• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Panitsupa

#2861


ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 282.12 จุด หรือ 0.79% ปิดที่ 35,343.28 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 31.63 จุด หรือ 0.71% ปิดที่ 4,448.08 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 137.58 จุด หรือ 0.93% ปิดที่ 14,656.18 จุด


กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกดิ่งลง 1.1% ในเดือนก.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 0.3%

ยอดค้าปลีกที่ซบเซาในเดือนก.ค. โดยรับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา รวมทั้งการที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลได้หมดอายุลง

ส่วนยอดค้าปลีกพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมยอดขายรถยนต์ น้ำมัน วัสดุก่อสร้าง และอาหาร ดิ่งลง 1.0% ในเดือนก.ค. หลังจากพุ่งขึ้น 1.4% ในเดือนมิ.ย.


ดัชนีดาวโจนส์ยังถูกกดดันจากการร่วงลงกว่า 4% ของราคาหุ้นโฮม ดีโปท์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ซึ่งแม้เปิดเผยกำไรและรายได้ในไตรมาส 2 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ แต่บริษัทเปิดเผยว่า ลูกค้าที่เดินทางเข้าร้านเพื่อซื้อสินค้าประเภท DIY หรือ do-it-yourself มีจำนวนลดลงถึง 5.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว


นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีความวิตก หลังสหรัฐเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านร่วงต่ำสุดรอบ 1 ปีในเดือนส.ค.

สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (เอ็นเอเอชบี) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านลดลง 5 จุด สู่ระดับ 75 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2563

การร่วงลงของดัชนีความเชื่อมั่นมีสาเหตุจากสต็อกบ้านที่มีจำกัด การขาดแคลนแรงงาน รวมทั้งการพุ่งขึ้นของราคาบ้าน และต้นทุนในการก่อสร้าง

อย่างไรก็ดี ดัชนีความเชื่อมั่นยังคงปรับตัวเหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงมุมมองทั่วไปที่เป็นบวก โดยดัชนีความเชื่อมั่นต่อยอดขายในช่วง 6 เดือนข้างหน้าทรงตัวที่ระดับ 81 แต่ดัชนีความเชื่อมั่นต่อยอดขายในปัจจุบันร่วงลงสู่ระดับ 60

ขณะเดียวกัน ตลาดกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจทำการประกาศในเดือนหน้าเกี่ยวกับไทม์ไลน์ในการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) และจะเริ่มทำการปรับลดคิวอีในเดือนต.ค.

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยรายงานการประชุมของเฟดประจำเดือนก.ค.ในวันพรุ่งนี้ รวมทั้งการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค. โดยคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินคิวอีในการประชุมดังกล่าว
#2862


หลังจากมีการเผยแพร่คลิปชาวสวนลำไยลำพูน ใช้ไม้ฟาดลูกลำไยให้ร่วงลงพื้นที่ พร้อมระบายความอัดอั้นตันใจ ทำนองว่าประสบปัญหาราคาลำไยตกต่ำ จนเก็บขายไม่ได้เพราะไม่คุ้มทุน จึงนำไม้มาฟาดลูกลำไยให้ร่วงลงพื้นที่เป็นปุ๋ยแทน ซึ่งหลังจากที่มีการแชร์ภาพดังกล่าวโลกโซเชียลฯต่างมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง ส่วนใหญ่เห็นใจชาวสวนที่ประสบปัญหาราคาลำไยตกต่ำ

ล่าสุดวันนี้(18 ส.ค.64) ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปพบนายพีรพัฒน์ อยู่ท้วม อายุ49 ปี ชาวส่วนลำไย ต.ป่าไผ่ อ.ลี้ จ.ลำพูน ที่ปรากฏอยู่ในคลิปภาพ ซึ่งได้เปิดเผยว่า วันนั้นตนออกไปขายลำไยปรากฏราคาลำไยตกลงมามาก เกรด AA เหลือกิโลกรัมละ 12 บาท เกรด A กก.ละ 4 บาท เกรด B กก.ละ 2 บาท ส่วนเกรด C ไม่รับซื้อ และหลายล้งหลายโรงงานยังหยุดรับซื้ออีกด้วย

หลังจากนั้นตนจึงมาเจราจาขอลดค่าแรงกับคนเก็บลำไย(แบบรูดร่วง)จากกิโลกรัมละ 3 บาท เหลือ 2 บาท แต่ก็ไม่เป็นผลจึงต้องยอมทนไป สุดท้ายเมื่อนำลำไยไปขายหักค่าแรงคนเก็บลำไยแล้วเหลือเพียงไม่กี่ร้อยบาท หากหักค่าปุ๋ย-ค่าแรงที่ทำมาทั้งปี ถือว่าขาดทุนอย่างมากมาย

"ตอนนั้นไม่รู้จะระบายความอัดอั้นตันใจยังไง จึงใช้ไม้ฟาดลูกลำไยให้ร่วงเป็นปุ๋ยแทน และมีคนถ่ายคลิปแล้วนำไปแชร์บนโลกโซเชียลฯจนมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง"

ด้านนายฉัตรนิพัฒน์ สิงห์คำโต อายุ 55 ปี ชาวสวนลำไยเปิดเผยว่าราคาลำไยปีนี้ถือว่าตกต่ำเป็นประวัติการณ์ ชนิดที่ว่าไม่เคยตกต่ำแบบนี้มาก่อน เมื่อวาน(17 ส.ค.)เอาลำไยไปขายตันครึ่ง ได้เงินมา 6,000 กว่าบาทจ่ายค่าคนงาน-ค่ารถ หักแล้วเหลือพันกว่าบาท ทั้งที่ทำมาทั้งปี ค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าแรง ยังไม่ได้ ถือว่าขาดทุนอย่างหนัก

"เคยมีรอบที่แย่ที่สุดคือ ขายลำไยได้เงินมา 720 บาท หักค่าคนงานค่ารถแล้วเหลือเงินถึงตนเองแค่ 20 บาท ตอนนี้ตอนนี้เป็นหนี้เกือบล้านบาทเพราะกู้เงินมาลงทุนทำสวนหลายแปลง และทำใจแล้วเก็บได้เท่าที่เก็บได้และต้องปล่อยให้ลำไยเน่าคาต้นหลายสิบไร่เพราะไม่มีทางเลือกอื่น"

ด้านนางทิวาพร ทรงประสิทธิ์พาณิชย์ รองนายกเทศมนตรีตำบลปาไผ่ อ.ลี้ จ.ลำพูน ซึ่งเป็นเจ้าของโรงร่อนลำไยและยังเป็นชาวสวนลำไยเองด้วย เปิดเผยว่าปัญหาลำไยราคาตกต่ำมีทุกปี แต่ปีนี้หนักสุด ล้งทั้งอ้างโควิด อ้างไม่ได้สเปกส่งออกและอีกสารพัด กดราคา เอาลำไยเกรดดีๆแต่ไม่เคยคุยเรื่องราคา

"ที่ผ่านมาเกษตรกรถูกกดหัวมาตลอด ซ้ำปีนี้ยังเจอโควิด-19 ระบาดในพื้นที่อีก ทำให้แรงงานขาดแคลน เกษตรกรต้องปล่อยลำไยเน่าคาต้นคาสวน จึงอยากขอวิงวอนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนลำไยที่อำเภอลี้ด้วย เพราะถือว่าเป็นแหล่งผลิตลำไยคุณภาพและมีชาวสวนลำไยมากเป็นอันดับต้นๆของจังหวัดลำพูน ระยะยาวอยากให้รัฐบาลประกันราคาลำไยและลงมาเจรจากับผู้ส่งออกลำไยเพราะในระดับล่างไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้"
#2863


นายณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย กล่าวว่า แม้เผชิญวิกฤติการณ์ใดๆ ก็ตาม  เซ็นทรัลพัฒนา มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยไม่หยุดการลงทุนพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ หรือ มิกซ์ยูส ซึ่งรอบ 40 ปีที่ผ่านมาได้มีการลงทุนขยายโครงการต่างๆ ไปทั่วประเทศ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและยกระดับท้องถิ่น เป็นฟันเฟืองสำคัญในการสร้าง "Local Wealth" ในทุกจังหวัด ด้วยการเพิ่มการจ้างงาน ขยายโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ให้ผู้ประกอบการ สร้างรายได้หมุนเวียนให้ท้องถิ่น ภายใต้การเป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตของทุกชุมชน หรือ  "Community at Heart"

ทั้งนี้ ได้เตรียมเปิดบริการ "เซ็นทรัล ศรีราชา" อย่างเป็นทางการวันที่ 27 ต.ค. นี้ นับเป็นโครงการมิกซ์ยูสที่ครบครันและใหญ่สุดในภาคตะวันออก มีการออกแบบพื้นที่ให้ใกล้ชิดธรรมชาติในรูปแบบ Semi-Outdoor 

"การขยายโครงการใหม่นี้ เราได้ช่วย Business Matching กับ Local Investors เพื่อให้ผู้ประกอบการท้องถิ่น พันธมิตรคู่ค้าระดับประเทศมีโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน  พร้อมออก Flexible Leasing Programme เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการช่วยเหลือร้านค้าผู้เช่า ช่วยลดภาระ ผ่อนคลายความกังวลเรื่องผลประกอบการในช่วงเปิดร้านใหม่หรือในช่วงปีแรก"



ช่วงวิกฤติโควิดนี้ เซ็นทรัลพัฒนา มีการช่วยเหลือผู้เช่าและคู่ค้ารอบด้านแบบ 360 องศา ทั้งการลดและยกเว้นค่าเช่าตามสถานการณ์ การเข้าถึงสินเชื่อฟื้นฟู Multi-Bank 7 ธนาคาร อีกทั้งแผนการตลาดแพลตฟอร์มใหม่ เช่น  The 1 Biz ซึ่งเป็น Effective CRM เพิ่มยอดขายให้ผู้เช่า และ Central Pattana Serve Application ให้ความช่วยเหลืออย่างครบวงจร

สำหรับ "เซ็นทรัล ศรีราชา" จะเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่บนทำเลศักยภาพ "อีอีซี" ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์แห่งอนาคต ภายใต้คอนเซ็ปต์ "Innovation Oasis : ล้ำอย่างลงตัว" ประกอบด้วยศูนย์การค้ารูปแบบ Semi-Outdoor แห่งแรกนอกกรุงเทพฯ คอนเวนชั่นฮอลล์ โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ อาคารสำนักงาน เอ็ดดูเคชั่น เซ็นเตอร์ และ คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วย Eco-Friendly Mall ใส่ใจการใช้ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมตั้งแต่เริ่มก่อสร้างโครงการ พร้อมจัดการพลังงานด้วย Giant Green Wall, Solar Rooftop นำพลังงานกลับมาใช้ใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยแนวคิด Zero Waste เปลี่ยนขยะให้เป็นศูนย์ ตอบรับไลฟ์สไตล์ด้วย "Thematic Lifestyle Mall"
#2864


นางพรนิจ ตุลย์วัฒนจิต ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL)เปิดเผยว่า ธนาคารได้เข้าร่วมให้บริการเป็นธนาคารแรก และทำหน้าที่เป็น Settlement Bank (ธนาคารที่รับผิดชอบการชำระดุลสำหรับธุรกรรมระหว่างประเทศ) ในการให้บริการ Cross-Border QR Payment ระหว่างประเทศไทยและอินโดนีเซีย โดยบริการ Cross-Border QR Payment เป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ ธนาคารกลางประเทศอินโดนีเซีย (Bank Indonesia) เพื่อให้บริการ Cross-Border QR Payment ระหว่าง 2 ประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และเติมเต็มโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินระหว่างประเทศให้สามารถเชื่อมโยงกันได้ทั้ง Ecosystem ภายใต้มาตรฐานเดียวกันทั่วทั้งภูมิภาคด้วยการส่งเสริมที่ดีจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะผู้กำกับดูแลธุรกิจสถาบันการเงินในประเทศไทย ขณะเดียวกันนับเป็นนวัตกรรมทางการเงินที่ใช้ QR Code ในการชำระค่าสินค้าและบริการ ช่วยอำนวยความสะดวก สร้างประสบการณ์ที่ดี และช่วยลดต้นทุนทางการเงินระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ ภายใต้การเชื่อมโยงระบบการชำระเงินดังกล่าว ลูกค้าสามารถใช้แอปพลิเคชัน Bangkok Bank Mobile Banking สแกนเพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการในประเทศอินโดนีเซีย รวมถึงลูกค้าของธนาคารในประเทศอินโดนีเซียที่เข้าร่วมบริการ เช่น Permata Bank เป็นต้น สามารถชำระค่าสินค้าและบริการต่าง ๆ ในประเทศไทยได้อย่างสะดวกและปลอดภัยเช่นกัน ทั้งยังลดความยุ่งยากในการแปลงสกุลเงิน เนื่องจากลูกค้าจะชำระเป็นเป็นสกุลเงินของประเทศตัวเองและร้านค้ารับเป็นสกุลเงินท้องถิ่นของประเทศตัวเองเช่นกัน นอกจากนี้ลูกค้าผู้ชำระเงินจะได้รับอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีกว่าการชำระด้วยบัตรเครดิตหรือเดบิต

สำหรับระบบ QR Payment ถือเป็นรูปแบบการชำระเงินที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางและเป็นเครื่องมือสำคัญในการรับชำระเงินของร้านค้าต่าง ๆ ทั้งในประเทศไทยและประเทศอินโดนีเซีย เนื่องจากสามารถช่วยเพิ่มยอดขายให้แก่ธุรกิจร้านค้าช่วยให้ไม่พลาดโอกาสการขายกรณีที่ลูกค้าอาจไม่ได้พกเงินสดไว้เพียงพอต่อการซื้อสินค้า ขณะที่ผู้บริโภคคุ้นชินในความสะดวกสบายของการทำธุรกรรมผ่าน QR Code เพิ่มมากขึ้น เพราะมีร้านค้าที่พร้อมให้บริการเป็นจำนวนมาก และช่วยลดการสัมผัสเงินสดซึ่งอาจมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อีกด้วย โดยในประเทศไทยมีปริมาณธุรกรรมผ่าน Thai QR Payment ในปี 2563 มากถึง 13.39 ล้านรายการซึ่งเติบโตขึ้นจากปี 2562 ถึง 49.14%

นางพรนิจ กล่าวอีกว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในปัจจุบัน อาจยังเป็นข้อจำกัดสำคัญในการเดินทางท่องเที่ยวหรือติดต่อธุรกิจ ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ดังนั้น บริการ Cross-Border QR Payment อาจจะตอบโจทย์ความต้องการใช้งานได้เฉพาะกลุ่ม เช่น ชาวอินโดนีเซียที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย หรือชาวไทยที่ทำงานในอินโดนีเซีย รวมถึงกรณีการสั่งซื้อสินค้าข้ามประเทศผ่านระบบออนไลน์ อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง คาดว่าการเดินทางและการท่องเที่ยวในระดับภูมิภาคจะเริ่มฟื้นตัวกลับมา โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวสำคัญหรือเมืองเศรษฐกิจ และเชื่อมั่นว่าบริการ Cross-Border QR Payment จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากสอดคล้องกับพฤติกรรม New Normal ที่ลดการสัมผัสสิ่งของต่างๆ และหันมาทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น

"การให้บริการ Cross-Border QR Payment สำหรับประเทศไทยและประเทศอินโดนิเซียในครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จในการพัฒนาการให้บริการ Cross-Border QR Payment ผ่านช่องทาง Mobile Banking ของธนาคารอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ได้ริเริ่มการให้บริการสำหรับประเทศไทยและเวียดนาม ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของธนาคารกรุงเทพในฐานะ "เพื่อนคู่คิด" ที่พร้อมเดินหน้าสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านระบบการชำระเงินข้ามประเทศในระดับภูมิภาค เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการทำธุรกรรมชำระเงินให้แก่ลูกค้า สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของการเป็น "ธนาคารผู้นำระดับภูมิภาค" อีกด้วย" นางพรนิจ กล่าว
#2865


รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมเป็นประธาน วันนี้ (18 ส.ค.) จะมีการพิจารณาวาระที่น่าสนใจหลายวาระ โดยกระทรวงสาธารณสุขเตรียมที่จะเสนอความคืบหน้าในการจัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์ 20 ล้านโดส รวมทั้งขออนุมัติวงเงินจาก ครม.เพื่อวางมัดจำวัคซีนจำนวนดังกล่าว โดย วัคซีนลอตแรกที่จะสามารถจัดส่งให้ไทยได้จะอยู่ในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ โดยอยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการตามสัญญา ส่วนที่จะจัดซื้อเพิ่มเติมอีก 10 ล้านโดสอยู่ระหว่างการดำเนินการเจรจา 


กระทรวงเกษตรฯขออนุมัติปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณจากรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณได้กันเงินไว้และไม่สามารถเบิกจ่ายได้กันเงินไว้และไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทัน มาดำเนิน รายการค่าซื้อที่ดิน ค่าทดแทน ค่ารื้อย้ายในการจัดหาที่ดินเพื่อการชลประทาน


ส่วนวาระเพื่อทราบที่น่าสนใจสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ การพัฒนาระบบนิเวศน์ทางกฎหมายเพื่อเร่งรัดให้เกิดรัฐบาลดิจิทัล (Digital goverment)

กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมถุงมือสำหรับการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ ชนิดใช้ครั้งเดียวต้องเป็นไปตามมาตราฐาน พ.ศ...

กระทรวงสาธารณสุขเสนอผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การบริการสุขภาพปฐมภูมิ (Primary Health Care) ของคณะกรรมการสาธารณสุข วุฒิสภา

กระทรวงทรัพยากรจะเสนอ มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2 / 2564

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะเสนอความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือน กรฎาคม 2564

และ กระทรวง พม.เสนอขออนุมัติวันอาสาสมัครสากล (International Volunteer Day : IVD)

สำหรับความคืบหน้าของการจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ประกันตนในพื้นที่ 29 จังหวัดที่ ศบค.ได้มีการขยายมาตรการล็อกดาวน์ไปจนถึงวันที่ 31 ส.ค.2564 นั้น ล่าสุดนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เปิดเผยว่าการเยียวยาผู้ประกันตนในส่วนที่สถานประกอบการถูกสั่งปิดให้สามารถยื่นขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากสำนักงานประกันสังคมในพื้นที่ได้ 

ส่วนการอนุมัติความช่วยเหลือเงินกู้เพิ่มเติมให้กับผู้ประกันตนใน 9 สาขาอาชีพ ที่ได้รับผลกระทบจากการล็อคดาวน์นั้นยังอยู่ในกรอบระยะเวลาการช่วยเหลือที่ได้เสนอขอไปยังคณะกรรมการกลั่นกรองเงินกู้ฯแล้วซึ่งยังไม่จำเป็นต้องขออนุมัติเิพิ่มเติมเนื่อจากอยู่ในระยะเวลา 1 เดือนเช่นกัน 

อย่างไรก็ตามใน 16 จังหวัดที่ ม.39 - ม.40 ขณะนี้ยังเปิดให้ลงทะเบียนถึงวันที่ 24 ส.ค.เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือให้กับผู้ได้รับสิทธิ์คนละ 5,000 บาทต่อไป 
#2866


นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ช่วงไตรมาส 2 ปี2564 สถานกาณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 รุนแรงกว่าไตรมาสแรกส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจถดถอยต่อเนื่่อง และยังไม่มีความชัดเจนถึงการฟื้นตัวภายในปี 2564 ส่งผลกระทบต่อการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ การขยายตัวของสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ และการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องภาพรวมของทั้งประเทศ พบว่าการเพิ่มขึ้นของอุปทานใหม่ลดจำนวนลงมาก ในส่วนของหน่วยที่ได้รับอนุญาตจัดสรรทั่วประเทศ ปี 2564 ยังคงชะลอตัว โดยครึ่งแรกปี 2564 หน่วยที่ได้อนุญาตจัดสรรลดลงอย่างต่อเนื่องจากปี 2563 แนวโน้มลดต่อเนื่องในไตรมาส 3 คาดว่าจะกระเตื้องในไตรมาส4 ปีนี้

แต่อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์ความรุนแรงโควิดระลอก3 สู่ระลอก4 ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ ลดปริมาณการขอจัดสรรลง สังเกตได้จากไตรมาส 2 ของปีนี้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของช่วงก่อนเกิดโควิด ติดลบ 41.6 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี63 พบว่าหน่วยจัดสรรรายเดือน ติดลบ37 -46 %ระหว่าง เดือนม.ค. - เม.ย. 2564 และเริ่มกระเตื้องขึ้นในเดือนพ.ค. - มิ.ย. 2564 และคาดว่าไตรมาส 4 ปี 2564 จะเริ่มดีขึ้น แต่ทุกไตรมาสจะยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ขณะที่ผู้ประกอบฯจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรที่มีราคาสูงเพื่อรองรับกลุ่มที่มีกำลังซื้อ

โดยในช่วงครึ่งแรกปี 2564 มีการออกใบอนุญาตจัดสรร30,514 หน่วย ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ทุกไตรมาส ขณะที่ข้อมูลการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดิน 29 จังหวัดพื้นที่สีแดงเข้มซึ่งมีสัดส่วน 89% ของการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั่วประเทศ พบว่า 10 ลำดับแรกของจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม มีอัตราขยายตัวลดลง33.1% โดยในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินจำนวน 14,863 หน่วยขณะที่ช่วงครึ่งแรกปี 2563 มีการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินจำนวน 25,062 หน่วย ลดลง40.7%


ขณะที่ความเคลื่อนไหวด้านการเปิดตัวโครงการใหม่เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล พบว่าเริ่มมีการเปิดตัวโครงการใหม่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ต่อเนื่องจากปี 2562 โดยการชะลอตัวของหน่วยเปิดตัวใหม่ อาจเป็นผลจากยอดขายที่ชะลอตัวและหน่วยเหลือขายสะสมในตลาด

"การแพร่ของโควิด ทำให้กำลังซื้อของผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยลดลง ในช่วง ไตรมาส 2 ปีนี้มีหน่วยเปิดตัวใหม่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของช่วงก่อนเกิดโควิดระบาดลดลง76.4% และเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 หดตัวลง46.2% คาดว่าไตรมาส 3 และไตรมาส 4 อาจจะเริ่มมีจำนวนเพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนหน่วยที่ขายได้ในช่วงที่ผ่านมาโดยเป็นโครงการขนาดกลาง-เล็ก และเน้นการขายโครงการที่มีสต็อกทำให้เปิดโครงการใหม่น้อยลง"


โดยในช่วงครึ่งแรกปี 2564 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีโครงการเปิดตัวใหม่ 12,740 หน่วยมูลค่า 66,123 ล้านบาท ขณะที่ช่วงเดียวกันของปี 2563 มีโครงการเปิดตัวใหม่ จำนวน 29,816 หน่วยมูลค่า 137,068 ล้านบาท จำนวนหน่วยปรับตัวลดลง57.3 % ส่วนมูลค่าลดลง51.8 %

นายวิชัย กล่าวว่า ด้านอุปสงค์อสังหาฯชะลอตัวสะท้อนจากการโอนกรรมสิทธิ์ช่วงครึ่งแรกปี 2564 โดยในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ การโอนกรรมสิทธิ์ขยายตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า โดยในไตรมาส 2 ปีนี้ จำนวนหน่วยและมูลค่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ติดลบ31.2% และ16.5% ตามลำดับ ทั้งนี้การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศสะสมครึ่งแรกปี 2564 โดยมีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวนทั้งสิ้น 120,023 หน่วย มูลค่า 377,520 ล้านบาท ขณะที่ช่วงเดียวกันของปี 2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 168,625 หน่วย มูลค่า 422,870 ล้านบาท จำนวนหน่วยปรับตัวลดลง28.8 % มูลค่าลดลง10.7 % ซึ่งค่าเฉลี่ยจำนวนหน่วยต่อไตรมาส 90,233 หน่วย และมูลค่า 232,859 ล้านบาท

ในช่วงครึ่งแรกปี 2564 การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลมีจำนวน 79,422 หน่วย มูลค่า 284,411 ล้านบาท ขณะที่ช่วงเดียวกันของปี 2563 มีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 88,336 หน่วย มูลค่า 270,435 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลง 10.1% ขณะที่มูลค่าเพิ่มขึ้น5.2 % คาดว่าปี 2564 จะมีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ 164,861 หน่วย ลดลงจากปีก่อน 16.2% การโอนกรรมสิทธิ์โครงการบ้านจัดสรรลดลง5.2 % และการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดลดลง27.1 % ด้านมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คาดว่าปี 2564 จะมีมูลค่า 587,539 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 4.2% มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์โครงการบ้านจัดสรรลดลง0.8 % โครงการอาคารชุดลดลง8.9%

ทั้งนี้ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้มีการปรับการคาดการณ์ใหม่อีกครั้งภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดครั้งใหม่ โดยประมาณการว่าปี 2564 ภาพรวมการออกใบอนุญาตจัดสรรปี 2564 คาดว่าจะลดลง22.1 % และในปี 2565 จะเพิ่มขึ้น25.2 % ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากฐานปี 2564 ที่มีตัวเลขต่ำ และการจัดสรรจะเข้าสู่ค่าเฉลี่ยของช่วงปกติในปี 2568 ขณะที่แนวโน้มโครงการเปิดตัวใหม่จะลดลงมาอยู่ที่ 43,051 หน่วย ลดลงจากปีก่อน35.0 % ซึ่งเป็นการลดลงของโครงการอาคารชุดมากถึง44.3 % ขณะที่บ้านจัดสรรลดลง27.4 % และในปี 2565 เพิ่มขึ้น 38.5% และการเปิดตัวหน่วยที่อยู่อาศัยใหม่จะเข้าสู่ค่าเฉลี่ยของช่วงปกติในปี 2568 - 2569  ขณะที่ หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ปี 2564 อาจลดลงเหลือเพียง 270,151 หน่วย ลดลงจากปีก่อนที่เคยมีหน่วยโอน358,496 หน่วย หรือลดลง 24.6 %คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2565 และสามารถกลับเข้าสู่ค่าเฉลี่ยในภาวะปกติได้ในปี 2570

" ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2564 จะยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับสู่สภาวะสมดุลทั้งในด้านอุปสงค์และอุปทานมากขึ้น โดยคาดการณ์ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ด้านที่อยู่อาศัยจะกลับเข้าสู่ภาวะที่ก่อนเกิดโควิดในปี 2568 – 2570 หรือประมาณ 5-6 ปีข้างหน้า หากรัฐช่วยออกมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ ขยายเพดานลดค่าโอน-จำนองครอบคลุมทุกระดับราคารวม-บ้านมือสอง ฟื้นตลาด แบงก์ชาติปลดล็อกมาตรการแอลทีวี จะช่วยให้สถานการณ์อสังหาฯฟื้นตัวได้เร็วขึ้น"
#2867


นายภูวสิษฏ์ วงษ์เจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพีแอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CPL เปิดเผยผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2564 ว่า บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.34% จากงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 23 ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือนแรกของปีนี้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 128.57% จากระยะเวลาเดียวของปี 2563 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 28 ล้านบาท โดยการเติบโตของกำไรสุทธิทั้งในไตรมาสที่ 2 และ 6 เดือนแรกของปีนี้ นอกจากจะมาจากการค่อยๆ ฟื้นตัวของรายได้ 3 ธุรกิจหลักแล้ว ยังมาจากการบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพอีกด้วย

ทั้งนี้ CPL ประกอบธุรกิจ 3 ประเภทหลัก ได้แก่ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายหนังสำเร็จรูป ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 61% ธุรกิจรับฟอกหนัง ซึ่งแบ่งเป็นการฟอกหนังวัวและการฟอกหนังหมู คิดเป็นสัดส่วน 3% ของรายได้รวม และธุรกิจการผลิตและจำหน่ายรองเท้านิรภัยและอุปกรณ์นิรภัย ภายใต้แบรนด์ "แพงโกลิน" (Pangolin) คิดเป็นสัดส่วน 36% ของรายได้รวม

"ธุรกิจผลิตและจำหน่ายหนังสำเร็จรูป ในไตรมาสที่ 2 มีรายได้ 312 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72% จากปีก่อน ขณะที่ 6 เดือนแรกปี 2564 มีรายได้ 577 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.70% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งปัจจัยสนับสนุนมาจากการที่เศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้ลูกค้าสั่งซื้อหนังสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ยังเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ยอดขายยังไม่ได้เติบโตอย่างเต็มที่และยังมีความไม่แน่นอนในตลาด ทำให้ในไตรมาสนี้เรายังดำเนินนโยบายควบคุมต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายต่างๆ และปรับปรุงประสิทธิภาพในสายงานผลิต อย่างเคร่งครัด ทำให้ภาพรวมดูดีขึ้น" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CPL กล่าว

ทางด้านธุรกิจการฟอกหนัง ในส่วนของการฟอกหนังวัว ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ลูกค้ายังชะลอการนำเข้าเนื่องจากวิกฤตโควิด-19 ขณะที่การรับฟอกหนังหมูมีทิศทางที่ดี เนื่องจากมีการฟอกส่งไปยังประเทศจีนมากขึ้น โดยในไตรมาสนี้สามารถทำยอดได้สูงกว่างบประมาณที่วางไว้ แต่ยังคงต้องเฝ้าจับตาสถานการณ์ในระยะยาวอย่างใกล้ชิด โดยในไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจฟอกหนัง 53 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1.50% และในงวด 6 เดือนแรก มีรายได้ 82 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 13.68% อย่างไรก็ตาม จากการบริหารจัดการต้นทุนที่ดี ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจากธุรกิจฟอกหนังในไตรมาสที่ 2 ที่ 26 ล้านบาทและงวด 6 เดือนที่ 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 225% และ 66.67% ตามลำดับ

สำหรับธุรกิจผลิตและจำหน่ายรองเท้านิรภัยและอุปกรณ์นิรภัย หรือเซฟตี้ โปรดักต์ ในไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ มีรายได้จากรองเท้านิรภัยและอุปกรณ์นิรภัย 169 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.36% และงวด 6 เดือนมีรายได้ 337 ล้านบาท ลดลง 0.88% เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ยอดขายของรองเท้านิรภัยลดลงกว่าแต่ก่อน ตามกำลังซื้อในประเทศที่เริ่มหดตัวจากการปรับลดคนงาน รวมถึงนโยบายการประหยัดค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม ยอดขายของอุปกรณ์นิรภัยและงานบริการได้เพิ่มสูงขึ้นมากทำให้สามารถชดเชยการขาดหายไปของยอดขายรองเท้านิรภัยได้

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CPL กล่าวด้วยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา CPL ได้ขยายไปสู่การทำตลาดสินค้าในกลุ่มแฟชั่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการผนึกกับพันธมิตรผลิตรองเท้าหนังแนวสตรีท แบรนด์ PLY ที่ทำตลาดได้ดีในกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นและวัยทำงานที่มีไลฟ์สไตล์ รวมถึงการนำใช้วัตถุดิบหนังจากโรงงานมาผลิตเป็นกระเป๋าแบรนด์ Galavela เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าวัยทำงานที่นิยมกระเป๋าหนังที่มีสีสันสดใส ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้สร้างยอดขายอย่างมีนัยสำคัญให้ CPL เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านกำลังซื้อในตลาด แต่ถือเป็นการขยายตลาดไปสู่สินค้าที่เป็น End Product ด้วยวัตถุดิบและเทคโนโลยีการผลิตที่มีอยู่แล้ว และเป็นการฝึกทักษะด้านการขายและการทำตลาดใหม่ๆ ให้พนักงานอีกด้วย

สำหรับปัจจัยท้าทายในครึ่งหลังของปีนี้ยังคงต้องจับตาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก ซึ่งหวังว่าแนวโน้มจะดีขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป เพราะจะทำให้ออเดอร์ผลิตหนังสำเร็จรูปกลับเข้ามาอีกครั้ง แม้จะยังไม่เรียกว่ากลับเข้าสู่ภาวะปกติก็ตาม ขณะเดียวกัน แนวโน้มค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการส่งออกผลิตหนังสำเร็จรูปของ CPL แม้ว่าจะต้องนำเข้าวัตถุดิบ แต่เชื่อว่าจะสามารถควบคุมต้นทุนการนำเข้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

"ส่วนความคืบหน้าหลังจาก CPL จัดตั้งบริษัท ซีพีแอล เวนเจอร์ พลัส ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นบริษัทโฮลดิ้งส์ เพื่อศึกษาธุรกิจใหม่ๆ ในการเข้าไปลงทุนเพื่อสร้าง New S-Curve ขณะนี้มีความคืบหน้าในหลายๆ ธุรกิจ ทั้งธุรกิจด้านนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม ด้านเทคโนโลยี รวมถึงความร่วมมือกับศูนย์การเรียนรู้ด้านแพทย์แผนไทย ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการลงทุนในโครงการต่างๆ ได้ดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน และเตรียมงบประมาณลงทุนเบื้องต้นราว 50 ล้านบาทในเฟสแรก โดยคาดว่าภายในปี 2564 จะมีโครงการที่ซีพีแอล เวนเจอร์ พลัส เข้าไปลงทุนเกิดขึ้นอย่างแน่นอน" นายภูวสิษฏ์ กล่าว
#2868


นายชยุตม์ หลีหเจริญกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานบัญชีและการเงินบริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังที่เหลือของปี 2564 จะเห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากครึ่งปีแรกที่มีรายได้รวม 2,312.1 ล้านบาท แม้จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 แต่บริษัทยังมีปัจจัยหนุนจากการออกสินค้าใหม่

สำหรับปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเตรียมการวางจำหน่ายสินค้าที่มีส่วนผสมของกัญชงและกัญชา รวมถึงได้ปัจจัยหนุนจากการจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อพัฒนาสินค้าร่วมกัน โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาและคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในสิ้นปี 2564

ทั้งนี้บริษัทประเมินรายได้จากธุรกิจในประเทศจะเติบโต 5% จากปีก่อน และมีโอกาสที่รายได้จากธุรกิจดังกล่าวจะเติบโตสูงกว่าที่คาดการณ์เอาไว้จากการวางขายสินค้าใหม่และการจับมือกับพันธมิตร ส่วนรายได้จากต่างประเทศคาดว่าจะเติบโต 5% จากปีก่อนเช่นกัน แม้ในช่วงครึ่งแรกที่ผ่านมาจะหดตัว 2-3% จากผลกระทบโควิด-19 และการขาดแคลนตู้ขนส่งสินค้า แต่บริษัทมีการปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงทีมขายยังเดินหน้าขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง

บริษัทอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานผลิตและกระจายสินค้าในประเทศเวียดนาม 1 แห่ง งบลงทุนระยะแรกมูลค่า 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 470 ล้านบาท) คาดว่าจะเปิดดำเนินการโรงงานดังกล่าวได้ภายในกลางปี 2565


นอกจากนี้ บริษัทมีแผนลงทุนต่างประเทศต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวในการเป็นผู้ประกอบการระดับภูมิภาค โดยมีแผนลงทุนเพิ่มเติมในตลาดประเทศจีน ออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง ยุโรป และสหรัฐ ซึ่งเป็นการต่อยอดจาก 35 ประเทศทั่วโลกที่บริษัทมีการส่งออกสินค้าไปจำหน่าย
#2869


เกรท วอลล์ มอเตอร์ เปิดให้บริการ Door-to-Door Test Drive เพื่อนำรถยนต์ HAVAL H6 Hybrid SUV ให้ลูกค้าทดลองขับและทดสอบสมรรถนะถึงหน้าบ้าน นอกจากนี้ ยังมีบริการ Door-to-Door Service อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นบริการส่งมอบรถถึงหน้าบ้าน (Door-to-Door Delivery Service) บริการรับและ/หรือส่งรถยนต์เพื่อรับบริการตรวจเช็กระยะ (Door-to-Door Pick-up and Delivery on Demand) และบริการตรวจเช็กระยะตามตารางบำรุงรักษานอกสถานที่ (Door-to-Door Mobile Service) เพื่อส่งมอบบริการที่พิเศษและคุ้มค่า พร้อมช่วยอำนวยความสะดวกสบาย และสร้างความมั่นใจในด้านความปลอดภัยสูงสุดให้กับลูกค้าอย่างครบวงจร



หลังจากที่ได้มีการเปิดให้ผู้ที่สนใจได้ลงทะเบียนเพื่อทดลองขับ All New HAVAL H6 Hybrid SUV จวบจนถึงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เกรท วอลล์ มอเตอร์ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากแฟน ๆ ชาวไทยกว่า 9,000 ราย ที่แสดงความประสงค์เพื่อทดลองขับรถ รวมถึงผู้ที่จองสิทธิ์เพื่อซื้อรถยนต์ All New HAVAL H6 Hybrid SUV จากแคมเปญ ULTRA DEAL และแคมเปญ PREMIERE DEAL โดยเกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้จัดกิจกรรมเพื่อให้ผู้สนใจดังกล่าวมีโอกาสมาทดลองขับและทดสอบสมรรถนะของรถ ที่ Show DC เมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาแต่เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตลอดจนการประกาศยกระดับความเข้มข้นของมาตรการควบคุมจากคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ทำให้เกิดข้อจำกัดในการจัดกิจกรรมและการเดินทาง ส่งผลให้ผู้ที่สนใจและผู้ที่จองสิทธิ์ในแคมเปญดังกล่าวจำนวนมากได้รับความไม่สะดวกสบายและอาจจะมีความกังวลเรื่องความปลอดภัยในการเข้าไปทดลองขับ



เกรท วอลล์ มอเตอร์ จึงได้มีการปรับกลยุทธ์การดำเนินงานเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกสูงสุดให้กับผู้บริโภคชาวไทย นอกจากการขยายระยะเวลาแคมเปญ PREMIERE DEAL ออกไปจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2564 และการขยายเวลาชำระเงินจองของแคมเปญ ULTRA DEAL ไปจนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2564 แล้ว เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังส่งมอบบริการแบบ Door-to-Door Service เพิ่มเติม ผ่านขั้นตอนที่ง่าย (Simple) มีความพิเศษ (Special) ปลอดภัย (Secure) และคุ้มค่า (Save) ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการ Door-to-Door Test Drive เพื่อนำรถยนต์ไปให้ลูกค้าทดลองขับถึงหน้าบ้าน รวมไปถึงบริการส่งมอบรถ และบริการหลังการขายแบบให้บริการถึงหน้าบ้านของลูกค้าอีกมากมาย เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าจะได้รับความสะดวกสบายและบริการที่ดีที่สุดจาก เกรท วอลล์ มอเตอร์ แม้จะมีอุปสรรคหรือข้อจำกัดภายใต้สถานการณ์ในปัจจุบัน



นายณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า "เกรท วอลล์ มอเตอร์ ตระหนักและให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง เรารับทราบและเข้าใจดีว่าสถานการณ์ในปัจจุบันนี้อาจส่งผลให้ลูกค้าไม่สะดวกที่จะเข้ามาทดสอบรถหรือใช้บริการอื่นๆ ของเราได้ ด้วยรูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบใหม่ที่เน้นการเชื่อมต่อระหว่าง Online-to-Offline (O2O) เราจึงยินดีที่จะส่งมอบบริการแบบ Door-to-Door Service รูปแบบต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยสูงสุดให้กับลูกค้า โดยที่ลูกค้ายังคงได้รับประสบการณ์อันยอดเยี่ยม ตั้งแต่การกดจองเพื่อใช้บริการต่างๆ ผ่าน GWM Application ไปจนถึงการรับบริการออฟไลน์แบบส่งตรงถึงหน้าบ้าน หลังจากที่เราได้เริ่มมีการส่งมอบรถยนต์แบบ Door-to-Door Delivery Service



ที่บ้านหรือสถานที่ต่างๆ ที่ลูกค้าต้องการไปแล้ว ล่าสุดเราได้มีบริการ Door-to-Door Test Drive เพื่อให้ผู้ที่สนใจ
หรือผู้ที่จองรถยนต์ All New HAVAL H6 Hybrid SUV ได้มีโอกาสขับและทดสอบสมรรถนะของรถได้อย่างเต็มที่
ก่อนการตัดสินใจซื้อ และเรายังมีบริการหลังการขายด้านอื่นๆ ในรูปแบบ Door-to-Door Service เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการรับและ/หรือส่งรถยนต์เพื่อรับบริการตรวจเช็กระยะ (Door-to-Door Pick-up and Delivery on Demand) และบริการตรวจเช็กระยะตามตารางบำรุงรักษานอกสถานที่ (Door-to-Door Mobile Service) เพื่อให้มั่นใจได้ว่า เราจะคอยเคียงข้างเพื่อดูแลและอำนวยความสะดวกกับลูกค้าในทุกๆ บริการของเราอย่างครบวงจรเพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าของเรา" สำหรับบริการแบบ Door-to-Door Service ของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ มีทั้งหมด 4 รูปแบบ ได้แก่



1. บริการทดลองขับรถถึงหน้าบ้าน (Door-to-Door Test Drive)

ลูกค้าสามารถแจ้งความจำนงเพื่อทดลองขับรถยนต์ All New HAVAL H6 Hybrid SUV ตามวัน เวลา และสถานที่
ที่ลูกค้าสะดวกผ่านทาง Intelligent Ambassador หรือ iAM หลังจากนั้น iAM จะติดต่อกลับเพื่อยืนยันการนัดหมาย และจะส่งรถยนต์ All New HAVAL H6 Hybrid SUV พร้อมผู้ฝึกสอน (Instructor) ไปให้ลูกค้าที่บ้าน โดยจะมี iAM คอยช่วยประสานงานและให้การดูแลผ่านระบบ Video Conference อย่างใกล้ชิด โดยลูกค้าจะได้เรียนรู้วิธีการใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ รวมไปถึงได้ทดลองขับและทดสอบสมรรถนะรถยนต์ในเส้นทางบริเวณนั้นๆ เป็นเวลา 30 – 45 นาที โดยมีผู้ฝึกสอนและ iAM คอยให้คำแนะนำและตอบข้อซักถามอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ทีมงานทุกคนรวมถึงลูกค้าจะได้รับการตรวจโควิดแบบ Rapid Test ทุกครั้งก่อนการเริ่มให้บริการ รวมถึงมีการฆ่าเชื้อและทำความสะอาดรถยนต์ และอุปกรณ์ต่างๆ ตามมาตรการการป้องกันโรคโควิดอย่างเคร่งครัด โดยในเบื้องต้น บริการทดลองขับรถถึงหน้าบ้านนี้ จะเปิดให้บริการในช่วงระหว่างวันที่ 7 – 16 สิงหาคม 2564 โดยให้สิทธิ์แก่ผู้ที่ได้แจ้งความจำนงและจองการทดลองขับในลำดับแรกๆ ก่อน และอาจจะมีการขยายระยะเวลาและช่องทางการให้บริการนี้ร่วมกับ GWM Partner Store เพิ่มเติมในอนาคต



2. บริการส่งมอบรถถึงหน้าบ้าน (Door-to-Door Delivery Service)

ลูกค้าสามารถเลือกรับบริการได้บน GWM Application เมื่อสั่งซื้อรถยนต์ โดยมีให้เลือก 2 รูปแบบ ได้แก่ 1) รูปแบบปกติ และ 2) รูปแบบพรีเมียม ที่ลูกค้าสามารถออกแบบรูปแบบการส่งมอบรถเพิ่มเติมได้ตามที่ต้องการ โดยทั้ง 2 รูปแบบ จะมี Intelligent Ambassador หรือ iAM เป็นผู้ดูแล ส่งมอบช่อดอกไม้ ช่วยตรวจสอบการรับรถยนต์ รวมไปถึงอธิบายวิธีการใช้งานรถยนต์ และตอบคำถามต่างๆ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการส่งมอบรถถึงมือลูกค้าอย่างราบรื่น ปลอดภัยและเกิดความพึงพอใจสูงสุด ซึ่งบริการนี้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมขึ้นอยู่กับรูปแบบที่ลูกค้าต้องการ แต่สำหรับลูกค้าแพ็คเกจ ULTRA DEAL และ PREMIERE DEAL สามารถขอรับบริการในรูปแบบปกติได้ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มเติม

3. บริการรับและ/หรือส่งรถยนต์เพื่อรับบริการตรวจเช็กระยะ (Door-to-Door Pick-up and Delivery on Demand)

ลูกค้าสามารถนัดหมายวัน เวลา และสถานที่ในการรับรถ และ/หรือส่งรถยนต์ได้ตามที่ลูกค้าสะดวกเมื่อครบกำหนดตามตารางการบำรุงรักษาตามระยะทาง โดยลูกค้าต้องนัดหมายล่วงหน้าอย่างน้อย 2 วันทำการ และสามารถตรวจสอบวันและเวลาการออกให้บริการของศูนย์บริการแต่ละแห่งได้ผ่านระบบนัดหมายของศูนย์บริการหรือติดต่อ GWM Contact Center โทร. 02-668-8888



4. บริการตรวจเช็กระยะตามตารางบำรุงรักษานอกสถานที่ (Door-to-Door Mobile Service)

ลูกค้าสามารถขอรับบริการตรวจเช็กระยะตามตารางบำรุงรักษานอกสถานที่ตามที่ลูกค้านัดหมาย โดยลูกค้าไม่ต้องนำรถยนต์เข้ามารับบริการที่ศูนย์บริการ ทั้งนี้ ลูกค้าต้องนัดหมายล่วงหน้าอย่างน้อย 2 วันทำการ และสามารถตรวจสอบวันและเวลาการออกให้บริการของศูนย์บริการแต่ละแห่งได้ผ่านระบบนัดหมายของศูนย์บริการหรือติดต่อ GWM Contact Center โทร. 02-668-8888 ทั้งนี้ บริการนี้จะเริ่มเปิดให้บริการในช่วงต้นเดือนกันยายนนี้เป็นต้นไป



สำหรับบริการรับและ/หรือส่งรถยนต์เพื่อรับบริการตรวจเช็กระยะ (Door-to-Door Pick-up and Delivery on Demand) และบริการตรวจเช็กระยะตามตารางบำรุงรักษานอกสถานที่ (Door-to-Door Mobile Service) จะเป็นบริการหลังการขายที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ทั้งนี้ ลูกค้าแพ็กเกจ ULTRA DEAL และ PREMIERE DEAL จะได้รับสิทธิ
ในการใช้บริการดังกล่าวฟรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 4 ครั้ง สำหรับบริการรับและ/หรือส่งรถยนต์เพื่อรับบริการ
ตรวจเช็กระยะ และ 2 ครั้ง สำหรับบริการตรวจเช็กระยะตามตารางบำรุงรักษานอกสถานที่ ภายในระยะเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (เมื่อถึงกำหนดอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน) และสามารถดูรายละเอียดของบริการเพิ่มเติมได้ที่ https:// gwm.co.th/aftersales
#2870


นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า กฟผ.ได้เตรียมพร้อมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ตามนโยบายของภาครัฐ หรือ Restart Thailand โดยจะเร่งรัดดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินตามงบประมาณในปี 2564 ตามแผนการเบิกจ่ายงบประมาณที่วางไว้ ในส่วนของโครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี(ครม.)แล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างและขยายระบบส่งไฟฟ้าครอบคลุมทั้งประเทศ จำนวน 17 โครงการ ตลอดระยะเวลา 10 ปี ระหว่างปี 2564-2573 คาดว่าจะสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจรวมทั้งสิน 242,567 ล้านบาท


โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรก ปี2564-2568 จะมีแผนเบิกจ่ายเงินทั้งสิ้น 136,405 ล้านบาท และระยะที่สอง ปี2569-2573 มีแผนเบิกจ่ายเงินทั้งสิ้น 106,162 ล้านบาท ซึ่งจะมีทั้งการลงทุนสายส่งระดับแรงดัน 115,230 และ 500 กิโลโวลต์ เพื่อรองรับการเชื่อมต่อระบบไฟฟ้า เสริมความมั่นคงให้ระบบไฟฟ้า การพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้า Smart Grid การปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพ และสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น


นอกจากนี้ ยังมีแผนการลงทุนระยะยาว เพื่อพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าของ กฟผ. อีก 2 โครงการ กับ 1 แผนงาน ที่อยู่ระหว่างการเสนอขออนุมัติโครงการ ได้แก่ 

1.โครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษระยะที่ 1 (SEZ1) วงเงินลงทุน 2,150 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการปี 2563-2568 เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ เสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าให้แก่บริเวณ อ.แม่สอด จ.ตาก และ อ.เมือง จ.มุกดามาร ในระยะยาว และรองรับการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้ากับประเทศเพื่อนบ้าน



2.โครงการพัฒนาระบบเคเบิ้ลใต้ทะเลไปยังบริเวณอำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า (SPSS) วงเงินลงทุน 11,230 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการปี 2563-2569 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของการส่งกำลังไฟฟ้าบริเวณเกาะสมุย และบริเวณข้างเคียง (เกาะพะงันและเกาะเต่า) และรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

แม้ว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่เกาะสมุย จะชะลอตัวในช่วงระยะเวลา 1-3 ปี แต่มีแนวโน้มจะกลับมาเพิ่มสูงขึ้นหลังผ่านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งระบบไฟฟ้าในปัจจุบันไม่สามารถรองรับได้ กฟผ.จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการตามแผนงาน เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าในพื้นที่ดังกล่าวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานต่อไป

โดยทั้ง 2 โครงการนี้ ได้นำเสนอต่อปลัดกระทรวงพลังงาน และประธานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.)ไปแล้ว เมื่อวันที่ 27 ม.ค.2563


และ 3.โครงการแผนลงทุนระยะยาว-แผนใหม่ แผนงานปรับปรุงสถานีไฟฟ้าแรงสูงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (HSIT)วงเงินลงทุน 1,600 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการปี 2563-2569 เพื่อช่วยรักษาและเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าในการจ่ายไฟฟ้าของ สฟ.ในพื้นที่ 3 จังหวัดฯ รวมถึงลดความเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายของอุปกรณ์ภายใน สฟ.ในพื้นที่ 3 จังหวัดฯ โดยปัจจุบันโครงการนี้ ได้รับการอนุมัติแผนการลงทุนจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)แล้ว

"ช่วงไตรมาส1ปีนี้ กฟผ.มีการเบิกจ่ายได้สูงกว่าแผน ไตรมาส 2 ก็คาดจะเบิกจ่ายได้ตามแผน ส่วนไตรมาส 3-4 ก็จะพยายามทำให้ได้ตามเป้า"


นายบุญญนิตย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กฟผ.ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างศึกษาความเหมาะสมของโครงการอีก 2 โครงการ คือ 1.โครงการขยายระบบไฟฟ้าเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ระยะที่ 4 (BSB4) วงเงินลงทุน 5,800 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการปี 2566-2571 เพื่อสนองความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในเขตเมืองหลวง ซึ่งเป็นศูนย์การของส่วนราชการ ธุรกิจ การค้า การท่องเที่ยว และรองรับการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

และ 2.โครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ 3 วงเงินลงทุน 23,380 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการปี 2566-2570 เพื่อปรับปรุงสถานีไฟฟ้าแรงสูงและสายส่งไฟฟ้าแรงสูงซึ่งเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน และเพื่อลดปัญหาความสูญเสียที่เกิดจากไฟฟ้าดับเรื่องจากอุปกรณ์ขำรุด
#2871


ฝ่ายประชาสัมพันธ์บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด หรือ UTA เปิดเผยว่า คณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด หรือ UTA มีมติประกาศแต่งตั้ง นายวีรวัฒน์ ปัณฑวังกูร ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) คนแรกของบริษัทฯ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป

สำหรับภารกิจสำคัญจะเน้นในการบริหารโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก ให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และ Logistics & Aviation รวมถึงเป็นศูนย์กลางของมหานครการบินภาคตะวันออก ที่สามารถเชื่อมโยงเป็นส่วนขยายของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ต่อเนื่องไปทางภาคตะวันออกได้อย่างสะดวกสบายทันสมัย ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ


นายวีรวัฒน์ มีประวัติการทำงานกับธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) รวม 23 ปี โดยมีประสบการณ์ด้านการบริหารเครดิต, ด้านธุรกิจลูกค้าบุคคลและเครือข่ายบริการ, ด้านการบริหารกลยุทธ์และวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงการบริหารความเสี่ยงขององค์กร ตลอดจนทำหน้าที่ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กสิกรวิชั่น จำกัด มาก่อนที่จะมาร่วมงานกับ UTA

นายวีรวัฒน์ จบการศึกษาปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 1 ด้านวิศวกรรมระบบควบคุม จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และปริญญาโท MBA Financial Engineering, Sloan School of Management สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
#2872


การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยนับตั้งแต่ระลอกแรกในเดือน ม.ค.2563 ถึงระลอกปัจจุบัน วันที่ 15 ส.ค.2564 มีผู้ติดเชื้อในประเทศไทยรวม 907,157 คน ซึ่งรัฐบาลต้องจัดงบประมาณหลายส่วนเพื่อรับมือการระบาด โดยเฉพาะการออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ฉบับ วงเงินรวม 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งงบประมาณที่อนุมัติสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขไปแล้วมากกว่า 1 แสนล้านบาท

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ระบุว่า สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้สรุปการใช้งบประมาณจาก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 วงเงิน 1 ล้านล้านบาท ได้จัดสรรสำหรับแผนงานด้านสาธารณสุขรวม 45,000 ล้านบาท แต่การระบาดที่มีอย่างต่อเนื่องส่งให้งบประมาณที่ตั้งไว้ไม่เพียงพอและต้องโยกงบประมาณจากแผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจเข้ามารวมแล้วจัดสรรให้ด้านสาธารณสุขรวม 63,900 ล้านบาท ผ่านการอนุมัติ 51 โครงการ แบ่งเป็น 5 ด้าน คือ

1.แผนงานเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ 4 โครงการ วงเงิน 6,301 ล้านบาท เบิกจ่ายไปแล้ว 6,666 ล้านบาท หรือคิดเป็น 74.05%

2.แผนงานหรือโครงการเพื่อจัดซื้อหาอุปกรณ์การแพทย์และสาธารณสุขวัคซีนป้องกันโรคและห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ 20 โครงการ วงเงิน 15,250 ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 1,606 ล้านบาท คิดเป็น 10.53%

3.แผนงานหรือโครงการเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการบำบัดรักษา ป้องกันควบคุมโรค 5 โครงการ วงเงิน 30,360 ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 17,334 ล้านบาท คิดเป็น 57.10%

4.แผนงานหรือโครงการเพื่อเตรียมความพร้อมด้านสถานพยาบาล 14 โครงการ วงเงิน 10,257 ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 1,822 ล้านบาท คิดเป็น 17.77%

5.แผนงานหรือโครงการด้านสาธารณสุขเพื่อรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินอันเนื่องมาจากการระบาดของโควิด 8 โครงการ วงเงิน 1,727 ล้านบาท เบิกจ่าย 180 ล้านบาทคิดเป็น 10.43%

ทั้งนี้ รวมแล้วโครงการตามแผนงานด้านสาธารณสุขที่อนุมัติไว้ 63,897 ล้านบาท เบิกจ่าย 25,610 ล้านบาท คิดเป็น 40.08%


"สาธารณสุข" ทยอยขอใช้งบกลาง

นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ใช้งบกลาง 2564 เพื่อใช้ควบคุมสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ไม่น้อยกว่า 40,000 ล้านบาท ประกอบด้วย

1.โครงการเตรียมความพร้อมแก้ไขปัญหาโควิด-19 ระลอก เม.ย.2563 ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ ก.ค.-ก.ย.2564 วงเงิน 12,669 ล้านบาท ครม.อนุมัติเมื่อวันที่ 10 ส.ค.2564

2.โครงการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 นอกสถานพยาบาล 1,877 ล้านบาท ครม.อนุมัติวันที่ 10 ส.ค.2564

3.โครงการเตรียมพร้อมแก้ไขปัญหาโควิด-19 ระลอก เม.ย.25654 วงเงิน 12,567 ล้านบาท ครม.อนุมัติวันที่ 5 พ.ค.2564

4.โครงการจัดหาวัคซีน Sivovac จำนวน 500,000 โดส วงเงิน 321 ล้านบาท ครม.อนุมัติวันที่ 17 เม.ย.2564

5.โครงการจัดหาวัคซีน AstraZeneca จำนวน 35 ล้านโดส วงเงิน 6,387 ล้านบาท ครม.อนุมัติวันที่ 2 มี.ค.2564

6.โครงการเตรียมความพร้อมแก้ไขปัญหาโควิด-19 ระยะการระบาดระลอกใหม่ วงเงิน 4,661 ล้านบาท ครม.อนุมัติวันที่ 5 ม.ค.2564

7.โครงการจัดหาวัคซีน AstraZeneca 2,379 ล้านบาท ครม.อนุมัติวันที่ 17 พ.ย.2563

งบค่าตอบแทนบุคลากร-จ้างเหมา

ทั้งนี้ หากดูรายละเอียดการประชุม ครม.ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 10 ส.ค.2564 อนุมัติโครงการการเตรียมความพร้อมแก้ไขปัญหาโควิด-19 ระลอก เม.ย.2563ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ ก.ค.-ก.ย.2564 ซึ่งเป็นการขยายโครงการต่อจากโครงการเดิมที่ ครม.เคยอนุมัติไว้เมื่อวันที่ 5 พ.ค.2564 เพื่อดำเนินการจ่ายค่าตอบแทน ได้แก่ ค่าตอบแทนเสี่ยงภัย ค่าล่วงเวลา (OT) ค่าตอบแทนคณะทำงาน ผู้เชี่ยวชาญ ที่ปรึกษา บุคคลภายนอก ค่าใช้สอย ได้แก่ ค่าอำนวยการและสั่งการเชิงบูรณาการ และค่าจ้างเหมาบริการอื่นๆ

นอกจากนี้ กระทรงวสาธารณสุขรายงานว่าการดำเนินการดังกล่าวจะรองรับมาตรการการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อลดจำนวนการติดเชื้อโควิด-19 ลดการแพร่ระบาดในวงกว้าง และลดอัตราการเสียชีวิตของประชากรในประเทศไทย ให้ผู้รับบริการสามารถเข้าถึงระบบการบริการของสถานพยาบาลและหน่วยบริการ ได้อย่างทั่วถึงสะดวกและรวดเร็ว


นายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ในการบริหารจัดการเงินกู้ตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ.2564 วงเงิน 500,000 ล้านบาท ของรัฐบาล ซึ่งในส่วนนี้มีคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการที่มีเลขาธิการ สศช.พิจารณาดูแลตามความเหมาะสมอยู่ 

สำหรับวงเงินงบประมาณสำหรับแผนงานด้านสาธารณสุขที่มีการตั้งวงเงินไว้ 30,000 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้ก็สามารถที่จะบริหารจัดการโดยโยกเอางบประมาณในส่วนของเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาด และงบประมาณแผนงานการฟื้นฟูเศรษฐกิจมาใช้ได้หากมีความจำเป็นซึ่งในการกู้เงินครั้งหลังนี้วางเงื่อนไขที่ยืดหยุ่นมากขึ้น 

ส่วนงบประมาณที่ไว้ใช้รับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีแนวโน้มยืดเยื้อออกไปนอกจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ที่มีงบกลาง วงเงิน 89,000 ล้านบาท ยังมีงบกลางฯโควิด-19 ที่มีการแปรญัตติไว้ที่วงเงิน 16,000 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้การใช้จ่ายจะคล้ายกับงบกลาง 40,000 ล้านบาท ที่เป็นงบกลางสำหรับใช้ในสถานการณ์โควิดในปีงบประมาณ 2564 ซึ่งวงเงินนี้ส่วนใหญ่ไว้ใช้ในเรื่องของสาธารณสุข การซื้อยาเวชภัณฑ์และเครื่องมือการแพทย์ในช่วงที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และส่วนนี้ถือว่ามีความจำเป็นที่รัฐบาลจะมีเงินอีกส่วนไว้ใช้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังคงมีการระบาดต่อไปอีกระยะ 

คาดต้องการงบสาธารณสุขสูง

นายเดชาภิวัฒน์ กล่าวว่า วงเงินจำนวนนี้หากเทียบกับรายจ่ายด้านสาธารณสุขที่มีจำนวนมากก็จะเห็นว่าไม่ใช่วงเงินที่มากนัก โดยเมื่อวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมามีการอนุมัติงบกลาง 2564 ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นค่าใช้จ่าย ค่าจ้างล่วงเวลาสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ในช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย.ก็ใช้งบประมาณมากถึง 12,600 ล้านบาท ทำให้เห็นว่าความต้องการใช้วงเงินงบประมาณด้านสาธารสุขยังคงมีมากในสถานการณ์ช่วงนี้ 
#2873


วันนี้ (15ส.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น.นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังธรรมใหม่ กล่าวถึง กล่าวถึงการจัดซื้อ Antigen test kit หรือ ATK ของ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือสปสช.จำนวน 8.5 ล้านชุด ให้กับคนไทยทั่วประเทศได้ตรวจฟรี ว่า ตนรู้สึกสนับสนุนในการนำงบประมาณมาใช้ในส่วนนี้ แต่กลับเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างชมรมแพทย์ชนบท องค์การเภสัชกรรม (อภ.) และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในประเด็นข้อถกเถียงเรื่อง คุณภาพของชุดตรวจ ATK ที่ผลิตโดยบริษัท Beijing Lepu Medical Technology จากประเทศจีนที่ชนะการประกวดราคา ไม่ผ่านการรับรองของหลายประเทศ อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าทุกฝ่ายต่างก็มีความปรารถนาดีต่อประเทศ แต่เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นกับเรื่องเร่งด่วนที่ต้องตัดสินใจโดยเร็วที่สุด

"ผมขอเสนอทางออกให้นำชุดตรวจ ATK ของประเทศจีนที่ชนะการประกวดราคา จำนวน 1,000 ชุดมาทำการทดสอบใหม่โดยโรงพยาบาลของรัฐที่มีมาตรฐาน 5 รพ.ๆละ 200 ชุด เช่น รพ.จุฬา รพ.ศิริราช รพ.ธรรมศาสตร์ รพ.บำราศฯ และ รพ.วชิระ ให้ทำการทดสอบอย่างเร่งด่วน โดยตรวจควบคู่กับวิธี RT-PCR (Polymerase chain reaction) ผมคาดว่าใช้เวลาไม่เกิน 3 วันจะได้ผลตรวจทั้งหมด ถ้าพิสูจน์แล้วว่า ชุดตรวจ ATK มีคุณภาพ ก็สามารถสั่งซื้อตามขั้นตอนได้เลย และชมรมแพทย์ชนบทก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่ถ้าคุณภาพชุดตรวจ ATK ของบริษัทนี้ไม่มีมาตรฐาน องค์การเภสัชก็ควรจะยกเลิกการประมูลในครั้งนี้ได้ โดยที่บริษัทจากจีนจะไม่สามารถฟ้องร้องได้"นพ.ระวี กล่าว
#2874
นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet  ชอบหวานน้อย นมเน้นๆ มีแคลเซียม ต้องลอง นมอัดเม็ด milk tablet หลายเจ้าในตลาดมากมาย แต่ทำไมนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletแจ้งเกิดเป็นนมอัดเม็ดดาวรุ่งพุ่งแรง เพราะ ความนัวนม ย้ำว่านัวนมๆจริง และรสชาติหวานน้อย ที่เอาใจคนที่หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น รสชาติไม่หวานเลี่ยน การันตีไม่หวานแหลมแสบคอ  นมก็นมแท้ๆแน่นๆ จากนิวซีแลนด์ มี 2 ขนาดให้เลือก 





1.นมอัดเม็ดไทยชอง  milk tablet ขนาด 20 กรัมเป็นรูปซองขวด 1 ซองมี 15 เม็ด ขายปลีกซอง 12 บาท ฮัลโล ไม่แพงน้า รสชาติต้องได้ลอง เลือกคุณภาพ ประโยชน์ และ อร่อยด้วย คุ้มค่า

 

2.นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet ขนาด 27 กรัม ซองสี่เหลี่ยม ตกซองละ 18 บาท 
จะซื้อแบบกล่อง หรือ ซื้อแบบซองก็ได้ แบบกล่องซื้อไปเป็นของขวัญของใกเก๋ไก๋ ดูดีมีราคา เพราะแพคเกจเค้าน่ารักเว่อร์ 
 


นมอัดเม็ด milk tabletเป็นขนมทีมีประโยชน์นะคะ ทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletใช้นมแท้ๆ คุณภาพดีมาเป็นส่วนผสมหลักที่เข้มข้น ทำให้คนทานได้ แคลเซียมและวิตามินบี 2  ใครที่เน้นดูแลเรื่องกระดูกและฟัน และ ลดหวานเพื่อสุขภาพ แนะนำมากๆ กับนมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet

สั่งซื้อ คลิกเลย >>> https://lin.ee/sSGXFCK 
 
#2875


สุดรันทดคุณยายม่าวัย 87 ปี ตัวคนเดียวไร้ญาติ น้ำท่วมทุกครั้งที่ฝนตกหรือน้ำทะเลหนุน อาศัยอยู่บนเตียงหลบสัตว์มีพิษ ดร. ม่านฟ้า อรปภัตร จันทรสาขา เจ้าของเพจ "นางฟ้าของผู้สูงวัย" ลุยช่วย เบื้องต้นเยียวยาข้าวสารอาหารแห้งพร้อมเงินจำนวนหนึ่ง อึ้งคุณยายเคยคิดสั้นฆ่าตัวตายแต่ได้รูป สคส เพชรา เชาวราฎร์ เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ

ด้าน ดร ม่านฟ้าเปิดเผยว่า
"พอดีม่านทราบข่าวจากทีมงานมีผู้ร้องเรียนขอความช่วยเหลือเป็นคุณยายอายุ87ปี ไม่มีลูกหลาน เพราะมาจากเมืองจีนตั้งแต่เด็ก ญาติพี่น้องก็เสียชีวิตหมดแล้ว อาศัยอยู่ในชุมชนบ่อดิน ถ แพรกษา จังหวัดสมุทรปราการ เวลาน้ำท่วมก็จะท่วมเข้าบ้าน คุณยายก็จะหลบพวกสัตว์มีพิษอยู่บนเตียง รอให้เพื่อนบ้านมาวิดน้ำออกให้ ที่แย่ไปกว่านั้นนะค่ะ คุณยายเคยคิดสั้นฆ่าตัวตาย แต่ได้รูป สคส ของคุณเพชรา เชาวราษฎร์ เก่ามากรูปถ่ายนี้น่าจะ50-60ปีได้ เป็นรูปที่คุณยายรักมากและเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคุณยายค่ะ

ทุกวันนี้คุณยายบอกว่า ทำชีวิตให้มีความสุข ไม่คิดฆ่าตัวตายแล้ว คุณยายพิการเคยถูกรถชนขาหักและล้มสะโพกหัก มีเงินเดือนคนชราและผู้พิการรวม1500บาท เบื้องต้น ม่านช่วยข้าวสารอาหารแห้ง น้ำดื่ม โจ๊กซอง และอีกหลายๆอย่างน่าจะประทังชีวิตได้นานพอสมควร และได้เงินจำนวนหนึ่งให้ยายเก็บไว้ใช้จ่ายค่ะ หากใครมีจิตศรัทธาอยากจะช่วยยายเพิ่มเติม สามารถติดต่อมาที่ เพจ "นางฟ้าของผู้สูงวัย" หรือเฟสบุคส่วนตัวของม่าน "ม่านฟ้า อรปภัตร จันทรสาขา" ได้เลย หรือจะเข้าไปช่วยคุณยายได้ที่ ชุมชนบ่อดิน ถ แพรกษา จ สมุทรปราการ อาศัยอยู่หลังคลีนิคทันตกรรม ถามชาวบ้านแถวนั่นได้ทุกคนรู้จัก คุณยายเป็นคนน่ารักอารมณ์ดีค่ะ" ม่านฟ้า กล่าว
#2876


มาร์กอส อลอนโซ่ ซัดฟรีคิกสุดงามเบิกร่อง ช่วยให้ "สิงห์บลูส์" เชลซี เปิดหัวพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซีซันใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยม เปิดบ้านไล่ทุบ คริสตัล พาเลซ ไปแบบขาดลอย 3-0 ประเดิมสามแต้มแบบสบายๆ

ศึกฟุต.พรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม 2564 เป็นการลงสนามนัดแรกของฤดูกาล 2021/22 เกมที่น่าสนใจ "สิงห์บลูส์" เชลซี เปิดรับสแตมฟอร์ด บริดจ์ รับการมาเยือนของ "ปราสาทเรือนแก้ว" คริสตัล พาเลซ

เชลซี เพิ่งได้แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 2021 มาหมาดๆ จากการดวลจุดโทษชนะบียาร์รีล เกมนี้ยังไม่มีชื่อของ โรเมลู ลูกากู หัวหอกตัวใหม่ป้ายแดงที่เพิ่งเปิดตัวกับทีมไปหมาดๆ ซึ่งยังไม่ได้ลงซ้อม โดย 11 คนแรก นำทัพโดย ติโม แวร์เนอร์, เมสัน เมาท์, มาร์กอส อลอนโซ่, จอร์จินโญ

ขณะที่ คริสตัล พาเลซ ของกุนซือ พาทริค วิเอร่า ลงเล่นเกมอุ่นเครื่องล่าสุดเอาชนะ วัตฟอร์ด มา 3-1 เกมนี้นำทัพมาโดย วิลฟรีด ซาฮา, คริสเตียน เบนเตเก, นาธาเนียล ไคลน์, โยอาคิม แอนเดอร์เซ่น

เจ้าถิ่นเปิดฉากบุกตั้งแต่เริ่ม และนาทีที่ 26 ความพยายามก็มาประสบผลสำเร็จ ได้ประตูออกนำ 1-0 จากจังหวะลูกฟรีคิกหน้ากรอบเขตโทษทางฝั่งซ้ายของ มาร์กอส อลอนโซ่ ที่ปั่นโค้งๆ .เสียบเสาแรกเข้าไปอย่างสุดงาม

น.40 เจ้าถิ่นนำห่างเป็น 2-0 จากจังหวะที่ เมสัน เมาท์ กระชาก.มาทางริมเส้นฝั่งขวา ก่อนจ่ายเข้ากลาง บิเซนเต กวยตา ผู้รักษาประตูทีมเยือนปัดเอาไว้ แต่.มาเข้าทาง คริสเตียน พูลิซิช วิ่งมาซ้ำดาบสองเข้าไป และจบ 45 นาทีแรกไปด้วยสกอร์นี้

ครึ่งหลัง เชลซี ยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม และก็มาได้ประตูหนีห่าง 3-0 ในนาทีที่ 58 จากการซัดไกลสุดสวยระยะ 25 หลา ของ เทรโวห์ ชาโลบาห์ ปราการหลังดาวรุ่งวัย 22 ปี

ช่วงเวลาที่เหลือทั้งสองทีมไม่มีใครทำอะไรกันได้ หมดเวลาการแข่งขัน 90 นาที เชลซี เปิดบ้านเอาชนะ คริสตัล พาเลซ 3-0 เก็บสามคะแนนเปิดหัวพรีเมียร์ลีก ซีซั่น 2021/22 ได้สำเร็จ

รายชื่อ 11 ตัวจริงของทั้งสองทีม
เชลซี : เอดูอาร์ด เมนดี (GK), เทรโวห์ ชาโลบาห์, อันเดรส คริสเตนเซ่น, อันโตนิโอ รูดิเกอร์, เซซาร์ อัซปิลิกวยตา, จอร์จินโญ, มาเตโอ โควาซิช, มาร์กอส อลอนโซ, เมสัน เมาท์, คริสเตียน พูลิซิช, ติโม แวร์เนอร์

คริสตัล พาเลซ : บิเซนเต กวยตา (GK), โจเอล วาร์ด, ชีคฮู คูยาเต, มาร์ค เกฮี, ไทริค มิตเชลล์, เจฟฟรีย์ ชลุปป์, เจมส์ แม็คอาร์เธอร์, ไจโร ไรเดวาลด์, จอร์แดน อายิว, ฌอง-ฟิลิป มาเตตา, วิลฟรี ซาฮา


ผลฟุต.พรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม 2564 แมนฯ ยูไนเต็ด 5-1 ลีดส์ ยูไนเต็ด
เบิร์นลีย์ 1-2 ไบร์ทตัน แอนด์ โฮล์ฟ อัลเบียน
เชลซี 3-0 คริสตัล พาเลซ
เอฟเวอร์ตัน 3-1 เซาแธมป์ตัน
วัตฟอร์ด 3-2 แอสตัน วิลล่า
#2877


ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แม้จะมีเสียวเล็กน้อย เปิดบ้านไล่ทุบ สตราส์บวร์ก 4-2 โดยก่อนเกมเปิดตัว 5 นักเตะใหม่ มี ลิโอเนล เมสซี นำทัพ

ศึกฟุต.ลีกเอิง ฝรั่งเศส ฤดูกาล 2021/22 วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม 2564 "เปแอสเช" ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ลงสนามนัดที่สอง เปิดรับพาร์ค เด แพรงส์ รับการมาเยือนของ สตราส์บวร์ก

"เปแอสเช" ของกุนซือเมาริซิโอ โปเช็ตติโน เกมที่แล้วบุกไปเอาชนะ ทรัวส์ มาแบบหืดจับ 2-1 ส่วนเกมนี้ ลิโอเนล เมสซี่ ซูเปอร์สตาร์ชาวอาร์เจนไตน์ เดินทางมาทักทายแฟน.ที่เข้ามาชมกันแบบเต็มความจุ แต่ยังไม่มีชื่อ โดย 11 คนแรก นำทัพโดย 3 ประสานแดนหน้า อย่าง คีเลียน เอ็มบัปเป, เมาโร อิคาร์ดี, ยูเลียน ดรักซ์เลอร์ ขณะที่ เนย์มาร์ ยังคงได้พัก และเซร์คิโอ รามอส ยังต้องพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ

ปรากฎว่า ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ออกสตาร์ทกันอย่างคึกคัก มาทำ 3 ประตู ขึ้นนำ 3-0 จาก เมาโร อิคาร์ดี น.3, คีเลียน เอ็มบัปเป น.25 และยูเลียน ดรักซ์เลอร์ น.27 และจบ 45 นาทีแรกไปด้วยสกอร์นี้

ครึ่งหลัง เปแอสเช ยังเดินหน้าบุกอย่างต่อเนื่อง แต่กลายเป็น สตราส์บวร์ก ที่มาได้ประตูตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-3 จากการยิงของ เควิน กาเมยโร ในนาทีที่ 53

น.64 สตราส์บวร์ก ก็มาได้ประตูตีตื้นมาอีกเป็น 2-3 จากจังหวะที่ ดิมิทรี ลีนาร์ด เปิดจากริมเส้นฝั่งซ้ายไปให้ ลูโดวิช อาชอร์ก

น.80 สถานการณ์ของทีมเยือน สตราส์บวร์ก ย่ำแย่ลง เมื่ออเล็กซานเดอร์ ดิคู ปราการหลังตัวเก่ง โดนใบเหลืองที่ 2 กลายเป็นใบแดงไล่ออกจากสนาม 

น.85 เปแอสเช อาศัยตัวผู้เล่นที่เหนือกว่า มาได้ประตูขยับห่างเป็น 4-2 จากจังหวะที่ คีเลียน เอ็มบัปเป ลากเลื้อยมาทางริมเส้นฝั่งซ้าย ก่อนตบเข้ากลางให้ พาโบล ซาราเบีย ยิงจ่อๆ ระยะ 4 หลาเข้าไปไม่พลาด 

ช่วงเวลาที่เหลือ เปแอสเช สามารถรักษาสกอร์เอาไว้ได้ และไม่มีใครทำประตูกันเพิ่ม หมดเวลาการแข่งขัน 90 นาที ปารีส แซงต์-แชร์กแมง เปิดบ้านเฉือนชนะ สตราส์บวร์ก 4-2 เก็บสามคะแนน 2 เกมติดต่อกัน

รายชื่อ 11 ตัวจริงของปารีส แซงต์-แชร์กแมง
เคย์เลอร์ นาบาส (GK), อาชราฟ ฮาคิมี, ธีโล เคห์เรอร์, เพรสเนล คิมเพมเบ, อับดู ดิยัลโล, อันเดร์ เอร์เรรา, เอริค ดีนา, จอร์จินโญ ไวจ์นัลดุม, ยูเลียน ดรักซ์เลอร์, คีเลียน เอ็มบัปเป, เมาโร อิคาร์ดี


ผลการแข่งขันลีกเอิง ฝรั่งเศส วันที่ 14 สิงหาคม 2564 คู่อื่นๆ 
ลีลล์ 0-4 นีซ 
#2878


ค่าเงินบาทปีนี้อ่อนค่าแรงต่อเนื่อง โดยปิดการซื้อขายเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (13 ส.ค.) ที่ระดับ 33.35 บาทต่อดอลลาร์ เทียบกับระดับปิดสิ้นปี 2563 ที่ 29.99 บาทต่อดอลลาร์

โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปีเงินบาทอ่อนค่าลงมากกว่า 10% และเป็นการอ่อนค่ามากกว่าสกุลเงินภูมิภาค เป็นไปตามกลไกตลาด ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยทั้งภายนอกและภายในประเทศ ดังนี้

1. สถานการณ์เศรษฐกิจกลุ่มประเทศหลักที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดี ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น สร้างแรงกดดันต่อสกุลเงินภูมิภาคให้ปรับอ่อนค่าลง

2. เงินสกุลภูมิภาคบางประเทศอาจได้รับผลบวกจากปัจจัยเฉพาะ เช่น ประเทศที่มีสัดส่วนการส่งออกสินค้าสูง หรือประเทศที่สามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 ได้ดี ทำให้สกุลเงินอ่อนไม่มากนัก เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย เกาหลีใต้

3. ไทยยังมีการแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่รุนแรง รวมถึงนักวิเคราะห์ปรับลดคาดการณ์การฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยลงมากกว่าประเทศอื่น เนื่องจากมีสัดส่วนพึ่งพาการท่องเที่ยวสูง

4. นักลงทุนต่างชาติปรับลดการถือครองหุ้นไทย แต่ยังคงเพิ่มการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย โดยเฉพาะพันธบัตรระยะยาว สะท้อนความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทย รวมถึงฐานะด้านต่างประเทศของไทยยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง จากปริมาณเงินสำรองระหว่างประเทศที่สูง และสัดส่วนหนี้ต่างประเทศที่ต่ำ

ทั้งนี้ ธปท. ติดตามถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมดูแลไม่ให้เงินบาทผันผวนจนกระทบการปรับตัวของภาคธุรกิจ และแนะนำให้ภาคเอกชนบริหารความเสี่ยงค่าเงินอย่างสม่ำเสมอ โดยผู้นำเข้า-ส่งออก ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงค่าเงินได้ที่ https://bit.ly/35lWOaG
#2879
 
ข้าวอินทรีย์ (Organic Rice) ข้าวหอมสุรินทร์ เป็นข้าวที่ได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นวิธีการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีหรือสารสังเคราะห์ต่างๆ เป็นต้นว่า ปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโต สารควบคุมและกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าวในทุกขั้นตอนการผลิตและในระหว่างการเก็บรักษาผลผลิต หากมีความจำเป็นแนะนำให้ใช้วัสดุจากธรรมชาติ และสารสกัดจากพืชที่ไม่มีพิษต่อคนหรือไม่มีสารพิษตกค้างปนเปื้อนในผลผลิต ในดินและในน้ำ ในขณะเดียวกันก็เป็นการรักษาสภาพแวดล้อม ทำให้ได้ผลิตผลข้าวสุขภาพสุรินทร์ที่มีคุณภาพดีและปลอดภัย ส่งผลให้ผู้บริโภคมีสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ข้าวสุรินทร์(Organic Rice) เป็นข้าวที่ได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นวิธีการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีหรือสารสังเคราะห์ต่างๆ เป็นต้นว่า ปุ๋ยเคมี สารควบคุมและสารกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าวในทุกขั้นตอนการผลิตและในระหว่างการเก็บรักษาผลผลิต หากมีความจำเป็นแนะนำให้ใช้วัสดุจากธรรมชาติ และสารสกัดจากพืชที่ไม่มีพิษต่อคนหรือไม่มีสารพิษตกค้างปนเปื้อนในผลผลิต ในดินและในน้ำ ในขณะเดียวกันก็เป็นการรักษาสภาพแวดล้อม ทำให้ได้ผลิตผลข้าวเพื่อสุขภาพสุรินทร์ที่มีคุณภาพดีและปลอดภัย ส่งผลให้ผู้บริโภคมีสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

 
       ประเภทของข้าวอินทรีย์
   1. ข้าวอินทรีย์รับรองมาตรฐาน Certified Organic เป็นระบบการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีป้องกันศัตรูพืช มีการขอรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จากหน่วยงานอิสระ โดยมีทั้งภาครัฐ เอกชนและหน่วยงานจากต่างประเทศ มีตราสัญลักษณ์ติดที่ผลิตภัณฑ์ และจะต้องมีการตรวจเพื่อต่ออายุใบรับรองทุกปี
 
   2. ข้าวอินทรีย์ระยะปรับเปลี่ยน In-conversion เป็นข้าวที่อยู่ในช่วงระยะเวลาที่เริ่มทำเกษตรอินทรีย์ในปีแรกก่อนจะได้รับการรับรองผลผลิตว่าเป็นเกษตรอินทรีย์ โดยระยะปรับเปลี่ยนเป็นการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและความอุดมสมบูรณ์ของดิน
 
   3. ข้าวอินทรีย์แบบยังไม่รับรอง Non Certified เป็นการปลูกข้าวอินทรีย์แบบพึ่งตนเอง ส่วนใหญ่เป็นการทำเกษตรแบบพื้นบ้านหรือปลูกในระบบผสมผสานหรือในไร่หมุนเวียน ไม่มีการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานใดๆ เกษตรกรกลุ่มนี้อาจเป็นกลุ่มที่ทำการผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือนและนำผลผลิตส่วนเกินมาจำหน่ายผ่านระบบตลาดท้องถิ่น ทั้งนี้อาจมีการรับรองกันเองในระบบกลุ่มหรือชุมชน ข้าวไรซ์เบอรี่ออแกนิค ข้าวสุขภาพ คือ ข้าวที่ได้จากการผลิตภายใต้ระบบการผลิตข้าวอินทรีย์ซึ่งมีการจัดการการผลิตข้าวที่เกื้อกูลต่อระบบนิเวศรวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพ เน้นใช้วัสดุธรรมชาติ ไม่ใช้วัตถุดิบสังเคราะห์และมีการจัดการกับผลิตภัณฑ์โดยเน้นการแปรรูปด้วยความระมัดระวังเพื่อรักษาสภาพการเป็นข้าวอินทรีย์และคุณภาพที่สำคัญของผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ 
ขั้นตอนการผลิตข้าวอินทรีย์  ข้าวหอมมะลิออแกนิคส่งทั่วไทย ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่
ข้าวอินทรีย์วิถีพื้นบ้าน
เป็นระบบการผลิต  ข้าวไรซ์เบอรี่ออแกนิคส่งทั่วไทย ที่ไม่ใช้สารเคมีทางการเกษตรทุกชนิด เช่น ปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโตสารควบคุมและกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรคแมลงและสัตว์ศัตรูข้าวตลอดจนสารเคมีที่ใช้รมเพื่อป้องกันกำจัดแมลงศัตรูข้าวในโรงเก็บ การผลิตข้าวอินทรีย์นอกจากจะทำให้ผลผลิตข้าวมีคุณภาพ ปลอดภัยจากสารพิษแล้วยังเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นการพัฒนาการเกษตรแบบยั่งยืน
ข้าวอินทรีย์มาตรฐานสากล
การผลิตข้าวอินทรีย์มาตรฐานสากล มีกระบวนการผลิตการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตภัณฑ์อินทรีย์ และห้ามใช้สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุ์หรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุ์ในกระบวนการผลิตและแปรรูปข้าวอินทรีย์ ซึ่งผู้ผลิตและผู้ประกอบการต้องผฏิบัติตามเพื่อให้ได้รับการรับรอง มีขั้นตอนการปฏิบัติเป็นลำดับขั้น ดังนี้
1.เกษตรกรจะต้องมีการปฏิบัติตามข้อกำหนดในการผลิตข้าวอินทรีย์ (  การผลิตข้าวอินทรีย์(ออแกนิค)  )
2.เกษตรกรจัดทำบันทึกขั้นตอนการใช้ปัจจัยการผลิต โดยแสดงแหล่งที่มาและปริมาณการใช้
3.สมัครขอรับรองต่อกรมการข้าว เกษตรกรต้องแสดงข้อมูลต่อไปนี้
- ประวัติการใช้พื้นที่
- ประวัติการใช้สารเคมี และผลการวิเคราะห์สารพิษตกค้างในดินและน้ำ (ถ้ามี)
- แผนที่และแผนผังแปลงนาที่ขอการรับรองและพื้นที่ข้างเคียง
- แผนการผลิตในทุกขั้นตอน
- บันทึกขั้นตอนการใช้ปัจจัยการผลิต
- บันทึกกิจกรรมในแปลงนา และข้อมูลอื่นๆ

ปลูกข้าวอินทรีย์ กันมั้ย  ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์    หลักปฏิบัติในการผลิตข้าวอินทรีย์ 277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
Facebook :https://www.facebook.com/Hor.Organic
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1. ข้าวหอมมะลิเพื่อสุขภาพ
2. ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิคคือ
3.  ข้าวปะกาอำปึลออร์แกนิค #ข้าวพื้นถิ่นสุรินทร์
4. ข้าวผสมหลายสายพันธุ์ปลอดสารพิษสุรินทร์
5.  ปลูกข้าวกล้องหอมมะลิแดงออแกนิค
6.ข้าวมะลินิลอินทรีย์สุรินทร์
7.  ข้าวไรซ์เบอร์รี่ออแกนิก

ข้าว Hor พร้อมขายแล้วที่ Shopee & Lazada
https://shopee.co.th/hor.boutique
https://www.lazada.co.th/shop/horboutique/

#ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์
#ข้าวออแกนิคสุรินทร์
#ข้าวออแกนิกสุรินทร์
#ข้าวอินทรีย์สุรินทร์
#ข้าวคุณภาพสุรินทร์
 
 
#2880


นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วรายใหญ่ในไทยและภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 บริษัทฯ สามารถทำผลการดำเนินงานเติบโตอย่างโดดเด่น และฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ของปีที่ผ่านมาที่มีการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศและห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

โดยผลการดำเนินงานล่าสุดในไตรมาส 2 ปี 2564 มีรายได้จากการขาย 3,150 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 122 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 53% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตอกย้ำความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจและศักยภาพการเติบโตที่โดดเด่น

ปัจจัยที่บริษัทฯ สามารถทำผลการดำเนินงานเติบโตได้ดี มาจากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่แข็งแกร่ง โดยบริษัทฯ ได้รับคำสั่งซื้อสินค้าตามเป้าหมายที่วางไว้ ส่งผลดีต่อการบริหารจัดการด้านการผลิตภายในโรงงาน โดยประสิทธิภาพในการผลิต (Efficiency Rate) ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 86.5% และในขณะเดียวกันบริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้จากการลงทุนในบริษัท บางกอกบรรจุภัณฑ์ จำกัด (BVP) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายบรรจุภัณฑ์กระดาษ

และบริษัท บีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (BGP) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายฟิล์มพลาสติก ฝาพลาสติก ขวด PET หลอดพรีฟอร์ม ตั้งแต่เดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ตามกลยุทธ์ยกระดับธุรกิจสู่ Total Packaging Solutions ซึ่งส่งผลดีต่อภาพรวมผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปีนี้ที่มีรายได้จากการขาย 6,531 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 311 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

"การเข้าซื้อกิจการดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ มี Product Mixed ที่หลากหลายยิ่งขึ้น จากเดิมที่มีเฉพาะบรรจุภัณฑ์แก้ว และยังทำให้บริษัทฯ มีอำนาจต่อรองที่ดีและสามารถเพิ่มยอดขายจากลูกค้าแต่ละราย รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพบริหารจัดการต้นทุนด้านต่าง ๆ โดยคาดว่าในปีนี้ทั้ง 2 บริษัทฯ (BVP และ BGP) จะมียอดขายรวมกันประมาณ 2,000 ล้านบาท"

จากผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.12 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 83.33 ล้านบาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 24 ส.ค.นี้ และจะจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 10 ก.ย.2564

ขณะเดียวกัน คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติงบลงทุน 176 ล้านบาท สำหรับ BGP เพื่อเดินหน้าขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน (Flexible Packaging) กำลังการผลิตสูงสุด 50 ล้านเมตรต่อปี ซึ่งเป็นการเพิ่มพอร์ตสินค้าและความหลากหลายด้านบรรจุภัณฑ์ ตอบสนองความต้องการกลุ่มถุงบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อนภายในประเทศที่มีอัตราเติบโตสูง ขยายผลิตภัณฑ์เข้าสู่ธุรกิจกลางน้ำ และรองรับเป้าหมายการเติบโตของกลุ่มบรรจุภัณฑ์ในอนาคต

คาดว่าจะเริ่มการลงทุนขยายกำลังการผลิตในไตรมาส 1 ปี 2565 และแล้วเสร็จเริ่มผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายได้ภายในไตรมาส 1 ปี 2566 ซึ่งจะเป็นหนึ่งในแผนการลงทุนที่จะขับเคลื่อนการเติบโตเพื่อบรรลุเป้าหมายรายได้ 2.5 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2568

สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังยังมั่นใจว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามแผนงานที่วางไว้ และผลักดันผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ทั้งปีเติบโตใกล้เคียงกับช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2562  เนื่องจากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์แก้วและบรรจุภัณฑ์อื่นๆ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ทั้งประเทศและห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงวางเป้าหมายสร้างยอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง

แม้มีปัจจัยลบและความท้าทายจากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ โดยเชื่อว่าหากกระจายวัคซีนแก่ประชาชนได้มากขึ้นและสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย จะส่งผลให้ธุรกิจต่างๆ ทยอยเปิดกิจการ ทำให้ดีมานด์บรรจุภัณฑ์มีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบกับในช่วงไตรมาสสุดท้ายของทุกปีถือเป็นไฮซีซั่นหรือฤดูการขายสินค้า ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อผลประกอบการของบริษัทฯ

ขณะที่กลยุทธ์ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะเร่งเพิ่มประสิทธิภาพบริหารต้นทุนการผลิตเพื่อเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น และเพิ่มสัดส่วนรายได้ส่งออกเป็น 10% ของรายได้รวม พร้อมทั้งติดตามสถานการณ์ดีมานด์ในตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อวางแผนปรับระดับสต๊อกสินค้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการด้านต้นทุน ทั้งการเพิ่มประเภทพลังงานที่ใช้เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มสัดส่วนการใช้เศษแก้วในเตาหลอมเพื่อลดการใช้พลังงาน รวมถึงนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมอุณหภูมิในเตาหลอมแก้ว ช่วยลดความสูญเสียของพลังงาน อย่างไรก็ตามสำหรับราคาโซดาแอช (Soda ash) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตแก้วมีราคาลดลงอย่างต่อเนื่องและเศษแก้วยังคงมีราคาทรงตัว