• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - hs8jai

#2081
PLANB ขยับเป้ารายได้ปี 65 ขึ้นแตะ 6-6.3 พันลบ.สัญญาณบวกเม็ดเงินสื่อโฆษณาโต

บมจ.แพลน บี มีเดีย (PLANB) ปรับเป้าหมายรายได้ในปี 65 จากเป้าหมายเดิม 5.8-6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 6-6.3 พันล้านบาท เนื่องจากแนวโน้มของเม็ดเงินใช้สื่อโฆษณาเติบโตขึ้น และบริษัทมีรายได้จาก 2 บริษัท คือ บมจ.มาสเตอร์ แอด (MACO) และ บมจ.อควา คอร์เปอเรชั่น (AQUA) ที่มีความร่วมมือทางธุรกิจกัน เข้ามามากขึ้น เชื่อวาจะช่วยเพิ่มอัตราการใช้สื่อโฆษณาให้มากกว่า 60% สนับสนุนการเติบโตของรายได้ในปีนี้

นายธนพร เตชวิวรรธน์ หัวหน้านักลงทุนสัมพันธ์ PLANB กล่าวว่า แนวโน้มการใช้สื่อโฆษณาในช่วงไตรมาส 1/65 ยังมีทิศทางการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะสื่อโฆษณานอกบ้าน (OOH) ที่เติบโตต่อเนื่องจากปลายปี 64 หลังจากภาพรวมของเศรษฐกิจค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการและเอเจนซี่ต่างกลับมาใช้สื่อโฆษณามากขึ้น ส่งผลบวกต่อผลงานของบริษัทที่คาดว่าจะฟื้นตัวกลับมาได้ดี

และทั้งปี 65 บริษัทคาดว่าจะมีเม็ดเงินการใช้สื่อโฆษณาเพิ่มขึ้นมาที่ 1.2 แสนล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 1.07 แสนล้านบาท ซึ่งหนุนต่อภาพรวมการเติบโตของบริษัทในปีนี้

สำหรับการเข้าซื้อธุรกิจสื่อนอกบ้านจาก AQUA จะช่วยเสริมศักยภาพการแข่งขันให้กับบริษัท โดยเฉพาะการขายโฆษณาแบบแพ็คเกจให้กับลูกค้าที่จะทำให้ได้ราคาดีขึ้น และมี Location ให้ลูกค้าเลือกหลากหลายมากขึ้น สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ซึ่งบริษัทยังคงเดินหน้าขยายจอโฆษณา LED ในทำเลศักยภาพ โดยเฉพาะในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ที่ปัจจุบันมีอยู่ 2,000 จอ ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายเบื้องต้นแล้ว ส่วนที่เหลือจึงอาจชะลอการขยายไปก่อนชั่วคราว

ส่วนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริหารศิลปิน โดยเฉพาะศิลปิน BNK48 ในปีนี้จะมีกิจกรรมต่างๆออกมามากขึ้น จากที่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาไม่สามารถจัดกิจกรรมได้ท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 รวมถึงการบริหารลิขสิทธิ์ E-sport ที่จะจัดงานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่กิจกรรมโฆษณาและประชาสัมพันธ์ และในปีนี้บริษัทยังจะมีรายได้จากลิขสิทธิ์ Winter Olmpics และ Asian Games เข้ามาเสริมรายได้

ด้านงบลงทุนในปีนี้วางไว้ที่ 700-1,000 ล้านบาท โดยครึ่งหนึ่งจะนำมาใช้ในการปรับปรุงป้ายโฆษณาของ PlanB ให้เป็นจอ LED และอีกส่วนหนึ่งจะลงทุนปรับปรุงระบบการโฆษณา PlanB TV และปรับปรุงจอโฆษณาในพื้นที่ Show DC
#2082
'อาเซียน' นัดประชุมรายสาขาด้านเศรษฐกิจครั้งแรก ตั้งเป้ายกระดับอาเซียนสู่ยุคดิจิทัล

?อาเซียน? นัดประชุมคณะกรรมการรายสาขาด้านเศรษฐกิจของอาเซียน 23 ด้าน อาทิ การค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน และทรัพย์สินทางปัญญา หารือแนวทางการทำงานร่วมกันของสามเสาประชาคมอาเซียน ผลักดันประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ และแผนการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 (4IR) เน้นลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน เปิดโอกาสภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม พร้อมยกระดับอาเซียนสู่ยุคดิจิทัล

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า อาเซียนกำหนดจัดประชุมคณะกรรมการรายสาขาด้านเศรษฐกิจของอาเซียน (Committee of the Whole: CoW) ครั้งที่ 12 ผ่านระบบการประชุมทางไกล ในวันที่ 10 มีนาคมนี้ ซึ่งเป็นการประชุมรายสาขาด้านเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการครั้งแรกของอาเซียนในปีนี้ ภายใต้การเป็นประธานอาเซียนของกัมพูชา ตามแนวคิด ?ASEAN A.C.T. : Addressing Challenges Together?

นางอรมน กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ เป็นเวทีการประชุมร่วมกันของคณะกรรมการรายสาขาด้านเศรษฐกิจของอาเซียนรวม 23 ด้าน อาทิ การค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน ทรัพย์สินทางปัญญา พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ พิธีการศุลกากร และการอำนวยความสะดวกทางการค้า โดยมีผู้แทนจากเสาการเมือง เสาสังคมและวัฒนธรรม และผู้แทนภาคเอกชนของอาเซียน เข้าร่วมหารือแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่างสาขาต่างๆ เพื่อให้เกิดผลได้จริง อาทิ การเสริมสร้างการมีส่วนร่วมในห่วงโซ่มูลค่าโลก (Global Value Chains: GVCs) และแนวทางการดำเนินการต่อไปในประเด็นแผนการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 (4IR)

นางอรมน เพิ่มเติมว่า ที่ประชุมจะมีการหารือผลลัพธ์จากการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่องแนวทางการทำงานร่วมกันขององค์กรรายสาขาในประเด็นที่คาบเกี่ยวระหว่างสาขา โดยเฉพาะ 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ (1) การวางพื้นฐานร่วมกันเรื่องการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน (decarbonization) ภาคเศรษฐกิจสำคัญของอาเซียน และ (2) การเตรียมความพร้อมของอาเซียนในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล นอกจากนี้ ที่ประชุมจะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม โดยสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน (ASEAN-BAC) จะนำเสนอประเด็นที่ต้องการผลักดันในปีนี้ และการสนับสนุนจากอาเซียนให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด

ทั้งนี้ ความสำเร็จที่สำคัญจากการประชุมที่ผ่านมา คือ การจัดทำแผนยุทธศาสตร์อาเซียนประเด็นการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากมติที่ประชุม CoW สมัยพิเศษ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2562 และได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 38 และ 39 เมื่อเดือนตุลาคม 2564 โดยแผนยุทธศาสตร์มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดแนวทางเชิงนโยบายในการพัฒนาประชาคมอาเซียนสู่ยุคดิจิทัลของทั้งสามเสาประชาคมอาเซียน ซึ่งอาเซียนกำลังจัดทำแผนดำเนินงานและกิจกรรมเพื่อให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ดังกล่าว
#2083
'ผศ.ดร.โด่ง-องอาจ สิงห์ลำพอง' อัดคอนเทนต์รายการใหม่เตรียมลงจอ เริ่ม 14 มี.ค.
 
ล่าสุด 'ผศ.ดร.โด่ง-องอาจ สิงห์ลำพอง' ผู้อำนวยการอาวุโสสถานีโทรทัศน์ดิจิทัลช่อง JKN18 อัดคอนเทนต์รายการใหม่เตรียมลงจอ JKN18 เริ่ม 14 มี.ค นี้กับ 6 รายการด้านเศรษฐกิจ การเงิน การลงทุนและข่าวธุรกิจชั้นนำระดับโลก ภายใต้ลิขสิทธิ์สำนักข่าวระดับโลก CNBC (ASIA) โดยเน้นแหล่งข่าวน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจ และการลงทุนอันดับ 1 ของไทย ตอกย้ำการเป็นสถานีข่าวคุณภาพด้วยการนำเสนอที่เข้าใจง่าย พุ่งตรงประเด็นของ 'ทีมผู้ประกาศข่าว JKN18' งานนี้เรียกได้ว่าเป้าหมายจะขับเคลื่อนไปสู่ท็อป 10 นั้นคงไม่ไกลเกินไป

แบงก์ชาติสิงคโปร์เผยผลสำรวจนักวิเคราะห์คาด GDP ขยายตัว 4% ปีนี้

ธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ในวันนี้ โดยคาดการณ์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสิงคโปร์จะขยายตัว 4% ในปีนี้ ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงไปจากผลสำรวจฉบับก่อนหน้าที่เผยแพร่ในเดือนธ.ค.

ในผลสำรวจล่าสุดนี้ นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสิงคโปร์มีแนวโน้มขยายตัว 3.7% ในไตรมาส 1/2565 เมื่อเทียบรายปี ขณะที่ในไตรมาส 4/2564 นั้น GDP ขยายตัว 6.1% เมื่อเทียบรายปี

ส่วนในด้านเงินเฟ้อนั้น นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ในผลสำรวจคาดการณ์ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) มีแนวโน้มขยายตัว 3.6% ในปี 2565 และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ซึ่งไม่รวมต้นทุนในหมวดที่พักอาศัยและค่าขนส่งเอกชนมีแนวโน้มแตะระดับ 2.7%
#2084
ปธน.จีนเน้นย้ำความมั่นคงด้านอาหาร ตั้งเป้าพัฒนานวัตกรรมการเกษตรสมัยใหม่

จีนให้คำมั่นในการยกระดับความสำคัญของกำลังการผลิตทางการเกษตรแบบครบวงจร ระหว่างการประชุมสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและที่ปรึกษาทางการเมืองของจีนที่กรุงปักกิ่ง เพื่อจัดลำดับความสำคัญของการพัฒนาในปี 2565

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ประชุมร่วมกับที่ปรึกษาทางการเมืองระดับชาติจากภาคเกษตรกรรม สวัสดิการ และประกันสังคม เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่สองของการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) พร้อมเรียกร้องว่า อย่าละเลยประเด็นเรื่องความมั่นคงด้านอาหาร เพราะความมั่นคงด้านอาหารเป็นหนึ่งในผลประโยชน์ขั้นพื้นฐานที่สุดของประเทศ และในขณะเดียวกันผู้นำจีนก็ตั้งคำถามว่า "ใครจะเป็นคนเลี้ยงจีน"

ปธน.สี กล่าวว่า การกินเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด และอาหารเป็นสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานที่สุดของประชาชน พร้อมกล่าวว่า เมื่อเจ็ดทศวรรษที่แล้ว จีนมีประชากรขาดอาหารถึง 400 ล้านคน แต่วันนี้ผู้คน 1.4 พันล้านคนได้กินอย่างดีและมีทางเลือกหลากหลาย จีนสามารถเลี้ยงคนได้ 1 ใน 5 ของประชากรทั้งโลก ด้วยพื้นที่เพาะปลูก 9% และแหล่งน้ำจืด 6% ของทั้งโลก

"แม้จีนจะเป็นชาติอุตสาหกรรมแล้ว แต่ก็ไม่ควรมองว่าอุปทานอาหารเป็นปัญหาที่ไม่สำคัญ และจีนไม่สามารถพึ่งพาตลาดต่างประเทศแต่เพียงอย่างเดียวในการแก้ปัญหานี้" ปธน.จีน กล่าว
ปธน.สี เน้นด้วยว่า ความมั่นคงด้านทรัพยากรเมล็ดพันธุ์เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ของประเทศ จำเป็นต้องเพิ่มการพึ่งพาตนเองในเทคโนโลยีเมล็ดพันธุ์ และสร้างความมั่นใจว่าทรัพยากรเมล็ดพันธุ์ของประเทศสามารถเลี้ยงตัวได้และมีการควบคุมที่ดีขึ้น ปธน.สี กล่าวโดยเน้นถึงความสำคัญของการปฏิรูปกลไกทางวิทยาศาสตร์การเกษตร และบทบาทด้านนวัตกรรมของวิสาหกิจ

การไม่มีอาหารเหลือทิ้งในอุตสาหกรรมจัดเลี้ยงถือเป็นภารกิจระยะยาว และเราต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างสังคมอนุรักษ์ทรัพยากร

นอกจากนี้ จีนตั้งเป้าที่จะสร้างระบบนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ภายในปี 2568 ตามแนวทางการพัฒนาของสถาบันวิทยาศาสตร์การเกษตรแห่งประเทศจีน (CAAS) สำหรับแผนห้าปี ฉบับที่ 14

โดยในระหว่างการหารือ ปธน.สี จิ้นผิง ยังชี้ด้วยว่า ต้องมีความพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมการพัฒนาระบบประกันสังคมคุณภาพสูง และเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคมจะต้องได้รับการพัฒนาต่อไปเพื่อสวัสดิภาพของประชาชน

 
#2085
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิเปิดพุ่ง 390.94 จุด ราคาน้ำมันลดช่วยหนุนตลาด

ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดพุ่งขึ้นในวันนี้ โดยทะยานขึ้นเกือบ 3% ในช่วงสั้น ๆ เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก หลังสัญญาน้ำมันดิบร่วงลงเมื่อคืนวานนี้

ดัชนีนิกเกอิเปิดตลาดวันนี้ที่ระดับ 25,108.47 จุด พุ่งขึ้น 390.94 จุด หรือ +1.58%

หุ้นทุกกลุ่มปรับตัวขึ้นเช้านี้ยกเว้นกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมันและถ่านหิน รวมถึงกลุ่มเหมืองแร่ โดยหุ้นบวกนำตลาดได้แก่กลุ่มขนส่งทางอากาศ รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์แก้วและเซรามิก

ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกงฮั่งเส็งเปิดบวก 478.86 จุด ตามทิศทางดาวโจนส์

ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดในแดนบวกเช้านี้ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดพุ่งขึ้นกว่า 600 จุดในวันพุธ (9 มี.ค.) ขานรับรายงานที่ว่าการเจรจาระหว่างรัสเซียและยูเครนมีความคืบหน้า ซึ่งอาจจะปูทางให้สงครามในยูเครนยุติลง

ดัชนีฮั่งเส็งเปิดตลาดที่ระดับ 21,106.57 จุด บวก 478.86 จุด หรือ +2.32%

ชวนรับชมรายการ 'SET SE101: Online Offering Season 2' 11-12 มี.ค. นี้

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชวนผู้สนใจร่วมรับชม "SET SE101: Online Offering Season 2" รายการให้ความรู้ผู้ประกอบการเพื่อสังคม กับ 2 หัวข้อสุดท้ายที่จะทำให้พร้อมเริ่มต้นการเป็นผู้ประกอบการเพื่อสังคม ศุกร์ที่ 11 มี.ค. 20.00 น. "How-to เขียนแผนธุรกิจ" เทคนิคการสร้างแผนที่ให้ธุรกิจแบบเข้าใจง่ายและทำได้จริง โดย ดร. ธนัยวงศ์ กีรติวานิชย์ วิทยากรระดับ Mentor ศูนย์ส่งเสริมความรู้ตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเสาร์ที่ 12 มี.ค. 20.00 น. "โรงแรมใหญ่หัวใจยั่งยืน กับ SIVATEL" ฟังมุมมองการบริหารธุรกิจที่เน้นสร้างการเติบโตแบบยั่งยืน ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดย คุณอลิสรา ศิวยาธร CEO โรงแรมศิวาเทล กรุงเทพ นอกจากนี้ ผู้สนใจสามารถรับชม Episode1 - 9 ย้อนหลังที่ออกอากาศไปแล้ว ที่เป็นความรู้การเป็นผู้ประกอบการทางสังคม และการแบ่งปันรูปแบบการประกอบธุรกิจเพื่อสังคมตัวอย่างจากวิทยากรผู้ทรงเกียรติ รับชมได้ที่ www.setsocialimpact .com ในหน้า Impact Program หรือที่ FB live: SET Social Impact
#2086
ดัชนีและภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ประจำวันที่ 9 มี.ค. 2565

-- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 600 จุดในวันพุธ (9 มี.ค.) ขานรับรายงานที่ว่าการเจรจาระหว่างรัสเซียและยูเครนมีความคืบหน้า ซึ่งอาจจะปูทางให้สงครามในยูเครนยุติลง โดยหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นนำตลาด ขณะที่การร่วงลงของราคาน้ำมันช่วยหนุนหุ้นธุรกิจการเดินทาง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,286.25 จุด เพิ่มขึ้น 653.61 จุด หรือ +2.00%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,277.88 จุด เพิ่มขึ้น 107.18 จุด หรือ +2.57% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,255.55 จุด เพิ่มขึ้น 459.99 จุด หรือ +3.59%

-- ตลาดหุ้นยุโรปปิดพุ่งขึ้นกว่า 4% ในวันพุธ (9 มี.ค.) นำโดยตลาดหุ้นเยอรมนีที่ทะยานขึ้นเกือบ 8% หลังจากนักลงทุนพากันเข้าช้อนซื้อหุ้นที่ร่วงลงอย่างหนักก่อนหน้านี้จากความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบของวิกฤตยูเครน

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 434.45 จุด พุ่งขึ้น 19.44 จุด หรือ +4.68%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,387.83 จุด พุ่งขึ้น 424.87 จุด หรือ +7.13%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,847.93 จุด พุ่งขึ้น 1,016.42 จุด หรือ +7.92% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,190.72 จุด พุ่งขึ้น 226.61 จุด หรือ +3.25%

-- ตลาดหุ้นลอนดอนปิดพุ่งขึ้นในวันพุธ (9 มี.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มการเงินที่ปรับตัวขึ้นหลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้น ขณะที่นักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อและการขยายตัวทางเศรษฐกิจหลังจากราคาน้ำมันปรับตัวลง นอกจากนี้ การเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนได้ช่วยหนุนตลาดด้วย

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,190.72 จุด พุ่งขึ้น 226.61 จุด หรือ +3.25%

-- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 12% ในวันพุธ (9 มี.ค.) หลังจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ประกาศสนับสนุนการผลิตน้ำมันเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น เพื่อบรรเทาภาวะอุปทานขาดแคลนอันเนื่องมาจากรัสเซียถูกนานาประเทศคว่ำบาตร ฐานใช้กำลังทหารรุกรานยูเครน

ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 15 ดอลลาร์ หรือ 12.1% ปิดที่ 108.70 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 16.84 ดอลลาร์ หรือ 13.2% ปิดที่ 111.14 ดอลลาร์/บาร์เรล

-- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 50 ดอลลาร์ในวันพุธ (9 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หลังจากการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครนมีความคืบหน้า ซึ่งอาจจะปูทางให้สงครามในยูเครนยุติลง

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 55.1 ดอลลาร์ หรือ 2.7% ปิดที่ 1,988.2 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 1.079 ดอลลาร์ หรือ 4.01% ปิดที่ 25.816 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย. ร่วงลง 45.6 ดอลลาร์ หรือ 3.95% ปิดที่ 1,107.6 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 18.70 ดอลลาร์ หรือ 0.62% ปิดที่ 2949.80 ดอลลาร์/ออนซ์

-- ดอลลาร์สหรัฐร่วงลงอย่างหนักเมื่อทียบกับสกุลต่าง ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพุธ (9 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายดอลลาร์ซึ่งเป็นสกุลเงินปลอดภัย และเข้าซื้อสกุลที่เป็นสินทรัพย์เสี่ยงเช่นยูโรและปอนด์ หลังคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามยูเครน

ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 1.11% แตะที่ระดับ 97.9670

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9262 ฟรังก์ จากระดับ 0.9291 ฟรังก์ และอ่อนค่าเมื่อลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2825 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2888 ดอลลาร์แคนาดา แต่ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 115.83 เยน จากระดับ 115.73 เยน

ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1082 ดอลลาร์ จากระดับ 1.0909 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.3182 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3105 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.7320 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7276 ดอลลาร์สหรัฐ

ดัชนี DJIA ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 33,286.25 จุด เพิ่มขึ้น 653.61 จุด, +2.00%

ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 4,277.88 จุด เพิ่มขึ้น 107.18 จุด, +2.57%

ดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 13,255.55 จุด เพิ่มขึ้น 459.99 จุด, +3.59%

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,190.72 จุด เพิ่มขึ้น 226.61 จุด, +3.25%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,387.83 จุด เพิ่มขึ้น 424.87 จุด, +7.13%

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,847.93 จุด เพิ่มขึ้น 1,016.42 จุด, +7.92%

ดัชนี SENSEX ตลาดหุ้นอินเดียปิดที่ 54,647.33 จุด เพิ่มขึ้น 1,223.24 จุด, +2.29%

ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียปิดที่ 6,864.44 จุด เพิ่มขึ้น 50.26 จุด, +0.74%

ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดที่ 1,562.33 จุด เพิ่มขึ้น 15.46 จุด, +1.00%

ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปิดที่ 6,989.88 จุด เพิ่มขึ้น 12.15 จุด, +0.17%

ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดที่ 3,195.38 จุด เพิ่มขึ้น 46.52 จุด, +1.48%

ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดที่ 20,627.71 จุด ลดลง 138.16 จุด, -0.67%

ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดที่ 3,256.39 จุด ลดลง 37.14 จุด, -1.13%

ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันปิดที่ 17,015.36 จุด เพิ่มขึ้น 190.11 จุด, +1.13%

ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดที่ 24,717.53 จุด ลดลง 73.42 จุด, -0.30%

ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 7,053.00 จุด เพิ่มขึ้น 72.70 จุด, +1.04%

ดัชนี ALL ORDINARIES ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 7,331.80 จุด เพิ่มขึ้น 78.90 จุด, +1.09%

ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดทำการวานนี้ (9 มี.ค.) เนื่องในวันเลือกตั้งประธานาธิบดี
#2087
JWD คาด Q1/65 โต YoY ตามดีมานด์เช่าพื้นที่-ขนส่ง,ทั้งปีเชื่อโตกว่า 10-15%

นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ (JWD) กล่าวว่า บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/65 จะเติบโตดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนค่อนข้างมาก เห็นได้จากตัวเลขในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.65 ที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการเช่าพื้นที่และการขนส่งสินค้าที่ขยายตัวขึ้น แต่อย่างไรก็ตามยังคงต้องรอดูในเดือน มี.ค.ให้ชัดเจนก่อน แต่บริษัทก็มั่นใจว่าจะยังเติบโตกว่าปีก่อนในระดับสูง

สำหรับทั้งปี 65 บริษัทคาดว่ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10-15% จากทุกกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโต โดยเฉพาะธุรกิจขนส่ง ตามความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น แต่บริษัทสามารถปรับราคาขึ้นและลงได้ตามที่ระบุไว้ในสัญญาสำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในระยะยาว ส่วนลูกค้าแบบ Spot ก็ได้เร่งเจรจาขอปรับราคาแล้ว ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โดยต้นทุนน้ำมันคิดเป็น 40% ของค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน (Operating Expenses) ของกลุ่มขนส่ง ขณะที่กลุ่มขนส่งมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 17% ของรายได้รวมเท่านั้น

ด้านธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น ปัจจุบันได้เริ่มเปิดให้บริการคลังสินค้าใหม่ "PACM Cold Storage" ที่ JWD ร่วมลงทุนกับลูกค้า ซึ่งมีความต้องการเข้ามาใช้อย่างมาก คาดว่าจะเต็ม Capacity ได้ภายใน 3 เดือนนี้ และน่าจะสร้างรายได้และกำไรเข้ามาอย่างรวดเร็ว ขณที่บริษัทอยู่ระหว่างการก่อสร้างคลังสินค้าห้องเย็นแห่งใหม่ที่สระบุรี (Saraburi Cold Storage) ซึ่ง JWD ลงทุน 100% คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนต.ค.นี้ แต่ปัจจุบันได้มีการ Pre-sell ให้กับลูกค้าบ้างแล้ว

อีกทั้งการร่วมลงทุนกับ บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ในการสร้างคลังสินค้าห้องเย็น "PACT Cold Storage" ทำให้บริษัทสามารถรักษาฐานลูกค้าสำคัญไว้ในระยะยาว คาดว่าเมื่อมีการก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 1/66 ก็จะมีสินค้าจากกลุ่ม TU ทยอยเข้ามาใช้บริการ

ส่วนธุรกิจห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่า (Self-Storage) และบริการจัดเก็บงานศิลปะครบวงจร (Art Space) ก็มีการขยายสาขาเพิ่มเติมที่สาขาลาดพร้าว หรือ JWD Store it Ladprao คาดก่อสร้างเสร็จในเดือนเม.ย.นี้ ส่งผลให้บริษัทฯ มีสาขาให้บริการทั้งสิ้น 7 สาขา ซึ่งถือว่ามีสาขาและพื้นที่โดยรวมมากที่สุดในประเทศไทย รวมถึงยังต่อยอดการให้บริการไปในส่วนอื่นๆ ด้วย

และธุรกิจรับฝากและบริหารสินค้าอันตราย และธุรกิจให้บริการอาหารที่เข้าลงทุนใน CSLF ประเทศไต้หวัน ก็มีการเติบโตดีขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทจะเข้าซื้อหุ้นในบริษัท อีสเทิร์นซี แหลมฉบัง เทอร์มินัล จำกัด (ESCO) เพิ่มเติมอีก 5% จากเดิมถือหุ้นอยู่ที่ 15% คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จได้ในครึ่งปีแรกของปีนี้ และจะสามารถรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนเข้ามาทันที ส่งผลให้กำไรปีนี้เติบโตมากขึ้น

นายชวนินท์ กล่าวว่า บริษัทยังวางงบลงทุนปีนี้ไว้ที่ 1.5-1.8 พันล้านบาท รองรับการขยายคลังสินค้าห้องเย็น 400-500 ล้านบาท, การซื้อหุ้นเพิ่มเติมใน ESCO จำนวน 165 ล้านบาท, การลงทุนที่ร่วมกับกลุ่ม Origin Property ในการขยาย Alpha Industrial Solutions ในปีนี้ คาดใช้เงินราว 500 ล้านบาท, การปรับปรุงราว 200-300 ล้านบาท และการซื้อกิจการ (M&A) ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อรองรับการเติบโต
#2089
TNITY คาดปี 65 รายได้โตตามวอลุ่มเทรด-งาน IPO,รุกขยายธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล

นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.ทรีนีตี้ วัฒนา (TNITY) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 65 บริษัทคาดว่าธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (Brokerage) จะมีรายได้ค่านายหน้าใกล้เคียงกับปีก่อน เนื่องจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์รวมต่อวันของตลาดหลักทรัพย์จะอยู่ที่สูงกว่า 90,000 ล้านบาท ใกล้เคียงหรือสูงกว่าปีก่อนที่อยู่ในระดับ 93,846 ล้านบาทเล็กน้อย

ขณะที่รายได้จากดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ คาดเติบโตกว่าปีก่อนเล็กน้อย เนื่องจากธุรกรรมการให้สินเชื่อยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ส่วนธุรกิจวาณิชธนกิจ (Investment Banking) ก็น่าจะดีกว่าปีก่อน เนื่องจากมีงานที่ปรึกษาการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ( IPO) เข้ามามากขึ้น

แต่ธุรกิจที่ยังคาดการณ์ได้ยาก คือ Investment เนื่องจากภาวะตลาดมีความผันผวนสูง

นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า ปีนี้ถือเป็นปีที่มีความท้าทายของธุรกิจหลักทรัพย์ จากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และปัจจัยอื่น ๆ หลายด้าน รวมถึงความเสี่ยงจากปัญหาเชิงภูมิรัฐศาสตร์ของโลก แต่บริษัทก็มีเป้าหมายที่จะส่งมอบผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจ Wealth Management ตั้งเป้ามีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) เติบโตเป็น 5,300 ล้านบาท

ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีงาน IPO ในมือราว 8-10 ดีล ครอบคลุมกลุ่มเกษตร, อาหารและเครื่องดื่ม, Transportation & Logistics, Commerce, Media & Publishing, Property Development, Industrial Materials & Machine เพื่อเข้าจดทะเบียนทั้งในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) และ เอ็ม เอ ไอ (mai) รวมถึงมีงานที่ปรึกษาทางการเงินในการทำ M&A จำนวน 4-5 ดีล และยังมีงานผู้จัดการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ 4-6 ดีล ในกลุ่ม Finance & Securities และ Insurance

สำหรับความคืบหน้าการขยายธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการขอใบอนุญาต ทั้ง ICO Portal, ผู้ประกอบธุรกิจที่ปรึกษาสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset & Advisory Service) และการหาพันธมิตร โดยบริษัทจะขยายไปสู่การเป็นผู้แนะนำนักลงทุนให้กับศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์สินทรัพย์ดิจิทัลของ บริษัท บิท คับ ออนไลน์ จำกัด, พัฒนาแพลตฟอร์มกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) ให้เข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัล และ ICO Portal รวมไปถึงที่ปรึกษาสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset & Advisory Service)
#2090
เมืองไทยประกันชีวิต เฟ้นหานักบริหารยุคใหม่ ร่วมโครงการ 'MTL Management Associate' เสริมแกร่งองค์กรพร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน รับโลกยุคดิจิทัล

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการตอกย้ำกลยุทธ์ 'MTL NEXT TO YOU' ที่มุ่งเน้นการพัฒนารอบด้านอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อก้าวเคียงคู่ดูแลทุกช่วงของชีวิต ในการส่งมอบความสุขและรอยยิ้มแก่ลูกค้าทุกกลุ่ม พร้อมมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรที่น่าอยู่และองค์กรแห่งการเรียนรู้ ด้วยการพัฒนาพนักงานให้มีความสามารถในหลากหลายมิติ และเปิดรับคนรุ่นใหม่มาร่วมขับเคลื่อนองค์กรสู่โลกยุคดิจิทัล เพื่อส่งเสริมธุรกิจให้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

ล่าสุด เมืองไทยประกันชีวิต ได้เปิดรับสมัครผู้ที่สนใจและพร้อมก้าวสู่การเป็นนักบริหารมืออาชีพบนโลกยุคใหม่ เข้าร่วม 'โครงการ MTL Management Associate (MTMA)' ซึ่งเป็นโครงการที่ถูกออกแบบมาสำหรับผู้ที่มองหาโอกาสและความท้าทายในการก้าวสู่การเป็นผู้บริหารในอนาคต โดยผู้ที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับการพัฒนาทักษะรอบด้าน มุ่งเน้นทักษะด้านธุรกิจหลัก 3 ด้าน ประกอบด้วย ด้านกลยุทธ์ทางธุรกิจ (Strategy) ด้านหลักการทำงานที่มุ่งเน้นแนวคิดความคล่องตัว (Agility) และด้านการจัดการการขาย (Sales) /การตลาดผลิตภัณฑ์ (Product Marketing)/การบริหารงานบุคคล (HR) โดยจะมีการเรียนรู้ทักษะในแต่ละด้านเป็นระยะเวลา 6 เดือน

โดยผู้เข้าร่วมโครงการจะได้ประโยชน์ต่าง ๆ ได้แก่ การได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำ ทักษะเฉพาะด้านมากมาย รวมถึงการได้เผชิญกับความท้าทายและโอกาสในการจัดการงานด้านต่าง ๆ จากการปฏิบัติจริง เพื่อสามารถรับมือกับโลกยุคใหม่ และยังได้รับคำแนะนำจากผู้บริหารระดับสูงอย่างใกล้ชิด พร้อมโอกาสในการก้าวหน้าทางอาชีพอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ผู้ที่สนใจ เพียงมีคุณสมบัติจบการศึกษาวุฒิปริญญาตรีหรือโททุกสาขา มีประสบการณ์ด้านบริหาร 5-10 ปี สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดี (คะแนน TOEIC อย่างน้อย 550, ระดับ B1 CEFR หรือเทียบเท่า) ชื่นชอบการเรียนรู้สิ่งใหม่ทางดิจิทัลและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มีทักษะการวิเคราะห์ข้อมูล และการคิดเชิงนวัตกรรมที่ดี รวมไปถึงหากมีประสบการณ์ด้าน Agile Methodology จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ โดยสามารถสมัครได้แล้วตั้งแต่วันนี้ - 31 มีนาคม 2565 ประกาศผลผู้ผ่านการคัดเลือกในเดือนมิถุนายน 2565 และเริ่มเข้าร่วมโครงการ MTMA ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565 เป็นต้นไป
#2091


คอร์ด คืออะไร?


ก่อนจะเอ่ยถึงพาวเวอร์คอร์ด (Power chord) คงจะจำเป็นต้องเล่าเกี่ยวกับคำว่าคอร์ด (chord) ซักนิด เอาแบบเข้าใจง่ายๆไม่ต้องหลักการเยอะ เอาโครงสร้างของคอร์ด C มาอธิบายดีกว่าเนอะ

โน้ตของกีตาร์เริ่มตั้งแต่ C หรือ โด ในระบบโน้ตสากล ไล่ไป D, E, F, G, A, B และก็วนกลับมาที่ C อีกครั้ง ซึ่งถ้าหากนับโน้ตที่ไม่ซ้ำกัน มันก็มีอยู่ 7 ตัว

ทีนี้ คอร์ด ก็คือกลุ่มของโน้ตที่เอามาเรียงกันขั้นต่ำ 3 ตัว โดยเอาโน้ตลำดับที่ 1, 3 และ 5 มาใช้ โดยให้เอาโน้ตตัวที่เราอยากให้เป็นชื่อคอร์ดไปวางไว้เป็นลำดับแรกสุด เช่น ถ้าเกิดเป็นคอร์ด C เราก็เอาโน้ตมาเรียงกันโดยเริ่มจาก

1 = C

2 = D

3 = E

4 = F

5 = G

6 = A

7 = B

เมื่อเราก็เอาโน้ตลำดับที่ 1, 3 และ 5 หรือก็คือ C, E, G มาเรียงกัน เราก็จะได้คอร์ด C

แล้วพาวเวอร์คอร์ด (Power Chord) ล่ะ มันจับยังไง?

หลักการของพาวเวอร์คอร์ดนั้นง่ายสุดๆ คือให้เรากดโน้ตตัวที่ 1 แล้วก็ 5 ของคอร์ด รวมทั้งบอดโน้ตอื่นๆให้หมด Power Chord เรียกอีกอย่างว่าคอร์ดคู่ 5 แล้วก็เขียนคอร์ดมีเลข 5 ต่อท้ายชื่อคอร์ด ตัวอย่างเช่น C5, G5, A5 เป็นต้น

ฟอร์มการจับนั้น จะว่าไปมันก็ดูคล้ายๆการจับแบบทาบคอร์ดนั่นแหละ แต่เราจะกดให้มันดังแค่สาย 6-4 หรือไม่ก็สาย 5-3 ตัวอย่าง หากเป็นคอร์ด C แบบพาวเวอร์ (หรือคู่ 5) จากเดิมที่เราเคยทาบคอร์ดแบบใช้ทุกนิ้ว มันก็จะเหลือให้พวกเรากด แค่โน้ต C กับ G อย่างนี้

หรือคอร์ด A จับแบบพาวเวอร์คอร์ด มันก็จะมีแค่โน้ต A คู่กับ E อย่างนี้

หรือหากเราต้องการให้เสียงมันมีย่านแหลมใสเติมเข้ามาบ้าง เราก็แค่เพิ่มนิ้วนางเข้ามา ซึ่งมันก็เป็นโน้ตเดียวกับนิ้วชี้บนสายหกเป๊ะ ด้วยเหตุดังกล่าวการจับแบบนี้ก็เลยยังเป็นพาวเวอร์คอร์ด เพียงแค่เพิ่มความเพราะอีกนิดนั่นเอง

ตารางเพาเวอร์คอร์ด (Power Chord)




ทำไมพาวเวอร์คอร์ด (Power Chord) จึงเหมาะกับเพลงร็อก

การเล่นให้มีเพียงแค่เสียงโน้ต 1 กับ 5 เพียงแค่สองโน้ตในคอร์ด ทำให้ไม่มีโน้ตอื่นๆมาตกแต่งให้เป็นโทนเมเจอร์ ไมเนอร์ เซเว่นธ์ ฯลฯ ใดๆทั้งสิ้น มีเพียงเสียงหัวโน้ตหลักจากคอร์ดนั้นดังโดดๆหนาๆเนื่องจากคอร์ดแนวนี้มักเล่นบนสาย 4 – 6 เป็นหลัก ก็เลยเหมาะกับการเล่นริทึ่มมากยิ่งกว่า แล้วก็จะยิ่งเหมาะเป็นพิเศษสำหรับเล่นกับเสียง distortion หรือเสียงแตก เนื่องจากจะให้โทนเสียงที่หนา ดุ ร็อก

นอกจากเสียงที่ดุดัน หนา สะใจเมื่อใสเสียงแตกแล้ว ข้อดีอีกอย่างของการจับคอร์ดโน้ตน้อยๆแบบนี้ก็คือ พวกเราสามารถย้ายที่มือเปลี่ยนคอร์ดได้เร็วกว่าการจับคอร์ดธรรมดามาก เพราะว่าอย่างที่บอก พาวเวอร์คอร์ดไม่มีเมเจอร์ ไมเนอร์ เราก็แค่จำโน้ตหลักว่าอยู่ตรงเฟรทไหน และก็เลื่อนบล็อคนิ้วไปๆมาๆแค่นั้นเอง ง่ายนิดเดียว

ง่ายดีนะ งั้นจับคอร์ดอย่างนี้แทนการทาบไปเลยได้มั้ย?

แต่ด้วยความที่คอร์ดแบบนี้มีจำนวนโน้ตที่น้อย เสียงที่ได้ก็เลยไม่ได้มีมิติสีสันอะไร มีแต่เสียงเด่นๆจากโน้ตหลักของคอร์ด (root) แค่นั้น และก็จะต้องเล่นกับเสียงแตกเป็นสำคัญ เนื่องจากเล่นคอร์ดอย่างนี้กับเสียง clean อาจจะคล้ายๆกับการดีดเบสเล่นนั่นเอง การใช้พาวเวอร์คอร์ดให้ถูกที่ถูกเวลาจึงเป็นคำตอบของเรื่องนี้

หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์สำหรับเพื่อนๆที่กำลังหัดเล่นกีตาร์อยู่นะ กีตาร์ยังมีอะไรให้เล่นพลิกแพลงมากกว่านี้อีกเยอะ ไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟังอีกครับผม

สนใจสั่งซื้อกีต้าร์ไฟฟ้า ได้ที่ BigTone
** ติดต่อ สั่งซื้อ หรือ ถามเพิ่มเติม คลิกเลย!!
#2092
BANPU คาดรายได้ปี 65 โตกว่าปีก่อนตามราคาถ่านหิน-ก๊าซธรรมชาติสูงขึ้น

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู (BANPU) เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้ปี 65 จะเติบโตกว่าปีก่อน ที่ทำได้ 1.34 แสนล้านบาท เป็นไปตามราคาถ่านหินและก๊าชธรรมชาติที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากผลกระทบสถานการณ์สงครามรัสเซียและยูเครนที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น เป็นแรงผลักดันความต้องการพลังงานที่มาใช้ทดแทน

ที่ผ่านมาบริษัทได้ทำประกันความเสี่ยง (เฮดจิ้ง) ราคาถ่านหินไปแล้ว 2% แต่ปัจจุบันก็ได้ปล่อยให้เป็นไปตามราคาตลาด ส่วนราคาก๊าซธรรมชาติจะมีการเฮดจิ้งเป็นระยะๆ เป็นไปตามรูปแบบการขายที่สหรัฐฯ ซึ่งมักจะมีการซื้อขายกันในตลาดล่วงหน้ามากกว่า อย่างไรก็ตาม บริษัทจะบริหารจัดการการทำเฮดจิ้งในสัดส่วนที่เหมาะสมประมาณ 50% โดยพิจารณาตามภาวะตลาดในแต่ละช่วง

ปัจจุบัน ราคาก๊าซธรรมชาติอยู่ที่ 4.7 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู ส่วนราคาถ่านหินในตลาดล่วงหน้า ล่าสุดปรับตัวขึ้นสูงเกิน 400 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน โดยที่ผ่านมา BANPU ก็มีการขายล่วงหน้าไปบ้าง แต่ปัจจุบันราคาขาย Spot และล่วงหน้าก็อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน จึงปล่อยให้ลอยตัว เพื่อทำให้ได้ราคาขายสูงขึ้น

สำหรับปัญหาของสงครามรัสเซียและยูเครน ในแง่ของการทำเฮดจิ้งของ BANPU ในทุกธุรกิจ ได้มีการดำเนินการไปตั้งแต่แรกแล้ว โดยเฉพาะการนำเข้าถ่านหินในยุโรป ทำให้ไม่มีผลกระทบดังกล่าว แต่จะมีผลกระทบในแง่ของราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น แต่บริษัทก็สามารถลดต้นทุนจากการลดการใช้น้ำมัน และพยายามขายราคาถ่านหินให้ได้ในราคาตลาดเพื่อนำมาชดเชยกัน

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาได้เริ่มทดลองส่งออกถ่านหินเข้าไปขายในจีนบ้างแล้ว แต่ด้วยนโยบายจีนที่จะคุมราคาถ่านหินให้อยู่ในระดับต่ำ ทำให้ขณะนี้ราคาขายค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับที่อื่น อีกทั้งยังมองการขยายการลงทุนในเหมืองแร่นิกเกิลในออสเตรเลียและอินโดนีเซียเพื่อสนับสนุนธุรกิจแบตเตอรี่ของบริษัทฯ
#2093
ส่องเทรนด์โลก: Novel Food...โอกาสใหม่ที่ผู้ส่งออกอาหารไทยไม่ควรมองข้าม

ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) เป็นประเด็นสำคัญที่ทั่วโลกให้ความสนใจเป็นอย่างมาก และคาดว่าจะทวีความสำคัญขึ้น ในอนาคต จากจำนวนประชากรโลกที่คาดว่าจะเพิ่มจาก 7.7 พันล้านคนในปัจจุบัน เป็น 9.7 พันล้านคนในปี 2593 ขณะที่การขยายพื้นที่เมืองไปแทนที่พื้นที่ทำการเกษตร การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งการระบาดของโรคในพืชและสัตว์ที่เกิดขึ้นเป็นระยะ อาจมีผลให้ผลผลิตของพืชและเนื้อสัตว์ที่นำมาทำเป็นอาหารได้ในปัจจุบันเพิ่มขึ้นไม่ทันกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น กระแสการบริโภค " Novel Food (อาหารใหม่)" โดยเฉพาะอาหารซึ่งทำมาจากวัตถุดิบชนิดใหม่ เริ่มเป็นที่พูดถึงกันมากขึ้น เพราะไม่เพียงช่วยเพิ่มปริมาณอาหาร ยังช่วยลดปัญหาโลกร้อนอีกด้วย "ส่องเทรนด์โลก" ฉบับนี้จึงขอพาท่านไปสำรวจตัวอย่าง Novel Food ที่น่าสนใจ และอาจเป็นไอเดียนำไปต่อยอดธุรกิจ ดังนี้

Novel Food คืออะไร ?
Novel Food โดยทั่วไปหมายถึงอาหารที่ถูกผลิตขึ้นจากวัตถุดิบชนิดใหม่ นอกเหนือจากพืชและสัตว์ที่มีการบริโภคกันอยู่ทั่วไป หรืออาหารที่ผลิตด้วยกรรมวิธี เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ และอาจครอบคลุมถึงอาหารที่ยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย หรือเป็นอาหารที่เดิมการบริโภคจำกัดอยู่เพียงในบางพื้นที่

Novel Food ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากผู้ผลิตสินค้าอาหาร โดยเฉพาะใน EU ซึ่งได้ผ่อนคลายกฎระเบียบ Novel Food เพื่อให้ทันกับพัฒนาการด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีของอาหาร และผู้ประกอบการนำสินค้าอาหารชนิดใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาดได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น ทำให้ในช่วงปี 2561-2563 มีผู้ยื่นขอขึ้นทะเบียนผลิตและจำหน่ายอาหารชนิดใหม่ ๆ ใน EU มากถึง 156 รายการ หรือเฉลี่ยปีละ 52 รายการ เทียบกับในช่วงปี 2540-2560 ที่มีผู้ยื่นขอขึ้นทะเบียนเฉลี่ยเพียงปีละ 6.4 รายการ

แค็ตตาล็อก Novel Food ของ EU
ปัจจุบัน EU ได้จัดทำแค็ตตาล็อกที่รวบรวมรายชื่อ Novel Food ชนิดต่าง ๆ ที่ได้รับอนุญาตให้ผลิตและจำหน่ายใน EU ได้ ผ่านทางเว็บไซต์ของคณะกรรมาธิการยุโรป (EC)

ตัวอย่าง Novel Food ที่น่าสนใจ
อาหารจากแมลง (Edible Insects) รับประทานได้ทั้งในรูปแบบแมลงทั้งตัวซึ่งนิยมนำไปทอด/อบ และทำเป็นผงหรือแป้ง ซึ่งนำไปใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มชนิดต่าง ๆ อาทิ ขนมขบเคี้ยว เบเกอรี่ โปรตีนบาร์ เวย์โปรตีน และเส้นพาสต้า สำหรับแมลงที่นิยมนำไปแปรรูปเป็นอาหารมากที่สุด คือ จิ้งหรีด ซึ่งปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์อาหารหลากหลายที่ทำจากจิ้งหรีดและแป้งจิ้งหรีด อาทิ ไส้กรอกจิ้งหรีด และกาแฟบราซิลผสมผงจิ้งหรีด รวมถึงข้าวเกรียบจิ้งหรีดที่จุดกระแสบริโภคแมลงในญี่ปุ่น ทั้งนี้ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ประเมินว่าทั่วโลกมีแมลงกว่า 1,900 สายพันธุ์ ที่นำมาบริโภคได้ ขณะเดียวกันบริษัทวิจัย Global Market Insight คาดว่าตลาดผลิตภัณฑ์อาหารจากแมลงจะเติบโตจาก 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2562 เป็น 710 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2569 หรือเติบโตเฉลี่ยถึงปีละ (CAGR) 43.5%

โปรตีนจากอากาศ หลัก ๆ เกิดจากการเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ให้เป็นกรดอะมิโนซึ่งเป็นหน่วยย่อยที่สุดของโปรตีน แล้วนำมาแยกน้ำจนกลายเป็นผงโปรตีนก่อนจะนำไปผ่านกระบวนการขึ้นรูปพร้อมแต่งกลิ่น และรสสัมผัสเลียนแบบเนื้อสัตว์ แต่ปลอดภัยจากยาฆ่าแมลงและสารกำจัดศัตรูพืชที่อาจปนเปื้อนระหว่างการเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์ ทั้งนี้ โปรตีนจากอากาศมีปริมาณโปรตีนสูง ที่สำคัญใช้เวลาผลิตเพียง 4 วัน น้อยกว่าการผลิตโปรตีนจากแหล่งอื่น ๆ อาทิ ถั่วเหลืองซึ่งใช้เวลาปลูกและเก็บเกี่ยวราว 3 เดือน ไก่ใช้เวลาเลี้ยงราว 5 เดือน และวัวราว 2 ปี ทั้งนี้ ปัจจุบันยังมีบริษัทที่ผลิตผงโปรตีนจากอากาศเพียงไม่กี่ราย อาทิ Solar Foods (ฟินแลนด์) ซึ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารโดยใช้ผงโปรตีนจากอากาศมากกว่า 20 รายการ เช่น เนื้อเบอร์เกอร์และลูกชิ้นเนื้อ แต่คาดว่าจะมีผู้ประกอบการที่ให้ความสนใจพัฒนาโปรตีนจากอากาศเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้บริโภคเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มรักสิ่งแวดล้อม เนื่องจากโปรตีนจากอากาศตอบโจทย์อาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ดีกว่าโปรตีนจากแหล่งอื่น ๆ เพราะใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกชนิดหนึ่งมาเป็นวัตถุดิบผลิตอาหาร

โปรตีนจากเชื้อรา (Mycoprotein) โปรตีนที่ได้จากการหมักบ่มจุลินทรีย์จากเชื้อรา ซึ่งมีกระบวนการเปลี่ยนแป้งและน้ำตาลในพืชที่หมักให้เป็นก้อนชีวมวล (Biomass) ก่อนที่จะดึงของเหลวออกและปรับแต่งขนาดให้มีรูปทรงและเนื้อสัมผัสตามต้องการ ทั้งนี้ โปรตีนจากเชื้อรามีจุดเด่น คือ ไม่มีคลอเลสเตอรอล ไม่มีน้ำตาล ไขมันและคาร์โบไฮเดรตต่ำ จึงได้รับความสนใจจากผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ ปัจจุบันมีอาหารที่ผลิตขึ้นโดยโปรตีนจากเชื้อราวางจำหน่ายแล้วในหลายประเทศ อาทิ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี และสหรัฐฯ และเมื่อต้นปี 2564 ร้าน KFC ในสิงคโปร์ก็ได้เปิดตัว KFC Zero Chicken Burger ซึ่งเป็นเบอร์เกอร์ที่ทำด้วยโปรตีนจากเชื้อรา ทั้งนี้ จากรายงานของ Global Market Insight ระบุว่ามูลค่าตลาดโปรตีนจากเชื้อราจะเพิ่มจาก 3.73 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2562 เป็น 6.08 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2569 หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ (CAGR) 8.3%

เนื้อสัตว์ปลูกหรือเนื้อเทียมจากการเพาะเลี้ยง (Cultured Meat หรือ Lab-Grown Meat) เกิดจากการนำเซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์ (Stem Cell) ของสัตว์ต่าง ๆ มาเพาะเลี้ยงในห้องทดลองจนกลายเป็นชิ้นเนื้อ โดย Eat Just (สหรัฐฯ) นับเป็นบริษัทแรกที่ประสบความสำเร็จในการจำหน่ายเนื้อสัตว์ปลูกในเชิงพาณิชย์ โดยวางจำหน่ายในรูปแบบนักเก็ตไก่ปลูก และ เนื้ออกไก่ปลูก ปัจจุบันมีอีกหลายบริษัทที่ให้ความสนใจพัฒนาเนื้อสัตว์ปลูกให้เป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่หลากหลายกว่าเดิม อาทิ BlueNalu (สหรัฐฯ) อยู่ระหว่างพัฒนาอาหารทะเลที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเซลล์ ทั้งเนื้อปลา กุ้ง และหอย เพื่อแก้ปัญหาการทำประมงเกินขนาด (Overfishing) และลดปัญหาการบริโภคสัตว์น้ำที่มีสารปนเปื้อน โดยบริษัทฯ คาดว่าผลิตภัณฑ์จะออกสู่ตลาดได้ใน 2-3 ปีจากนี้ และ Finless Foods (สหรัฐฯ) อยู่ระหว่างเพาะเลี้ยงเนื้อปลาทูน่าครีบน้ำเงิน (Bluefin Tuna) ซึ่งมีความเสี่ยงจะสูญพันธุ์ และไม่สามารถเลี้ยงในฟาร์มปลาทูน่าได้ รวมถึง Gourmey (ฝรั่งเศส) อยู่ระหว่างเพาะเลี้ยงเซลล์ตับของเป็ดและห่าน เพื่อนำมาใช้ทดแทนฟัวกราส์ (Foie Gras) ที่ได้จากการเลี้ยงในฟาร์ม ทั้งนี้ บริษัทวิจัย Allied Market Research ประเมินว่าตลาดเนื้อสัตว์ปลูกทั่วโลกจะเติบโตจาก 1.64 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2564 เป็น 2.78 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2573 หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ (CAGR) 95.8%

Novel Food หลายชนิดสามารถตอบโจทย์กระแสรักสุขภาพ และใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสวัสดิภาพของสัตว์ รวมถึงความมั่นคงทางอาหารได้พร้อมกัน จึงมีแนวโน้มสูงที่จะกลายเป็นสินค้าดาวรุ่งดวงใหม่ในตลาดโลก และเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการที่สนใจมองหาตลาดใหม่ ๆ ที่มีแนวโน้มเติบโตดี อีกทั้งประเทศไทยก็มีศักยภาพในการผลิตวัตถุดิบสำหรับอาหาร Novel Food ได้หลายชนิด อย่างฟาร์มจิ้งหรีดระบบปิดที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ตั้งอยู่ในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม การขึ้นทะเบียน Novel Food ในแต่ละประเทศมีระเบียบปฏิบัติแตกต่างกัน ดังนั้น ผู้ประกอบการจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษากฎระเบียบอย่างรอบคอบก่อนรุกตลาด ควบคู่ไปกับการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคพร้อมกับช่องทางการทำตลาดในแต่ละประเทศด้วย

Disclaimer: ข้อมูลต่าง ๆ ที่ปรากฏ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น โดย EXIM BANK จะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด

ที่มา: ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เดือนนกุมภาพันธ์ 2564
#2094
ฟิทช์ คงอันดับเครดิตในประเทศ-หุ้นกู้ SCCC ที่ A(tha) แนวโน้มมีเสถียรภาพ

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวของ บมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC) ที่ ?A(tha)? อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัทฯ ที่ ?A(tha)? และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-term Rating) ของบริษัทฯ ที่ ?F1(tha)? แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจของ SCCC ในฐานะผู้ผลิตปูนซีเมนต์ชั้นนำในระดับภูมิภาค ซึ่งมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในประเทศที่เป็นตลาดหลัก แต่มีขนาดธุรกิจที่ค่อนข้างเล็ก โดย SCCC เป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทยและเวียดนามตอนใต้ และเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศศรีลังกา ฟิทช์คาดว่าบริษัทฯ จะยังคงสามารถสร้างกระแสเงินสดสุทธิ (Free cash flow, FCF) เป็นบวก แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายลงทุนเพิ่มสูงขึ้น และเผชิญความกดดันจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นในระยะสั้นนี้

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

การฟื้นตัวของ EBITDA อย่างค่อยเป็นค่อยไป ? ฟิทช์คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จะคงอยู่ในระดับเดิมที่ 7.5 พันล้านบาทต่อปีในปี 2565 เนื่องจากมีแรงกดดันทางด้านต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น และเพิ่มขึ้นเป็น 8.5 พันล้านบาทต่อปีในปี 2566 เมื่อต้นทุนการผลิตลดลงประกอบกับความต้องการซื้อสินค้าปรับตัวดีขึ้น ฟิทช์ประมาณการอัตราการเติบโตของรายได้ของ SCCC อยู่ที่ร้อยละ 6-8 ต่อปีในช่วงสองปีข้างหน้า โดยเชื่อว่าผลกระทบที่เกิดจากมาตรการสกัดกั้นการระบาดของเชื้อโควิด-19 ในแต่ละประเทศจะลดลงหลังจากที่อัตราการฉีดวัคซีนเพิ่มสูงขึ้น ฟิทช์คาดว่า ในขณะที่อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้ (EBITDA margin) จะยังคงถูกกดดันให้อยู่ในระดับประมาณร้อยละ 17 ในปี 2565 และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 18 ในปี 2566 (ร้อยละ 18 ในปี 2564 และร้อยละ 22 ในปี 2563)
ฟิทช์เชื่อว่าอัตรากำไรของ SCCC จะยังคงได้รับประโยชน์จากมาตรการการลดต้นทุนต่างๆ ของบริษัทฯ เช่น การทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทั้งในด้านราคาและปริมาณสำหรับวัตถุดิบหลัก การบริหารต้นทุนคงที่ การลดสัดส่วนการใช้ปูนเม็ด และการใช้พลังงานทดแทน

การฟื้นตัวที่แตกต่างกันในแต่ละตลาด ? กระแสเงินสดส่วนใหญ่ของ SCCC มาจากประเทศไทย ในขณะที่สัดส่วน EBITDA จากประเทศเวียดนามและศรีลังกาคิดเป็นร้อยละ 16 และ 14 ของ EBITDA รวมในปี 2564 ตามลำดับ ฟิทช์คาดว่าการฟื้นตัวของผลประกอบการในประเทศไทยจะยังคงเปราะบางจากกิจกรรมการก่อสร้างภาคเอกชนที่ยังคงจำกัด โดยความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ภายในประเทศยังต้องพึ่งพิงการลงทุนภาครัฐเป็นหลักในปี 2565 อย่างไรก็ตาม ความต้องการซื้อสะสมในตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศเวียดนามน่าจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของกระแสเงินสดของบริษัทฯ เนื่องจากประเทศเวียดนามได้ยกเลิกมาตรการ Zero-COVID 19
ในประเทศศรีลังกา SCCC มีความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยเป็นผู้รับประโยชน์จากความต้องการซื้อปูนซีเมนต์ที่ผลิตในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า เนื่องจากประเทศกำลังเผชิญสภาวะขาดแคลนปูนซีเมนต์นำเข้าและสถานะการเงินระหว่างประเทศที่อ่อนแอ ฟิทช์เห็นว่าความเสี่ยงที่ประเทศศรีลังกาจะออกมาตรการห้ามนำเข้าปูนเม็ดในช่วง 12 เดือนข้างหน้าอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากปูนเม็ดเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ซึ่งมีความจำเป็นต่อกิจกรรมการก่อสร้างภายในประเทศ

ธุรกิจมีความอ่อนไหวต่อราคาพลังงาน ? EBITDA margin ของ SCCC มีความอ่อนไหวต่อระดับราคาพลังงาน โดยเฉพาะราคาถ่านหินและค่าไฟฟ้า ต้นทุนเชื้อเพลิงและไฟฟ้าโดยทั่วไปมีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 60 ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด ฟิทช์คาดว่า ราคาถ่านหินจะยังคงอยู่ในระดับสูงในปี 2565 จากการเสียสมดุลของอุปสงค์-อุปทานในตลาด ถึงแม้ว่าระดับราคาโดยเฉลี่ยอาจจะลดลงจากปี 2564 ก็ตาม ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้มีการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประมาณร้อยละ 50-60 ของปริมาณการใช้ถ่านหินที่คาดว่าจะต้องใช้ทั้งหมดในปี 2565 โดยร้อยละ 30-40 เป็นการกำหนดราคาล่วงหน้ากับผู้ขาย
อัตราส่วนหนี้สินที่ลดลง ? ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สิน โดยพิจารณาจากอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA (net debt / EBITDA) ของ SCCC จะคงอยู่ที่ระดับเดิมที่ประมาณร้อยละ 2.0 เท่า ณ สิ้นปี 2565 เป็นผลมาจากแรงกดดันทางด้านต้นทุนพลังงาน ในขณะที่การฟื้นตัวของความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนหนี้สินน่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 1.5 เท่า ณ สิ้นปี 2566 และประมาณ 1.0 เท่า ณ สิ้นปี 2567 โดยได้รับการสนับสนุนจากกระแสเงินสดสุทธิที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ SCCC ยังคงมีความสามารถที่จะรองรับแผนการใช้จ่ายลงทุนที่อาจเพิ่มขึ้นจากที่ฟิทช์ประมาณการ โดยที่ยังรักษาอัตราส่วนหนี้สินให้สอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบันได้ แผนการลงทุนเพิ่มเติมที่อาจจะมีขึ้นในอนาคต ประกอบด้วย แผนการลดสัดส่วนการใช้ปูนเม็ดในกระบวนการผลิต และการขยายกำลังการผลิต ซึ่งขณะนี้ฟิทช์ไม่ได้พิจารณารวมเข้ามาในประมาณการ เนื่องจากเป็นโครงการที่ยังไม่ได้รับอนุมัติ
สถานะทางการตลาดและการกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์ ? SCCC เป็นบริษัทผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทย หลายปีที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถรักษาตำแหน่งทางการตลาดของตนเองไว้ได้ในช่วงที่มีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาในตลาดและมีการแข่งขันภายในประเทศที่รุนแรงขึ้น ด้วยชื่อเสียงของตราสินค้าของบริษัทฯ ที่แข็งแกร่งและความยืดหยุ่นในการปรับราคาสินค้า นอกจากนี้ SCCC ยังเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่ใหญ่ที่สุดและผู้ผลิตปูนเม็ดเพียงรายเดียวในประเทศศรีลังกา และเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเวียดนามตอนใต้ โดยรายได้จากต่างประเทศ (รวมรายได้จากการส่งออก) คิดเป็นสัดส่วนเกือบร้อยละ 50 ของรายได้ทั้งหมดในปี 2564
การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป

SCCC มีสถานะทางธุรกิจที่ด้อยกว่า บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) (อันดับเครดิตปัจจุบัน ?A+(tha)? แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ในประเทศเช่นเดียวกัน เนื่องจาก SCC เป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และการกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์และทางธุรกิจที่มากกว่า สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่าของ SCC ส่งผลให้ SCC ได้รับการจัดอันดับเครดิตที่สูงกว่า SCCC หนึ่งอันดับ แม้ว่า SCCC จะมีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำกว่า

SCCC มีอันดับเครดิตในระดับเดียวกับสถานะเครดิตโดยลำพังของบมจ. เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A+(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ/ สถานะเครดิตโดยลำพังที่ a(tha)) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่มีอันดับเครดิตสูงกว่าสถานะเครดิตโดยลำพังของบริษัท โกล. เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A+(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ/ สถานะเครดิตโดยลำพังที่ a-(tha)) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ของประเทศไทย

SCCC มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่อ่อนไหวต่อวัฏจักรขาลงทางเศรษฐกิจมากกว่า SCGP และ GPSC เนื่องจาก SCCC มีธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ SCGP ดำเนินธุรกิจอยู่ในอุตสาหกรรมที่ความต้องการซื้อจากลูกค้ามีความสม่ำเสมอมากกว่า และมีกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้มากกว่า SCCC ดังนั้น SCGP จึงสามารถรองรับอัตราส่วนหนี้สินที่สูงกว่า SCCC ได้ในอันดับเครดิตระดับเดียวกัน GPSC มีการอัตราส่วนหนี้สินสูงขึ้นมากหลังจากการลงทุนเข้าซื้อกิจการ ซึ่งส่งผลให้สถานะเครดิตโดยลำพังของ GPSC อยู่ต่ำกว่าอันดับเครดิตของ SCCC หนึ่งอันดับ

สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ

รายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 3-8 ต่อปี ในปี 2565-2567 ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากการปรับขึ้นราคาขายและการฟื้นตัวของความต้องการซื้อในทุกประเทศ (2564: ลดลงร้อยละ 1)
EBITDA margin ลดลงจากระดับที่สูงในช่วงที่ผ่านมาอยู่ที่ ร้อยละ 17-19 ในปี 2565-2567 จากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น
ค่าใช้จ่ายลงทุนรวม 5.5 พันล้านบาท ในปี 2565-2567
อัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout) อยู่ในระดับร้อยละ 75-85
ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต

ปัจจัยบวก: ฟิทช์ไม่คาดว่าจะมีการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจาก SCCC มีขนาดธุรกิจที่ค่อนข้างเล็กเมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทที่มีอันดับเครดิตสูงกว่า

ปัจจัยลบ: การที่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทฯ อ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือการมีค่าใช้จ่ายลงทุนโดยใช้แหล่งเงินทุนจากเงินกู้ในระดับสูง รวมถึงการจ่ายเงินปันผลจำนวนมาก ส่งผลให้ net debt / EBITDA อยู่ในระดับสูงกว่า 2.3 เท่า อย่างต่อเนื่อง (2564: 2.1 เท่า) หรือ อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO net leverage) อยู่ในระดับสูงกว่า 2.5 เท่า (2564: 2.3 เท่า) อย่างต่อเนื่อง

สภาพคล่องอยู่ในระดับที่ดี: SCCC มีหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้า นับจาก สิ้นปี 2564 จำนวน 1.0 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย เงินกู้ยืมระยะสั้นและเงินกู้ภายใต้วงเงินสินเชื่อหมุนเวียนที่ใช้สำหรับบริหารเงินทุนหมุนเวียนจำนวน 3.0 พันล้านบาท และเงินกู้ระยะยาวจำนวน 7.0 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ ได้ชำระคืนเมื่อครบกำหนดแล้วในเดือน กุมภาพันธ์ 2565 สภาพคล่องของบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดในมือจำนวน 9.7 พันล้านบาท และวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนจากสถาบันการเงินประเภทไม่สามารถยกเลิกได้ (Committed credit facilities) จำนวน 9.8 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 บริษัทฯ มีประวัติในการบริหารสภาพคล่องทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และบริษัทฯ มีความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ใหม่ผ่านตลาดทุนและสถาบันการเงิน

ทั้งนี้ SCCC ผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศศรีลังกา และผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทย และเวียดนามตอนใต้ โดยมีกำลังการผลิตรวม 25.3 ล้านตันต่อปี บริษัทฯ มี EBITDA อยู่ที่ระดับ 7.0-9.0 พันล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2562-2564 นอกจากนี้ SCCC ยังมีหุ้นร้อยละ 40 ในกิจการร่วมค้า ซึ่งเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ในประเทศกัมพูชา ซึ่งมีกำลังการผลิตรวม 2.1 ล้านตันต่อปี
#2095
โบรกฯเชียร์ซื้อ OSP รับแนวโน้มพลิกฟื้นโตจากหลายกลยุทธ์,M-150 พรีเมียมหนุน

โบรกเกอร์ต่างเชียร์ "ซื้อ" หุ้น บมจ.โอสถสภา (OSP) จากมุมมองที่ว่าแนวโน้มผลประกอบการในปี 65 จะกลับมาเติบโตได้หลังจากปีที่แล้วหดตัว เนื่องบริษัทเดินหน้าออกผลิตภัณฑ์ Premium อย่าง M-150 สูตรใหม่ พร้อมปรับราคาขายจาก 10 บาทเป็น 12 บาท บวกกับกำลังซื้อเริ่มฟื้นกลับมา รวมไปถึง OSP ยังเป็นบริษัทที่ครองส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศเป็นอันดับ 1 นอกจากนี้ยังเตรียมวางจำหน่ายสินค้าที่มีส่วนผสมสาร CBD จากกัญชงภายใน Q2/65 อีกด้วย

ประกอบกับ OSP มีแผนฟื้นฟูยอดขายกลุ่ม Personal Care และผลักดันการจำหน่ายผ่านออนไลน์มากขึ้น ขณะเดียวกันยังเดินหน้าขยายตลาดในต่างประเทศ และมองหาพันธมิตรทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

สำหรับราคาต้นทุนวัตถุดิบคาดว่าจะลดลงหลังจาก Q1/65 เป็นต้นไป บวกกับแผนลดต้นทุน 5-7 ปี หนุน Margin ให้ปรับตัวดีขึ้น และคาดว่า OSP เป็นหุ้นที่จะ Outperform ได้ในปี 65 ไปจนถึงครึ่งแรกของปี 66

ราคาหุ้น OSP ปิดเที่ยงวันนี้ที่ 35.50 บาท ลดลง 0.25 บาท (-0.70%) ขณะที่ SET +0.58%

          โบรกเกอร์             คำแนะนำ            ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
          โนมูระ พัฒนสิน            ซื้อ                    42.00
          ฟินันเซีย ไซรัส            ซื้อ                    42.00
          เมย์แบงก์                ซื้อ                    41.00
          ยูโอบีเคเฮียน             ซื้อ                    40.50
          กสิกรไทย                ซื้อ                    40.50
          หยวนต้า                 ซื้อ                    40.00
          เอเชียเวลท์              ซื้อ                    39.50
          กรุงศรี                  ซื้อ                    38.00
          ซีจีเอส ซีไอเอ็มบี          ซื้อ                    37.50
          ไทยพาณิชย์               ซื้อ                    37.00
          เอเซียพลัส               ซื้อ                    37.00
          พาย                    ซื้อ                    36.50
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาหุ้น OSP ได้รับแรงกดดันจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น จึงเกิดการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง M-150 สูตรใหม่ที่ขยับราคาขายจาก 10 บาทมาเป็น 12 บาท และประเมินราคาต้นทุนวัตถุดิบ แม้จะเป็นช่วงพีคใน Q1/65 แต่คาดว่าจะเริ่มลดระดับลงมา หลังจากราคาพลังงานต่าง ๆ เริ่มลดลง

รวมถึงเห็น Momentum ของการคลายล็อกดาวน์ แม้ว่ากำลังซื้อในปัจจุบันอาจยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ แต่ก็เห็นโอกาสที่ยอดขายจะวิ่งขึ้นจากราคาขายที่สูงขึ้นและกำลังซื้อที่เริ่มฟื้นกลับมาได้

พร้อมประเมินแนวโน้มผลประกอบการในปี 65 น่าจะมีรายได้อยู่ที่ราว 2.8 หมื่นล้านบาท กลับมาเติบโตได้หลังจากที่ปีที่แล้วหดตัว ขณะที่กำไรสุทธิคาดว่าจะเติบโตประมาณ 17% YoY และมองภาพของ OSP ในระยะกลางถึงระยะยาว คาดว่าจะเป็นหุ้นอีกตัวหนึ่งที่จะ Outperform ได้ในปี 65 จนถึงครึ่งแรกของปี 66

ด้าน บล.เอเซียพลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แผนเปิดตลาดผลิตภัณฑ์ Premium โดยเฉพาะสินค้าใหม่อย่าง M-150 ระดับ Premium เพิ่มวิตามิน B12 (2 เท่า) ราคาขายปลีก 12 บาท ตั้งแต่ มี.ค. 65 ยกระดับตลาดเครื่องดื่มบำรุงไทย จะช่วยลดแรงปะทะจาก Cost Push Inflation ในปัจจุบัน และดีต่อ Gross Margin ระยะถัดไป หลังต้นทุนวัตถุดิบผ่านจุดเลวร้าย นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์สินค้า OSP ครองส่วนแบ่งการตลาดเบอร์ 1 ในไทย โดยมูลค่าตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศปี 64 อยู่ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท OSP ครองส่วนแบ่งการตลาดเบอร์ 1 ที่ 54.6%

พร้อมประเมินแนวโน้มกำไร Q1/65 น่าจะเห็นการเติบโต YoY หลังยอดขายเดือนม.ค.ขยายตัว YoY อีกทั้ง Q1/64 มีการปิดซ่อมเตาเผาใหญ่ กดดันให้ Gross Margin อยู่ที่ 33.5% เทียบกับพัฒนาการงวด Q4/64 ที่ทำได้ 34.6%

นอกจากนี้สถานะการเงินที่เป็น Net Cash 1.6 พันล้านบาท จึงมีศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น ที่ปกติจ่ายปีละ 2 ครั้ง ล่าสุด OSP รายงานการจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งหลังของปี 64 ที่ 0.65 บาทต่อหุ้น ขึ้น XD 5 พ.ค. 65

สำหรับ บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า OSP มีแผนธุรกิจหลักในปี 65 คือโครงการลดต้นทุน (Fast Forward 10x) โดยตั้งเป้าลดต้นทุนให้ได้ 5 พันล้านบาท ภายใน 5-7 ปี เน้นการประหยัดต้นทุนและเพิ่ม Margin และจากสถานการณ์ปัจจุบันที่วัตถุดิบอย่างก๊าซธรรมชาติและอลูมิเนียมมีราคาเพิ่มสูงขึ้น ทาง OSP มีแผนล็อกราคาวัตถุดิบหลักอย่างน้อยครึ่งปี เช่น ตัวกระป๋องและฝาอลูมิเนียม, เศษแก้ว, Soda Ash และปรับราคาขายส่งขึ้น 2-3% รวมถึงปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ใช้พลังงานน้อยลง อีกทั้งเปลี่ยนขวดแก้ว Energy Drink ให้มีน้ำหนักเบา ช่วยลดต้นทุนได้ประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยลดผลกระทบของต้นทุนที่สูงขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ OSP วางแผนเพิ่มยอดขายเครื่องดื่มในประเทศ เน้นสินค้าเพื่อสุขภาพและ Product Innovation รวมไปถึงฟื้นฟูยอดขายกลุ่ม Personal Care โดยเพิ่มสินค้าใหม่ ๆ ที่มี Innovation มากขึ้น ในกลุ่ม Babi Mild และ Twelve Plus และขายผ่านออนไลน์มากขึ้น รวมทั้งมีแผนวางขายเครื่องดื่ม Functional Drink ผสม CBD จากกัญชงภายใน Q2/65 อีกด้วย

ขณะเดียวกันยังขยายตลาดในต่างประเทศเพื่อเพิ่มยอดขาย โดยเฉพาะในประเทศ เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา และอินโดนีเซีย นอกจากนี้ยังมองหาหุ้นส่วนทางธุรกิจเพิ่มเติมเพื่อขยายการเติบโตของธุรกิจ เช่น การทำ M&A, B2B
#2096
ทริสฯ ประกาศเครดิตพินิจ Negative เครดิตองค์กร-หุ้นกู้ SENA หลังซื้อ JSP

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศ "เครดิตพินิจ" แนวโน้ม "Negative" หรือ "ลบ" สำหรับอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) การประกาศเครดิตพินิจในครั้งนี้สืบเนื่องมาจากความสำเร็จของบริษัทในการซื้อหุ้นของ บมจ.เจ. เอส. พี. พร็อพเพอร์ตี้ (JSP) ในสัดส่วน 35.35% หรือคิดเป็นเงิน 742 ล้านบาท โดย JSP เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) ทั้งนี้ แหล่งเงินทุนประมาณ 80% ของมูลค่าการซื้อหุ้นดังกล่าวมาจากการกู้ยืมจากธนาคาร เนื่องจากบริษัทมีอำนาจควบคุมในกิจการของ JSP ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทน่าจะรวมผลการดำเนินงานของ JSP เข้ากับบริษัทตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 เป็นต้นไป

"เครดิตพินิจ" แนวโน้ม "Negative" หรือ "ลบ" สะท้อนความกังวลของทริสเรทติ้งต่อภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นของบริษัทจากการซื้อหุ้นดังกล่าวรวมถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่อาจลดต่ำลงหลังรวมผลการดำเนินงานของ JSP ทั้งนี้ JSP มีอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมและประสบผลขาดทุนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

ณ เดือนธันวาคม 2564 JSP มีโครงการที่อยู่อาศัยระหว่างการพัฒนาจำนวน 20 โครงการ ประกอบด้วย โครงการบ้านจัดสรร 13 โครงการ โครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ และโครงการอาคารพาณิชย์ 4 โครงการ โดยมีมูลค่าเหลือขายรวมกัน 7.2 พันล้านบาท รายได้จากโครงการที่อยู่อาศัยของ JSP อยู่ที่ประมาณ 1 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2564 ขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายติดลบ ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทน่าจะต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญในการฟื้นฟูผลการดำเนินงานของ JSP ภายใต้สภาวะแวดล้อมทางการตลาดที่ไม่ค่อยเป็นใจนัก

นอกจากนี้ ระดับการก่อหนี้ของบริษัทก็สูงกว่าการคาดการณ์ของทริสเรทติ้ง โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 53% ในปี 2563 เป็น 58% ในปี 2564 ซึ่งสูงกว่าประมาณการของทริสเรทติ้งที่ 52% อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทลดต่ำลงมาอยู่ที่ 8% ในปี 2564 จากระดับสูงกว่า 10% ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ การขยายโครงการคอนโดมิเนียมเชิงรุกอย่างต่อเนื่องทั้งโครงการของบริษัทเองและโครงการร่วมทุน รวมทั้งการซื้อหุ้น JSP ด้วยการใช้แหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมเป็นส่วนใหญ่จะสร้างแรงกดดันมากยิ่งขึ้นต่อโครงสร้างเงินทุนและกระแสเงินสดเมื่อเปรียบเทียบกับภาระหนี้ให้แก่บริษัท

ความสำเร็จในการซื้อหุ้นในสัดส่วน 35.35% ดังกล่าวทำให้บริษัทต้องทำคำเสนอซื้อหุ้น JSP ในสัดส่วนที่เหลืออีก 64.65% ซึ่งคาดว่าน่าจะแล้วเสร็จในช่วงกลางเดือนเมษายน 2565 ในกรณีที่บริษัทสามารถซื้อหุ้นที่เหลืออยู่ทั้งหมดได้ บริษัทจะใช้เงินเพิ่มเติมอีกประมาณ 1.36 พันล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนประมาณ 60% ของมูลค่าการทำคำเสนอซื้อจะมาจากการกู้ยืมจากธนาคาร อย่างไรก็ตาม เนื่องจากราคาเสนอซื้อหุ้นสามัญของ JSP ที่ 0.50 บาทต่อหุ้นนั้นต่ำกว่าราคาตลาดในปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ ทริสเรทติ้งจึงมองว่ามีความเป็นไปได้น้อยที่บริษัทจะต้องซื้อหุ้นที่เหลืออยู่ของ JSP ทั้งนี้ หากบริษัทต้องซื้อหุ้นที่เหลืออยู่ทั้งหมด ก็คาดว่าระดับการก่อหนี้ของบริษัทอาจเพิ่มขึ้นอีกได้

ทริสเรทติ้ง จะทบทวนแนวโน้มเครดิตพินิจของบริษัทเมื่อการทำคำเสนอซื้อหุ้นดังกล่าวแล้วเสร็จและเมื่อได้ทำการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนถึงผลกระทบต่อสถานะเครดิตของบริษัทจากการซื้อหุ้น JSP
#2097
'ฟิทช์' ตามรอย 'มูดี้ส์' ระงับทำธุรกิจในรัสเซียเพื่อตอบโต้รุกรานยูเครน

บริษัทฟิทช์ กรุ๊ป ประกาศระงับการดำเนินธุรกิจในรัสเซีย เช่นเดียวกับบริษัทรายอื่น ๆ ที่พากันยุติการทำธุรกิจในรัสเซีย ซึ่งรวมถึงบริษัทมูดี้ส์ คอร์ป

การดำเนินธุรกิจของฟิทช์ในรัสเซียนั้น รวมถึงการจัดอันดับความน่าเชื่อถือและบริการอื่น ๆ ที่ดำเนินการโดยฟิทช์ เรทติงส์ และฟิทช์ โซลูชันส์

ทั้งนี้ ฟิทช์ระบุว่า ทางบริษัทดำเนินการตามมาตรการคว่ำบาตรที่นานาประเทศประกาศใช้กับรัสเซีย และทางบริษัทยังคงให้บริการด้านการวิเคราะห์อย่างเป็นอิสระผ่านการจัดอันดับความน่าเชื่อถือซึ่งให้บริการนอกเขตแดนรัสเซีย พร้อมกับให้คำมั่นสัญญาว่าจะยังคงให้ความช่วยเหลือพนักงานของฟิทช์ในรัสเซีย

เมื่อวันที่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมา ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัสเซียลง 6 ขั้นจาก BBB สู่ B ซึ่งเป็นอันดับ 'ขยะ' โดยระบุว่า การที่ชาติตะวันตกได้พากันคว่ำบาตรรัสเซียเพื่อตอบโต้กรณีใช้กำลังทหารรุกรานยูเครนนั้น ได้ส่งผลให้เศรษฐกิจของรัสเซียตกอยู่ในความไม่แน่นอน และอาจทำให้พันธบัตรหรือตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลรัสเซียขาดความน่าเชื่อถือ

ด้านมูดี้ส์เปิดเผยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า ทางบริษัทได้ระงับการให้บริการของมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส และมูดี้ส์ อนาไลติกส์ พร้อมระบุว่า มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส จะยังคงให้บริการจัดอันดับความน่าเชื่อถือนอกเขตแดนรัสเซีย

ทั้งนี้ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัสเซียลงสู่ระดับ Ca ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดอันดับที่สอง โดยระบุว่า การที่ธนาคารกลางรัสเซียใช้มาตรการควบคุมเงินทุนนั้น อาจจะส่งผลให้รัสเซียเผชิญกับข้อจำกัดในการชำระหนี้ต่างประเทศ และอาจนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ในที่สุด

นอกจากนี้ บริษัทวีซ่า อิงค์ และมาสเตอร์การ์ด อิงค์ประกาศเมื่อวันเสาร์เช่นกันว่า ทั้งสองบริษัทได้ระงับการให้บริการในรัสเซีย เช่นเดียวกับบริษัทอีกเป็นจำนวนมากที่ได้ออกมาต่อต้านรัสเซียกรณีรุกรานยูเครน โดยแอปเปิลประกาศระงับขาย iPhone และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในรัสเซีย ขณะที่เฟ็ดเอกซ์ และยูไนเต็ด พาร์เซิล เซอร์วิส (ยูพีเอส) ได้ระงับการขนส่งไปยังรัสเซีย
#2099
Share โลกเศรษฐกิจ: 14-17-28 สูตรวัดผลกระทบต่อไทย...ในวันที่พยามังกรแผ่ว

หนึ่งในความเสี่ยงสำคัญของเศรษฐกิจโลกที่พูดถึงกันอย่างมากในปีนี้ คงหนีไม่พ้นประเด็นเรื่องเศรษฐกิจจีนที่เริ่มส่งสัญญาณชะลอลงจากหลายปัจจัยรุมเร้า ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหนี้ในภาคอสังหาริมทรัพย์ ปัญหาการขาดแคลนพลังงาน และนโยบาย ZERO COVID-19 ที่ทำให้ต้องมีการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดอยู่เป็นระยะ ล่าสุด IMF ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจจีนปี 2565 ลงเหลือขยายตัว 4.8% ต่ำสุดในรอบกว่า 30 ปี (ไม่รวมปี 2563 ที่ COVID-19 ระบาดหนัก) สถานการณ์ดังกล่าวทำให้หลายฝ่ายเริ่มกังวลว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกและมีความเชื่อมโยงกับไทยค่อนข้างสูง จะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2565 ผ่านช่องทางต่าง ๆ มากน้อยเพียงใด ซึ่งในเบื้องต้นสามารถอธิบายผ่านตัวเลข ?14-17-28? ได้ดังนี้

?14? : การส่งออกอาจลดความร้อนแรงหากลูกหลานมังกรอยู่ในภาวะเงินขาดมือ เลข ?14? ตัวแรกคือสัดส่วนมูลค่าส่งออกของไทยไปจีนเทียบกับมูลค่าส่งออกรวม ซึ่งสูงเป็นอันดับ 2 รองจากตลาดสหรัฐฯ สะท้อนว่าการส่งออกของไทยพึ่งพาตลาดจีนค่อนข้างมาก ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2564 ซึ่งเศรษฐกิจจีนขยายตัวต่ำสุดในรอบ 6 ไตรมาสที่ 4% ก็ส่งผลให้สินค้าส่งออกของไทยไปจีนบางรายการที่ขยายตัวดีมาตลอดเริ่มหดตัวบ้างแล้วในเดือนธันวาคม 2564 อาทิ เม็ดพลาสติก (-1%) ผลิตภัณฑ์พลาสติก (-21%) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ (-19%) ทั้งนี้ ในระยะถัดไปหากเศรษฐกิจจีนยังมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่องก็อาจจะยิ่งกระทบการส่งออกของไทยในปี 2565 มากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยที่อ่อนไหวต่อกำลังซื้อของชาวจีน ขณะที่ไทยก็ส่งออกไปจีนค่อนข้างสูง อาทิ รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องสำอาง อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น
?17? : การลงทุนอาจไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบหากนักลงทุนดาวรุ่งเริ่มลังเล เลข ?17? ตัวถัดมาคือสัดส่วนเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนจีนในไทย (Inflow) ปี 2563 และในช่วง 3 ไตรมาสแรกปี 2564 ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนแตะระดับ 17% ของเงินลงทุนจากต่างชาติทั้งหมดในไทย ทำให้จีนก้าวขึ้นเป็นนักลงทุนต่างชาติอันดับ 1 ของไทยแซงหน้าญี่ปุ่น 2 ปีติดต่อกัน ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้จีนเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่กระตุ้นให้นักลงทุนจีนต้องออกไปลงทุนในต่างประเทศรวมถึงไทยมากขึ้นเพื่อเลี่ยงผลกระทบจากภาษี จนทำให้ทุนจีนกลายเป็น New Engine ที่ช่วยปลุกการลงทุนในไทยให้กลับมาคึกคักขึ้นหลังจากที่ซบเซามานาน อย่างไรก็ตาม การที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนจีนบางส่วนที่จะออกไปลงทุนในต่างประเทศรวมถึงไทย นอกจากนี้ อาจกระทบชิ่งมาถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยทางอ้อม โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมซึ่งมีชาวจีนเป็นลูกค้าสำคัญ
?28? : การท่องเที่ยวอาจฟื้นตัวช้าเมื่อเสาหลักสะเทือน เลข ?28? ตัวสุดท้ายที่ต้องพูดถึง คือสัดส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาในไทย ซึ่งถือเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มใหญ่ที่สุด (ก่อนเกิด COVID-19) และเป็นเสาหลักของภาคการท่องเที่ยวไทยตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในปี 2565 เริ่มมีการคาดกันว่ารัฐบาลจีนจะควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศของชาวจีนตลอดทั้งปีเพื่อเตรียมพร้อมจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว และการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่จะมีการต่ออายุผู้นำครั้งแรกในรอบ 5 ปี ขณะเดียวกันการที่จีนหันมาเน้นพึ่งพาอุปสงค์ในประเทศและส่งเสริมให้ชาวจีนเที่ยวในประเทศมากขึ้น อาจทำให้ชาวจีนบางส่วนออกไปเที่ยวต่างประเทศลดลง ซึ่งแน่นอนว่าจะกระทบต่อการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวไทยให้ลากยาวออกไปนานกว่าที่คาด
จากตัวเลข 14-17-28 ที่กล่าวมาข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยพึ่งพาจีนค่อนข้างมาก ทั้งมิติการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ทำให้เศรษฐกิจจีนที่เริ่มชะลอลงจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2565 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในอีกมุมหนึ่งก็เปรียบเสมือนสัญญาณเตือนให้ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัว โดยเฉพาะการสร้างสมดุลของภาคธุรกิจ เพื่อลดผลกระทบในวันที่ชีพจรเศรษฐกิจจีนอ่อนแรงลง

Disclaimer: ข้อมูลต่าง ๆ ที่ปรากฏ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น โดย EXIM BANK จะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด

ที่มา: ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เดือนกุมภาพันธ์ 2565
#2100
ผู้จัดการ ตลท.ระบุยังไม่จำเป็นออกมาตรการพิเศษดูแลตลาดหุ้นมองผันผวนน้อยกว่าตปท.

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างรัสเซียและยูเครนสร้างผลกระทบต่อภาพรวมทั่วโลก ซึ่งมาง ตลท. ก็ได้รายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบันยังไม่จำเป็นต้องมีมาตรการใหม่ๆ ออกมาเพิ่มเติม แต่จะมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ไทยถือว่ามีความผันผวนน้อยมาก และนักลงทุนต่างประเทศยังมองตลาดหุ้นไทยเป็นที่ปลอดภัย

ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาทิศทางเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง เพราะประเทศไทยถือว่าเป็นที่หลบภัยของนักลงทุน เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนมีความเข้มแข็ง และสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะหลังมีผลกระทบจากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน

ส่วนการนำบริษัทใหม่ ๆ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มองว่าความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครนไม่ได้เป็นปัจจัยหลักที่จะสร้างผลกระทบต่อการระดมทุน ซึ่งหากการขยายกิจการหรือแผนการดำเนินงานจำเป็นต้องใช้เงินทุน บริษัทต่าง ๆ ก็จะเดินหน้าเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่อไปตามแผนงาน