหลังบ้านที่ดี ธุรกิจจะเดินไปเร็วขึ้นตรงนี้เป็นโรดแมพของเรา"

มอง"คลาวด์"โตสะพัด3หมื่นล. 

ปกาสิต ยังมองเทรนด์ของการใช้คลาวด์ในยุคนี้ด้วยว่า ถือเป็นอินฟราฯ สำคัญของดิจิทัลโซลูชั่นต่างๆ ว่ายังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในไทยน่าจะมีเม็ดเงินมากกว่า 30,000 ล้านบาท และมองว่าวิกฤติจะเป็นตัวเร่งให้เกิดการใช้คลาวด์เพิ่มมากขึ้นอย่างมหาศาลในภาคธุรกิจ 

"เราจะพบว่าการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยทำงานในองค์กร ทั้งรวดเร็ว สะดวก ปลอดภัย รวมถึงการ save cost และช่วยตอบโจทย์ pain point ทั้งในเรื่อง Process การทำงานรูปแบบเดิมและการทำงานในสถานการณ์โควิดแล้ว ในอนาคต หลังจากนี้ หากมีการเร่งให้เกิดดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น ได้ทุกภาคส่วน ก็น่าจะเกิด การทำงานที่คล่องตัวและฉับไว้ได้มากยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชน-รัฐ เอกชน-เอกชน หรือรัฐ-รัฐ เพราะข้อมูลทุกอย่างจะถูกคุยกันบนแพลตฟอร์มดิจิทัล"

ขณะเดียวกัน เขาย้ำว่า สิ่งหนึ่งที่เบรนเนอร์จี้พยายามทำ คือ การดีไซน์โซลูชั่นที่จะเน้นการดีไซน์บายลอว์ ไม่ได้เน้นดีไซน์บายแพชชั่น ซึ่งอาจต่างจากสตาร์ทอัพ หรือบริษัทรายอื่น คือ มีแพชชั่นมาแล้วคิดว่าอยากจะทำ 

"เรามองว่าถ้าเราจะเสิร์ฟ และโฟกัสในส่วนของ document management ต่างๆ มันต้องปฏิบัติตามกฏหมาย ซึ่งไม่ใช่แต่กฏหมายในไทยแต่ต้องมองไปถึงกฏหมายในต่างประเทศด้วย" 
#2883
    3 ประโยชน์ของอะคริลิค คุณสมบัติที่น่าสนใจกับการใช้งาน สำหรับการใช้งานเกี่ยวกับ ประโยชน์ของอะคริลิค ในปัจจุบัน บอกเลยว่าเป็นสิ่งที่มีคุณสมบัติในการนำไปใช้งานได้อย่างหลากหลาย ซึ่งเหมาะกับงานหลากหลายรูปแบบ แต่ส่วนใหญ่คนที่นำไปใช้ ในเชิงอุตสาหกรรมนั้นมีน้อยมาก เนื่องจากขาดความรู้ และความเข้าใจในหลักการใช้ที่ถูกต้อง ซึ่งถ้าหากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่สนใจในการใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติพิเศษของพลาสติกชนิดแข็งในรูปแบบนี้ อยากให้คุณเข้าใจข้อมูลคร่าว ๆ เกี่ยวกับผลิตภัณฑที่เกี่ยวกับอาชีพเหล่านี้โดยตรง ซึ่งบอกได้เลยว่ามีข้อดีกว่าวัสดุหลากหลายรูปแบบมากเลยทีเดียว และแน่นอนเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วความแข็งแรงความทนทาน และอายุการใช้งานไม่ได้ด้อยกว่าวัตถุดิบหรืออุปกรณ์การผลิตในรูปแบบอื่นแต่อย่างใด ซึ่งความโดดเด่นและน่าสนใจของอะคริลิค มีดังต่อไปนี้ บอกเลยว่าสนใจ และอยากอยากมีไว้ใช้อย่างแน่นอน สารบัญ 
    [list=1]
    • คุณสมบัติเด่น ที่อะคริลิค เหมาะกับการใช้งาน 
    • วิธีการเลือก แผ่นอะคริลิคอย่างไรให้เหมาะสมกับงาน 
    • ป้ายอะคริลิคที่มีประโยชน์ดีกว่ากระจก 
    สรุป คุณสมบัติเด่น ที่อะคริลิค เหมาะกับการใช้งาน หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าประโยชน์ของอะคริลิคนั้นสามารถทำไรได้บ้าง เราจะพยายามอธิบายให้เข้าใจว่ามีประโยชน์หลากหลายอย่าง มีความโปร่งใสที่คล้ายคลึงกับกระจก แต่ก็ยังมีคุณสมบัติความทนทาน ที่สูงกว่า กระจกหลายเท่าตัว ซึ่งถ้าหากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ชื่นชอบในผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ในอุตสาหกรรม และเทคโนโลยีได้ ขอแนะนำให้คุณลองหันมาใช้อะคริลิคกับประโยชน์ของอุปกรณ์เหล่านี้การไม่ว่าจะเป็น 

    • สามารถใช้ทำเครื่องประดับได้ อะคริลิคนั้นมีประโยชน์มากทั้งด้านความแข็งแรง และความแวววาวคุณสามารถทำเป็นเครื่องประดับเล็กได้ และยังสามารถทำเป็นต้นแบบของกำไลแหวนอัญมณีได้ด้วย ประหยัดค่าใช้จ่าย และต้นทุนได้มาก 
    • สามารถใช้เป็นกรอบรูปได้ ความใสมีประโยชน์มากในการนำมาประกอบขึ้นรูปทำเป็นกรอบรูปที่สวยงาม ซึ่งในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นคนไทย และชาวต่างชาติก็ต่างชื่นชอบในการใช้งานแผ่น อะคริลิคขณะนี้เป็นอย่างมาก และปัจจุบันก็ได้รับความนิยม 
    • เป็นแผ่นป้ายขนาดใหญ่ใช้โฆษณา แผ่นอะคริลิคมีประโยชน์ในการช่วยถนอมป้องกันฝุ่น และแสงแดดได้มากพอสมควร ซึ่งเหมาะมากสำหรับคนที่ต้องการนำไปใช้งานที่เกี่ยวกับการโฆษณาหรือแผ่นป้ายขนาดใหญ่ สามารถช่วยลดความเสียหายของแผ่นป้ายคุณได้ และยังช่วยถนอมแผ่นป้ายของคุณได้อีกด้วย 
    นี่ก็อาจจะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่อะคริลิคกับ คุณสมบัติเด่นของการใช้งานเข้ากันได้อย่างลงตัว และคุณเองก็สามารถใช้งานวัสดุชิ้นนี้กับงานของคุณได้เช่นเดียวกัน แผ่นอะคริลิค ตัด ดัด ประกอบได้หลากหลายขอขอบคุณภาพวิธีการเลือก แผ่นอะคริลิคอย่างไรให้เหมาะสมกับงาน สำหรับความเหมาะสมกับแผ่นอะคริลิค สำหรับการนำมาใช้งานในแต่ละรูปแบบแต่ละประเภทของงานนั้นก็นับได้ว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งคุณนั้นควรจะศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานแต่ละชิ้นให้เหมาะสม จะทำให้ชิ้นงานคุณนั้นแข็งแรง และมีมาตรฐานโดยเฉพาะ 

    • การนำไปใช้ในลักษณะของกรอบรูป ถ้าเป็นกรอบรูปขนาดเล็ก คุณก็สามารถเลือกได้ในรูปแบบความหนาที่เหมาะสมพอสมควร ตั้งแต่ 2 min ขึ้นไปก็สามารถนำไปใช้งานวางบนโต๊ะทำงานหรือเป็นภาพครอบครัวได้แบบสบาย ๆ ซึ่งมีความโปร่งใส และสวยงามเป็นอย่างมาก 
    • แต่ถ้าเป็นงานในรูปแบบของแผ่นป้าย ขอแนะนำให้คุณใช้แผ่นใหญ่พอสมควร และมีความโปร่งใสรวมถึงความหนามากกว่า 4 มิลลิเมตร จะทำให้งานของคุณนั้นแข็งแรง และทนทานรวมไปถึงมีความสวยงามน่าดึงดูดใจ ซึ่งเหมาะกับการทำโฆษณา
    • สำหรับท่านใดที่ต้องการกล่องหรืออุปกรณ์สำนักงานที่ต้องใช้ความทนทานพิเศษ ขอแนะนำให้คุณใช้ ประโยชน์ของอะคริลิค ซึ่งมีความแข็งแรงทนทาน และสวยงามไม่แพ้อุปกรณ์ในรูปแบบอื่น    ซึ่งจะมีประโยชน์มากในการเก็บรักษา และอายุการใช้งานที่มากกว่าวัตถุดิบขึ้นรูปในลักษณะอื่นอย่างแน่นอน 
    อะคริลิค สารพัดประโยชน์ขอขอบคุณภาพ 9kla.comป้ายอะคริลิคที่มีประโยชน์ดีกว่ากระจก อีกสิ่งหนึ่งที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันในปัจจุบันนั่นก็คือการทำแบบป้ายโฆษณาโดยเฉพาะ ป้ายอะคริลิค ซึ่งมีข้อดีหลายอย่างมาก ในปัจจุบันโดยเฉพาะการใช้งานโดยรวมที่หลากหลาย ซึ่งเราอยากจะมาอธิบายให้ทุกคนได้ทราบพร้อมกันเกี่ยวกับประโยชน์ดี ๆ ถ้าหากคุณเปลี่ยนมาใช้ อะคริลิคทำแผ่นป้ายในครั้งนี้ 

    • มีความแข็งแรงทนทานมากกว่ากระจก ซึ่งสามารถใช้งานได้ระยะเวลาที่ยาวนานแถมยังสามารถ ผลิตออกมาได้ในจำนวนมาก ซึ่งราคานั้นต่ำกว่าราคากระจกทั่วไป 
    • ความโปร่งใส และโปร่งแสง สามารถสื่อสารข้อมูลในแผ่นป้ายโฆษณาได้อย่างละเอียดครบถ้วนนี่อาจจะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่หลายคนนั้นกำลังมองหาถึงคุณสมบัติ และอุปกรณ์ที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับกระจกแผ่นอะคริลิคจึงได้รับความนิยม 
    • มีคุณสมบัติสามารถช่วยป้องกันแสงแดดได้สำหรับแผ่นอะคริลิคในการที่จะนำไปใช้ ทำป้ายหรือใช้ประโยชน์ทางด้านการโฆษณา สามารถเลือกที่มีสารช่วยดูแลหรือช่วยทำให้แสงหลอดนั้น Soft ลงได้ ซึ่งจะทำให้ตัวกระดาษหรือตัวแผ่นป้ายโฆษณาภายใน ของคุณน่าจะใช้ได้นานกว่าปกติหลายเท่าตัว ซึ่งแตกต่างกว่ากระจกเป็นอย่างมาก 
    • มีอายุการใช้งานได้ที่ยาวนาน ซึ่งถ้าหากคุณใช้การโฆษณาด้วยแผ่นป้ายอะคริลิค คุณสามารถใช้งานแผ่นป้ายนี้ได้แบบคุ้มค่าอย่างแน่นอน เพราะส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานมากกว่า 5 ปี และความแข็งแรงทนทานพร้อมทั้งยังสามารถช่วยป้องกันรอยขีดข่วนได้อีกด้วย นับได้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ  นี่เป็นประโยชน์ของอะคริลิค อีกรูปแบบหนึ่งที่คุณควรจะทราบเอาไว้ 
    สรุป แล้วถ้าหากคุณกำลังสนใจถึงการใช้งาน ประโยชน์ของอะคริลิคในปัจจุบันเราก็ขอแนะนำให้คุณติดต่อเข้ามาที่เว็บไซต์ของเรารับรองได้เลยว่าคุณจะพบกับสินค้าคุณภาพและบริการประทับใจ ปัจจุบันนี้เรามีช่องทางการติดต่อให้ด้วยนะถ้าหากคุณสนใจติดต่อเข้ามาได้เลย

    https://9kla.com หรือ Line Official Account: @9kla.com
    ยินดีให้คำปรึกษาฟรี 

     
    #2884


    หุ้นเช้าปิดลบ 3.01 จุด ขายทำกำไรหุ้นปลอดภัยคาดหวังเร่งฉีดวัคซีนหนุนคลายล็อก-เปิดประเทศ ช่วงนี้จึงได้เห็นการเริ่มปรับพอร์ต ขายทำกำไรหุ้นปลอดภัย อย่างกลุ่มโรงพยาบาล, กลุ่มชิปปิ้ง เป็นต้น หันมาเก็บหุ้น Domestic play และหุ้นที่ราคาลงไปจากผลกระทบโควิด ก็สามารถหาจังหวะในการซื้อได้ คาดว่า 3-4 เดือนข้างหน้าหลังคลายล็อกดาวน์แล้วหุ้นกลุ่มเหล่านี้จะกลับมา

    นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเริ่มเห็นการชะลอมาตั้งแต่เมื่อวานนี้ โดยดัชนีฯขึ้นไปแถว 1,550 จุดจากนั้นย่อตัวลงมา แม้ดาวโจนส์ทำนิวไฮตอบรับวุฒิสภาสหรัฐลงมติผ่านร่างกฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการสร้างงาน โดยตลาดฯขึ้นต่อไปได้ไม่นานก็ย่อตัวลงในเวลาต่อมา

    แต่บ้านเรามีปัจจัยหนุนจากการเร่งฉีดวัคซีนได้มากขึ้นเกิน 4 แสนโดสต่อวัน จึงเกิดความคาดหวังจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู้เร็วขึ้น นำไปสู่การคลายล็อกดาวน์และการเปิดประเทศได้เร็วตามมา ช่วงนี้จึงได้เห็นการเริ่มปรับพอร์ต ขายทำกำไรหุ้นปลอดภัย อย่างกลุ่มโรงพยาบาล, กลุ่มชิปปิ้ง เป็นต้น หันมาเก็บหุ้น Domestic play และหุ้นที่ราคาลงไปจากผลกระทบโควิด ก็สามารถหาจังหวะในการซื้อได้ คาดว่า 3-4 เดือนข้างหน้าหลังคลายล็อกดาวน์แล้วหุ้นกลุ่มเหล่านี้จะกลับมา

    ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบอย่างไร้ทิศทาง พร้อมแนะติดตามการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่อไป

    ด้านภาวะตลาดหุ้นไทยปิดการซื้อขายครึ่งวันเช้าที่ระดับ 1,539.61 จุด ลดลง 3.01 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -0.20% มูลค่าการซื้อขายราว 50,980 ล้านบาท

    สำหรับแนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่ายนี้ นายพิชัย กล่าวว่า ตลาดฯคงจะแกว่งไซด์เวย์ แนวรับ 1,530 จุด ส่วนแนวต้าน 1,550 จุด
    #2885


    เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน ) กล่าวว่า ผลกระทบจากเศรษฐกิจมหาภาคจากโควิด-19 จะกระทบแต่ละธุรกิจไม่เท่ากัน อาหารอาจกระทบไม่มาก แต่โรงแรมแย่มาก ในส่วนอสังหาฯ ได้รับผลกระทบคือ

    1. เกิด "ซอมบี้เฟิร์ม" คือบริษัทที่มีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยได้น้อยกว่ารายได้หรือกำไรที่หาได้ คือบริษัทที่จ่ายดอกเบี้ยไม่ไหวมากขึ้น ทุกเซกเตอร์จะมีซอมบี้เฟิร์มเพิ่มขึ้น ซึ่งธุรกิจอสังหาฯ อยู่ในอันดับที่ 5 ของการมีซอมบี้เฟิร์มและมีทิศทางที่เพิ่มขึ้น จนถึงปี 2565 แสดงว่าธุรกิจยังไม่มีแนวโน้มที่จะดีขึ้นใน 1-2 ปีนี้

    2. เกิดภาวะการกระจุกตัวของตลาด (Market concentration) ในไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น 50-60% จากเดิม 30% คาดว่า หลังโควิดรอบนี้จะอยู่ในมือบริษัทใหญ่ 70-80% เป็นทิศทางเดียวที่เคยเกิดขึ้นแล้วกับธุรกิจโชห่วย รวมถึงอสังหาฯด้วย เพราะการฝ่าวิกฤติครั้งนี้ได้ต้องอาศัยกระแสเงินสดที่ดี ผู้ประกอบการรายใหญ่ได้เปรียบ

    3. ดีมานด์ลดลง เพราะเมื่อไรที่คนตกงานเยอะบ้านจะขายได้น้อย หรือแม่แต่คนที่ยังทำงานอยู่แต่แนวโน้มเศรษฐกิจไม่ดี ไม่กล้าเป็นหนี้ระยะยาว ทำให้ระยะสั้นดีมานด์ลดลง

    4. หนี้ครัวเรือนที่เป็นปัญหาล่าสุดพุ่ง 90% ส่งผลกระทบกับการซื้อบ้านยาก เพราะธนาคารไม่ปล่อยกู้ การปฏิเสธสินเชื่อสูงขึ้นถึง 70% แม้ว่าทิศทางดอกเบี้ยจะอยู่ในภาวะขาลง

    "โดยภาพรวมไม่มีข่าวดีสำหรับอสังหาฯ ที่สำคัญอสังหาฯ เข้าสู่ภาวะวิกฤติซ้อนวิกฤติ จากวิกฤติโควิดที่รุนแรง ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น เนื่องจาก 1 . แรงงานหายไปจากมาตรการปิดแคมป์ ซึ่งเป็นซัพพลายเชนที่สำคัญ ทำให้ต้นทุนค่าแรงงานเพิ่มขึ้น 2. ราคาเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อโครงการคอนโดที่ใช้เหล็กจำนวนมาก จากปัจจัยลบดังกล่าว คาดว่าอสังหาฯ ปีนี้ติดลบ 10% ต่อเนื่องจากปีที่แล้วที่ติดลบ 35%"

    เกษรา ประเมินว่า การฟื้นตัวจะทยอยกลับมาฟื้นตัวในช่วงปี 65 เป็นต้นไป หากสถานการณ์ โควิด-19 สามารถคลี่คลายลงได้ชัดเจนภายในสิ้นปี 64 และการที่มีวัคซีนโควิด-19 เข้ามามากขึ้น จะทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจกลับมาฟื้นได้ มีการกลับมาเปิดเมืองทำให้เศรษฐกิจเดินหน้า และคนเริ่มกลับมาทำงานมีรายได้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่ออสังหาฯ

    ในส่วนของเสนาฯ การเปิดโครงการใหม่ยังคงเน้นโครงการคอนโดระดับราคาที่จับต้องได้ภายใต้แบรนด์ "SENA KITH" ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า โดยในช่วงเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา บริษัทเปิดโครงการ SENA KITH ฉลองกรุง-ลาดกระบัง สามารถขายได้แล้ว 500 ยูนิต ซึ่งบริษัทจะยังมีการเปิดแบรนด์ SENA KITH เพิ่มเติมอีกในช่วงไตรมาสสุดท้าย ขณะเดียวกันยังจะเปิดโครงการแนวราบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังเป็นกลุ่มที่อยู่อาศัยที่ลูกค้าส่วนใหญ่ยังมีความต้องการซื้อและสามารถสร้างยอดขายได้ดี

    สำหรับยอดขายในปีนี้ยังคงเป้าหมาย 1.1 หมื่นล้านบาท แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาจะทำยอดขายได้เพียงกว่า 3,000 ล้านบาท แต่บริษัทยังเชื่อมั่นว่าหากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มเห็นแนวโน้มคลี่คลายมากขึ้นก่อนเข้าสู่ไตรมาส 4คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของยอดขายกลับมาอย่างก้าวกระโดดมาในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้ เพราะจะมีการเร่งการเปิดตัวโครงการใหม่ออกมามากในไตรมาส 4 และในปกติช่วงดังกล่าว จะเริ่มมีลูกค้าเริ่มมาซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น ส่งผลยอดขายเห็นการฟื้นตัวกลับมา หากโควิด-19 คลี่คลายลงชัดเจนในช่วงปลายเดือนส.ค.-ก.ย.

    " ขณะนี้สถานการณ์โควิดยังไม่แน่ไม่นอน จึงมีโอกาสที่ปรับเปลี่ยนแผนปีนี้ได้ตลอด เพราะสถานการณ์แตกต่างจากปีก่อนมาก เริ่มรู้สึกว่าโควิดน่ากลัวมากขึ้นและเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น และยังมองว่าใช้ระยะเวลาควบคุมค่อนข้างนานกว่าปีก่อน ตอนนี้แทบปรับแผนทุกสัปดาห์ เพราะสถานการณ์ไม่นิ่ง ถ้าโควิดลากยาวไปถึงไตรมาส 4 ก็คงกระทบกับเป้าหมายยอดขาย-ยอดโอน ซึ่งเราก็ติดตามสถานการณ์อยู่ตลอด" เกษรา กล่าว
    #2886


    บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด(มหาชน) หรือซีพีเอฟ เปิดตัวโครงการ " Sustainability in Action ยั่งยืนได้ ด้วยมือเรา" รวมพลังพนักงานทั่วประเทศ มีส่วนร่วมดูแลสิ่งแวดล้อม นำร่องกิจกรรมปลูกต้นไม้ และ บริโภคอาหารอย่างรู้คุณค่า ไม่เหลือทิ้ง ลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และเดินหน้าสร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน

    นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟในฐานะบริษัทผลิตอาหารและเป็นผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม ทำหน้าที่ดูแลความมั่นคงทางอาหารของประเทศ ร่วมสร้างความยั่งยืน โดยดำเนินธุรกิจใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในวันนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินโครงการ" Sustainability in Action ยั่งยืนได้ ด้วยมือเรา" เพื่อให้พนักงานทุกคนมีส่วนร่วมสร้างความยั่งยืนไปด้วยกัน ลงมือทำในระดับบุคคล ผ่านกิจกรรม "กล้าจากป่า พนาในเมือง" นำต้นไม้ไปปลูกที่บ้าน และ กิจกรรม "กินเกลี้ยง เลี้ยงโลก" บริโภคอาหารให้หมดจาน ไม่ให้เกิดขยะเหลือทิ้ง สอดรับตามนโยบายของเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs)

    "ซีพีเอฟมุ่งหวังว่าความร่วมมือของพนักงานในองค์กร จะเป็นพลังในการส่งต่อโครงการดีๆ จากภายในไปสู่ภายนอก เป็นต้นแบบที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดผลสำเร็จในระดับของภาคประชาชน เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน " นายประสิทธิ์ กล่าว


    สำหรับกิจกรรม "กล้าจากป่า พนาในเมือง" (Forest in the City) เป็นโครงการระยะ 5 ปี ( ปี 2564-2568) ที่ส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น จากต้นกล้าที่เพาะโดยชุมชน เป็นการส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมรักษาป่า และเกิดการจ้างงานชุมชนในการเพาะกล้าพันธุ์ไม้ โดยบูรณาการกับโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าของซีพีเอฟ คือ โครงการ ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง จ.ลพบุรี และ โครงการ ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้องป่าชายเลน ซึ่งมีทั้งไม้เศรษฐกิจ อาทิ พะยูง ยางนา พยอม มะค่าโมง แดง ตะเคียนทอง พฤกษ์ และไม้กระถางที่สามารถดักฝุ่น PM 2.5 อาทิ ลิ้นมังกร โกศลแผ่นดินทอง เสน่ห์จันทน์แดง ไทรใบสัก เป็นต้น

    ส่วนกิจกรรม "กินเกลี้ยง...เลี้ยงโลก" (Empty Plate...Save the Planet) เป็นโครงการระยะ 5 ปี ที่มีเป้าหมายร่วมลดปริมาณขยะอาหาร 100,000 จาน หรือ 720 กิโลกรัม ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 18,200 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยโครงการฯจัดทำ เพจกินเกลี้ยง เลี้ยงโลก เป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับขยะอาหารและการกำจัดอย่างถูกวิธี เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงานในการลดปริมาณขยะอาหารและขยะสู่หลุมฝังกลบ

    นายประสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ซีพีเอฟตระหนักดีถึงการทำหน้าที่ในฐานะพลเมืองที่ดีของประเทศ(Good Corporate Citizen) มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาใช้บริหารจัดการทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนได้ประกาศความมุ่งมั่นไม่ตัดไม้ทำลายป่า มุ่งสู่เป้าหมายองค์กรคาร์บอนต่ำ สอดรับกลยุทธ์ความยั่งยืนปี 2030 และสนับสนุนเป้าหมาย SDGs 17 ประการ./
    #2887


    รัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มศึกษาความเป็นไปได้ที่จะฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เข็มที่ 3 ให้กับประชาชนในราวปีหน้า โดยได้สั่งจองวัคซีน "โนวาแวกซ์" และ "โมเดอนา" เตรียมไว้แล้ว

    นายทาโร โคโนะ รัฐมนตรีที่รับผิดชอบเรื่องวัคซีนโควิดของญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ได้เจรจาเพื่อสั่งจองวัคซีนโมเดอนาเพิ่มเติมอีก 50 ล้านโดส และวัคซีนโนวาแวกซ์ 150 ล้านโดส โดยจะส่งมอบในต้นปีหน้า

    รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังติดตามตัวอย่างของประเทศต่าง ๆ ที่ฉีดวัคซีนกระตุ้นเพิ่มเติมให้ประชาชน เช่น อิสราเอลที่ฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ให้กับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ส่วนเยอรมนี สวีเดน และอังกฤษก็เตรียมจะทำเช่นเดียวกันในราวเดือนกันยายน

    รัฐบาลญี่ปุ่นจะตัดสินใจว่าจำเป็นต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นหรือไม่ โดยรวบรวมผลการทดลองทางคลินิกในต่างประเทศ ทั้งเรื่องกลุ่มคนที่จำเป็นต้องรับวัคซีนกระตุ้น และการใช้วัคซีนจากต่างบริษัทกับวัคซีนเข็มที่ 1 และ 2 ซึ่งในญี่ปุ่นใช้วัคซีนของไฟเซอร์ และโมเดอนาเป็นหลัก



    ญี่ปุ่นเริ่มฉีดวัคซีนโควิดในเดือนกุมภาพันธ์ ขณะนี้ผู้สูงอายุราว 80.0% ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว แต่คนหนุ่มสาวส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับวัคซีน และเป็นกลุ่มที่ติดเชื้อมากที่สุดในขณะนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นคาดว่าจะสามารถฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มให้กับประชาชนทุกคนได้ภายในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ปีนี้ และกำลังติดตามผลข้างเคียงของวัคซีน รวมทั้งประสิทธิผลในการป้องกันไวรัสกลายพันธุ์

    บริษัทโมเดอนาได้ระบุเมื่อวันที่ 5 ส.ค. ว่า วัคซีนของตนสามารถคงภูมิคุ้มกันได้ที่ระดับ 93% นาน 6 เดือนหลังฉีดเข็มที่ 2 พร้อมชี้ว่าอาจมีความจำป็นต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 เพื่อการปกป้องไวรัสกลายพันธุ์หลังจากที่ภูมิคุ้มกันลดน้อยลง

    อย่างไรก็ตาม นายทีโดส อัดฮานอม กรีบีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก หรือ WHO เรียกร้องให้ประเทศร่ำรวยต่าง ๆ ระงับโครงการฉีดวัคซีนกระตุ้นไว้ก่อนจนถึงสิ้นเดือนกันยายน เพราะผู้คนหลายล้านคนในประเทศกำลังพัฒนายังไม่ได้รับวัคซีนแม้แต่เข็มเดียว.
    #2888


    ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D​ Bank ในฐานะหน่วยร่วมดำเนินงาน สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ภายใต้ "โครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย" วงเงินรวม 1,200 ล้านบาท ช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยพิเศษ 1% ต่อปี ผ่อนนานสูงสุด 7 ปี ปลอดชำระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 1 ปี วงเงินกู้ บุคคลธรรมดาสูงสุด 3 แสนบาท นิติบุคคลสูงสุด 5 แสนบาท ที่จะเปิดแจ้งความประสงค์ยื่นกู้ ในวันพุธที่ 11 สิงหาคม 2564 ตั้งแต่เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป ในรูปแบบมาก่อนได้ก่อน (First Come First Serve) จนกว่าจะเต็มวงเงิน และอนุมัติตามความพร้อมของเอกสาร จึงขอแนะนำผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่สนใจ ตรวจสอบคุณสมบัติ และเตรียมเอกสารให้พร้อม เพื่อความสะดวกในการแจ้งความประสงค์ยื่นกู้ และพิจารณาอนุมัติ เช่น ต้องเป็นสมาชิก สสว. อยู่ในกลุ่มรายย่อย (Micro) และขนาดย่อม (Small) ตามนิยามของ สสว. ประกอบธุรกิจโรงแรม ห้องพัก เกสต์เฮ้าส์ และธุรกิจสปาที่ตั้งอยู่ในโรงแรม ห้องพัก เกสต์เฮาส์ ใน 10 จังหวัด พื้นที่นำร่องเปิดการท่องเที่ยว หรือที่จะมีประกาศเพิ่มเติม รวมถึง กลุ่มธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร ใน 29 จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด อีกทั้ง ไม่เคยได้รับความช่วยเหลือเงินทุนในโครงการพลิกฟื้นฯ โครงการฟื้นฟูฯ หรือกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ไม่เป็นหนี้ NPLs ไม่ถูกดำเนินคดี และไม่เป็นบุคคลล้มละลาย เป็นต้น


    ส่วนเอกสารจำเป็นที่ต้องใช้เพื่อพิจารณาอนุมัติ เช่น ใบอนุญาตเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ , หลักฐานการชำระภาษีเงินได้ , ผลตรวจข้อมูลเครดิต เป็นต้น โดยสามารถตรวจสอบคุณสมบัติ และเอกสารที่ต้องจัดเตรียมโดยละเอียดได้ที่เว็บไซต์ของ SME D Bank ( https://www.smebank.co.th/ )

    ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่สนใจและมีคุณสมบัติตรงตามกำหนด สามารถแจ้งความประสงค์ยื่นกู้ผ่านช่องทางออนไลน์ได้ตามวันและเวลาที่กำหนด โดยสแกน QR Code ในโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ หรือคลิก https://qrgo.page.link/VF6Ka รวมถึง เว็บไซต์ของ SME D Bank , Line OA : SME Development Bank และแอปพลิเคชั่น : SME D Bank
    #2889


    จากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ในประเทศที่ยังน่าเป็นห่วง อีกทั้ง คลัสเตอร์โรงงานกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงที่พบผู้ติดเชื้อใหม่อย่างต่อเนื่องส่งผลให้หลายโรงงานต้องปิดดำเนินการชั่วคราวและกระทบการผลิตในทันที

    ความจำเป็นในการเพิ่มผลิตภาพการผลิตและแรงกดดันจากผลกระทบวิกฤติโควิดที่เกิดขึ้นได้กระตุ้นให้ผู้ประกอบการในภาคการผลิตมีการตื่นตัวในการปรับใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ในสายการผลิตสู่การเป็นโรงงานอัจฉริยะ (Smart factory) โดยเฉพาะระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์อุตสาหกรรมที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตแบบดั้งเดิม ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตและลดการพึ่งพาแรงงานคน

     โดยในช่วงเวลา 5 ปีก่อนวิกฤติโควิด (2016-2019) มูลค่าการนำเข้าระบบอัตโนมัติสำหรับการผลิตและหุ่นยนต์อุตสาหกรรมของไทยเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปเฉลี่ยอยู่ที่ราว 2% ต่อปี ซึ่งสาเหตุหนึ่งเป็นผลจากการใช้เทคโนโลยีที่กระจุกตัวอยู่ในโรงงานขนาดใหญ่หรือโรงงานที่ตั้งโดยนักลงทุนต่างชาติเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง อีกทั้ง ผู้ประกอบการไทยยังมีความกังวลในความพร้อมของระบบอัตโนมัติและทักษะของบุคลากร แต่หลังจากที่ภาคการผลิตในไทยต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านแรงงานจากผลกระทบของวิกฤตโควิดตั้งแต่เดือนมี.ค. 2020 เป็นต้นมา มูลค่าการนำเข้าระบบอัตโนมัติสำหรับการผลิตและหุ่นยนต์อุตสาหกรรมเติบโตกว่า 7%YOY จาก 1.72 พันล้านบาทในปี 2019 เป็น 1.84 พันล้านบาทในปี 2020 และการนำเข้าเติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่า 40%YOY

    ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2021 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2020 โดยกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่มีการนำเข้าระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์อุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ซึ่งการเติบโตดังกล่าวสะท้อนถึงการตื่นตัวของภาคการผลิตในไทยที่เห็นความสำคัญของ Smart factory มากขึ้น เพื่อฝ่าวิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่และให้การผลิตเดินหน้าไปได้อย่างต่อเนื่อง 

    นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังมีความมั่นใจในการใช้ระบบอัตโนมัติมากขึ้น เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญอย่างเทคโนโลยี 5G ได้ครอบคลุมพื้นที่ใช้งานใน EEC 100% แล้ว รวมถึงผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งมีการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตแบบสาย (FTTx) และจัดตั้งศูนย์ Data center ในพื้นที่โครงการพร้อมรองรับการใช้งานในระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์อุตสาหกรรมที่ทันสมัย


    แม้จะเริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกต่อการปรับเปลี่ยนภาคการผลิตสู่การเป็น Smart factory รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทยมีความพร้อมรองรับการใช้งานเทคโนโลยี แต่การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัล และการกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจในการลงทุนด้านดิจิทัลของผู้ประกอบการไทยให้มากขึ้นยังเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งพัฒนา ด้วยจำนวนแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัลของไทยมีไม่มากนักในปัจจุบัน 

    โดยจากรายงาน Future of Jobs ของ World Economic Forum พบว่ามีเพียง 55% ของแรงงานไทยที่มีทักษะด้านดิจิทัล ดังนั้น การส่งเสริมให้เกิดการยกระดับทักษะแรงงานให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอยู่เสมอและการผลิตแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัลอย่างจริงจังอาจต้องเร่งดำเนินการเพื่อรองรับความต้องการแรงงานเหล่านี้ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ การสร้างแรงจูงใจในการลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้ประกอบการไทยยังต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐในการลดภาระการลงทุนเพื่อดึงดูดความต้องการใช้งาน รวมถึงการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเห็นประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการใช้งานจริง ซึ่งการยกระดับภาคการผลิตของไทยสู่โรงงานอัจฉริยะนั้น นอกจากจะทำให้เกิดการรับรู้ถึงการปรับตัวของภาคการผลิตในไทยเพื่อฝ่าวิกฤติโควิดแล้ว ยังสะท้อนถึงความพร้อมของไทยในการรองรับการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติในกลุ่มอุตสาหกรรมไฮเทคในอนาคตได้อีกด้วย
    #2890


    จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่กำลังระบาดอย่างหนักและต่อเนื่องในปัจจุบัน ส่งผลให้ผู้ประกอบการร้านอาหารธุรกิจอื่นๆ ได้รับผลกระทบโดยตรง เช่นเดียวกับร้าน "โคเอ็น ซูซิ บาร์" ที่ไม่รอดจากวิกฤตในครั้งนี้ ทำให้ทางร้านต้องปรับตัวและเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจเพื่อให้อยู่รอดและรับมือกับปัญหาดังกล่าวได้อย่างรวดเร็ว
    จุดเริ่มต้น "โคเอ็น ซูซิ บาร์"


    นายธีรพัฒน์ เลิศสิริประภา ซีอีโอ โคเอ็น กรุ๊ป และเจ้าของร้าน โคเอ็น ซูซิ บาร์ เล่าว่า จุดเริ่มต้นธุรกิจนั้นเริ่มต้นจากร้าน ซูซิ บาร์ ขนาดเล็ก โดยมีสาขาแรกที่โครงการ I'm Park จุฬาฯ ในปัจจุบันมีทั้งหมด 12 สาขา และ 5 Cloud Kitchen ซึ่งปีนี้ได้ดำเนินธุรกิจก้าวเข้าสู่ปีที่ 7 โดยตนมีแนวคิดที่อยากจะรวบรวมของดี ราคาไม่แพง พร้อมคัดสรรวัตถุดิบเกรดพรีเมี่ยมจากหลากหลายสถานที่ในการปรุง ซึ่งจะเน้นคุณภาพดีในราคาที่เข้าถึงและจับต้องได้ ทั้งนี้ยังมีบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่นเกรดพรีเมี่ยม ในราคาที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้อย่างสบายใจ (Affordable Luxury Sushi Bar) โดยทางร้านจะมีเมนูคอนเซ็ปทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ 1.Sushi 2.Shabu + Sushi และ 3.Yakiniku + Sushi



    เมนูไฮไลท์

    สำหรับเมนูไฮไลท์ของทางร้านนั้นจะเป็น Salmon Sashimi นอร์วีเจียนแซลมอน จากประเทศนอร์เวย์ (Norwegian Salmon) ซึ่งแซลมอนดังกล่าวนั้นจะมีเนื้อสัมผัสค่อนข้างแน่น มีสีส้มนวล ก้างน้อย ไขมันพอเหมาะ และคนในประเทศไทยนิยมบริโภคจำนวนมาก



    นอกจากนี้ยังมี Zuwai Kani Miso ซุไว คานิ มิโซะ มันปูย่างบนเตาถ่าน ซึ่งทางร้านได้มีการส่งเชฟไปศึกษาต่อที่ประเทศญี่ปุ่นเพื่อให้ได้เรียนรู้และรับวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาเพื่อปรับปรุงสูตรของทางร้าน สำหรับวิธีการกินซุ ไว คานิ มิโซะ มันปูย่างบนเตาถ่าน นั้นทางร้านแนะนำให้ย่างจนเริ่มมีกลิ่นหอม แต่อย่าให้เกรียมมากจนเกินไป 



    ไปต่อกับ Salmon Volcano Roll แซลมอนภูเขาไฟสุดยอดเมนู Signature ประจำร้าน Kouen Sushi Bar ที่มีมายาวนานกว่า 4 ปี และมียอดขายมากกว่า 1 ล้านคำ สำหรับเมนูดังกล่าวมีวิธีทำโดยการนำชิ้นปลาแซลมอนมาห่อเข้ากับข้าวญี่ปุ่นแล้วราดซอสสไปซี่สูตรเฉพาะของทางร้าน ก่อนจะนำมาเบิร์นไฟจนสุกพอประมาณ เพิ่มความอร่อยด้วยซอสเทริและกากเทมปุระ Botan Foie Gras Truffle กุ้งโบตันหวาน ที่ด้านบนเป็นฟัวกราส์และด้านในเป็นไส้เห็ดทรัฟเฟิลแท้



    ความเปลี่ยนแปลงในช่วงโควิด-19 เริ่มต้นขึ้น

    ในช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 นั้น ทางร้านมีพนักงานกว่า 500 คน จนกระทั่งในช่วงที่เกิดวิกฤตดังกล่าวทำให้ทางร้านจำเป็นต้องลดพนักงานลงเหลือเพียง 200 คน โดยทางร้านได้รับผลกระทบแบบจริงจังและเต็มรูปแบบตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2563 ซึ่งจากข่าวที่ห้ามคนกินปลาดิบ เนื่องจากกินแล้วนั้นจะทำให้ติดเชื้อโควิด -19 ได้ ทำให้ทางร้านได้รับผลกระทบตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งนี้ทางร้านจึงคิดค้นหาวิธีและทางออกต่อเนื่อง หลังจากปัญหาการเลิกกินปลาดิบนั้นก็ยังมีปัญหาเรื่องการกินอาหารภายในร้านค้าตามมามีมาตรการให้กินในร้านได้เริ่มต้นตั้งแต่ 100% เป็น 50% และ 25% ล่าสุดเปลี่ยนเป็นสั่งกลับบ้าน หรือ Delivery ได้เพียงอย่างเดียว ทางร้านจึงจำเป็นต้องปิด Cloud Kitchen ตั้งแต่วิกฤตในรอบแรก



    ศึกษาหากลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจให้ไปต่อให้ได้ ทางร้านวางหมากหาจุดส่งอาหาร โดย Cloud Kitchen มากขึ้น ซึ่งวิธีดังกล่าวจะทำให้ต้นทุนในการทำถือว่าน้อยกว่าเปิดร้านในห้างสรรพสินค้าค่อนข้างมาก โดยตัดในเรื่องการตกแต่งหน้าร้านและการจัดการร้านต่างๆ ทางร้านจึงเน้นกลยุทธ์ดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น และปิดสาขาในห้างฯ หรือใช้พื้นที่ร้านในห้างฯ ให้เล็กลง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม ลูกค้ายังคงโหยหาบรรยากาศการกินอาหารนอกบ้าน ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2565 ที่จะสามารถนั่งกินอาหารภายในร้านได้ตามปกติหรืออาจจะเลวร้ายไปจนถึงปี 2566 ก็เป็นได้



    กระทบต่อเนื่องตลอด 2 ปี ขาดทุนกว่า 8 หลัก

    แน่นอนว่าผลกระทบที่ตามมาก็หนีไม่พ้นเรื่องยอดขายและรายได้ สำหรับทางร้านนั้นได้รับผลกระทบมาอย่างต่อเนื่องตลอดเกือบ 2 ปี โดยเฉพาะมาตรการการสั่งเปิดปิด 4 รอบนั้นทำให้ 3 เดือนที่ผ่านมาทางร้านขาดทุนไปกว่า 8 หลัก โดยเฉพาะรอบล่าสุด ทางร้านเตรียมวัตถุดิบเพื่อทำการโปรโมชั่นในช่วงต้นเดือน แต่มีคำสั่งตอนดึก ณ ตอนนั้นในช่วงเวลา ตี 1 เมื่อทางร้านรับทราบในตอนเช้าจึงต้องหาวิธีกระจายอาหารที่เตรียมไว้ให้ได้มากที่สุด ทางร้านจึงจัดโปรโมชั่นพิเศษ ซื้อ 1 แถม 1 ซึ่งถามว่าจัดโปรโมชั่นแบบนี้ขาดทุนหรือไม่ คำตอบคือ ขาดทุนแน่นอน แต่อย่างน้อยทางร้านก็ถือว่าเป็นการตอบแทนลูกค้ารวมถึงระบายสต็อคไปในตัว



    หนทางต่อสู้เพื่อให้อยู่รอด

    ในช่วงสถานการณ์แบบนี้ทางร้านมีการขยายไลน์ธุรกิจและการแบ่งปันอาหาร โดยมีทั้งหมด 3 รูปแบบด้วยกัน ได้แก่

    1.การเปิดแบรนด์ลูก เพื่อลดราคาอาหารให้สามารถจับต้องได้ โดยเปิดเป็นร้าน Ono Sushi by Kouen Group Delivery มีอาหารน้องใหม่กว่า 100 เมนู มีราคาเริ่มต้นเมนูละ 10 บาท เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในช่วงสถานการณ์ตึงเครียดในช่วงนี้ที่ต้องการกินอาหารที่อร่อย มีคุณภาพและมีให้เลือกหลากหลายในราคาที่เอื้อมถึงและสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี เมื่องสั่งเดลิเวอรี่กับทาง Line Man และชำระด้วยบัตรเครดิตเคทีซีสามารถใช้คะแนนสะสม KTC FOREVER 399 คะแนนเพื่อแลกค่าจัดส่ง 50 บาท โดยมีลิงค์ดังนี้ https://www.facebook.com/kouensushibar/posts/2886227904965046

    2. หา Cloud Kitchen สำหรับผู้ที่มีบ้านอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่ต้องการเพิ่มรายได้จากธุรกิจอาหาร สามารถติดต่อทาง Kouen Group เพื่อเปลี่ยนบ้านให้เป็น Cloud Kitchen ได้ โดยสามารถเข้าถึงได้ที่ลิงค์ดังนี้ https://www.facebook.com/kouensushibar/photos/a.1508325216088662/2891905037730666

    3. การแบ่งปันอาหารจาก Kouen Group กว่า 6,000 กล่อง ไปยังชุมชนต่างๆ เพื่อช่วยเหลือคนไทยให้ผ่านวิกฤตอันโหดร้ายนี้ไปพร้อมกัน



    หลักการการฝ่าวิกฤต : ปัญหาไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยเจอ

    "เราต้องมีการเตรียมพร้อมที่จะต้องรับมือตลอดเวลา มีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว ปรับตามสถานการณ์ปัจจุบัน จับมือกับพันธมิตรอย่างบัตรเครดิต ทำรายการส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นยอดขาย อย่างบัตรเครดิตเคทีซีที่เรามี Target กลุ่มเดียวกัน จัดโปรโมชั่นต่อเนื่องกันมานานเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันที่นิยม Burn Point การใช้คะแนน KTC FOREVER แลกสิทธิพิเศษต่างๆ มากกว่าการใช้เงินสดและในการแลกคะแนนสะสมนั้นก็ไม่ได้เอาไปใช้ในการสะสมแลกไมล์เที่ยวบินเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่เป็นการใช้ในหมวดของการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ต และหมวดอาหารเป็นหลัก การทำโปรโมชั่นร่วมกันก็เป็นการกระตุ้นให้คนต้องการใช้มากขึ้นและคาดหวังกับภาครัฐให้รับฟังปัญหาจากผู้ประกอบการด้วยครับ" 
    #2891


    ความเคลื่อนไหว "ตลาดหุ้นไทย" วันนี้ (9 ส.ค.) ปิดตลาดดัชนี SET INDEX อยู่ที่ 1,540.19 จุด เพิ่มขึ้น 18.47 จุด หรือ 1.21% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 69,879.20 ล้านบาท ระหว่างวันเคลื่อนไหว "สูงสุด" แตะระดับ 1,543.71 จุด และต่ำสุด 1,525.29 จุด โดยเป็นการปรับขึ้นต่อเนื่องตลอดทั้งวัน

    นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับขึ้นจาก แรงซื้อกลุ่มหุ้นเปิดเมือง (Reopening Play) นำโดยขนส่ง AOT บวก 4.48% ธนาคาร KBANK 3.83% และ SCB 2.90% จากความคาดหวังของนักลงทุนภายหลังตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศปรับลดลงเล็กน้อย

    อย่างไรก็ดี ไม่แนะนำลงทุนกลุ่ม Reopening ในระยะกลาง-ยาว โดยแนะนำซื้อขายทำกำไร (เทรดดิ้ง) เท่านั้น เพราะยังมีความเสี่ยงจากจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศที่ยังสูง รวมถึงยังต้องติดตามจำนวนผู้รักษาหายและจำนวนผู้ที่ได้รับวัคซีนในระยะต่อจากนี้ ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ปี 2564 คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งจะส่งผลให้ราคาหุ้นผันผวน

    "มุมมองตลาดสัปดาห์นี้ เราคาดดัชนีแกว่งตัวที่แนวรับ 1,500-1,520 จุด และแนวต้าน 1,550-1,567 จุด โดยการลงทุนแนะนำกลุ่มที่มีความทนทาน-ปลอดภัย (Defensive Play) ได้แก่ สื่อสาร ADVANC โรงไฟฟ้า BCPG รวมถึงหุ้นงบดี INOX และ UV"
    #2892


    8 ส.ค. 64 เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ตรวจความพร้อมศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ เขตบางแค แห่งที่ 2 บริเวณโรงเรียนคลองหนองใหญ่ เขตบางแค โดยมี คณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร สำนักการแพทย์ สำนักอนามัย สำนักงานเขตบางแค และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่และให้ข้อมูล

    ทั้งนี้ กทม.ได้จัดตั้งศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ หรือ Community Isolation เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีผลตรวจรับรองว่าติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ 6 กลุ่มเขต โดยมีเป้าหมายเปิดศูนย์พักคอยฯ ให้ได้มากที่สุด เพื่อแยกผู้ป่วยโควิด-19 ออกมาจากบ้าน นำมาพักคอยที่ศูนย์ฯ มีการคัดกรองอาการและดูแลเบื้องต้น เพื่อรอการส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาล ลดปัญหาการแพร่ระบาดและติดเชื้อของคนในครอบครัวและชุมชน

    สำหรับศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ เขตบางแค แห่งที่ 2 โรงเรียนคลองหนองใหญ่ ใช้พื้นที่อาคารเรียน 5 ชั้น 2 อาคาร สามารถรองรับผู้ป่วยได้ 312 เตียง แบ่งเป็น ผู้ป่วยระดับสีเหลือง/แดง 48 เตียง ผู้ที่มีผลการตรวจ ATK ติดเชื้อ 33 เตียง และผู้ป่วยระดับสีเขียว 231 เตียง โดยมีทีมแพทย์จากโรงพยาบาลบางปะกอก 8 และศูนย์บริการสาธารณสุข 40 บางแค เป็นผู้บริหารจัดการผู้ป่วย กำหนดเปิดให้บริการในวันที่ 9 ส.ค. 64 นี้


    จากนั้น เวลา 11.15 น. ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมคณะ ได้ตรวจเยี่ยมศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ เขตบางแค แห่งที่ 1 ตั้งอยู่ที่ศูนย์สร้างสุขทุกวัยบางแค (เรืองสอน) ซึ่งเป็นศูนย์พักคอย 1 ใน 7 แห่ง ที่กรุงเทพมหานครเตรียมขยายศักยภาพในการรองรับผู้ป่วย


    โดยได้ปรับเป็นศูนย์พักคอยกึ่งโรงพยาบาลสนาม (Community Isolation plus : CI plus) เพื่อให้ผู้ป่วยที่มีอาการระดับสีเหลืองได้รับการรักษาเพิ่มขึ้น สามารถรองรับผู้ป่วยได้ 150 เตียง แบ่งเป็น ชาย 62 เตียง หญิง 77 เตียง พ่อลูกอ่อน 4 เตียง และแม่ลูกอ่อน 7 เตียง โดยมีทีมแพทย์จากโรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร อุทิศ เป็นผู้บริหารจัดการผู้ป่วย

    ทั้งนี้ ศูนย์พักคอยฯ เขตบางแค เริ่มรับผู้ป่วยเมื่อวันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยที่เข้าพักในศูนย์พักคอยฯ จำนวนสะสม 443 ราย และพักรักษาจนครบกำหนด 14 วันโดยไม่มีอาการรุนแรง และหายเป็นปกติกลับบ้านได้แล้ว คิดเป็นร้อยละ 60 และส่งต่อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล คิดเป็นร้อยละ 20 (ข้อมูล ณ วันที่ 8 ส.ค. 64 เวลา 11.00 น.)

    ซึ่งศูนย์พักคอยฯ มีความพร้อมในทุกด้านสำหรับการดูแลผู้ป่วย ด้วยทีมแพทย์ พยาบาล อาสาสมัคร และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมยารักษาและเครื่องมือทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็น ยาฟาวิพิราเวียร์ ยาฟ้าทะลายโจร ถังออกซิเจน เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว อาหารหลัก 3 มื้อ และของใช้จำเป็นอื่ๆ ให้กับผู้ป่วยด้วย ศูนย์พักคอยฯ ถือเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย ซึ่งกรุงเทพมหานครพร้อมที่จะให้บริการประชาชน เพื่อการรักษาที่ถูกต้องและรวดเร็วที่สุด

    ขณะนี้กรุงเทพมหานครได้จัดตั้งศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อแล้ว 65 แห่ง สามารถเปิดรับผู้ป่วยได้แล้ว 50 แห่ง รองรับผู้ป่วยได้ 8,597 ราย และยังมีศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อซึ่งดำเนินการโดยหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถานประกอบการและประชาชนทั่วไป อีก 5 แห่ง สามารถรับผู้ป่วยได้ 960 ราย

    นอกจากนี้ยังมีศูนย์พักคอยแบบ Semi Community Isolation อีก 23 แห่ง สามารถรับผู้ป่วยได้ 527 รวมจำนวนศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 93 แห่ง สามารถรับผู้ป่วยได้ 10,084 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 7 ส.ค. 64 เวลา 09.55 น.)

    ทั้งนี้ ประชาชนที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อโควิด-19 สามารถโทรติดต่อสายด่วน 1330 หรือ สายด่วนโควิด 50 เขต 20 คู่สาย ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรับการประเมินเข้าสู่ระบบการรักษาแบบแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation : HI) หรือเข้าพักที่ศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ (Community Isolation : CI) หรือโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
    #2893


    Google ประเทศไทย เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกที่คนไทยสนใจค้นหาบน Google Search ในเทศกาลวันแม่ที่กำลังจะถึงในเดือนสิงหาคม 2564  ซึ่งปีนี้เป็นอีกหนึ่งปีที่คนไทยยังต้องฉลองเทศกาลต่างๆ แบบเว้นระยะห่าง   แต่สิ่งที่ผู้คนนิยมมากขึ้นคือความสนใจในการค้นหาไอเดีย ของขวัญ และสิ่งต่างๆ ทางออนไลน์  โดย Google ได้รวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลผ่าน Google Trends ซึ่งสะท้อนสิ่งที่คนไทยกำลังมองหาและต้องการในช่วงเทศกาลวันแม่ปีนี้ เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบธุรกิจเพื่อช่วยให้คนไทยฉลองเทศกาลวันแม่ได้ดีที่สุด 

    โดยคำค้นหาที่ได้รับความสนใจในช่วงเทศกาลวันแม่แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มสินค้าเพื่อแม่ และกลุ่มสินค้าเพื่อลูก  

    และเนื่องด้วยสถานการณ์ที่ไม่ปกติในช่วงปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้การค้นหาประเภทร้านอาหารและการท่องเที่ยวน้อยลง โดยลูกๆ ต่างมองหากิจกรรมทดแทนและข้อเสนอพิเศษต่างๆ สำหรับของขวัญในวันแม่ โดยการค้นหาเหล่านี้มักเริ่มขึ้น 2 สัปดาห์ก่อนถึงเทศกาลวันแม่

    สำหรับคำค้นหาที่คนไทยให้ความสนใจ "กลุ่มสินค้าเพื่อแม่" คือ
    • วิธีทำการ์ด วันแม่ เพิ่มขึ้น 200%
    • ดอกไม้ พวงมาลัยมะลิ เพิ่มขึ้น 90%
    • โปร วันแม่ เพิ่มขึ้น 35%

    โดยตัวเลขที่เพิ่มขึ้นสำหรับกลุ่มสินค้าเพื่อแม่นี้เป็นตัวเลขในช่วงเดือนสิงหาคม 2563 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีก่อนหน้า

    นอกเหนือจากลูกๆ จะหากิจกรรมพิเศษเพื่อแม่แล้ว กลุ่มคุณแม่ก็ยังมองหา "กลุ่มสินค้าเพื่อลูก" สำหรับทำกิจกรรมร่วมกับลูกเช่นกัน สินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อเด็ก เป็น กลุ่มที่มีการค้นหาเพิ่มสูงขึ้นมาก

    • แบบฝึกหัด อนุบาล 2 เพิ่มขึ้น 250%
    • รถไฟฟ้าเด็ก เพิ่มขึ้น 140%
    • ยาสำหรับลูก เพิ่มขึ้น 100%

    โดยตัวเลขที่เพิ่มขึ้นสำหรับกลุ่มสินค้าเพื่อลูก เป็นตัวเลขระหว่างช่วงเดือนมกราคม - มิถุนายน 2654 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว  นอกจากนี้ สามารถค้นหาบทความข้อมูลเชิงลึกผู้บริโภค กลยุทธ์ และเครื่องมือสำหรับนักการตลาดเพิ่มเติมได้ที่ https:// www.thinkwithgoogle.com/th
    #2894


    "ธนกร" เผยประชาชนยังใช้สิทธิมาตรการลดค่าครองชีพของรัฐต่อเนื่อง แม้บางพื้นที่ถูกล็อกดาวน์ แจงยอดใช้จ่ายคนละครึ่ง-ยิ่งใช้ยิ่งได้-บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทำเศรษฐกิจในประเทศหมุนเวียนกว่า 5.8 หมื่นล้าน คาดภายใน ต.ค.64 เชื่อมแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ใช้"คนละครึ่ง" ได้

    วันนี้(8 ส.ค.) นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 (ศบศ.) กล่าวว่า แม้รัฐบาลจะประกาศล็อกดาวน์ยกระดับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) เพิ่มจาก 13 จังหวัด เป็น 29 จังหวัด เนื่องจากอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการตรวจหาเชื้อโควิด- 29 เชิงรุกทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทำให้ตัวเลขของผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ ขอให้ประชาชนงดออกจากเคหสถาน หรือที่พำนักโดยไม่จำเป็น เพื่อเป็นการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 แต่รัฐบาลก็มีมาตรการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาเร่งด่วนผู้ประกอบการนายจ้าง ลูกจ้าง ตลอดจนแรงงานกลุ่มอาชีพอิสระ และพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการปิดกิจการ 9 ประเภท 29 จังหวัดล็อกดาวน์ โดยสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ได้โอนเงินเยียวยาผู้ประกันตน ม.33 ใน 10 จังหวัด (กรุงเทพมหานคร, นครปฐม, นนทบุรี, ปทุมธานี, สมุทรปราการ, สมุทรสาคร, นราธิวาส, ปัตตานี, ยะลา, สงขลา) เข้าบัญชีไปแล้ว 2,434,182 คน เบิกจ่ายเป็นเงินรวมแล้ว 6,085.45 ล้านบาท แต่มีบางส่วนที่เกิดความขัดข้อง โอนเงินไม่ผ่าน เนื่องจากอาจจะมีข้อมูลผิดพลาด ผู้ประกันตนสามารถตรวจสอบและแก้ไขข้อมูลหน้าเว็บไซต์สำนักงานประกันสังคมได้จนถึงวันที่ 9 สิงหาคม 2564 หากข้อมูลได้รับแก้แก้ไขตรวจถูกต้องแล้ว จะดำเนินการโอนในวันที่ 13 สิงหาคม 2564 ต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของนายจ้าง ม. 33 สำนักงานประกันสังคมอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลสถานะจำนวนลูกจ้าง และจะเริ่มทยอยโอนให้นายจ้าง 3,000 ต่อจำนวนลูกจ้างไม่เกิน 200 คน ในวันที่ 10 สิงหาคม 2564

    นายธนกร กล่าวต่อว่า แม้จะมีข้อติดขัดเรื่องการออกมาใช้จ่ายของประชาชนบางพื้นที่บ้างในช่วงนี้ แต่จากการรายงานของกระทรวงการคลังพบว่า มาตรการเยียวยาและการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 เพิ่มกำลังซื้อในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ยังมีการใช้สิทธิอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัด โดยยอดการใช้จ่ายของแต่ละโครงการ ผู้ใช้สิทธิสะสมรวม 37.66 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม รวม 58,495.4 ล้านบาท แบ่งเป็น 1.โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 23.22 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 52,466.8 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่ประชาชนจ่ายสะสม 26,600.7 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 25,866.1 ล้านบาท 2.โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 63,093 คน ยอดใช้จ่ายสะสม 977.5 ล้านบาท 3.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 13.45 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 4,760.2 ล้านบาท และ 4.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 931,228 คน ยอดใช้จ่ายสะสม 290.9 ล้านบาท

    นายธนกร กล่าวอีกว่า รัฐบาลมีความห่วงใยพี่น้องประชาชน และเข้าใจสถานการณ์ ตอนนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาระบบบริการแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ให้สามารถเชื่อมกับโครงการ "คนละครึ่ง" สอดคล้องกับมาตรการป้องกันโควิด-19 โดยกระทรวงการคลังได้กำชับให้ธนาคารกรุงไทยเร่งดำเนินการปรับปรุงระบบการเชื่อมระบบโครงการ "คนละครึ่ง" กับระบบของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ เพื่อให้สามารถใช้จ่ายเงินได้อย่างถูกต้อง และเป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการ คาดว่าจะดำเนินการเชื่อมระบบเสร็จสิ้นและพร้อมใช้งานได้ในเดือนตุลาคม 2564 นี้ เพื่อรองรับการใช้จ่าย หลังกระทรวงการคลังโอนเงิน "คนละครึ่ง" รอบ 2 อีก 1,500 บาทเข้าแอพพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งประชาชนสามารถใช้จ่ายได้จนถึงสิ้นปี 2564
    #2895


    8 ส.ค.2564  นายพยัพ คำพันธุ์  เซียนพระชื่อดัง และศิลปินรุ่นใหญ่ ร่วมกับ นาย คฑาวุธ ทองไทย หรือ อ.ไข่ นักร้องชื่อดังวงมาลีฮวนน่า ในฐานะประธานสมาพันธ์เครือข่ายคนบันเทิงอาชีพแห่งประเทศไทย จัดทำโครงการธารน้ำใจ – ภัย COVID-19 #อย่าสิ้นหวัง #ยังมีเรา #มนต์พระและเสียงเพลง เพื่อช่วยเหลือคนในวงการบันเทิงและคนในวงการพระเครื่อง ที่ติดเชื้อโควิด พร้อมซื้อน้ำมันถวายวัดสำหรับเผาศพผู้ป่วยโควิด, ซื้อถุงซิปบรรจุศพ และชุด PPE ถวายวัด และให้อาสาสมัครกู้ภัย จัดหาเตาเผาศพสำรองสำหรับเผาศพผู้ป่วยโควิด และเยียวยา ช่วยเหลือนักดนตรี-คนในวงการพระเครื่อง


    โดย นาย พยัพ   เผยว่า ตอนนี้พี่น้องเราลำบากทุกวงการ เงินที่ได้มาเราจะเอาไปช่วยพี่น้องวงการพระที่ป่วยโควิด ติดเตียง วงการเพลงก็เช่นเดียวกัน 

    "ที่โครงการเราบริจาคเตาครั้งนี้ ก็ได้มาจากพี่น้องวงการพระเครื่องทั่วประเทศ และศิลปินวงการเพลง เพราะทางวัดเตาเผาพังหมดแล้ว ก็ต้องขอบคุณเจ้าของเตาที่เอามาตั้งไว้ให้ก่อน ซึ่งตอนนี้เตายังผ่อนส่งอยู่ จึงบอกบุญมายังพี่น้องทั้งวงการพระและวงการเพลง เงินที่พี่น้องได้ทำบุญไม่ได้สูญหายไปไหน เราจะทำทุกอย่างให้เห็น ขอบคุณพี่น้องที่ช่วยบริจาคกันมา เงิน 1 บาทก็สามารถเยียวยาพี่น้องของเราได้"  

     

    ด้าน อ.ไข่ มาลีฮวนน่า กล่าวว่า วงการเพลงต้องขอบคุณผู้ใหญ่ที่จะมาร่วมดนตรีเปิดหมวก ร่วมบริจาค ซึ่งการเล่นเปิดหมวก  นักร้อง นักดนตรี สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ทุกแนวดนตรี มี 2 ลักษณะคือ เป็นบัญชีช่วยเหลือนักดนตรีจริงๆ คือท่านเล่น 3 เพลงใน 15 นาที ก็สามารถขายของได้ ลงหมายเลขบัญชีได้ อีกบัญชีคือบัญชีกองกลางของธนาคารกรุงไทย ท่านไหนที่ต้องการบริจาคก็บริจาคได้ โดยกิจกรรมไลฟ์เปิดหมวกสามารถส่งคลิปมาได้ภายในวันที่ 10 สิงหาคม นี้ และจะมีการออนแอร์ระหว่างวันที่ 13 – 15 สิงหาคม 2564 เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป ทาง Fanpage : Maleehuana Official เพจไผ่ร้อยกอโปรดักชั่น เพจสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย และลิ้งก์ไปที่เพจคาราบาว เพจคนด่านเกวียน เพจคาราวาน เราร่วมกันได้ครับ เงิน 1 บาท 1 ล้าน คุณค่าทางหัวใจเท่ากัน เราช่วยกันตอนเป็นดีกว่าเห็นกันตอนตาย  เชิญชวนเพื่อนพี่น้องร่วมใจบริจาคกันได้ตามจิตศรัทธา


    ทั้งนี้โครงการ ธารน้ำใจ-ภัย COVID-19 เป็นความร่วมมือของบุคคลในวงการพระเครื่อง ศิลปินวงการเพลง และผู้ใหญ่ในวงการบันเทิง อาทิ หงา คาราวาน, แอ๊ด คาราบาว, สีเผือก คนด่านเกวียน , เอกชัย ศรีวิชัย, วงพัทลุง, ศิลปินจากค่ายไผ่ร้อยกอ,วงฟิวส์, รศ.ดร.สุกรี เจริญสุข, พิศาล เตชะวิภาค(ต้อย เมืองนนท์), ฐาปกรณ์ ดิษยนันทน์, กชสร พิพัฒนกุล (ปู มรดกไทย), ชาติชาย สุขไสย และจิระนันท์ พิตรปรีชา     

    ซึ่งวัตถุประสงค์ของโครงการได้สำเร็จลุล่วงในเบื้องต้นกับการจัดหาเตาเผาศพสำรองสำหรับเผาศพผู้ที่เสียชีวิตจากโควิด-19 ซึ่ง พยัพ คำพันธุ์, อ.ไข่ มาลีฮวนน่า  ผู้จัดทำโครงการ ธารน้ำใจ-ภัย COVID-19 พร้อมด้วย นก-บริพันธ์ ชัยภูมิ ผู้บริหาร บริษัท เซเว่นสตาร์ สตูดิโอ จำกัด ผู้ผลิตรายการ ชุมทางดาวทอง, ฐาปกรณ์ ดิษยนันทน์ ค่ายกันตนาฯ และ ดร.มนัส  โนนุช ประธานมูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ ได้ทำการส่งมอบเตาเผาศพสำรอง ให้กับพระครูปลัดไพฑูรย์ ฐิตาวิทูโร เจ้าอาวาสวัดเสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี  เป็นที่เรียบร้อยแล้ว     สำหรับผู้ที่จะร่วมบริจาคสามารถบริจาคได้ที่ ธนาคารกรุงไทย เลขที่ 096 – 0 – 32605 – 7
    #2896


    บริษัท โกล. เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า กำไรสุทธิของบริษัทฯ ในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 มีจำนวน 2,302 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 406 ล้านบาท หรือ 21% เมื่อเทียบกับ ไตรมาสที่ 2 ปี 2563 

    โดยมีสาเหตุหลักจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังน้ำไชยะบุรี และการรับรู้รายได้บางส่วนจากเงินชดเชยค่าประกันภัยของโรงไฟฟ้าโกลว์พลังงาน ระยะที่ 5 และกำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) เพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนค่าก๊าชธรรมชาติที่ปรับตัวลดลง ถึงแม้ว่า กำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าผู้ผลิตอิสระ (IPP) ลดลง เนื่องจากโรงไฟฟ้าเก็คโค่วันมีการหยุดชอมบำรุง

    ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

    เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 2564 กำไรสุทธิของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น 329 ล้านบาท หรือ17 % โดยมีสาเหตุหลักจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังน้ำไชยะบุรี และการรับรู้รายได้บางส่วนจากเงินชดเชยค่าประกันภัยของโรงไฟฟ้าโกลว์พลังงาน ระยะที่ 5 และกำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าผู้ผลิตอิสระ (IPP) ที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่า กำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ลดลง

    เนื่องจากต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับค่าซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น บริษัทฯ รับรู้มูลค่า Synergy จากการควบรวมกิจการสุทธิหลังภาษี จำนวน 436 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 ซึ่งส่วนหลักได้รับจากการบริหารจัดการการผลิตและใช้โครงข่ายไฟฟ้าและไอน้ำร่วมกัน การบริหารส่วนการพาณิชย์ การบริหารจัดการงานจัดซื้อและงานช้อมบำรุงรักษา

    บริษัทประเมินว่า เศรษฐกิจไทย ธนาคารแห่งประทศไยคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2564 มีแนน้มขยายตัวร้อยละ 18 เนื่องจากการระบาดระของ COVD-19 ที่ยึดเยื้อและมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายในประเทศและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ อย่างไรก็ตาม แรงกระตุ้นเติมจาก พ.ร.ก. กู้เงินฯ ฉบับใหม่ แผนการจัดหาและการกระจายวัคในของไทยที่คาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น

    ตลอดจนสินค้าที่ขยายตัวดีขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และการกลับมาเปิดดำเนินการของกิจกรรมเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว จะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยชะลอลงไม่มากนัก และสำหรับปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นที่ร้อยละ 3.9โดยยังได้รับเงินสนับสนุนเศรษฐกิจจากภาค
    คาดว่า ประเทศไทยะสามารถสร้างระดับภูคุ้มกันหมูได้ภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้มากขึ้นภายในปี 2565

    คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ. มีมติตรึงอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า Ft) สำหรับการเรียกเก็บถึงธันวาคม 2564 โดยยังคงเรียกเก็บที่ -15.32 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งทาง กกพ. ให้หตุผลสำหรับการตงค่เอฟทีต่อเนื่องไปอีก 4 เดือน เนื่องจากการของเศรษฐกิจโลกในช่วง 2-3 เดืนที่ผ่านมาส่งผลให้ราคาก๊าชธรรมชาติเนเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าปรับตัวสูงขึ้น หากราคาน้ำมันดิบในตตลาดโลกที่พิ่มขึ้นตามปริมาณความต้องการใช้น้ำมันที่สูงขึ้นทั้งนี้ หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ดังนั้น กกพ. จะจารณาปัจจัยดังกล่าวเพื่อทำให้ค่าไฟามีเสถียรภาพมีความมั่นคง และร่วมขับเคลื่อนตามนโยบายต่างๆของกาครัฐในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ที่ยังคงรุนแรงและขยาย
    พื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างยั่งยืน
    #2897


    ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวอย่างผันผวนในเช้าวันนี้หลังขาดปัจจัยชี้นำที่ชัดเจน ขณะที่นักลงทุนรอดูการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ค.ของสหรัฐในวันนี้

    ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,465.48 จุด ลดลง 1.07 จุด หรือ -0.03%, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 27,709.22 จุด ลดลง 18.90 จุด หรือ -0.07% และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 26,262.97 จุด เพิ่มขึ้น 58.28 จุด หรือ +0.22%

    นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขการจ้างงานจะพุ่งขึ้น 926,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. สูงกว่าที่เพิ่มขึ้น 850,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย.

    สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ ที่เปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 14,000 ราย สู่ระดับ 385,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ส่วนจำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องลดลง 366,000 ราย สู่ระดับ 2.93 ล้านราย ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องอยู่ที่ต่ำกว่าระดับ 3 ล้านรายนับตั้งแต่วันที่ 14 มี.ค.2563

    นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในภูมิภาคที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ ได้แก่ ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนมิ.ย.ของเกาหลีใต้และการใช้จ่ายภาคครัวเรือนเดือนมิ.ย.ของญี่ปุ่น
    #2898


    นางสาวอรชร อุยยามะพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยว่า คาดรายได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จะเติบโตต่อเนื่อง ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับขึ้น โดยบริษัทประเมินสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปีนี้ที่ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งในไตรมาส 2 ปี 2564 เฉลี่ยที่ 66.9 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และคาดว่าในช่วงที่เหลือราคาน้ำมันดิบจะแกว่งในกรอบ 60-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นอกจากนี้ บริษัทยังได้อานิสงส์จากการปรับราคาก๊าซธรรมชาติย้อนหลังตามราคาพลังงานที่สูงขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 อีกด้วย

    สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีนี้ ในประเทศยังเผชิญปัญหาในการเข้าพัฒนาพื้นที่โครงการจี 1/61 (แหล่ง เอราวัณ) แม้บริษัทจะยอมรับเงื่อนไขของผู้รับสัมปทานเดิมแล้วก็ตาม จึงคาดว่าจะไม่สามารถดำเนินการผลิตได้ตามสัญญาที่ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (MMSCFD)  โดยบริษัทได้จัดทำแผนรับมือเพื่อลดผลกระทบ รวมถึงเพิ่มกำลังการผลิตในแหล่งอื่นบริเวณอ่าวไทยเข้ามาชดเชย รวมถึงการเตรียมแท่นผลิตในกรณีที่สามารถเข้าพื้นที่ได้ในระยะถัดไป

    ส่วนโครงการจี 2/61 (แหล่งบงกช) คาดว่าจะดำเนินการได้ตามแผน จากปัจจุบันที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและติดตั้งแพลตฟอร์ม โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน พ.ย.2564 นอกจากนี้ บริษัทได้เตรียมความพร้อมขุดเจาะและเจรจาซื้อขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    ขณะที่ในต่างประเทศ คาดว่าจะเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตโครงการ Oman Block 61 ในโอมานเต็มที่ 1,500 MMSCFD ซึ่งจะส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6.9 หมื่นบาร์เรลต่อวัน ส่วนโครงการฮาสสิ เบอร์ราเคซ (HBR) ในแอลจีเรียคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ กำลังการผลิต 1-1.3 หมื่นล้านบาร์เรลต่อวัน

    สำหรับโครงการลัง เลอบาห์ (Lang Lebah) ในมาเลเซียคาดว่าจะตัดสินใจขั้นสุดท้าย (FID) ได้ตามแผน และจะเริ่มดำเนินการขุดเจาะได้ภายในปี 2565 ปัจจุบันอยู่ระหว่างปรับแผนพัฒนาให้สอดคล้องกับปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ค้นพบเพิ่มขึ้น ส่วนโครงการซาราวัก SK438 และ PM407 อยู่ระหว่างประเมินศักยภาพทางปิโตรเลียม


    ในการนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายปี2573 ธุรกิจใหม่ ได้แก่ ธุรกิจเทคโนโลยี ธุรกิจไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน และธุรกิจพลังงานทางเลือก จะมีกำไรสุทธิ 20% ส่วนธุรกิจหลักคือการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) ซึ่งเป็นธุรกิจเดิมจะลดสัดส่วนลงเหลือ 80%

    ทั้งนี้ บริษัทประเมินยอดขายไตรมาส 3 ปี 2564 จะลดลงเหลือ 4.05 แสนบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงโรงงานแยกก๊าซของ บมจ.ปตท. (PTT) แต่คาดว่ายอดขายทั้งปีจะทำได้ตามเป้าหมายที่ 4.12 แสนบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น จากปี 2563 หนุนให้อัตราส่วนกำไรก่อนหักดอกเบี้ยภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายขั้นต้น (EBITDA Margin) เติบโตตามเป้าหมายที่ 70-75%
    #2899


    ประเทศไทยได้ก้าวสู่ยุคแห่งนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยุคที่ทั้งผู้คนและภาคธุรกิจต่างยอมรับเทคโนโลยีขั้นสูงต่าง ๆ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ถึงกระนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นถือว่ารวดเร็วเสียจนบางทีก็เร็วเกินกว่าเมืองที่เราอาศัยอยู่จะปรับตัวได้ทัน

    อีกเพียงไม่นาน ประเทศไทยจะขยับเข้าใกล้ความเป็นไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งผู้บริหารของเมืองต่าง ๆ ในประเทศกำลังมองหาหนทางที่จะประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอันทันสมัย เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาพื้นที่ในปกครองของตน สิ่งนี้ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ปรากฏอยู่ในแผนงานพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City Plan) ซึ่งมีเป้าหมายในการพัฒนาเมือง 100 แห่งทั่วประเทศไทยให้กลายเป็นเมืองอัจฉริยะภายในปี 2565 และยังช่วยให้ประเทศได้ตระหนักถึงเป้าหมายในการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว

    กระนั้นก็ดี การแพร่ระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ยิ่งทำให้ดิสรัปชั่นดังกล่าวเป็นไปอย่างรวดเร็วและชัดเจนยิ่งขึ้น การพัฒนาเมืองอัจฉริยะไม่สามารถให้ความสำคัญแต่เพียงเรื่องของการเปลี่ยนสู่ความเป็นดิจิทัลเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่สามารถปรับระดับขีดความสามารถ และสามารถใช้ในสถานการณ์จริงได้ด้วย

    การแพร่ระบาดของโควิด-19 นี้ได้สอนพวกเราว่าความยั่งยืนควรเป็นปัจจัยสนับสนุนในการก่อร่างสร้างตัวของเมืองอัจฉริยะ ซึ่งจะทำเช่นนั้นได้เมืองเหล่านั้นจะต้องเข้าถึงจุดที่เป็นสามารถเชื่อมต่อหากันได้ทุกมิติ (hyperconnected maturity)

    อะไรที่ช่วยทำให้เมืองเกิดการเชื่อมต่อในทุกมิติได้

    โดยพื้นฐานนั้น เมืองที่มีการเชื่อมต่อในทุกมิติ หรือ hyperconnected city จะสามารถปลดล็อคค่านิยมทางด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจ และสังคมที่มีความสำคัญได้ด้วยการผลักดันการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเปลี่ยนแปลงและเชื่อมต่อในจุดที่สำคัญต่อระบบนิเวศเมืองให้กับประชากรด้วยความรอบคอบ สิ่งที่ทำจะต้องเป็นมากกว่าแนวความคิดทั่วไปของการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ซึ่ง hyperconnected city จะให้ความสำคัญกับการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี ขณะเดียวกันก็ยังเชื่อมต่อกับหน่วยงานรัฐบาล สถานประกอบการธุรกิจ สถาบันการศึกษา และประชาชน เพื่อปรับปรุงพัฒนาในการส่งมอบบริการอัจฉริยะต่าง ๆ ซึ่งทำได้โดยผ่านการกำหนดองค์ประกอบหลักทั้งสี่ ที่เมืองเหล่านั้นจะสามารถรับรู้ถึงผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

    แต่ว่าเราจะประเมินความแข็งแกร่งของการเชื่อมต่อระหว่างองค์ประกอบทั้งสี่ในเมือง ๆ หนึ่งได้อย่างไร และองค์ประกอบสี่อย่างนั้นมีอะไรบ้าง จากรายงานเรื่อง Building a Hyperconnected City ที่โนเกียได้ทำงานร่วมกับ ESI ThoughtLab การเชื่อมต่อจะต้องถูกประเมินโดยพิจารณาสี่องค์ประกอบหลักของการเปลี่ยนแปลงเมือง ได้แก่ เทคโนโลยี ข้อมูลและการวิเคราะห์ ความปลอดภัยทางด้านไซเบอร์ และประชากรที่เชื่อมโยงถึงกัน



    บนพื้นฐานขององค์ประกอบหลักทั้งสี่นั้น เราระบุได้ว่าในปัจจุบันภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมี 20 เมืองที่สามารถถูกจัดกลุ่มให้เป็น hyperconnected city ได้ ขณะที่แต่ละเมืองได้เข้าถึงบางส่วนของการเชื่อมต่อระหว่างองค์ประกอบหลักต่าง ๆ นั้น เมืองเหล่านั้นก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่จากระดับวุฒิภาวะในการเข้าถึงการเชื่อมต่อที่ต่างกัน อย่างเช่นกรุงเทพมหานครก็เป็นหนึ่งในเมืองเหล่านั้นและได้สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลมีการดำเนินการที่เหมาะสมและเป็นลำดับขั้นตอนอย่างไรในการพัฒนาสู่ความเป็นเมืองอัจฉริยะ ถึงอย่างไรก็ตาม เมืองไทยยังเฝ้ารอโอกาสในการส่งเสริมการพัฒนาในขอบเขตที่กว้างขวางขึ้น ดังเห็นได้จากความพยายามที่จะพัฒนาพื้นที่สำคัญ ๆ ของประเทศ อย่างโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ที่เป็นความร่วมมือขององค์กรภาครัฐและเอกชน ผู้บริหารเมือง เอ็นจีโอ และสถาบันการศึกษา

    การยอมรับ IoT ของประเทศไทย

    Hyperconnected city ทั้งหลายกำลังขยายขอบข่ายการใช้งานเทคโนโลยีขั้นสูงไปทั่วทั้งระบบนิเวศเมือง ขณะนี้ทั้ง 20 เมืองที่กล่าวถึงข้างต้นกำลังเร่งเดินหน้าให้เกิดการยอมรับความก้าวหน้านี้ด้วยการปรับพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล การสื่อสารโทรคมนาคม และโซลูชั่นเทคโนโลยีด้าน Mobility เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงแบบองค์รวม

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีไอโอที (IoT: Internet of Things) และการยอมรับเทคโนโลยีดังกล่าวในเมืองต่าง ๆ ทั่วเอเชียทั้งประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา ที่มุ่งไปสู่ความเจริญแบบเมืองอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประชากรมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น และคนอาศัยอยู่ในเมืองมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ความยั่งยืนในแบบเมืองจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อการสร้างสถานที่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีและปลอดภัยต่อการอยู่อาศัยและทำงานให้กับชาวเมือง และ IoT สามารถช่วยให้เมืองเหล่านี้ใช้เครื่องมือดิจิทัลที่สามารถช่วยเพิ่มศักยภาพการใช้งานโครงสร้างพื้นฐานในปัจจุบัน (และในอนาคต) ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างสูงสุด

    ประเทศไทยกำลังขยายการใช้งาน IoT ให้แพร่หลายอย่างรวดเร็ว การยอมรับการใช้งานในขอบข่ายนี้ได้รับความสนใจอย่างมากในภาคส่วนหลัก ๆ ของประเทศ อาทิ ภาคการผลิต โลจิสติกส์ และการขนส่ง ที่ยังนับรวมไปถึงด้านบริการสาธารณะต่าง ๆ ด้วย เช่น มาตรการที่เคยดำเนินการโดยบริษัทไปรษณีย์ไทยที่จะประยุกต์ใช้งาน IoT ในการสร้างกล่องไปรษณีย์อัจฉริยะ (smart mailboxes) ที่มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของบริการไปรษณีย์ทั่วประเทศ

    จากงานวิจัยของโนเกีย กรุงเทพฯ และเมืองอื่น ๆ อีก 19 แห่งที่ได้รับการสำรวจ ต่างมองหาลู่ทางที่จะขับเคลื่อนการใช้งาน IoT ต่อไปในระยะสามปีข้างหน้านี้ เมืองเหล่านี้เองยังได้มีการจัดให้ IoT มีความสำคัญในลำดับต้น ๆ ในแง่ของการสร้างข้อมูลที่มีประโยชน์ที่สามารถนำไปใช้งานเพื่อการปรับพัฒนาการบริหารจัดการเมืองให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

    เพิ่มศักยภาพความเป็นเมืองอัจฉริยะของไทยด้วยการบริหารข้อมูล

    Hyperconnected city ทั้งหลายใช้เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำอย่าง IoT เพื่อกระตุ้นการใช้ข้อมูลที่หลากหลายในวงกว้างให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ที่มีส่วนร่วมในการบริหารเมือง ซึ่งประกอบไปด้วยข้อมูลแบบดั้งเดิม อาทิ ข้อมูลที่รวบรวมมาจากส่วนงานต่าง ๆ ของเมือง สถานประกอบการท้องถิ่น และการสำรวจประชากร และข้อมูลรูปแบบใหม่ เช่น จากระบบตรวจจับด้วย IoT ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแม้กระทั่งที่ได้มาจากโซเชียลมีเดีย

    ด้วยการผสานการใช้งานทั้งเทคโนโลยีขั้นสูงและข้อมูลที่นำไปใช้ได้จริงจากแหล่งต่าง ๆ hyperconnected city จะช่วยพัฒนาการบริหารและความยั่งยืนของเมืองได้ ตัวอย่างเช่น เมืองส่วนใหญ่ที่เราได้ทำการสำรวจไปนั้นมีการปรับใช้ข้อมูลเพื่อบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโทรคมนาคม โดยขณะที่กึ่งหนึ่งกำลังใช้งานเทคโนโลยีเหล่านี้ในด้านบริการและระบบทางด้านการเงิน การรับส่งข้อมูลแบบเคลื่อนที่ (mobility) และการคมนาคมขนส่ง เช่นเดียวกับงานระบบรักษาความปลอดภัย (ทั้งทางกายภาพและดิจิทัล) ขณะเดียวกัน ส่วนที่สามของการใช้งานข้อมูลเหล่านั้นก็เป็นไปในเรื่องของความปลอดภัย การสาธารณสุข และการส่งเสริมสุขภาพที่ดีของประชาชนในเมืองนั้น ๆ

    สำหรับประเทศไทย มีความพยายามที่จะผลักดันให้เกิดการใช้งานข้อมูลเหล่านี้ให้เป็นรูปธรรมชัดเจนยิ่งขึ้นในเมืองต่าง ๆ ซึ่งสิ่งสำคัญเหนืออื่นใด คือไม่ได้เกิดขึ้นแต่เพียงในหัวเมืองใหญ่ ๆ อย่างเช่นกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นในอีกหลาย ๆ จังหวัด เช่น ชลบุรี และ ระยอง เป็นต้น

    Hyperconnectivity - เมื่อการเชื่อมต่อในทุกมิติช่วยสร้างผลกำไรตอบแทนได้มากยิ่งขึ้น

    นอกเหนือจากการรับมือกับความท้าทายในเรื่องความยั่งยืนของเมืองโดยตรงแล้ว ผู้บริหารเมืองนั้น ๆ ยังต้องกระตุ้นให้เกิดการลงทุนสำหรับเมืองอัจฉริยะเพื่อสร้างผลกำไรตอบแทนให้ได้มากที่สุด เราเชื่อว่าการจะก้าวสู่สภาวะที่สามารถเชื่อมต่อได้ในทุกมิตินั้น เมืองอัจฉริยะจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการที่สร้างผลตอบแทนที่จับต้องได้โดยต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ทางด้านธุรกิจ เศรษฐกิจ การเงิน สังคม และสิ่งแวดล้อม



    อย่างไรก็ดี เมืองทั้งหลายยังต้องทำความเข้าใจว่าการลงทุนในเรื่องอะไรที่จะสามารถสร้างผลกำไรตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุดได้ โดยอ้างอิงจากงานวิจัย โครงการธรรมาภิบาล ถือเป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในบรรดาการลงทุนด้านอื่น ๆ ภายในระบบนิเวศเมือง ขอยกตัวอย่างโดยเลือกโครงการที่เกี่ยวกับธรรมาภิบาลอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับเมืองต่าง ๆ ที่พึ่งจะเริ่มนำโซลูชั่นเพื่อการเชื่อมต่อแบบครบวงจรมาใช้งานจะเห็นว่ามีตัวเลขผลกำไรตอบแทนโดยเฉลี่ยที่ร้อยละ 2.6 ในขณะที่หัวเมืองชั้นนำที่มีความคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวมากกว่า ตัวเลขผลกำไรตอบแทนโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ร้อยละ 5.6 และไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจที่ในทางกลับกัน hyperconnected city ที่อยู่ในการสำรวจของเรายังเป็นเมืองที่มีการให้บริการต่าง ๆ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-service) และโปรแกรมต่าง ๆ ในระดับสูงที่ช่วยมอบประสบการณ์ที่ดีกว่าในการใช้ชีวิตแบบคนเมือง ดังนั้น เมื่อเมืองต่าง ๆ มีการเชื่อมต่อที่เข้าถึงได้ในทุกมิติมากขึ้น เครือข่ายที่เชื่อมต่อนั้นจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่หลากหลายได้ด้วย

    กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในเมืองที่มองหาโอกาสเพื่อดึงการลงทุนที่มีมูลค่าสูงให้เพิ่มมากขึ้นผ่านโร้ดแม็ปของแผนยุทธศาสตร์ชาติไทยแลนด์ 4.0 ที่รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของเมืองในด้านบริการสาธารณะ การคมนาคมขนส่ง และการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังได้ผลักดันการสาธารณสุขของประเทศสู่อนาคตด้วยการเริ่มนำบริการด้านสุขภาพทางไกล (telehealth) บนเครือข่าย 5G มาใช้งานตั้งแต่ระยะแรกของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อีกด้วย โดยขณะที่เป้าประสงค์พื้นฐานของการนำระบบนี้มาใช้คือเพื่อลดภาระให้กับบุคลากรด่านหน้า และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการสาธารณสุขแล้ว การปรับเปลี่ยนที่เกิดขึ้นนี้ยังช่วยสนับสนุนภาคการสาธารณสุขในภาพรวม ซึ่งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบสุขภาพภาคเอกชนสามารถใช้ประโยชน์เพื่อเสริมสร้างความเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคในวงการอุตสาหกรรมนี้ของประเทศด้วย

    ผู้มีส่วนในการบริหารเมืองของประเทศไทยต้องให้ความสำคัญและมองหาหนทางที่คุ้มค่ามากยิ่งขึ้นในระยะยาว

    ณ ตอนนี้ ประเทศไทยกำลังเข้าใกล้ความเป็นเมืองอัจฉริยะที่มีการเชื่อมต่อในทุกมิติยิ่งกว่าเดิม โดยกรุงเทพฯ ถือเป็นเมืองชั้นนำในการปรับเปลี่ยนที่ว่านี้ อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารเมืองต่าง ๆ จะต้องมีการฝึกทักษะด้านความอดทน นั่นคือพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับการบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อน แพลตฟอร์มที่หลากหลาย ความต้องการข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ และการประยุกต์ใช้ให้เข้ากับความต้องการของเมือง

    แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่า และนำไปใช้ได้กับทุกเมืองคือ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในจุดไหนของการพัฒนาความเป็นเมืองอัจฉริยะก็ตาม ผู้บริหารเมืองจะต้องทำให้แน่ใจได้ว่าประชนชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของเมืองให้การสนับสนุน โดยการปรับปรุงในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนถือเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของแผนงานการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน

    การสร้างเมือง hyperconnected city จำเป็นต้องใช้เวลาพอสมควร หากแต่ผลที่ได้นั้นถือว่าคุ้มค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำไปสู่การปรับปรุงสวัสดิการด้านสังคมเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ความยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อม อีกทั้งการขับเคลื่อนให้เมืองเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และการใช้ประโยชน์จากผลพลอยได้อื่น ๆ ที่เพิ่มมากขึ้นด้วย และเพื่อให้ถึงเป้าหมายนั้น ประเทศไทยได้วางมาตรการเชิงรุกต่างๆ ไว้รองรับแล้ว ดังนั้น ผู้บริหารเมืองต่างๆ ควรจะมองหาโอกาสที่จะส่งเสริมให้บรรลุวัตถุประสงค์ของแผนยุทธศาสตร์ชาติไทยแลนด์ 4.0 ที่เกี่ยวข้องกับแนวทางเพื่อการเป็นเมืองอัจฉริยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อภูมิทัศน์ทางด้านสังคมและธุรกิจของประเทศได้วิวัฒน์ไปเพื่อการสร้างอุปสงค์ใหม่ในอนาคต