• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - hs8jai

#2101
จีนกำหนดอัตราค่ากลางเงินหยวนแข็งค่าขึ้นวันนี้ที่ 6.3016 หยวนต่อดอลลาร์
 
China Foreign Exchange Trading System (CFETS) รายงานว่า อัตราค่ากลางสกุลเงินหยวนในวันนี้ แข็งค่าขึ้น 0.0335 หยวน แตะที่ 6.3016 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ในตลาดปริวรรตเงินตราต่างประเทศของจีนนั้น เงินหยวนได้รับอนุญาตให้ปรับตัวขึ้นหรือลงไม่เกิน 2% จากอัตราค่ากลางของการซื้อขายแต่ละวัน

ทั้งนี้ อัตราค่ากลางสกุลเงินหยวนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ อิงกับราคาเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก ก่อนที่ตลาดอินเตอร์แบงก์จะเปิดทำการซื้อขายในแต่ละวัน

ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตเปิดบวก 11.74 จุด จับตา PMI ภาคบริการ

ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดบวกในวันนี้ ตามทิศทางตลาดหุ้นเอเชียที่เปิดในแดนบวกเช้านี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนก.พ.จากไฉซินในช่วงเช้านี้

ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตเปิดที่ 3,495.93 จุด เพิ่มขึ้น 11.74 จุด หรือ +0.34%

ส่วนเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ผลสำรวจของไฉซินระบุว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนก.พ.ของจีนดีดตัวขึ้นแตะระดับ 50.4 จากระดับ 49.1 ในเดือนม.ค.ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน

ข้อมูลดังกล่าวของไฉซินสอดคล้องกับรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) ซึ่งเปิดเผยในวันเดียวกันว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนก.พ.ของจีนอยู่ที่ระดับ 50.2 เพิ่มขึ้นจากระดับ 50.1 ในเดือนม.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 49.9
#2102
IND คว้างานใหม่เกือบ 38 ลบ.หนุน Backlog แตะ 2.11 พันลบ.หวังปีนี้โต 20-25%

นางพรลภัส ณ ลำพูน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อินเด็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป (IND) เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงนามสัญญากับกรมทางหลวง จำนวน 2 โครงการ ซึ่งโครงการแรกเป็นงานสัญญาจ้างวิศวกรที่ปรึกษา สำรวจและออกแบบทางหลวง 4 ช่องจราจร ทางหลวงแนวใหม่เชื่อมโยงทางหลวงหมายเลข 2-ทางหลวงหมายเลข 222 อุดรธานี-บึงกาฬ มูลค่าสัญญาประมาณ 24,141,875 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ระยะเวลาดำเนินการประมาณ 450 วัน

โครงการที่ 2 ลงนามสัญญาจ้างวิศวกรที่ปรึกษา สำรวจและออกแบบ และบูรณะสะพาน บนทางหลวงหมายเลข 4 ในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี สมุทรสงคราม และประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร โดยมีมูลค่าสัญญาประมาณ13,482,535 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ระยะเวลาดำเนินการประมาณ 450 วัน รวม 2 สัญญา คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 37,624,410 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

ทั้งนี้ บริษัทได้เข้าร่วมประมูลโครงการใหม่จากภาครัฐ-รัฐวิสาหกิจ และเอกชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ และเพิ่มศักยภาพรายได้และกำไรให้เติบโตตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปี 65 ถึงปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) รวมทั้งสิ้น 2,109.20 ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ทำให้มั่นใจรายได้ในปีนี้เติบโตตามเป้าไม่ต่ำกว่า 20-25%

"บริษัทมีความพร้อมในทุก ๆ ด้านที่จะรับงานทั้งจากภาครัฐ-รัฐวิสาหกิจ และเอกชน เพื่อต่อยอดธุรกิจที่ดำเนินการอยู่เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ซึ่งบริษัทมีแผนเข้าร่วมประมูลโครงการออกแบบและก่อสร้างเพิ่มอีกกว่า 20 โครงการ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 600 ล้านบาท คาดว่ามีโอกาสได้งานสูงถึง 80%"นางพรลภัส กล่าว
อนึ่ง ที่ผ่านมา บริษัทได้ลงนามสัญญาจ้างวิศวกรที่ปรึกษา สำรวจและออกแบบทางหลวง 4 ช่องจราจรกับกรมทางหลวงไปแล้ว จำนวน 2 โครงการ ประกอบด้วยสัญญาจ้างวิศวกรที่ปรึกษา สำรวจและออกแบบทางหลวง 4 ช่องจราจร บนทางหลวงหมายเลข 116 ช่วงบ้านป่าสัก - ตำบลท่าวังพร้าว อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน และ สัญญาจ้างวิศวกรที่ปรึกษา
#2103
BEC คาดรายได้ปี 65 โตขึ้นหลังละคร-รายการข่าว-วาไรตี้หนุนโฆษณาเพิ่ม,ออกหุ้นกู้

นายพิริยดิส ชูพุ่งอาตม์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สำนักการเงินและการบัญชี บมจ.บีอีซี เวิลด์ (BEC) เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้ปี 65 ยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นจากปี 64 ได้ค่อนข้างดี จากการที่บริษัทจะมีการผลักดันคอนเทนต์ละครใหม่ออกกาศมากขึ้น หลังจากที่สถานการณ์โควิด-19 ไม่ส่งผลกระทบต่อการล็อกดาวน์ ทำให้ละครกลับมาถ่ายทำได้ ซึ่งการนำละครใหม่ๆมาออกอากาศในช่อง 3HD จะเป็นตัวช่วยในการดึงเรตติ้งให้กับช่อง 3HD และส่งผลต่อการลงโฆษณา ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยผลักดันอัตราการใช้โฆษณาเพิ่มขึ้นมากกว่าระดับปัจจุบันที่ 74% โดยที่เรตติ้งของช่อง 3HD ยังคงเป็นอันดับ 1 ทั้งช่วงไพร์มไทม์ และนอนไพร์มไทม์

ส่วนละครในช่วงเวลาหลังจากละครที่ออกอากาศช่วงดึกในเวลา 23.00-24.00 น. บริษัทได้เน้นการขยายกลุ่มผู้ชมที่เป็นวัยรุ่นมากขึ้น จากการออกอากาศละครใหม่ที่เป็นเรื่องราวที่กลุ่มวัยรุ่นมีความชื่นชอบ และเป็นกลุ่มนักแสดงหน้าใหม่ ซึ่งจะเป็นการช่วยขยายฐานกลุ่มผู้ชมให้กว้างขึ้น และตอบโจทย์ความต้องการชมคอนเทนต์ละครของฐานผู้ชมช่อง 3HD ที่เป็นกลุ่มคนอายุ 15 ปีขึ้นไป ที่อาศัยอยู่ในเมืองและรอบเมือง

ขณะเดียวกันบริษัทยังมีการเพิ่มช่วงเวลาของรายการข่าวในวันหยุดสุดสัปดาห์มากขึ้น หลังจากที่คนยุคปัจจุบันมีความสนใจติดตามข่าวสารมากขึ้น และรายการข่าวของช่อง 3HD มีความเข้มแข็ง และมีฐานผู้ชมที่เหนียวแน่นมากขึ้น หลังจากที่นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา กลับมาทำหน้าที่พิธีกรข่าวตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ซึ่งช่วยดึงดูดผู้ชมเข้ามาได้มาก และยังมีช่วงเวลาในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ยังมีความเหมาะสมในการที่จะนำรายการข่าวมาเพิ่มเติมได้ ทำให้ช่อง 3HD สามารถใช้ช่วงเวลาของช่องได้อย่างคุ้มค่า และสร้างรายได้เข้ามาได้เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้บริษัทยังมีการนำคอนเทนต์รายการวาไรตี้ใหม่ๆเข้ามาเสริมในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ซึ่งสร้างความหลากหลายให้กับคอนเทนต์วาไรตี้ในช่วง 3HD มากขึ้น เช่น รายการ FACE 2 FACE THAILAND และรายการ SEXY MAMA เป็นต้น อีกทั้งบริษัทยังมีการเตรียมฉายภาพยนตร์ที่เป็นการร่วมทุนสร้างกับบมจ.เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ (MPIC) โดยดึงนักแสดงแม่เหล็กที่ได้รับความนิยมมอย่างมากเข้ามาเป็นจุดขาย ซึ่งอยู่ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง บัวผันฟันยับ ที่มีแอน ทองประสม และกลัฟ คณาวุฒิ แสดงนำ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่เข้ามาหนุนรายได้ให้กับบริษัท

อีกทั้งบริษัทยังคงเดินหน้าในการนำคอนเทนต์ละครไปขายในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยที่มีการขายให้กับประเทศกัมพูชา สิงคโปร์ อินโดนีเซีย จีน และเกาหลีใต้ ในส่วนของแพลตฟอร์ม OTT ของบริษัท คือ 3+ ยังมีฐานสมาชิกที่รับชมในระดับที่บริษัทพอใจ ซึ่งมีสมาชิกอยู่ที่ 3.6 ล้านบัญชี ในปัจจุบัน และสามารถสร้างรายได้เข้ามาจากค่าโฆษณา และรายได้จากการจ่ายค่าสมาชิก 3+ Premium

ส่วนแผนการออกหุ้นกู้ของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะมีการออกหุ้นกู้วงเงิน 3 พันล้านบาท ในช่วงเดือนพ.ค. 65 โดยจะเป็นการนำเงินที่ออกหุ้นกู้มาใช้ทดแทนหุ้นชุดเดิมที่ครบกำหนดจำนวน 2 พันล้านบาท และชำระคืนให้กับผู้ถือหุ้นกู้สำหรับหุ้นกู้ที่ครบกำหนดจำนวน 1 พันล้านบาท ซึ่งการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ช่วยให้บริษัทสามาถควบคุมต้นทุนทางการเงินในระดับที่ดีได้ต่อเนื่อง
#2104
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน "บ. อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์" ที่ "BBB-" หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน ที่ "BB" แนวโน้ม "Stable"

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB-? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน ไม่มีประกันและไถ่ถอนเมื่อเลิกกิจการ (Hybrid Debentures) ของบริษัทที่ระดับ ?BB?

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดของบริษัทที่เป็นที่ยอมรับในตลาดคอนโดมิเนียม ตลอดจนสัดส่วนรายได้จากโครงการร่วมทุนที่มีนัยสำคัญ และภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ที่ยืดเยื้อซึ่งมีแนวโน้มที่จะสร้างแรงกดดันต่ออุปสงค์คอนโดมิเนียมและผลการดำเนินงานของบริษัทต่อไปอีก

หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนมีอันดับเครดิตต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรอยู่ 2 ขั้นเนื่องจากหุ้นกู้ดังกล่าวมีลักษณะการด้อยสิทธิและผู้ออกตราสารสามารถเลื่อนการชำระดอกเบี้ยพร้อมกับสะสมดอกเบี้ยจ่ายของหุ้นกู้ได้ ทั้งนี้ ณ เดือนพฤศจิกายน 2564 บริษัทได้ทำการเพิ่มทุนจำนวน 1.3 พันล้านบาทเพื่อใช้ทดแทนความเป็นทุนของหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนจำนวน 3 ชุด คือ ANAN17PA ANAN17PB และ ANAN18PA ซึ่งมีมูลค่ารวม 2.5 พันล้านบาทซึ่งทริสเรทติ้งได้กำหนดระดับความเป็นทุนแบบ ?Intermediate? หรือ ?ปานกลาง? ที่ 50% ดังนั้น ระดับความเป็นทุนของหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนทั้ง 3 ชุดนี้จะลดลงเป็น ?Minimal? หรือ ?น้อย? ที่ 0% จาก ?ปานกลาง? ที่ 50% ส่วนหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนชุดที่เหลือจะยังคงระดับความเป็นทุนแบบ ?ปานกลาง? ที่ 50% ต่อไป

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

สถานะทางการตลาดอ่อนแอลงแต่ยังเป็นที่ยอมรับ

ทริสเรทติ้งมองว่าแบรนด์ของบริษัทค่อนข้างได้รับผลกระทบในทางลบจากคดีความของโครงการ?แอชตัน อโศก? ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ของบริษัท แม้ว่าบริษัทจะไม่ใช่ผู้ถูกฟ้องร้องโดยตรง แต่ชื่อเสียงของบริษัทก็ได้รับความเสียหายอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้จากคดีความที่ฟ้องร้องโดยตรงกับหน่วยงานภาครัฐ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งประเมินว่าความสามารถในการแข่งขันทางการตลาดของบริษัทยังอยู่ในระดับที่เทียบเท่ากับผู้ประกอบการรายอื่นที่มีอันดับเครดิตในระดับ ?BBB-? ทั้งนี้ บริษัทมียอดขายสุทธิจากโครงการของบริษัทเองและจากโครงการร่วมทุนจำนวน 2 พันล้านบาทในไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 ซึ่งมากกว่ายอดขายสุทธิในช่วงหลายไตรมาสก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งจะติดตามความคืบหน้าของคดีความรวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับอันดับเครดิตของบริษัทอย่างใกล้ชิดต่อไป ทั้งนี้ หากยอดขายและ/หรือยอดโอนในอนาคตลดลงโดยเป็นผลมาจากการขาดความเชื่อมั่นในแบรนด์ของบริษัทหรือจากคดีความอื่นๆจนทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญจากที่คาดการณ์ไว้ ทริสเรทติ้งก็อาจทำการปรับลดอันดับเครดิตลง

ผลการดำเนินงานคาดว่าจะฟื้นตัวในปี 2566

การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ยาวนานได้ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญในช่วงระหว่างปี 2563-2564 โดยทริสเรทติ้งมองว่าผลการดำเนินงานของบริษัทได้ถึงระดับต่ำสุดแล้วในปี 2564 ทั้งนี้ บริษัทมียอดขายสุทธิเพียง 4.1 พันล้านบาทในปี 2564 ซึ่งลดลงจาก 5.9 พันล้านบาทในปี 2563 และ 1.05 หมื่นล้านบาทในปี 2562 ในขณะที่ยอดโอนจากโครงการของบริษัทเองและจากโครงการร่วมทุนอยู่ที่ระดับเพียง 1 หมื่นล้านบาทในปี 2564 โดย 80% มาจากโครงการคอนโดมิเนียมและ 20% มาจากโครงการบ้านจัดสรร ส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทก็ลดลงเหลือ 0.8 พันล้านบาทและมีผลขาดทุนสุทธิเท่ากับ 0.5 พันล้านบาทในปี 2564

เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่าอุปสงค์ในตลาดคอนโดมิเนียมจะยังคงอ่อนตัวลงต่อไปอีกในปี 2565 ทริสเรทติ้งจึงคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 4.2 พันล้านบาทและ EBITDA จะอยู่ที่ระดับ 1 พันล้านบาทในปีนี้ โดยคาดว่าบริษัทจะยังคงมีผลขาดทุนสุทธิต่อไปในปี 2565 อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของอุปสงค์คอนโดมิเนียมตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป โดยอุปสงค์จากผู้ซื้อชาวไทยจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าอุปสงค์จากผู้ซื้อชาวต่างชาติซึ่งต้องขึ้นอยู่กับการผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทาง ภายใต้ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 5.0-5.5 พันล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2567 ในขณะที่ EBITDA น่าจะอยู่ในระดับ 1.5-2.0 พันล้านบาทต่อปี และคาดว่าบริษัทจะมีผลกำไรสุทธิตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไปโดยอยู่บนพื้นฐานที่ประมาณการว่ายอดโอนที่อยู่อาศัยจะอยู่ที่ระดับ 1.1-1.5 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2567

ณ สิ้นปี 2564 บริษัทมียอดขายรอการรับรู้รายได้จำนวน 1.23 หมื่นล้านบาท ลดลงจากระดับสูงสุดที่ประมาณ 5.3 หมื่นล้านบาทในปี 2560 โดยมากกว่า 90% ของยอดขายที่รอการรับรู้รายได้ดังกล่าวมาจากโครงการร่วมทุน ทั้งนี้ บริษัทจะส่งมอบที่อยู่อาศัยซึ่งมียอดขายรอการรับรู้รายได้มูลค่า 4.7 พันล้านบาทในปี 2565 มูลค่า 5.2 พันล้านบาทในปี 2566 และมูลค่า 2.4 พันล้านบาทในปี 2567 ดังนั้น รายได้และกำไรในอนาคตของบริษัทจึงขึ้นอยู่กับความสามารถในการขายคอนโดมิเนียมที่เหลือขายจากโครงการที่สร้างเสร็จแล้วและจากโครงการที่กำลังจะสร้างเสร็จและพร้อมโอนในแต่ละปีเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2564 บริษัทมีคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จที่เหลือขายมูลค่า 2.29 หมื่นล้านบาทซึ่งจะสามารถรับรู้เป็นรายได้ได้ทันทีภายหลังการขาย

สัดส่วนรายได้จากโครงการร่วมทุนยังคงสูง

ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 บริษัทมีโครงการคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาจำนวน 24 โครงการซึ่งประกอบด้วยโครงการร่วมทุน 17 โครงการและโครงการของบริษัทเอง 7 โครงการ รวมทั้งโครงการบ้านจัดสรรที่อยู่ระหว่างการพัฒนาจำนวน 13 โครงการ ซึ่งมีมูลค่าเหลือขายรวมทั้งสิ้น 4.42 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ 2 ใน 3 ของมูลค่าเหลือขายดังกล่าวอยู่ในโครงการร่วมทุน ทั้งนี้ บริษัทยังมีแผนจะเปิดโครงการคอนโดมิเนียมร่วมทุนแห่งใหม่อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทจะยังคงมีรายได้จากค่าบริหารโครงการและค่านายหน้าอีกเป็นจำนวนมากจากโครงการร่วมทุน โดยคาดว่ารายได้จากค่าบริหารโครงการและค่านายหน้าจากโครงการร่วมทุนจะอยู่ที่ระดับ 0.8-1.1 พันล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของรายได้จากการดำเนินงานรวมในช่วงระหว่างปี 2565-2567

นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าอัตรากำไรสุทธิของโครงการคอนโดมิเนียมร่วมทุนจะอยู่ที่ประมาณ 10%-12% อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในโครงการร่วมทุนมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากผลขาดทุนของโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดใหม่และโครงการเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ที่เพิ่งเริ่มเปิดดำเนินการ โดยทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าส่วนแบ่งกำไรสุทธิจากโครงการร่วมทุนทั้งหมดจะอยู่ที่ระดับ 250 ล้านบาทในปี 2565 และจะฟื้นตัวเพิ่มขึ้นเป็น 600-700 ล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2567

ภาระหนี้อยู่ในระดับสูงแต่คาดว่าจะปรับตัวลดลงตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป

ทริสเรทติ้งมีสมมติฐานพื้นฐานที่คาดว่าสถานะทางการเงินของบริษัทจะยังคงอ่อนแอต่อไปในปี 2565 แต่น่าจะปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานที่ถดถอยลงในช่วงปี 2562-2564 ได้ส่งผลทำให้ภาระหนี้ของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูง โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ระดับ 65%-68% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทยังมีผลขาดทุนสุทธิและเงินทุนจากการดำเนินงานติดลบในช่วงปี 2563-2564 อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ในอนาคตทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 60%-65% เงินทุนจากการดำเนินงานคาดว่าจะกลับมาเป็นบวกในปี 2566 ซึ่งจะทำให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินปรับตัวดีขึ้นเป็นระดับประมาณ 2%-5% ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรน่าจะคงอยู่ที่ระดับ 2%-5% ตลอดช่วงประมาณการ

ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ที่มูลค่า 1.3-1.5 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2565-2567 ในขณะที่บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ที่มูลค่ารวมอีก 2.8 หมื่นล้านบาทในปี 2565 และจะเปิดตัวโครงการใหม่น้อยลงในปีถัด ๆ ไป นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าประมาณ 3 ใน 4 ของมูลค่าโครงการที่เปิดใหม่ทั้งหมดจะเป็นโครงการคอนโดมิเนียมร่วมทุน และยังประมาณการว่าบริษัทจะขายที่ดินมูลค่าประมาณ 4 พันล้านบาทให้กิจการร่วมค้าในปี 2565 และมูลค่า 5 พันล้านบาทในปี 2566 อีกด้วย โดยงบซื้อที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 1-2 พันล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2565-2567 และบริษัทจะใส่เงินทุนและให้เงินกู้ยืมมูลค่ารวม 1.5-2.0 พันล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2565-2566 ให้แก่กิจการร่วมค้า

บริษัทจำเป็นจะต้องดำรงอัตราส่วนทางการเงินให้สอดคล้องตามเงื่อนไขทางการเงินของวงเงินกู้ยืมจากธนาคารและหุ้นกู้ โดยบริษัทจะต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนให้ต่ำกว่า 2.5 เท่า ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2564 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 0.95 เท่า โดยทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถบริหารโครงสร้างทางการเงินให้สอดคล้องกับเงื่อนไขดังกล่าวได้ตลอดเวลา

สภาพคล่องตึงตัวแต่คาดว่าจะสามารถบริหารจัดการได้

ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทค่อนข้างตึงตัวแต่น่าจะยังสามารถบริหารจัดการได้ในอีก 12 เดือนข้างหน้า แหล่งเงินทุนของบริษัท ณ เดือนธันวาคม 2564 ประกอบด้วยเงินสดจำนวน 2.4 พันล้านบาทรวมทั้งวงเงินกู้ยืมระยะสั้นและเงินกู้โครงการจากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้และไม่สามารถยกเลิกได้อีกจำนวนประมาณ 750 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีที่อยู่อาศัยที่สร้างเสร็จเหลือขายในโครงการที่ปลอดภาระหนี้ของบริษัทซึ่งมีมูลค่าขายรวมทั้งสิ้นอีกประมาณ 500 ล้านบาทซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นหลักประกันเพื่อขอเงินกู้จากธนาคารในกรณีที่จำเป็นได้อีกด้วย บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 1.22 หมื่นล้านบาทซึ่งประกอบด้วย หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันจำนวน 5.4 พันล้านบาท ตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้นจำนวน 6 พันล้านบาท และเงินกู้ระยะยาวจำนวน 0.8 พันล้านบาท บริษัทจะทดแทนหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันมูลค่า 3.5 พันล้านบาทซึ่งจะครบกำหนดชำระในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ด้วยหุ้นกู้ใหม่มูลค่า 5 พันล้านบาทที่ออกในเดือนมกราคม 2565 ส่วนหุ้นกู้ที่มีมูลค่าเหลืออยู่อีก 1.9 พันล้านบาทซึ่งจะครบกำหนดชำระในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 นั้นบริษัทจะทดแทนด้วยหุ้นกู้ที่บริษัทมีแผนจะออกใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปีเดียวกัน ทั้งนี้ ตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้นส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ชั่วคราวเพื่อใช้ในการซื้อที่ดินซึ่งจะถูกทดแทนด้วยเงินกู้โครงการระยะยาวในภายหลัง โดยคาดว่าบริษัทจะจ่ายชำระคืนเงินกู้โครงการด้วยกระแสเงินสดจากการโอนที่อยู่อาศัยในโครงการ

ณ เดือนธันวาคม 2564 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินรวม (ตามการพิจารณาลำดับชั้นในการได้รับคืน) อยู่ที่จำนวน 2.51 หมื่นล้านบาทซึ่งรวมถึงหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนที่จำนวน 8.4 พันล้านบาทด้วย ทั้งนี้ หนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนเป็นหนี้ที่มีหลักประกันของบริษัทแม่และหนี้สินรวมของบริษัทย่อยต่าง ๆ เนื่องจากอัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินทางการเงินรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 33% ซึ่งต่ำกว่าระดับ 50% ตาม ?เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้? ของทริสเรทติ้ง ทริสเรทติ้งจึงพิจารณาว่าเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทไม่มีความเสียเปรียบอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใดเมื่อพิจารณาจากลำดับชั้นในการได้รับคืนเมื่อเปรียบเทียบกับสินทรัพย์ของบริษัท

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

ทริสเรทติ้งตั้งสมมติฐานกรณีพื้นฐานสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในระหว่างปี 2565-2567 ดังนี้

? บริษัทจะเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ที่มูลค่าประมาณ 1.3-1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี

? งบประมาณในการซื้อที่ดินสำหรับโครงการบ้านจัดสรรคาดว่าจะอยู่ที่จำนวน 1-2 พันล้านบาทต่อปี

? รายได้จากการดำเนินงานรวมจะอยู่ที่ระดับ 4.2 พันล้านบาทในปี 2565 และจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 5.0-5.5 พันล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2567

? ส่วนแบ่งกำไรสุทธิจากเงินลงทุนในโครงการร่วมทุนจะอยู่ที่ระดับ 250 ล้านบาทในปี 2565 และจะฟื้นตัวขึ้นเป็น 600-700 ล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2567

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าสถานะทางการเงินของบริษัทจะไม่ถดถอยลงจากระดับในปัจจุบัน ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะค่อยๆปรับตัวดีขึ้นในขณะที่ระดับภาระหนี้น่าจะลดลงในอนาคต โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทน่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 65% และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรน่าจะรักษาระดับอยู่ที่ 2%-5% ตลอดช่วงเวลาประมาณการ

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยืดเยื้อและ/หรือผลการพิจารณาตัดสินคดีความที่เกี่ยวข้องกับโครงการต่างๆ ของบริษัทส่งผลกระทบในด้านลบจนทำให้ผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ในทางตรงกันข้าม การปรับเพิ่มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นหากบริษัทมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งกว่าคาดอย่างมีนัยสำคัญและสถานะทางการเงินปรับตัวดีขึ้นจนทำให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินเพิ่มสูงขึ้นเกินกว่า 5% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 60% อย่างต่อเนื่อง

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน (Hybrid Securities), 28 มิถุนายน 2564

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (ANAN)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB-
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
ANAN17PB: หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน 230 ล้านบาท                   BB
ANAN18PA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน 1,500 ล้านบาท                   BB
ANAN18PB: หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน 500 ล้านบาท                    BB
ANAN19PA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน 1,000 ล้านบาท                    BB
ANAN20PA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน 1,000 ล้านบาท                    BB
ANAN21PA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน 1,000 ล้านบาท                     BB
ANAN22OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 423.3 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565    BBB-
ANAN22OB: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 915.6 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565    BBB-
ANAN237A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,768.8 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566    BBB-
ANAN23OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 746.6 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566    BBB-
ANAN241A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,412.8 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567    BBB-
ANAN247A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,231.2 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567    BBB-
แนวโน้มอันดับเครดิต:    Stable



บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด
#2105
บล.ทิสโก้เปิด 3 คาดการณ์ ยูเครน - รัสเซีย ชี้มีแนวโน้มเข้าโหมดปกติมากสุด คาดหุ้นไทยแกว่งตัว 1,660 - 1,700 จุด

บล.ทิสโก้เปิด 3 คาดการณ์ สงครามยูเครน - รัสเซียกระทบหุ้นไทย ชี้กรณีปกติ SET แกว่งตัวในกรอบ 1,660 - 1,700 จุด แนะใช้กลยุทธ์เลือกซื้อหุ้นรายตัว ในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่พื้นฐานดี และหุ้นที่งบไตรมาส 4/2564 ออกมาสวยมีโอกาสปรับประมาณการกำไรขึ้น

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (Mr. Apichat Poobunjirdkul, Senior Strategist, TISCO Securities Co., Ltd) กล่าวว่า สำหรับผลกระทบกรณียูเครน และรัสเซียต่อหุ้นไทย (SET Index) นั้น บล.ทิสโก้ประเมินออกเป็น 3 กรณี คือ 1. กรณีสถานการณ์ปกติ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้น 60% คือ สถานการณ์ยูเครน - รัสเซียยังคงอึมครึมต่อไปอีกเป็นเดือน โดยจะเห็นการประกาศคว่ำบาตรรัสเซียและความพยายามในการหารือร่วมกัน คาดจะใช้เวลาเป็นเดือน แต่ในที่สุดจะหาทางออกร่วมกันได้ คาดดัชนีหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 1,660 - 1,700 จุด โดยจะผันแปรไปตามกระแสข่าวของสถานการณ์ยูเครน - รัสเซีย

2.กรณีสถานการณ์ดี ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้น 30% คือ รัสเซียและชาติตะวันตกสามารถใช้การเจรจาหาข้อยุติได้ร่วมกันเร็วด้วยวิธีทางการทูต ไม่บานปลายเป็นสงครามข้ามชาติ คาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวทะลุ 1,700 จุดอีกครั้ง และมีโอกาสจะขึ้นทดสอบ 1,720 - 1,730 จุด และ 1,750 จุด ตามลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกระแสเงินทุนต่างชาติยังไหลเข้าต่อเนื่อง และ 3. กรณีสถานการณ์รุนแรง ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้น 10% คือ รัสเซียโจมตียูเครนเต็มรูปแบบ และ NATO กระโดดเข้าร่วมวงด้วย จนกลายเป็นสงครามของชาติมหาอำนาจคาดดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 1,660 จุด อาจลงทดสอบบริเวณ 1,630 - 1,640 จุด เพื่อตั้งหลักใหม่

อย่างไรก็ตาม บล.ทิสโก้เชื่อว่า ตลาดหุ้นไทยจะมีทิศทางปรับขึ้นดีกว่าหุ้นโลก (Outperform) เนื่องจากไทยได้รับผลกระทบจำกัดจากสถานการณ์ตึงเครียดยูเครน - รัสเซีย จาก 2 ปัจจัย คือ 1. รัสเซียมีมูลค่าการค้า ทั้งการส่งออกและนำเข้าในปีที่แล้ว คิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.52% ของมูลค่าการค้ารวมของไทย ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวจากรัสเซีย คิดเป็นสัดส่วน 3.7% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดของไทยในปี 2562 เพื่อลดการบิดเบือนของตัวเลขจากผลกระทบการระบาด COVID-19 และ 2. ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ตอบสนองด้วยการปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบมากกว่า 7 ปีจากความกังวลดังกล่าว ส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มพลังงานและหุ้นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไทยมีน้ำหนักในหุ้นกลุ่มนี้ค่อนข้างสูง ช่วยพยุงตลาดไม่ปรับตัวลงมาก

ด้านตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ของเดือนกุมภาพันธ์ที่จะเปิดเผยในวันที่ 10 มีนาคม นี้ คาดว่า จะยังขยายตัวสูงกว่าระดับ 7% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 จะกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ต้องเร่งถอนนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในไม่ช้า โดยตลาดขณะนี้คาดว่า FED จะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก 25 bps ในการประชุมเดือน มีนาคม และจะทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องอีก 5 ครั้ง ๆ ละ 25 bps ในการประชุม FED ที่เหลือของปีนี้

ถึงแม้บล.ทิสโก้เชื่อว่า ตลาดได้ซึมซับแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ไปมากพอสมควรแล้ว สังเกตได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปีที่ปรับตัวขึ้นมาใกล้เคียงระดับ 2% แต่ความกังวลเงินเฟ้อที่ยังพุ่งขึ้นอยู่ ท่ามกลางราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวขึ้น คาดจะสร้างความผันผวนแก่ตลาดเป็นระยะตลอดช่วงครึ่งแรกของปีนี้ จนกว่าจะเห็นสัญญาณการชะลอตัวของเงินเฟ้อที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง

ด้วยปัจจัยแวดล้อมที่มีความไม่แน่นอนสูง และโอกาสการปรับขึ้น (Upside) ตลาดเริ่มจำกัด โดยเฉพาะหากปรับขึ้นทะลุเกินกว่าระดับ 1,700 จุด บล.ทิสโก้จึงแนะนำกลยุทธ์เลือกหุ้นลงทุนเป็นรายตัว (Selective Buy) โดยหุ้นที่คาดว่าจะ Outperform ตลาด คือ 1) หุ้นงบไตรมาส 4/2564 ออกมาดี มีโอกาสปรับประมาณกำไรขึ้นเด่น คือ BDMS, BEC, และ MAKRO 2. หุ้นขนาดใหญ่พื้นฐานดีราคายังขึ้นช้า (Big Cap, Value, Laggard) คือ EGCO, INTUCH, SCB, และ SCC เพราะฉะนั้น หุ้นเด่นที่บล.ทิสโก้แนะนำในเดือนมีนาคม คือ BDMS, BEC, EGCO, INTUCH, MAKRO, SCB และ SCC ด้านแนวรับสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,655 - 1,660 จุด และแนวรับถัดไปที่ 1,620 - 1,630 จุด และแนวต้านสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,700, 1,720 และ 1,750 จุด ตามลำดับ

 
#2106
EXIM BANK เตือนผู้ส่งออกรับมือความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศ จากผลกระทบความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น หลังจากที่รัสเซียพยายามรุกคืบเข้าถึงกรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน ทำให้นานาชาติ โดยเฉพาะประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (North Atlantic Treaty Organisation : NATO) และชาติตะวันตก ประกาศมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจถึงขั้นจะถูกโดดเดี่ยวจากระบบการเงินโลก โดยประกาศตัดรัสเซียออกจากระบบสวิฟต์ (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication : SWIFT) ซึ่งเป็นระบบการส่งข้อความทางการเงินที่มีความมั่นคงปลอดภัยสูงที่สถาบันการเงินกว่า 11,000 แห่งใช้บริการและครอบคลุมการใช้งานในกว่า 200 ประเทศ กระทบต่อการใช้บริการ SWIFT ของสถาบันการเงินและบริษัทในรัสเซียจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 300 แห่ง ส่งผลให้บริษัทเอกชนของรัสเซียไม่สามารถเข้าถึงธุรกรรมทางการเงินได้อย่างราบรื่น

ดร.รักษ์ กล่าวว่า ไทยอาจจะยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์ในปัจจุบันเท่าไรนัก เนื่องจากไทยส่งออกไปรัสเซียและยูเครนเพียง 0.4% และ 0.05% ของมูลค่าส่งออกรวม สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปรัสเซียและยูเครน ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และเม็ดพลาสติก อย่างไรก็ตาม ในทางอ้อม ผู้ส่งออกไทยอาจประสบปัญหาต้นทุนการผลิตสูงขึ้นเนื่องจากรัสเซียซึ่งเป็นมหาอำนาจด้านพลังงานของโลก โดยเฉพาะการเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบ และสินแร่ต่าง ๆ ถูกมาตรการลงโทษ ทำให้ส่งออกสินค้าดังกล่าวยากลำบาก เช่นเดียวกับสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และธัญพืชชนิดต่าง ๆ ซึ่งรัสเซียและยูเครนเป็นผู้ผลิตอันดับต้น ๆ ของโลก เมื่อเกิดปัญหาความตึงเครียดส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ พลังงาน และวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น กระทบต่อต้นทุนการผลิตและต้นทุนโลจิสติกส์สูงขึ้นตาม ซึ่งในที่สุดอาจกระทบต่อกำไรของผู้ประกอบการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า ผู้ส่งออกไทยควรต้องบริหารความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศและบริหารจัดการต้นทุนการผลิตและการขนส่ง เพื่อป้องกันผลกระทบจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การค้าและการเมืองระหว่างประเทศ ตลอดจนความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งล่าสุดเงินรูเบิลของรัสเซียอ่อนค่าลงถึงราว 30% จากต้นปี 2565 ผู้ประกอบการไทยจึงควรบริหารจัดการความเสี่ยงดังกล่าว รวมถึงการปรับวิธีการชำระเงินค่าสินค้า เป็นต้น โดย EXIM BANK มีบริการให้คำปรึกษาแนะนำเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่เหมาะสมให้แก่ผู้ส่งออก

"EXIM BANK ติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยที่ค้าขายและลงทุนระหว่างประเทศ ทั้งในตลาดรัสเซีย ยูเครน และทวีปยุโรปโดยรวม ซึ่งไทยส่งออกไปยุโรปคิดเป็น 10% ของมูลค่าการส่งออกรวม แม้ว่าปัจจุบันผลกระทบยังอยู่ในวงจำกัด แต่หากสถานการณ์รุนแรงขึ้น อาจส่งผลต่อภาพรวมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ตลอดจนการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด เนื่องจากนักท่องเที่ยวในประเทศเหล่านี้อาจชะลอการเดินทาง เหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยและการส่งออก ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ยังเกิดขึ้นในปีนี้" ดร.รักษ์กล่าว
#2107
'สินิตย์' ชี้! ส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางไทยสดใส หนุนใช้ FTA RCEP ขยายตลาดเพิ่ม

รมช.พาณิชย์ เผย ไทยส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางขยายตัวต่อเนื่อง ครองแชมป์ส่งออกยางพาราอันดับ 1 ของโลก และส่งออกผลิตภัณฑ์ยางอันดับ 4 ของโลก หนุนใช้ FTA และ RCEP เพิ่มโอกาสขยายตลาดต่างประเทศ แนะผู้ประกอบการไทยพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ยาง ครองตำแหน่งผู้นำด้านการผลิตและส่งออก

นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศติดตามข้อมูลการส่งออกสินค้าศักยภาพของไทย ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โดยเฉพาะสินค้ายางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง โดยได้รับรายงานว่า ไทยยังคงส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางสู่ตลาดโลกได้ดี และขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยไทยครองแชมป์ผู้ส่งออกยางพาราอันดับ 1 ของโลก และเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ยางอันดับ 4 ของโลก ซึ่งคาดว่าแนวโน้มตลาดสินค้ายางพาราและผลิตภัณฑ์ยางจะเติบโตมากขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว และมีความต้องการยางพาราในอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสินค้าผลิตภัณฑ์ยางทั้งกลุ่มยานยนต์ ชิ้นส่วนถุงมือยางและอุปกรณ์ยางทางการแพทย์ จึงได้สั่งการให้กรมฯ เร่งศึกษาช่องทางเพิ่มโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทยสามารถขยายส่งออกไปตลาดต่างประเทศ โดยใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA)

?ผู้ประกอบการไทยควรพัฒนาการแปรรูปยางพาราให้เป็นผลิตภัณฑ์ยางที่มีมูลค่าสูง ทั้งคุณสมบัติด้านความทนทาน ยืดหยุ่นสูง ลดการสั่นสะเทือน และป้องกันกระแสไฟฟ้า ซึ่งจะทำให้สามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ รถยนต์ เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ และพลังงานไฟฟ้า รวมทั้งการส่งเสริมด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง จะช่วยให้อุตสาหกรรมยางพาราไทยเป็นที่ต้องการของโลก และครองความเป็นผู้นำด้านการผลิตและส่งออกได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน? นายสินิตย์เสริม

ด้านนางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ให้ข้อมูลว่า ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ประโยชน์จาก FTA ขยายตลาดส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางเพิ่มขึ้น สำหรับสินค้ายางพารา คู่ FTA 16 ประเทศของไทย ได้แก่ อาเซียน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี เปรู และฮ่องกง ยกเลิกภาษีนำเข้าให้ไทยแล้ว คงเหลือ 2 ประเทศ คือ อินเดีย เก็บภาษีนำเข้าน้ำยางธรรมชาติ 70% และยางแผ่นรมควัน 20% และจีน เก็บภาษียางพารา 20% ส่วนสินค้าผลิตภัณฑ์ยาง คู่ FTA 14 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และฮ่องกง ยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าผลิตภัณฑ์ยางทุกรายการจากไทยแล้ว คงเหลืออีก 4 ประเทศ ที่ยังเก็บภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ยางบางรายการ อาทิ จีน เก็บภาษียางสังเคราะห์ 5% เกาหลีใต้ เก็บภาษียางสังเคราะห์และเส้นด้ายยาง 5% อินเดีย เก็บภาษียางนอกชนิดที่ใช้กับรถยนต์นั่ง และของที่ทำด้วยยาง อาทิ rubber band 5% และชิลี เก็บภาษียางนอกชนิดที่ใช้กับรถยนต์นั่งและรถบัส 0.7% และจะลดเป็นศูนย์ในปี 2566

นอกจากนี้ ภายใต้ความตกลง RCEP ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม ที่ผ่านมา จีนได้ลดภาษีสินค้ายางสังเคราะห์เพิ่มเติมให้ไทย และจะทยอยลดลงจนเหลือศูนย์ ในปี 2584 และเกาหลีใต้ จะทยอยลดภาษีนำเข้าเส้นด้ายยางจนเหลือศูนย์ในปี 2580 และลดภาษียางสังเคราะห์คงเหลือเพียง 4%

สำหรับในปี 2564 ไทยส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางสู่ตลาดโลก มูลค่า 20,059.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 28.3% จากปีก่อนหน้า แบ่งเป็นการส่งออกยางพารา มูลค่า 5,590.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวถึง 58.6% และผลิตภัณฑ์ยาง มูลค่า 14,469.06 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 19.4% ตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน

มาเลเซีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ทั้งนี้ ไทยส่งออกสินค้ายางพาราและผลิตภัณฑ์ยางไปประเทศคู่ FTA มูลค่า 9,762.1 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 48.6% ของการส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางทั้งหมดของไทย ขยายตัว 23.5% จากปีก่อนหน้า โดยส่งออกยางพาราไปประเทศคู่ FTA มูลค่า 3,771.9 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 50.4% คิดเป็นสัดส่วน 67.4% ของการส่งออกยางพาราทั้งหมดของไทย จีนตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 1 รองลงมาคือ อาเซียน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ สินค้าส่งออกหลัก ได้แก่ ยางแท่ง น้ำยาง และยางแผ่นรมควัน และไทยส่งออกผลิตภัณฑ์ยางไปประเทศคู่ FTA มูลค่า 5,990.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 11.% คิดเป็นสัดส่วน 41.4% ของการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางทั้งหมดของไทย ตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น อาเซียน และออสเตรเลีย สินค้าส่งออกหลัก ได้แก่ ยางล้อ ยางสังเคราะห์ และถุงมือยาง
#2108
ศัลยกรรม แผลเป็น ที่ปากอาเซียนบิวตี้คลีนิคศัลยกรรมต้นๆของประเทศดูแลทุกปัญหาความสวยสดงดงาม  
ผิวพรรณ ศัลยกรรมตกแต่ง แล้วก็เวชศาสตร์ชะลอวัย พร้อมการดูแลความสวยงาม
ศัลยกรรม แผลเป็น ที่ปากแบบองค์รวม ตั้งแต่ศีรษะถึงปลายเท้า โดยหมอผู้ที่มีความชำนาญ  
และ คณะทำงานมืออาชีพ 
ศัลยกรรม แผลเป็น ที่ปากอีกทั้งไทยและต่างชาติ 


https://bit.ly/35lzcGd
#2109
ตัดไขมันหน้าท้อง แผลที่เดอะคลาสสถานพยาบาล เป็นคลินิกเวชศาสตร์เฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์ตกแต่ง ที่ได้รับ 
ตัดไขมันหน้าท้อง แผลการรับรองประสิทธิภาพให้เป็นสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานทางการแพทย์  
 ตัดไขมันหน้าท้อง แผลที่มีห้องผ่าตัดขนาดใหญ่เท่ากันโรงหมอโดยกระทรวงสาธารณสุข เปิดให้บริการด้านศัลยกรรมตกแต่งโดยแพทย์ 
จบกระดานเฉพาะทาง และก็ เสริมความสวย
ด้านผิวพรรณ ภายใต้การดูแลโดย พันตรีหมอ ธีรภัทร์ ใจประสาท อาจารย์หมอ  
ตัดไขมันหน้าท้อง แผลเฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง มีความตั้งใจให้บริการทุกท่าน


https://bit.ly/3vvxm05
#2110
โครงการ SME NEXTFORMATION by True Digital Park Batch 2 Facebook photo album และ Caption

โครงการ SME NEXTFORMATION by True Digital Park Batch 2 Facebook photo album และ Caption
#เรียนฟรี หลักสูตร 'สร้างธุรกิจให้เติบโตบนแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับ SMEs' ภายใต้โครงการ SME NEXTFORMATION by True Digital Park Batch 2 มาติดอาวุธให้ธุรกิจ SMEs ทำ #ธุรกิจออนไลน์ แบบพุ่งทะยาน

ทรู ดิจิทัล พาร์ค ร่วมกับ TikTok แพลตฟอร์มวีดีโอสั้นออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ออกแบบหลักสูตรกับ Lazada, P4DGroup, Shipnity, และ True Digital Academy จัดสอนฟรี 5 คลาสสดออนไลน์ ให้ผู้ประกอบการ SMEs เรียนได้ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เรียนจบรับประกาศนียบัตร

ให้ความรู้ สอนวิธีเปิดหน้าร้านบนแพลตฟอร์ม Social Commerce และ e-Marketplace วิธีครีเอทคอนเทนต์และไลฟ์ขายของให้ปัง วางแผนการตลาดออนไลน์ ใช้เทคโนโลยีจัดการออเดอร์และสต็อกสินค้า เพื่อสร้างยอดขายให้ธุรกิจ

เปิดรับสมัครผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ ตั้งแต่วันนี้ - 4 มีนาคม 2565 ลงทะเบียน https://bit.ly/SME2_Partner

สิ่งที่ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับ

ฟรี คลาสสดออนไลน์ 5 คลาส (5 มีนาคม จนถึง 2 เมษายน 2565)
ฟรี เครดิตต่อยอดธุรกิจจาก Lazada, Shipnity, และ TikTok*
ฟรี สิทธิ์ใช้ Co-working space ที่ ทรู ดิจิทัล พาร์ค 3 เดือน (เมื่อเรียนนครบ 5 คลาส)
เรียนครบ 4 คลาส รับประกาศนียบัตร
เข้าโปรแกรมบ่มเพาะธุรกิจ
พบเครือข่ายพันธมิตร SMEs และเข้าร่วม Networking
รายละเอียดคลาส

วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม 2565
คลาส: สร้างแบรนด์ให้ธุรกิจเติบโตด้วย TikTok
เนื้อหา: เรียนรู้การลงโฆษณากับผู้นำแพลตฟอร์มอันดับหนึ่งในด้านการทำการตลาดรูปแบบวิดีโอสั้น (Short Video Marketing) กับผู้เชี่ยวชาญจาก TikTok สร้างแบรนด์ให้ธุรกิจเติบโต พร้อมตัวอย่างกรณีศึกษาจากแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ และวิธีการทำชิ้นโฆษณาให้ดึงดูดลูกค้า เหมาะสำหรับผู้ประกอบธุรกิจทุกประเภท เข้าใจง่ายแม้ไม่มีพื้นฐานก็เริ่มลงโฆษณาบน TikTok ได้

สอนโดย: จินดาภัทร สินธวัชต์, Strategic Partnerships Manager, TikTok
เกวลิน ลาภกิจถาวร, Account Strategist, TikTok

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม 2565
คลาส: วางแผน Digital Marketing พิชิตใจลูกค้าเป้าหมาย
เนื้อหา: ช่วยให้คุณเข้าใจวิธีการวางแผนทำการตลาดบนโลกออนไลน์ เข้าใจความแตกต่างของเครื่องมือที่ใช้และช่องทางการทำการตลาด เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มี touchpoints ที่แตกต่างกัน การวางแผนงบประมาณแคมเปญ และการกำหนดวัดผล เพื่อให้ได้ผลตอบรับที่คุ้มค่า พร้อมเคสตัวอย่างที่น่าสนใจ

สอนโดย: บุญเกียรติ พุทธา, Digital Consultant, True Digital Academy

วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม 2565
คลาส: E-commerce 2022 ที่ทุกคนต้องรู้ เทรนด์ และกลยุทธ์ต่างๆ
เนื้อหา: ทำไมต้องขายบนอีคอมเมิร์ซ วิธีการเปิดร้านค้าออนไลน์แบบครบวงจร เทคนิคการตลาด การใช้เครื่องมือบนแพลตฟอร์มเพื่อสร้างยอดขาย เข้าร่วมแคมเปญเพื่อทำให้ร้านค้าของคุณเป็นที่รู้จัก และสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืน

สอนโดย: ปาณัสม์ วงศ์เบญจรัตน์, VP, Head of Seller Platform, Lazada Ltd.

วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม 2565
คลาส: เพิ่มยอดขาย ขยายฐานลูกค้า ด้วย LINE OA
เนื้อหา: สอนโดย LINE Certified Coach (Recommended List) กับกลยุทธ์การตลาดบน LINE Platform ด้วย LINEOA บนหลักการทั้ง 4 แกน สร้าง - ชวน - ใช้ - เก็บ สิ่งสำคัญที่ร้านค้าที่ขายดีรู้และเข้าใจ

สอนโดย: ปรีดี โรจน์ภิญโญ, Managing Director, P4Digital Groups

วันเสาร์ที่ 2 เมษายน 2565
คลาส: จบทุกช่องทางขาย จัดการสต๊อกง่ายด้วย Shipnity
เนื้อหา: จัดการออเดอร์และสต็อกสินค้าครบวงจร เชื่อมต่อร้านออนไลน์บน Social Media, E-Commerce Marketplace, และ Livestreaming เก็บประวัติลูกค้าตั้งแต่สั่งซื้อ แจ้งโอนเงิน ส่งสินค้า และแจ้งเตือนเมื่อสินค้าหมดแบบ real time ให้คุณพร้อมขายและสร้างกำไรอย่างยั่งยืน

สอนโดย: ประภัสสร พันธ์ภักดี, Product Specialist, Shipnity
#2111
ไฟเบอร์ดีท็อกซ์ด้วยมิสเอเส้นใย เพียงแต่ 1 แก้วต่อวัน ช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดระดับคลอเรสเตอรอล
ลดปริมาณน้ำตาลซึ่งอยู่ภายใน
เลือด กำจัดสารพิษในลำไส้ 
ไฟเบอร์ดีท็อกซ์เพิ่มเติมความละมุนเนียนนุ่ม และกระจ่างใสให้กับผิว กระตุ้นสุขภาพผิวให้แข็งแรง 
ไฟเบอร์ดีท็อกซ์มองเบิกบานใจ ผิวเรีบบเนียนไม่มีสะดุด หยุดทุกสายตา สร้างเสริมส่วนประกอบของผิวให้ดูสุภาพละมุนละมัย ไม่
ไฟเบอร์ดีท็อกซ์หยาบกระด้าง



https://bit.ly/3vBRzBD


 
#2112
WealthMePlease: วางหมากเทรดหุ้น มี.ค.ลุยกันต่อหรือพอแค่นี้ ??

แม้ว่าบรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยเดือน ก.พ.ที่ผ่านมามีหลายปัจจัยบวกและปัจจัยเสี่ยงคอยรุมเร้าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ดัชนีแกว่งตัวผันผวนขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดรอบกว่า 2 ปีที่ระดับ 1,718 จุด และลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 1,656 จุด

แต่เมื่อเข้าสู่เดือน มี.ค.สัญญาณผ่อนคลายของนักลงทุนเริ่มมีความเชื่อมั่นกับปัจจัยเชิงบวกมากขึ้น โดยเฉพาะการผ่อนคลายประเด็นความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครน หลังจากเมื่อคืนที่ผ่านมา (28 ก.พ.) มีการเจรจาหยุดยิงระหว่างคณะผู้แทนของทั้ง 2 ฝ่าย แม้ว่าจะจบลงอย่างที่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงร่วมกันได้ แต่มุมมองปรับเป็นบวกมากขึ้นต่อการที่ทั้ง 2 ฝ่ายอาจเริ่มใช้วิธีการเจรจาเพื่อแก้ปัญหาแทนการใช้กำลังทหารเข้าตอบโต้กัน จึงต้องติดตามผลการเจรจารอบต่อไปที่ชายแดนเบลารุสและโปแลนด์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังคงกลายเป็นหลุมหลบภัยชั้นดี สะท้อนจากกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะคาดหวังถึงโอกาสเศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวขึ้นเป็นลำดับ อย่างไรก็ตาม ด้วยภาวะที่ไม่แน่นอนควบคู่ไปกับแนวโน้มของสภาพคล่องในตลาดโลกที่กำลังจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญในอนาคตอันใกล้

การวางหมากกลยุทธ์เลือกหุ้นเด็ดรับมือกับความผันผวนที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะสั้นจะต้องมีแนวทางปฎิบัติอย่างไร ภายใต้ข้อสงสัยว่ามูลค่าที่แท้จริงของตลาดหุ้นไทยในเวลานี้เข้าข่ายแพงเกินไปแล้วหรือยัง ?? แรงขายหนักๆ ของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติจะมีให้เห็นกันอีกระลอกหรือไม่ ?? ไขคำตอบกับนายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส (ASP)

ทั้งนี้ รายการ "Wealth Me Please" จะนำข้อมูลความรู้ด้านการเงินและการลงทุน ผ่านมุมมองของผู้เชี่ยวชาญหลายๆท่านนำมาต่อยอดช่วยสร้างความมั่งคั่งได้ด้วยตัวเอง
#2113
ดาวโจนส์ร่วงกว่า 100 จุด หลังรัสเซีย-ยูเครนเจรจาไม่คืบ

ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 100 จุดในวันนี้ หลังจากที่การเจรจาระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงไม่ได้ข้อสรุป

ณ เวลา 21.31 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 33,758.40 จุด ลบ 134.20 จุด หรือ 0.4%

ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง 0.5% เมื่อวานนี้ เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครนจะทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังการเจรจาหยุดยิงระหว่างคณะผู้แทนของทั้งสองฝ่ายสิ้นสุดลงโดยไม่มีการทำข้อตกลงใดๆ

ดัชนีความผันผวน CBOE หรือ CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท พุ่งขึ้น 6.43% สู่ระดับ 32.09

หุ้นกลุ่มธนาคารดิ่งลงในการซื้อขายวันนี้ สอดคล้องกับการปรับตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ

อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นตามการทะยานขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยราคาน้ำมัน WTI พุ่งขึ้นเหนือระดับ 101 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ทะลุระดับ 104 ดอลลาร์/บาร์เรล

การเจรจาโดยตรงระหว่างคณะผู้แทนของรัสเซียและยูเครนเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างทั้งสองประเทศได้สิ้นสุดลงเมื่อวานนี้ โดยไม่ได้ข้อสรุปแต่อย่างใด และทั้งสองฝ่ายจะทำการเจรจารอบต่อไปที่ชายแดนเบลารุสและโปแลนด์ในอีกไม่กี่วัน

ตำรวจสหรัฐคุมเข้มความปลอดภัยในกรุงวอชิงตัน ดีซี ก่อนที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนจะทำการแถลงนโยบายประจำปี (State of the Union) ต่อสภาคองเกรสในวันนี้

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ทำการล้อมรั้วรอบอาคารรัฐสภาสหรัฐเพื่อป้องกันเหตุการณ์ซ้ำรอยในวันที่ 6 ม.ค.2564 ซึ่งฝูงชนที่สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ราว 2,500 คนได้บุกเข้าไปยังรัฐสภาเพื่อขัดขวางการนับคะแนนของคณะผู้เลือกตั้งที่คาดว่าจะนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของนายโจ ไบเดน

นอกจากนี้ นายลอยด์ ออสติน รมว.กลาโหมสหรัฐ ได้อนุมัติการส่งกองกำลังรักษาดินแดนแห่งชาติจำนวน 700 นายเข้าปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยร่วมกับตำรวจประจำรัฐสภาสหรัฐเพื่อรับมือกับ People's Convoy ซึ่งเป็นกลุ่มคนขับรถบรรทุกที่ประท้วงรัฐบาลในการออกมาตรการบังคับการฉีดวัคซีนและสวมหน้ากากอนามัยเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยขบวนรถบรรทุกดังกล่าวกำลังมุ่งหน้าตรงมายังกรุงวอชิงตัน ดีซี

ปธน.ไบเดนเตรียมแถลงนโยบายประจำปีเป็นครั้งแรกต่อสภาคองเกรส ตามคำเชิญของนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ท่ามกลางวิกฤตความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและชาติตะวันตกกับรัสเซียในกรณียูเครน

ทั้งนี้ ปธน.ไบเดนจะกล่าวสุนทรพจน์ในวันนี้ (1 มี.ค.) เวลา 21.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับเช้าวันพรุ่งนี้ (2 มี.ค.) เวลา 09.00 น.ตามเวลาไทย

ขณะเดียวกัน นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีกำหนดกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อสภาคองเกรสในวันที่ 2-3 มี.ค. โดยอาจเป็นการแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายการเงินต่อสาธารณะเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เฟดจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 15-16 มี.ค.

ทั้งนี้ นายพาวเวลจะกล่าวถ้อยแถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในวันที่ 2 มี.ค. และต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันที่ 3 มี.ค. โดยการแถลงทั้งสองวันจะเริ่มขึ้นในเวลา 10.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 22.00 น.ตามเวลาไทย

การแถลงนโยบายการเงินดังกล่าวจะบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐในปีนี้ ท่ามกลางเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 40 ปี และเป็นการส่งสัญญาณว่าวิกฤตการณ์ในยูเครนจะส่งผลกระทบต่อการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดหรือไม่ หลังจากที่เจ้าหน้าที่เฟดบางรายระบุว่า เฟดจะนำผลกระทบที่เกิดจากความขัดแย้งในยูเครนเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณานโยบายการเงินของเฟด

ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.พ.ในวันศุกร์นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 415,000 ตำแหน่งในเดือนดังกล่าว

ก่อนหน้านี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 467,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 150,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.0% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.9%
#2114
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์แข็งค่า นลท.ซื้อสกุลเงินปลอดภัยช่วงวิกฤตยูเครน

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร (1 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนพากันเข้าซื้อดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตยูเครน ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.พ.ของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันศุกร์นี้

ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.73% สู่ระดับ 97.4090

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9189 ฟรังก์ จากระดับ 0.9167 ฟรังก์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2739 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2690 ดอลลาร์แคนาดา แต่ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 114.87 เยน จากระดับ 114.88 เยน

ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1131 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1226 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.3314 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3419 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.7251 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7264 ดอลลาร์สหรัฐ

นักลงทุนเข้าซื้อดอลลาร์ซึ่งเป็นสกุลเงินปลอดภัย เนื่องจากสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครนส่งสัญญาณยืดเยื้อ หลังจากการเจรจาโดยตรงระหว่างคณะผู้แทนของรัสเซียและยูเครนเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างทั้งสองประเทศซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อวันจันทร์ไม่ได้ข้อสรุปแต่อย่างใด และทั้งสองฝ่ายจะทำการเจรจารอบต่อไปที่ชายแดนเบลารุสและโปแลนด์ในอีกไม่กี่วัน สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า รัสเซียได้เตือนให้ประชาชนยูเครนอพยพออกจากบ้านเรือน ก่อนที่จะระดมยิงจรวดเข้าใส่เมืองคาร์คีฟซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของยูเครน ขณะที่นายเซอร์เก ชอยกู รัฐมนตรีกลาโหมของรัสเซียกล่าวว่า รัสเซียจะยังคงใช้ปฏิบัติการพิเศษทางทหารต่อยูเครน จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายหลักในการปกป้องตนเองจากภัยคุกคามของชาติตะวันตก นักลงทุนจับตานายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งมีกำหนดกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในวันที่ 2 มี.ค. และจะแถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันที่ 3 มี.ค. โดยการแถลงทั้งสองวันจะเริ่มขึ้นในเวลา 10.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 22.00 น.ตามเวลาไทย

นอกจากนี้ นักลงทุนรอดูการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.พ.ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 415,000 ตำแหน่ง
#2115
กูเกิลประกาศแผนการให้พนักงานกลับเข้ามาทำงานในสำนักงาน มีผลกับพนักงานในสำนักงานที่ Bay Area โดยให้เหตุผลว่าจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงในระดับที่ควบคุมได้ จึงเตรียมพื้นที่กิจกรรม เช่น ฟิตเนส และบริการนวด ในสำนักงานส่วนเงื่อนไขเพิ่มเติมของพนักงานนั้น กูเกิลได้ยกเลิกข้อกำหนด เช่นการต้องได้รับวัคซีน รวมทั้งการต้องตรวจโควิดก่อนเข้าสำนักงานอีกด้วย จากเดิมที่กำหนดเงื่อนไขนี้กับทุกคน แม้ว่าพนักงานจะได้รับวัคซีนครบโดสแล้วก็ตาม อย่างไรก็ตามกูเกิลบอกว่าเงื่อนไขดังกล่าวต้องสอดคล้องกับข้อกำหนดของหน่วยงานในพื้นที่นั้นเช่นกันการให้กลับมาทำงานในสำนักงานของกูเกิลนั้น วางแนวทางการทำงานแบบไฮบริด คือเข้าสำนักงาน 3 วันต่อสัปดาห์ โดยพยายามนำบริการและสวัสดิการในสำนักงานกลับมาให้มากที่สุด เช่น ฟิตเนส รถบัสฟรี พื้นที่สำหรับกินอาหาร และบริเวณทำกิจกรรมอื่น ๆที่มา: CNBC.
#2116
' VL' เดินหน้าขยายกองเรือใหม่ 10,000 DWT กลางปีนี้ รับดีมานด์น้ำมันปาล์ม-น้ำมันบริโภคพุ่ง ปั้นรายได้ปีนี้เพิ่ม25%

บมจ.วี.แอล.เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ('VL') อัดงบลงทุน 200 ล้านบาท ต่อเรือใหม่ขนาด 10,000 เดตเวตตัน (DWT) รองรับการขนส่งน้ำมันปาล์ม - น้ำมันบริโภค (น้ำมันมะพร้าว-น้ำมันถั่วเหลือง) คึกคัก พร้อมระบุแผนขยายกองเรือใหม่ จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ต่างประเทศแตะ 50% จากปีก่อนที่ 39% หนุนอัตราการเติบโตของรายได้ในปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้น 25% ตามเป้าที่วางไว้
นางชุติภา กลิ่นสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี.แอล.เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ' VL ' ผู้ให้บริการด้านการขนส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์เคมีทางทะเล ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เปิดเผยว่า บริษัทฯ เดินหน้าขยายกองเรือเพิ่ม จำนวน 1 ลำ น้ำหนักบรรทุกไม่ต่ำกว่า 10,000 เดตเวตตัน (DWT) ภายใต้งบลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท โดยเรือดังกล่าวบริษัทฯ คาดว่าจะนำเข้ามาในช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อเพิ่มความสามารถในการให้บริการ ซึ่งสอดรับกับนโยบายบริษัทฯในการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โดยกองเรือใหม่ ที่เข้ามาจะให้บริการในเชิงพาณิชย์ได้ทันที ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯ มีความสามารถในการรับรู้รายได้จากการให้บริการเรือดังกล่าวโดยเฉลี่ยในปี 2565 ประมาณ 90 ล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนรายได้ในต่างประเทศในปีนี้เพิ่มขึ้นจาก 39% เป็น 50% และในปี2566 จะมีรายได้เข้ามาเต็มปี เฉลี่ยประมาณ 180 ล้านบาทต่อปี

ทั้งนี้ เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าภาพรวมอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ น้ำมันปาล์มในปี 2565 ที่ยังมีการเติบโตอย่างแต่เนื่อง แม้ว่าราคาน้ำมันปาล์ม ส่งผลให้ประเทศอินโดนีเซีย จำกัดการส่งออกน้ำมันปาล์ม ส่งผลให้การส่งออกน้ำมันปาล์มลดลง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเป็นแค่ระยะสั้นเท่านั้น และจากกรณีดังกล่าว บริษัทฯยังได้ปรับกลยุทธ์การขนส่งทางทะเลใหม่ โดยเน้นการขนส่งน้ำมันปาล์มจากประเทศไทยและประเทศมาเลเซียแทน พร้อมเพิ่มการขนส่งน้ำมันบริโภคอื่นๆ อาทิ น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันถั่วเหลือง

นอกจากนี้ ' VL' ยังคงเดินหน้ารักษาฐานคู่ค้ารายเดิม และหาคู่ค้าใหม่ๆ ในประเทศ ควบคู่กับการขยายเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มความหลากหลายสำหรับการขนส่งน้ำมัน รวมทั้งการสร้างตลาดใหม่ๆ ด้านการขนส่งน้ำมันปิโตรเลียมระหว่างประเทศ ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้

'ส่วนกรณีสงครามรัสเซีย และยูเครน ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร 'VL' กล่าวว่า จากกรณีดังกล่าวในขณะนี้ ยังไม่ได้รับผลกระทบต่อภาพรวมธุรกิจบริษัทฯ ดังนั้นบริษัทฯจึงยังคงเดินหน้าในการขยายกองเรือใหม่ ตามแผนเดิมที่วางไว้ โดยหากเรือลำใหม่เข้ามาจะส่งผลให้ 'VL'มีสัดส่วนรายได้ในต่างประเทศเพิ่มขึ้นในปีนี้เป็น 50% จากปี2564 ที่มีสัดส่วนรายได้ในต่างประเทศที่ 39% เนื่องจากเรือลำใหม่จะเน้นการขนส่งในต่างประเทศ เพื่อเป็นการสร้างตลาดใหม่ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม ประเทศจีน และประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งนั่นก็จะส่งให้อัตราการเติบโตของรายได้ในปี2565 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 25% จากกองเรือทั้งหมด 12 ลำ ขนาดบรรทุกรวม 50,800 DWT'
#2117
'ดิสนีย์' ระงับฉายภาพยนตร์ทั้งหมดในรัสเซีย ประณามกรณีบุกยูเครน

บริษัทวอลท์ ดิสนีย์ ประกาศว่า ทางบริษัทจะระงับการนำภาพยนตร์ทุกเรื่องของดิสนีย์เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ของรัสเซีย เพื่อตอบโต้รัสเซียที่ใช้กำลังทหารบุกโจมตียูเครน

ดิสนีย์ระบุในแถลงการณ์ว่า 'เมื่อพิจารณาจากการที่รัสเซียรุกรานยูเครนโดยที่ยูเครนไม่เคยกระทำการยั่วยุ และวิกฤตการณ์ด้านมนุษยชนที่เกิดขึ้นกับยูเครนในขณะนี้ ดิสนีย์ได้ตัดสินใจที่จะระงับการนำภาพยนตร์ทั้งหมดเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ของรัสเซีย ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์เรื่องใหม่ ๆ เช่น 'Turning Red' จากค่ายพิกซาร์ ส่วนการตัดสินใจในอนาคตนั้น เราจะพิจารณาเกี่ยวกับความคืบหน้าของสถานการณ์'

'ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากวิกฤตการณ์ของผู้ลี้ภัยที่เกิดขึ้นในขณะนี้แล้ว ดิสนีย์ตัดสินใจที่จะร่วมงานกับหุ้นส่วนของเราที่เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร (NGO) เพื่อจัดหาความช่วยเหลือเร่งด่วน และความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่บรรดาผู้ลี้ภัย' ดิสนีย์ระบุในแถลงการณ์
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ดิสนีย์เป็นสตูดิโอภาพยนตร์รายแรกของฮอลลีวูดที่แสดงออกถึงการต่อต้านรัสเซียอย่างชัดเจน หลังจากที่รัสเซียใช้กำลังทหารรุกรานยูเครน

ทั้งนี้ แม้ยอดขายบัตรชมภาพยนตร์ในรัสเซียจะไม่มากเท่ากับยอดขายในจีน แต่รัสเซียยังคงเป็นตลาดสำคัญของดิสนีย์ โดยก่อนหน้านี้ ภาพยนตร์เรื่อง 'Spider-Man: No Way Home' ซึ่งดิสนีย์อำนวยการผลิตร่วมกับบริษัทโซนี่ สามารถทำรายได้มากกว่า 50 ล้านดอลลาร์ในรัสเซีย
#2118
ศูนย์จำหน่ายกาแฟม้าขาว กาแฟสำหรับ ผู้ชาย Ma khaw Coffee ของแท้ พร้อมจำหน่าย ถูกกว่าทุกเว็บ
#2119
คิง เพาเวอร์ ออนไลน์ ส่งความสุขกับ 2 ดีลสนุกต้อนรับซัมเมอร์

คิง เพาเวอร์ แอปพลิเคชัน จัดแคมเปญ SUMMER ESCAPE เอาใจนักช้อปออนไลน์มอบ 2 ดีลราคาสุดพิเศษ TRIPLE BEAUTY และ TRAVEL ESSENTIALS ด้วยสินค้าคุณภาพ ราคาดิวตี้ฟรี พร้อมบริการ Home Delivery ส่งฟรีไม่มีขั้นต่ำ ระหว่างวันที่ 1-7 มีนาคม 65 นี้

ต้อนรับเดือนต้อนรับซัมเมอร์ก่อนใคร คิง เพาเวอร์ ออนไลน์ มอบความสดใส เผยผิวสวยรับซัมเมอร์ กับ 2 ดีล พิเศษ ที่พร้อมรับฤดูกาลท่องเที่ยวส่งแคมเปญ SUMMER ESCAPE #ดีลสนุกสุขก่อนซัมเมอร์ กับ 2 ดีลพิเศษ ในกลุ่มเครื่องสำอาง สกินแคร์ น้ำหอม กระเป๋าเดินทาง แว่นกันแดด สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าแฟชั่น ที่นำมาให้เลือกช้อปกันได้ทุกที่ ทุกเวลาเพียงปลายนิ้วสัมผัสได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ดีลที่ 1 TRIPLE BEAUTY พบกับสินค้าในกลุ่ม เครื่องสำอาง สกินแคร์ น้ำหอม หลากหลายแบรนด์ดัง อาทิ อาทิ FOREO, 111SKIN, COACH, ROM & ND, HOLIKA ลดสูงสุด 30% เมื่อช้อปครบ 3 ชิ้น เพียงใส่รหัส TRIPB3

ดีลที่ 2 TRAVEL ESSENTIALS พบกับสินค้าในกลุ่ม กระเป๋าเดินทาง แว่นกันแดด สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าแฟชั่นแบรนด์ชั้นนำมากมาย อาทิ GUCCI, KEEN, VANS, OAKLEY, LEICESTER ลดสูงสุด 50% พร้อมลดเพิ่มสูงสุด 40% ไม่มีขั้นต่ำ เพียงใส่รหัส TRVES

ช้อปสนุกรับซัมเมอร์กับดีลดีสุดคุ้มค่า พร้อมมอบประสบการณ์ช้อปแบบไม่ต้องมีไฟลต์บิน รับสิทธิพิเศษมากมาย อาทิ ส่วนลดเพิ่ม 5% เมื่อช้อปครบ 1,200 บาท โดยใส่รหัสส่วนลด SV CODE จากพนักงานคิง เพาเวอร์ หรือรับส่วนลดพิเศษ 200 บาทสำหรับลูกค้าใหม่ที่สมัครสมาชิกออนไลน์, ตลอดจนข้อเสนอสุดพิเศษมากมาย อาทิ แบ่งชำระ 0% นานสูงสุด 10 เดือน, รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 8,000 บาท และรับของสมนาคุณสุดพิเศษจากแบรนด์ดัง (Gift with Purchase) พร้อมบริการ Home Delivery จัดส่งฟรีทั่วประเทศเมื่อช้อปขั้นต่ำ 699 บาท
#2120
BAY มองกรอบเงินบาทสัปดาห์นี้ 32.40-33.00 เกาะติดวิกฤติยูเครน ถ้อยแถลงปธ.เฟด

กลุ่มงานโกล.มาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เผยมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทว่า ในสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 32.40-33.00 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดอ่อนค่าที่ 32.52 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายผันผวนในกรอบ 32.09-32.62 บาท/ดอลลาร์ เงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินแตะจุดสูงสุดในรอบ 19 เดือน ขณะที่เงินรูเบิลของรัสเซียร่วงลงแตะสถิติต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากรัสเซียเปิดฉากรุกรานยูเครน ส่งผลให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย

ด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ ได้ประกาศมาตรการคว่ำบาตรชุดใหม่ต่อรัสเซีย ขณะที่การซื้อขายในตลาดการเงินทั่วโลก อาทิ หุ้น และพันธบัตรเหวี่ยงตัวอย่างรุนแรง ส่วนราคาน้ำมันดิบและทองคำ แตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 7 ปี และ 16 เดือน ตามลำดับ ก่อนจะดิ่งลงท้ายสัปดาห์ ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทย 3,872 ล้านบาท และ 2,043 ล้านบาท ตามลำดับ

กลุ่มงานโกล.มาร์เก็ตส์ฯ มองว่า นักลงทุนจะยังติดตามกระแสข่าวที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความตึงเครียดในยูเครนอย่างใกล้ชิด โดยชาติตะวันตกยกระดับใช้มาตรการทางการเงินกดดันรัสเซีย แม้จะกระทบเศรษฐกิจยุโรปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะที่ผู้นำรัสเซียสั่งกองกำลังนิวเคลียร์เตรียมความพร้อมขั้นสูงสุด

หากสถานการณ์บานปลายไปสู่การสู้รบนอกยูเครน เงินดอลลาร์จะได้แรงหนุนในฐานะแหล่งพักเงินที่ปลอดภัย อย่างไรก็ดี กรณีความขัดแย้งถูกจำกัดวง และมีการเข้าสู่โต๊ะเจรจาอย่างเป็นรูปธรรม คาดว่าตลาดจะกลับมาซื้อขายบนการคาดการณ์ทิศทางเงินเฟ้อและการคุมเข้มนโยบายของธนาคารกลางชั้นนำ โดยประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะแถลงต่อสภาในวันที่ 2-3 มีนาคม ซึ่งคาดว่าจะส่งสัญญาณเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมีนาคมตามแผนเดิม ขณะที่ความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายบ่งชี้ว่าภัยสงครามจะส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์และเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ

ส่วนการเปิดเผยข้อมูลจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนกุมภาพันธ์ของสหรัฐฯ กรุงศรีคาดว่าอัตราการมีส่วนร่วมของแรงงาน (Labor Force Participation) จะมีความสำคัญต่อมุมมองเงินเฟ้อที่เกิดจากค่าจ้างและการคุมเข้มนโยบายของเฟดในระยะถัดไป

สำหรับปัจจัยในประเทศ ผลกระทบทางตรงจากความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ต่อเศรษฐกิจไทยค่อนข้างจำกัด โดยรัสเซียและยูเครนมีสัดส่วนน้อยกว่า 0.5% ของยอดส่งออกทั้งหมดของไทย อย่างไรก็ตาม การพุ่งขึ้นของราคาพลังงาน และความไม่แน่นอนของสถานการณ์จะสร้างความผันผวนให้กับสินทรัพย์สกุลเงินบาทอย่างต่อเนื่อง