• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Joe524

#2781



รายงานข่าวจากบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมเงินให้สินเชื่อและดอกเบี้ยค้างรับสุทธิของธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ 19 แห่ง (ธ.พ.ไทย) ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2564 ขยับขึ้นจากเดือนก่อนหน้าประมาณ 7.84 หมื่นล้านบาท ซึ่งทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า อัตราการเติบโตของสินเชื่อระบบธ.พ.ไทยน่าจะปิดสิ้นไตรมาส 2/2564 ที่ระดับประมาณ 4.4% YoY เทียบกับ 4.6% YoY ในไตรมาสที่ 1/2564

โดยแม้จะเริ่มชะลอตัวลง แต่ก็ยังไม่มากนัก เพราะได้รับแรงประคองทิศทางกลับมาบางส่วนจากการขยายตัวต่อเนื่องของสินเชื่อใน 2 ส่วนหลัก ได้แก่ (1) สินเชื่อกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่เพื่อเสริมสภาพคล่องและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 และ (2) สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่ยังคงมีกำลังซื้อ กลุ่มที่อยู่อาศัยแนวราบราคาประมาณ 1-3 ล้านบาท และ 3-5 ล้านบาท ตามลำดับ 

อย่างไรก็ตาม หากขาดแรงส่งของสองกลุ่มสินเชื่อดังกล่าวที่มาจากลูกค้าที่ยังมีขีดความสามารถในการกู้เงินและสามารถบริหารจัดการผลกระทบจากโควิดได้นั้น คาดว่าจะเห็นตัวเลขอัตราการขยายตัวของสินเชื่อที่ชะลอตัวอย่างชัดเจนขึ้น นำโดยสินเชื่อเอสเอ็มอี และสินเชื่อรายย่อยประเภทอื่นๆ อาทิ สินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค

เงินฝากเติบโตในอัตราชะลอลงเช่นกัน โดยส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเทียบกับฐานที่สูงในช่วงเดียวกันปีก่อน  

สำหรับภาพรวมเงินรับฝากของระบบธ.พ.ไทย ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2564 ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 1.09 แสนล้านบาท นับเป็นการปรับลดลงครั้งแรกในรอบ 5 เดือน โดยเป็นการปรับตัวลงในเกือบทุกธนาคาร ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลของการนำเงินฝากไปลงทุนในตัวเลือกที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ประกอบกับมีการทยอยเบิกใช้สภาพคล่องเพื่อรองรับสถานการณ์โควิด 19 ทั้งในส่วนของภาคธุรกิจและผู้ฝากเงินรายย่อย ซึ่งทำให้ภาพรวมเงินฝาก ณ สิ้นไตรมาส 2/2564 ชะลอการขยายตัวลงมาที่ 4.0% YoY เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากอัตราการขยายตัวที่ 5.0% YoY ในไตรมาสที่ 1/2564


นอกจากนี้หากพิจารณาเงินฝากในกลุ่มผู้ฝากเงินรายย่อย จะพบว่า เงินฝากกลุ่มรายย่อยยังเติบโตในอัตราใกล้เคียงกับภาพรวมเงินฝากทั้งระบบ

อย่างไรก็ดี ภาพเงินฝากรายย่อยอาจแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) เงินฝากรายย่อยในกลุ่มที่วงเงินต่อบัญชีสูงกว่า 1 ล้านบาท (สัดส่วน 65% ของเงินฝากรายย่อยโดยรวม) ซึ่งประคองการเติบโตได้สูงกว่าเงินฝากรายย่อยในภาพรวม และ 2) เงินฝากรายย่อยในกลุ่มที่วงเงินต่อบัญชีไม่เกิน 1 ล้านบาท (สัดส่วน 35% ของเงินฝากรายย่อยโดยรวม) ที่มีอัตราการเติบโตที่ชะลอลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มวงเงินต่อบัญชีไม่เกิน 50,000 บาท และกลุ่มวงเงินต่อบัญชีเกินกว่า 50,000 บาทแต่ไม่เกิน 100,000 บาท  ซึ่งอาจสะท้อนภาพการนำเงินฝากบางส่วนมาใช้เพื่อประคองสถานการณ์ในช่วงโควิด-19


ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจะทำให้ความต้องการสินเชื่อจากกลุ่มลูกค้าที่ยังพอมีรายได้หรือศักยภาพนั้น เป็นไปอย่างระมัดระวัง ทำให้การเติบโตของสินเชื่อปิดสิ้นปี 2564 ในอัตราการเติบโตใกล้เคียงระดับกลางปีที่ประมาณ 4.5% ซึ่งชะลอลงจากที่ขยายตัว 5.8% ในปี 2563

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ยอดคงค้างสินเชื่อของระบบธ.พ.ไทยในครึ่งหลังของปี 2564 มีโอกาสขยายตัวได้ต่อเนื่อง เพียงแต่แรงหนุนสำคัญยังมาจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงิน ทั้งในส่วนของการปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือด้านสภาพคล่องกับกลุ่มลูกค้าธุรกิจ และการเร่งอนุมัติสินเชื่อผ่านโครงการสินเชื่อฟื้นฟู

ขณะที่การช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านมาตรการพักชำระหนี้และปรับโครงสร้างหนี้ น่าจะส่งผลทำให้การชำระคืนหนี้ช้าลง และลดแรงกดดันต่อยอดคงค้างสินเชื่อในภาพรวม อย่างไรก็ดี การปล่อยสินเชื่อใหม่ในส่วนอื่นๆ น่าจะเริ่มชะลอลง เนื่องจากสถานการณ์โควิดในประเทศยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งทำให้ทั้งฝั่งลูกค้าชะลอความต้องการสินเชื่อเพื่อลงทุนออกไป ขณะที่ฝั่งสถาบันการเงินยังคงต้องประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตจากการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง 
#2782


 
 
โควิด ระลอกล่าสุด กดราคาอสังหาฯ ต่ำสุด โอกาส เอเจนซี่ มองตลาดอสังหาฯ ในไตรมาส 2 ปี 2565 จะเริ่มมีโอกาสฟื้นตัว หากการกระจายวัคซีนครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมสวนกระแส เปิดตัว LEASEBACK PROGRAM  ชี้เป็นโอกาสของนักลงทุน เลือกช้อปของดี โดยเน้นทำเลศักยภาพที่มีดีมานด์ซื้อและปล่อยเช่าสูงเข้าพอร์ต โดยเฉพาะโครงการที่ได้รับผลตอบแทนที่แน่นอน เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนและหวังผลตอบแทนได้ในระยะยาว
 
นายภัทรภูริต รุ่งจตุรภัทร กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอกาส เอเจนซี่ จำกัด ที่ปรึกษาการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และผู้บริหารการปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์วิถีใหม่ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในรอบ 1 ปี นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จนมาถึงการแพร่ระบาดในระลอกล่าสุด พบว่า ผู้บริโภคยังมีความต้องการลงทุนเป็นจำนวนมาก เพียงแต่ที่ผ่านมายังคงชะลอการใช้จ่ายเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และรอจังหวะที่วิกฤตเริ่มคลี่คลายลง โดยคาดการณ์ว่าตลาดอสังหาฯ ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2565 จะเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง หากการระดมฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 สามารถกระจายครอบคลุมทั่วประเทศได้
 
พร้อมกันนั้น ประเมินราคาอสังหาฯ ภายหลังโควิด-19 แพร่ระบาดระลอกล่าสุด ได้ปรับลดลงจนถึงจุดต่ำสุดแล้ว จึงมองเป็นโอกาสทองของนักลงทุนและผู้ซื้อที่มีความพร้อม เพื่อหวังต่อยอดการลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะโครงการที่อยู่อาศัยในทำเลศักยภาพที่มีโอกาสเติบโตได้ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นทำเลตามแนวรถไฟฟ้า หรือ แม้แต่ทำเลย่านธุรกิจ ฯลฯ รวมถึงทำเลที่มีดีมานด์ซื้อและปล่อยเช่าสูง เช่น สุขุมวิท ทองหล่อ อโศก พระราม 9 เป็นต้น
 
ทั้งนี้ โอกาส เอเจนซี่ (OKAS Agency) ในฐานะผู้บริหารการปล่อยเช่าอสังหาฯ วิถีใหม่ ที่มุ่งเน้นดูแล และบริหารการปล่อยเช่าให้กับนักลงทุนแบบ 360 องศา ตัวแทนขายโครงการอสังหาฯ เพื่อการลงทุน (Investment Property) หรือ IP ในรูปแบบของ Branded Residence ของบริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) ขอแนะนำโครงการคุณภาพที่น่าลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ซึ่งทุกโครงการ มีจุดเด่นโดยตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพที่สามารถขายต่อ หรือ ปล่อยเช่าได้ราคาดี อยู่ใจกลางเมืองและใกล้รถไฟฟ้า พร้อมครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลาย และรับการบริการและการจัดการในรูปแบบโรงแรม ในราคาที่จับต้องได้
 
นำเสนอโครงการ CASSIA RESIDENCES RAMA 9 BANGKOK และเปิดตัวแพ็คเกจสำหรับนักลงทุน LEASEBACK PACKAGE ที่ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนสูงสุดปีละ 6% ต่อเนื่องตลอด 10 ปี โดย OKAS Agency พร้อมสิทธิพิเศษสำหรับนักลงทุน ได้แก่ สิทธิ์เข้าพัก 15 คืนต่อปี และสิทธิประโยชน์ Sanctuary Club จาก CASSIA By Banyan Tree เริ่มเพียง 4.29 ลบ.
 
สำหรับโครงการ CASSIA RESIDENCES RAMA 9 BANGKOK เป็นโครงการมิกซ์ยูสระดับพรีเมียม บริหารใน รูปแบบโรงแรม Branded Residence ภายใต้แบรนด์ CASSIA By Banyan Tree ตั้งอยู่ในทำเลเศรษฐกิจ "พระราม 9"  การเดินทางสะดวก เพียง 1 นาที จากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน รฟม. รูปแบบห้องแบบ Duplex ทั้งโครงการ โดยในโครงการมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้ง Co-working space, Meeting Room, Kid room, Gym และ Sky bar   
#2783



"ปรีชา กุลไพศาลธรรม" นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์นนทบุรี กล่าวว่า ผลกระทบจาก 2 มาตรการ ปิดแคมป์ก่อสร้าง และ ล็อกดาวน์ ท่ามกลางการแพร่ระบาดโควิด-19 รุนแรงในระลอก 4 นี้ น่ากังวลมากกว่าการระบาดทุกครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากกำลังซื้อลดลงมาก โอกาสเข้าถึงสินเชื่อยากขึ้น

"คนซื้อไม่มีกำลังซื้อ ทำให้เกิดการปฏิเสธสินเชื่อสูงขึ้นจึงต้องระวัง!! และหากธนาคารปฏิเสธสินเชื่อสูงขึ้นกว่านี้ ธุรกิจจะเดินต่อไปไม่ได้แล้ว"

ปัจจุบัน ต้นทุนการลงทุนทำโครงการอสังหาฯ ในแง่ความ "คุ้มค่า" เริ่มไม่ดี ทำให้ภาพรวมของธุรกิจหดตัว เพราะไม่คุ้มกับการลงทุน จากดีมานด์ที่ลดลง การเข้าถึงสินเชื่อยากขึ้น เนื่องจากได้รับผลกระทบจากโควิด หากยังดันทุรังพัฒนาโครงการต่อ ถึงแม้ว่าโครงการดีแค่ไหน ลูกค้าก็ซื้อไม่ได้อยู่ดีส่วนหนึ่งไม่มีกำลังซื้อและอีกส่วนไร้อารมณ์ซื้อ

"ตลาดคอนโดมิเนียมไม่เพิ่มขึ้นในปีนี้ เพราะเจอสภาพเศรษฐกิจแบบนี้คงชะลอการเปิดตัวโครงการออกไปอีก ทุกคนต้องสำรองสภาพคล่องมากขึ้น ทำให้การเปิดตัวโครงการปีนี้ไม่น่าจะโตกว่าปีที่แล้ว และอาจติดลบ จากเดิมที่หลายคนมองว่าบ้านจะโต ปีนี้อาจไม่โต"

ปรีชา ระบุว่า มาตรการล็อกดาวน์ มีผลทาง "จิตวิทยา" ทำให้ลูกค้าเกิดความกังวลมากขึ้นจากสถานการณ์แพร่ระบาด รวมถึงการใช้จ่ายทำให้การขายยากขึ้น ขณะเดียวกันจากข้อจำกัดการเว้นระยะห่างทางสังคม สำนักงานขายไม่สามารถมีพนักงานให้บริการได้เต็มที่ คาดว่ากระทบยอดขายเดือนก.ค. ที่มีการล็อกดาวน์เต็มรูปแบบ "ลดลง" ขณะที่ต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยแนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการอสังหาฯ หนีไม่พ้น การควบคุมต้นทุน พร้อมกับเจรจากับสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องว่ามีโอกาสที่ขอผ่อนชำระค่าใช้จ่าย รวมถึงการขอวงเงินสินเชื่อพิเศษ อาทิ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan)สินเชื่อเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี (OD) ตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) ที่เข้ามาช่วยเป็น​​​เงินทุนหมุนเวียนเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ

ขณะเดียวกันต้องควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายในองค์กร อาทิ สวัสดิการ เบี้ยขยัน โบนัสของพนักงานที่อาจจำเป็นต้องลดทอนลง เพราะได้รับผลกระทบมาหลายระลอก หากบริษัทไหนที่สภาวะกระท่อนกระแท่นอาจต้องลดเงินดือนพนักงานบางส่วนเพื่อควบคุมต้นทุนให้ดีขึ้น

"สถานการณ์ในเวลานี้ ต้องรัดเข็มขัด เพราะ ผู้บริโภคไม่มีกำลังซื้อและไม่เชื่อมั่น ดังนั้นจึงเลือกเก็บงบไว้ใช้หลังจากสถานการณ์คลี่คลาย ดังนั้นตัดงบการตลาดลดลง เพราะใช้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์สู้รอจังหวะโอกาสที่เหมาะสมให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า "

นอกจากนี้ อาจชะลอการพัฒนาโครงการในพื้นที่ใหม่ หากยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถปิดการขายได้เพราะจะกลายเป็นไปเพิ่มสต็อกสินค้า หรือต้นทุนในการลงทุน ขณะเดียวกันต้องพยายาม "เคลียร์สต็อก" ที่มีอยู่ ด้วยการจัดโปโมชั่นลดแลกแจกแถม แม้ว่าจะกำไรลดลง แต่จำเป็นต้องทำเพื่อรักษาสภาพคล่อง

แนวทางที่กล่าวว่ามา นี้เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบอสังหาฯพึ่งกระทำเพื่อประคองธุรกิจให้รอดจากวิกฤตินี้!!

ปรีชา ประเมินว่า มาตรการล็อกดาวน์ 14 วันไม่น่าจะจบ!! คงยืดเยื้อออกไปอีกแบบไม่รู้ชะตากรรม ปัญหาที่ประเทศไทยเผชิญตอนนี้ต่างประเทศเคยเผชิญมาก่อน แต่สามารถควบคุมได้ เพราะการบริหารจัดการที่ดี หากบางประเทศที่บริการจัดการไม่ดีปัญหาจบยาก ในส่วนประเทศไทยคงจบ! แต่ไม่เร็วอย่างที่ควรจะเป็น เกิดจากความบกพร่องและไม่เป็นมืออาชีพในหลายเรื่อง

"ล็อกดาวน์ 14 วันไม่จบอาจยืดเยื้อแต่คาดเดาไม่ถูกว่าจะจบเมื่อไร คงต้องใช้ความอดทนต่อไป กว่าทุกอย่างจะฟื้นตัวน่าจะกลางหรือปลายปี 2565"

ความกังวลจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิคสูงสุดขณะนี้ นั่นคือการ "กลายพันธุ์" เพราะในประเทศที่มีวัคซีนพอยังมีการติดเชื้อสูง จึงไม่แน่ใจว่าหากฉีดวัคซีนได้มากแล้วปัญหาการแพร่ระบาดจะยุติ จึงเป็นเรื่องที่ต้องเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด
#2784



หลังจากมีภาพหลุดของ เวย์น รูนีย์ อดีตหัวหอกตัวเก่งของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ปัจจุบันทำหน้าที่เป็นเฮดโค้ชให้กับ ดาร์บี เคาน์ตี ในลีกแชมเปียนชิพ อังกฤษ อยู่กับหญิงสาวบนเตียง รวมถึงตอนจูบกับผู้หญิงรายหนึ่งซึ่งไม่ใช่ภรรยาของตัวเอง

โดย เวย์น รูนีย์ ได้เข้าไปแจ้งตำรวจเป็นที่เรียบร้อย และยืนยันว่าเขาถูกภาพดังกล่าวทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง และกำลังถูกแบล็คเมล์จากบุคคลที่ไม่หวังดี

ล่าสุด คอลีน รูนีย์ ภรรยาของ เวย์น รูนีย์ ยังเชื่อใจในสามีของตัวเอง โดยชี้ว่าอดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษ โดนผู้ไม่หวังดีกลั่นแกล้ง และเป็นเพียงการจัดฉากเท่านั้น

"คอลีน หลุนหลังเขาเต็มที่ เธอเชื่อว่าเขากำลังตกเป็นเหยื่อของการกลั่นแกล้งที่ทำให้ทุกคนต้องเข้าใจผิด เธอได้มีการพูดคุยกับเขาแล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นดีมากจริงๆ" แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับครอบครัวรูนีย์ เผยกับ เดอะซัน สื่อในอังกฤษ
#2785



นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนระดับอาเซียน เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้วางนโยบายขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการขนส่งสินค้าต่อเนื่องหลากหลายรูปแบบ (Multimodal Transportation) โดยเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ มีมติอนุมัติให้ บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี ทรานส์ปอร์ต (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในเครือ JWD เข้าซื้อหุ้นรวม 20% ใน บริษัท อีสเทิร์นซี  แหลมฉบัง เทอร์มินัล จำกัด (EASTERN SEA LAEM CHABANG TERMINAL หรือ ESCO) ผู้ประกอบการท่าเรือคอนเทนเนอร์รายใหญ่ในท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี และผู้ให้บริการสถานีบรรจุและขนถ่ายสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ ลาดกระบัง (Inland Container Depot หรือ ICD) โดยการเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้จะส่งผลให้ JWD เป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ PSA ซึ่งเป็นผู้บริหารและดำเนินการท่าเรือขนส่งสินค้าระดับโลกของประเทศสิงคโปร์ เนื่องจาก PSA เป็นผู้ถือหุ้นหลักของ ESCO

'การลงทุนที่สำคัญในครั้งนี้นับเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ในรอบปีของบริษัทฯ ซึ่งจะมาจากการออกหุ้นกู้ในช่วงที่ผ่านมาและกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน โดยในช่วงแรก เจดับเบิ้ลยูดี ทรานส์ปอร์ต จะเข้าถือหุ้น 15% ใน ESCO และคาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นเป็น 20% ภายใน 6-12 เดือนข้างหน้า'นายชวนินทร์ กล่าว

ปัจจุบัน ESCO เป็นผู้ประกอบการท่าเรือตู้คอนเทนเนอร์ 3 แห่ง ในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง ได้แก่ (1) ท่าเรือ ESCO (B3) ที่เป็นผู้พัฒนาและบริหารจัดการเองโดยได้รับสัมปทานโดยตรงจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย (2) ท่าเทียบเรือ LCB1 (B1) และ (3) ท่าเทียบเรือ LCMT (A0) ซึ่ง ESCO มีส่วนร่วมในฐานะผู้ถือหุ้นในบริษัทที่ได้รับสัมปทานพัฒนาท่าเรือทั้ง 2 แห่งดังกล่าว โดยในปี 2563 ท่าเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทั้ง 3 แห่ง ให้บริการขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์สินค้าที่ผ่านเข้า-ออกตลอดทั้งปี รวมทั้งสิ้นกว่า 2 ล้าน TEU คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของปริมาณตู้คอนเทนเนอร์สินค้าที่ผ่านเข้า-ออกในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบังในปีที่ผ่านมา และคาดว่าความต้องการใช้บริการท่าเรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ระหว่างประเทศ มีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว หลังสถานการณ์ COVID-19 ในสหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรปเริ่มคลี่คลาย


ขณะเดียวกัน ESCO ยังเป็น 1 ใน 6 ผู้ให้บริการสถานี ICD ลาดกระบัง เพื่อรองรับการบรรจุและขนถ่ายสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ของสายการเดินเรือต่าง ๆ ที่ไม่ได้อยู่ใกล้กับท่าเรือแหลมฉบัง ช่วยลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการขนส่ง โดยมีรายได้จากการให้บริการลานจัดเก็บตู้คอนเทนเนอร์ คลังบรรจุสินค้าเพื่อการส่งออกและนำเข้าพร้อมบริการพิธีการทางศุลกากร และการให้บริการขนส่งบริหารจัดการและซ่อมแซมตู้คอนเทนเนอร์โดยทางบกและทางราง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับธุรกิจขนส่งสินค้าของ JWD ในการนำเสนอบริการเพิ่มเติมให้แก่ผู้ใช้บริการสถานี ICD ลาดกระบังอีกด้วย


ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ คาดว่าจะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนใน ESCO ไม่เกินเดือนตุลาคมนี้เป็นอย่างช้า

ทั้งนี้ การเข้าลงทุนใน ESCO จะเป็นการรุกขยายธุรกิจสู่การเป็นผู้ให้บริการท่าเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศรายใหญ่ในแหลมฉบังอย่างเต็มตัวของ JWD  จากปัจจุบันที่ได้รับสิทธิ์บริหารท่าเรือชายฝั่ง A ในท่าเรือแหลมฉบัง จากการท่าเรือแห่งประเทศไทย และดำเนินธุรกิจท่าเรือขนส่งสินค้า MIPEC ในเมืองไฮฟง ประเทศเวียดนาม ผ่านการถือหุ้นใน Transimex ผู้ให้บริการโลจิสติกส์รายใหญ่จากเวียดนาม โดยการรุกเข้าสู่ธุรกิจให้บริการท่าเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศครั้งนี้ จะเพิ่มศักยภาพแก่บริษัทฯ ด้านการให้บริการโลจิสติกส์แบบ Multimodal Transportation สามารถเชื่อมต่อการให้บริการขนส่งสินค้าหลากหลายรูปแบบ ทั้งทางรถ ทางราง ทางน้ำ และเพิ่มโอกาสขยายฐานลูกค้าจากบริการท่าเรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ และบริการสถานี ICD ลาดกระบัง ไปสู่การให้บริการโลจิสติกส์อย่างครบวงจร


"ปัจจุบัน JWD ให้บริการขนส่งสินค้าในรูปแบบ Multimodal Transportation เช่น การขนส่งและเคลื่อนย้ายสินค้าทั่วไป ยานยนต์ สินค้าอันตรายและเคมีภัณฑ์, การขนส่งสินค้าจากกรุงเทพฯ มายังท่าเทียบเรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ระหว่างประเทศในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง, การยกขนและเคลื่อนย้ายตู้สินค้าที่ขนส่งทางรถไฟจากภาคอีสาน รวมทั้งจากภาคอุตสาหกรรมหลักในโซน EEC จังหวัดระยองสู่ท่าเรือแหลมฉบัง ดังนั้นการลงทุนครั้งนี้ทำให้บริษัทฯ สามารถขยายฐานลูกค้าและการให้บริการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น ทั้งในฝั่งการให้บริการจากกรุงเทพฯ มายังท่าเรือแหลมฉบัง และจากสถานี ICD ลาดกระบัง มายังท่าเรือแหลมฉบัง รวมถึงการนำฐานข้อมูลสินค้าที่ผ่านเข้า-ออกท่าเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศมาวิเคราะห์ เพื่อพัฒนาบริการด้านโลจิสติกส์เพิ่มขึ้น" นายชวนินทร์ กล่าว
#2786
'โนเล' กระหน่ำ 14 เอซ ปราบเยอรมนี 2 เซตรวด เข้ารอบ 3 หวด อลป.


โนวัค ยอโควิช นักเทนนิสหมายเลข 1 ของโลก เข้ารอบ 3 การแข่งขัน โอลิมปิก ประเภทชายเดี่ยว เอาชนะ แยน-เลนนาร์ด สตรุฟฟ์ จาก เยอรมนี 2 เซตรวด 6-4, 6-3 วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม

ยอโควิช ความหวังของ เซอร์เบีย กระหน่ำ 14 เอซ เสียแค่ 4 อันฟอร์ซ เออร์เรอร์ (พลาดเอง) ยังคงอยู่บนเส้นทางล่า "โกลเดน สแลม" ต่อไป

"โนเล" ตั้งเป้าเป็นผู้เล่นชายคนแรก ซึ่งกวาดแชมป์ทั้ง 4 แกรนด์ สแลม กับ เหรียญทอง โอลิมปิก ภายในฤดูกาลเดียว ตามประวัติศาสตร์มีเพียง สเตฟฟี กราฟ ตำนานชาวเยอรมัน ทำไว้เมื่อปี 1988

หวดมาดทะเล้นวัย 34 ปี ครองแชมป์ 3 สแลม ออสเตรเลียน โอเพน, เฟรนช์ โอเพน และ วิมเบิลดัน ปี 2021 และเป็นเต็งจ๋าซิวเหรียญทอง "โตเกียว เกมส์"

สำหรับแมตช์ต่อไป ยอโควิช เจ้าของเหรียญทองแดง ปักกิ่ง เกมส์ 2008 จะดวลกับ อเลฮันโดร ดาวิโดวิช โฟกินา จาก สเปน เพื่อแย่งตั๋วสู่รอบ 8 คนสุดท้าย
#2787


ลูกา ดอนซิช ซูเปอร์สตาร์ของ สโลวิเนีย ทาบสถิติคะแนนสูงสุดอันดับ 2 ของการแข่งขันบาสเกตบอลชายระดับ โอลิมปิก เกมรอบแบ่งกลุ่ม เอาชนะ อาร์เจนตินา ขาดลอย 118-100 วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม

ในการแข่งขัน โอลิมปิก ของ สโลวีเนีย ครั้งแรก ดอนซิช ปิดสกอร์ 31 แต้ม เฉพาะครึ่งแรก และมีโอกาสทำลายสถิติสูงสุดของ ออสการ์ ชมิดท์ ตำนานยัดห่วงบราซิเลียน 55 แต้ม เมื่อปี 1988

การ์ดสังกัด ดัลลัส มาเวอริกส์ แทบไม่ต้องทำอะไรมากมายช่วงครึ่งหลัง เนื่องจาก สโลวิเนีย ทิ้งห่างไปไกล แต่ยังคงอยู่บนสนามถึงควอเตอร์ 4 และทาบสถิติของ เอ็ดดี ปาลูบินสกัส ที่ทำไว้ 48 แต้ม เมื่อปี 1976 ที่เมืองมอนทรีอัล

ดอนซิช วัย 22 ปี ยังมีเวลาเพียงพอ สำหรับทำลายสถิติ ก่อนออกมานั่งพัก ทว่าไม่อยากทำคะแนนเพิ่ม "ผมไม่สนใจเรื่องสถิติ เราได้ชัยชนะ และนั่นคือเป้าหมายที่เรามาที่นี่"

สโลวีเนีย ยังไม่ได้สิทธิ์เข้าร่วม โอลิมปิก กระทั่งช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และกลายเป็นทีมระดับลุ้นเหรียญ ด้วยความโดดเด่นของ ดอนซิช บนสังเวียน เอ็นบีเอ (NBA)

ขณะที่ อาร์เจนตินา แชมป์ป๊ 2004 อาศัย หลุยส์ สโคลา อดีตผู้เล่นระดับ NBA แบกทีม 23 แต้ม และ ฟาคุนโด คัมปาซโซ การ์ด เดนเวอร์ นักเก็ตส์ เสริม 21 แต้ม 6 รีบาวน์ด 4 แอสซิสต์ สถิติชนะ 0 แพ้ 1
#2788



สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ว่านพ.แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติของสหรัฐ ( เอ็นไอเอช ) กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (25 ก.ค.) เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศ ที่จำนวนผู้ป่วยยืนยันรายวันกลับมา "เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด" ซึ่งเป็นผลจากการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ "เดลตา" ว่า "เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่จำเป็น" เมื่อพบว่า ผู้ติดเชื้อในระยะหลังยังไม่ได้ฉีดวัคซีน

ขณะเดียวกัน นพ.เฟาซีกล่าวถึงการปรับเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติ เรื่องการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเมื่ออยู่ในสถานที่สาธารณะ ว่าหน่วยงานกลางที่เกี่ยวข้องกำลังพิจารณาทบทวน "อย่างจริงจัง" หลังเทศบาลหลายแห่ง รวมถึงเทศบาลนครลอสแอนเจลิส มีคำสั่งให้ประชาชนกลับมาสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเมื่ออยู่ในสถานที่สาธารณะ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้วหรือไม่

เกี่ยวกับประเด็นการฉีดวัคซีนเข็มที่สาม หรือ "บูสเตอร์" เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย นพ.เฟาซีกล่าวว่า "ยังคงเป็นเรื่องที่กำลังศึกษา" แต่หากได้ข้อสรุปชัดเจนกว่านี้ บูสเตอร์ "มีความจำเป็นจริง" กลุ่มที่สมควรได้รับวัคซีนเข็มที่สามก่อน ควรรวมถึง ผู้ป่วยที่เข้ารับการปลูกถ่ายอวัยวะ ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ในกระบวนการเคมีบำบัด ผู้ป่วยโรคภูมิต้านทานเนื้อเยื่อตัวเอง และผู้ที่ต้องรับประทานยากดภูมิต้านทาน เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้มีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอและไม่เป็นปกติ
#2789


คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี) ออกมาเผยว่าจะมีการผ่อนปรนกฎด้วยการอนุญาตให้นักกีฬาที่ขึ้นโพเดียมรับเหรียญรางวัลในศึกโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น สามารถถอดหน้ากากอนามัยชั่วคราวไม่เกิน 30 วินาที เพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึกได้ หลังจากก่อนหน้านี้เพิ่งออกมายืนยันว่าทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัดด้วยการสวมน้ากากอนามัยตลอดเวลา

ก่อนหน้านั้นในวันอาทิตย์ มาร์ค อดัมส์ โฆษก ไอโอซี เพิ่งออกมาย้ำเตือนว่านักกีฬาทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยตามมาตรการป้องกันการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตลอดเวลา หลังมีนักกีฬาว่ายน้ำหลายคนที่ถอดหน้ากากออกขณะขึ้นรับเหรียญรางวัลในช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ไอโอซี ตัดสินใจที่จะผ่อนปรนกฎดังกล่าว โดยระบุว่าเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้นักกีฬาได้ถ่ายภาพเพื่อเก็บอารมณ์และความทรงจำในช่วงเวลาสำคัญของชีวิตนักกีฬาเอาไว้ แต่ทั้งนี้ต้องมีการเว้นระยะห่าง และจะสามารถถอดหน้ากากได้เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ตอนจะถ่ายรูปเดี่ยวเท่านั้น ส่วนการถ่ายรูปหมู่ที่มีความใกล้ชิด ทุกคนยังคงต้องสวมหน้ากากตามเดิม

เครดิตภาพ : REUTERS
#2790


สรุปผลการมอนิเตอร์ข่าวปลอมรอบสัปดาห์ พบมีข้อความที่ต้องคัดกรอง 8.2 ล้านข้อความ เปิด 3 อันดับข่าวคนสนใจมากสุด พบโควิดยังยึดพื้นที่เฟคนิวส์

นางสาวนพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง (ดีอีเอส) กล่าวว่า จากผลการมอนิเตอร์ และรับแจ้งข่าวปลอมตลอดช่วงสัปดาห์นี้ (18-22 ก.ค. 64) โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม มีข้อความที่ต้องคัดกรองทั้งสิ้น 8,246,481 ข้อความ ในจำนวนนี้พบข้อความที่เข้าเกณฑ์ต้องดำเนินการตรวจสอบ 145 ข้อความ เป็นจำนวนเรื่องที่ต้องตรวจสอบทั้งหมด 79 เรื่อง โดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับโควิด-19 มากถึง 50 เรื่อง

ทั้งนี้ เมื่อดูจากปริมาณข้อความเบาะแสข่าวปลอม พบข้อสังเกตน่าสนใจว่า ประชาชนจะเผชิญกับเนื้อหาบนโซเชียล/โลกออนไลน์ที่มีแนวโน้มอยู่ในกลุ่มข่าวปลอม/ข่าวบิดเบือน เฉลี่ยวันละมากกว่า 1 ล้านข้อความต่อวัน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลฯ จะมุ่งทำงานเชิงรุกในการบูรณาการการทำงานร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตลอดจนภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งประสานงานตรวจสอบข้อเท็จจริง เผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องสู่ประชาชนและสังคมอย่างรวดเร็ว ลดความตื่นตระหนกและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ทันการณ์

สำหรับข่าวปลอมที่มีคนสนใจสูงสุด 3 อันดับแรกตลอดช่วงสัปดาห์นี้ ได้แก่ 1. เตือนเฝ้าระวังใน 24 ชม. จะเกิดแผ่นดินไหว ดินถล่ม น้ำท่วม และน้ำป่า 2. เครื่องตรวจวัดออกซิเจนในเลือดที่ปลายนิ้ว ใช้ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในร่างกายได้ และ 3.กองทัพบก ประกาศแจ้งเตือนล่วงหน้า ก่อนประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ กทม.

นางสาวนพวรรณ กล่าวว่า อยากขอความร่วมมือประชาชน เมื่อได้รับข่าวสารข้อมูลผ่านโซเชียล ควรตรวจสอบให้รอบด้าน เลือกเชื่อ เลือกแชร์ และสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอม ได้ผ่านช่องทางต่างๆ ของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ดังนี้ ไลน์ @antifakenewscenter  เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com/ ทวิตเตอร์ https://twitter.com/AFNCThailand และช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 เพื่อหลีกเลี่ยงจากการเป็นเหยื่อข่าวปลอมหรือ ข่าวบิดเบือน
#2791

  

วันที่ 25 ก.ค.64 ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า ...

***เฉพาะผู้ที่ลงทะเบียนไว้แล้ว"เท่านั้น"****
ขอทำงานเก่าให้เสร็จก่อนเริ่มใหม่ตามสัญญานะครับ

เปิดสิทธิ์จองวัคซีนทางเลือก "ซิโนฟาร์ม" สำหรับประชาชน
เฉพาะกลุ่มที่ลงทะเบียนรอบแรก (18 กรกฎาคม 2564) ได้สำเร็จ
แต่ยังไม่ได้เข้าจองวัคซีน จำนวน 48,756 ราย

ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จะเปิดให้ท่านเข้าจองวัคซีนได้ในวันอังคารที่ 27 กรกฎาคม 2564 เวลา 10.10 น. จนถึง 28 กรกฎาคม 2564 เวลา 18.00 น. ผ่าน 2 ช่องทาง
1) เว็บไซด์ https://sinopharm.cra.ac.th
2) แอปพลิเคชั่น CRA SINOP ทั้งระบบ iOS และ Android

เลือกวันเข้ารับการฉีดในโรงพยาบาลที่กำหนดได้ตั้งแต่วันที่ 6-15 สิงหาคม 2564

‼️ หากท่านไม่ได้เข้ามาดำเนินการวัคซีนและโอนเงินภายในวันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม 2564 ระบบจะยกเลิกการลงทะเบียนของท่านโดยอัตโนมัติ และหากท่านยังมีความประสงค์ในการจองวัคซีนซิโนฟาร์มท่านจะต้องทำการลงทะเบียนใหม่ในครั้งต่อไป

หมายเหตุ: อัตราค่าวัคซีนซิโนฟาร์ม 2 โดสต่อคน 1,554 บาท (โดสละ 777 บาท)
โดยทุกๆ 2 โดส ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จะบริจาคสมทบครึ่งโดสให้กับผู้ด้อยโอกาส

*ขอสงวนสิทธิ์เฉพาะสำหรับประชาชนที่ยังไม่เคยรับวัคซีนเข็มแรกและพร้อมเข้าฉีดวัคซีนได้ทันทีเท่านั้น

**ลงทะเบียนจองวัคซีนด้วยเลขที่บัตรประชาชน หรือเลขที่หนังสือเดินทางสำหรับชาวต่างชาติ หรือเลขที่บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยได้ และต้องตรงกับของผู้ที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีนเท่านั้น ภายหลังจากชำระเงินค่าวัคซีนเรียบร้อยแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนสิทธิ์ให้ผู้อื่นได้ทุกกรณี

ประกาศ ณ วันที่ 25 กรกฎาคม 2564


ขอบคุณข้อมูลและภาพ เฟซบุ๊ก-Nithi Mahanonda
#2792


บริษัท โรช ไดแอกโนสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา ชุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยตัวเองแบบโฮมยูส ล็อตแรกจำนวน 150,000 กล่อง หรือ 750,000 ชุด ได้รับการจัดส่งถึงประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว พร้อมเร่งกระจายส่งร้านขายยาที่ได้รับอนุญาตทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยตัวเองได้อย่างรวดเร็ว หวังช่วยลดจำนวนผู้ติดเชื้อภายในประเทศลงได้ ซึ่งชุดตรวจแบบโฮมยูสนี้จะช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าสู่กระบวนการแยกกักตัวตนเองจากครอบครัว และผู้ใกล้ชิดได้อย่างทันท่วงที ก่อนเข้ารับการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ต่อไป
 
 
นายพิเชษฐพงษ์ ศรีสุวรรณกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรช ไดแอกโนสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าขณะนี้ บริษัทฯ ได้รับการอนุมัติการขึ้นทะเบียน ชุดตรวจโควิด 19 ด้วยตัวเองแบบโฮมยูส (Home Use) จาก อย. ไทยแล้ว ซึ่งคาดว่าน่าจะเริ่มจัดจำหน่ายในประเทศในร้านขายยาและสถานพยาบาล ได้ราวต้นเดือนสิงหาคม นอกจากนี้  ปัจจุบัน บริษัทฯ ยังมีชุดตรวจหาเชื้อไวรัสโควิดแบบแรพิด  แอนติเจน เทสต์ (Professional Use) ซึ่งผ่านการขึ้นทะเบียน อย. ภายในประเทศ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 แล้วเช่นกัน และอนุญาตให้ใช้โดยผู้ประกอบวิชาชีพ และบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น 
 

"ขณะนี้ เราได้วางแผนการนำเข้าชุดตรวจโควิด 19 ด้วยตัวเองเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล็อตแรก ที่จัดส่งถึงประเทศไทยแล้วมีจำนวน 150,000 กล่อง หรือ 750,000 ชุดตรวจ โดยในหนึ่งกล่องจะประกอบไปด้วยเทสต์ตรวจ 5 ชุด สำหรับให้แต่ละครอบครัวสามารถใช้ตรวจกันเองได้ คาดว่าน่าจะมีวางจำหน่ายในร้านขายยา และสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาตเร็วที่สุดคือต้นสัปดาห์หน้า หรือช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2564 นี้แน่นอน และจะมีการนำเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ให้เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ ทั้งนี้ แนะนำให้ผู้ใช้งานศึกษารายละเอียดการใช้งานผลิตภัณฑ์อย่างละเอียด ซึ่งที่กล่องชุดตรวจโควิด 19 แบบโฮมยูส จะมีฉลากภาษาไทยติดกำกับพร้อม QR Code สำหรับชมวิธีการใช้อย่างชัดเจน"
#2793


น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผยว่า ในการประชุมหารือการออกมาตรการ ลดภาระค่าใช้จ่าย ด้านการศึกษา เพื่อบรรเทาผลกระทบของผู้ปกครอง นักเรียน และนักศึกษา เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา

 4 มาตรการช่วยเหลือ 'ลดภาระค่าใช้จ่าย'ผู้ปกครอง

กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้เสนอ 4 มาตรการ ดังนี้ 

มาตรการที่ 1 การให้ความช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา โดยเป็นการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการเรียนรู้ของนักเรียน นักศึกษา ในวัยเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งสายสามัญศึกษาและสายอาชีพ ในสถานศึกษาของรัฐและเอกชน รวมประมาณ 10.8 ล้านคน ในอัตรา 2,000 บาทต่อคน รวมเป็นเงินประมาณ 21,600 ล้านบาท โดยใช้ฐานข้อมูลเรียนฟรี 15 ปี ซึ่งเงินนี้เป็นการชดเชยค่าใช้จ่ายในการเรียนที่เพิ่มขึ้นในช่วงโควิด-19 ใช้วิธีการจ่ายเงินตรงให้ผู้ปกครองนำไปใช้ตามความจำเป็น เช่น ค่าธรรมเนียมการเรียน ค่าบำรุงการศึกษา ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าไฟฟ้า เป็นต้น

ตั้งศูนย์ประสาน แก้ปัญหา'ค่าใช้จ่าย'ผู้ปกครองรร.เอกชน
มาตรการที่ 2 เป็นการขอความร่วมมือจากโรงเรียนเอกชนให้ลด หรือ ตรึงค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บจาก ผู้ปกครอง ในโรงเรียนเอกชนกลุ่มที่ไม่รับการอุดหนุนจากรัฐ และกลุ่มโรงเรียนนานาชาติ ให้เท่ากับปีการศึกษา 2563 เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชนเกินสมควร

พร้อมทั้งจัดตั้งศูนย์ประสานงานและแก้ไขปัญหาค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองใน โรงเรียนเอกชน ทั้ง 2 กลุ่ม เพื่อพิจารณาสั่งการเป็นรายกรณี อย่างไรก็ตามหลังจาก ศธ.ได้ออกประกาศแนวปฏิบัติการเก็บเงินบำรุงการศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าธรรมเนียมการเรียน และค่าธรรมเนียมอื่น ปีการศึกษา 2564 ให้โรงเรียนหรือสถานศึกษาในสังกัด หรือ ในกำกับของ ศธ. ถือปฏิบัติไปแล้ว นั้น

จนถึงขณะนี้มีโรงเรียนเอกชนในสังกัด สช.คืนเงิน ค่าธรรมเนียม การเรียน และค่าธรรมเนียมอื่นแก่ผู้ปกครองแล้วกว่า 2,275 ล้านบาทเศษ บางแห่งให้ผู้ปกครองผ่อนชำระค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าธรรมเนียมอื่น โดยมีระยะปลอดดอกเบี้ยตลอดปีการศึกษา และบางโรงเรียนสนับสนุนค่าอินเทอร์เน็ตแก่นักเรียน อย่างน้อย 1 เดือน ขณะเดียวกันในส่วน สถานศึกษาของรัฐ ก็ได้มีการคืนเงินค่าบำรุงการศึกษาบางส่วน และ คืนเงินค่ากิจกรรมที่ไม่ได้จัดให้นักเรียนแก่ผู้ปกครองไปแล้วเช่นกัน

ลดช่องว่างการเรียนรู้ จัดสรรค่าใช้จ่ายให้สถานศึกษา
มาตรการที่ 3 เป็นการลดช่องว่างการเรียนรู้ (Learning Gaps) และลดผลกระทบด้านความรู้ ที่ขาดหายไป (Learning Loss) โดยให้สถานศึกษาสามารถจ่ายเงินที่ได้รับจัดสรรตามนโยบายเรียนฟรี 15 ปี ใน 5 รายการ ได้แก่ ค่าเล่าเรียน หนังสือเรียน อุปกรณ์การเรียน เครื่องแบบนักเรียน และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อใช้จัดการเรียนรู้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดใน ปีการศึกษา 2564 ได้

จัดสรรค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมให้สถานศึกษาอีกส่วนหนึ่ง เพื่อใช้จัดการเรียนรู้และแก้ ปัญหาความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของ สถานศึกษา และจัดทําสื่ออุปกรณ์การเรียนรู้หลากหลายที่เหมาะสมกับวัย ลดการเรียนรู้จากสื่อออนไลน์โดยเฉพาะกลุ่มผู้เรียน อนุบาล-ป.3 ขณะเดียวกัน ศธ.จะจัดเช่าอุปกรณ์ (Devices) พร้อมสัญญาน จํานวน 200,000 ชุด สําหรับให้นักเรียน/นักศึกษา กลุ่ม ป.4 - ม.6 และ อาชีวศึกษา ใช้ยืมเรียน รองรับการเรียนแบบออนไลน์

น.ส.ตรีนุช กล่าวด้วยว่า มาตรการที่ 4 เป็นการช่วยเหลือผู้ปกครองที่ได้รับผลกระทบจากการเลิกจ้างงาน โดยจะมีการจัดฝึกอบรมด้านอาชีพสําหรับผู้ปกครองและประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นการอบรมฟรีรัฐสนับสนุนค่าใช้จ่าย ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ในอัตรา 2,000 บาทต่อคน พร้อมทั้งประสานเชื่อมโยงกับแหล่งทุนเพื่อจัดหาทุนเริ่มต้นประกอบอาชีพ ซึ่งในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 27 ก.ค.นี้ ศธ.จะนำ 4 มาตรการช่วยเหลือดังกล่าวเสนอที่ประชุม ครม.พิจารณาต่อไป.
#2794


21 กรกฎาคม 2564 เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี มุ่งมั่นสนับสนุนและส่งเสริมคนรุ่นใหม่ ร่วมสร้างพลังสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่บนเวทีการประชุมระดับนานาชาติ One Young World 2021 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 นับตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นเวที "การประชุมสุดยอดผู้นำเยาวชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก" และในปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-25 กรกฎาคม 2564 ณ เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี

เครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมสนับสนุน 20 ตัวแทนเยาวชนคนรุ่นใหม่จากกลุ่มธุรกิจในเครือซีพีเข้าร่วมเวที One Young World 2021 เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและแบ่งปันประสบการณ์ของเยาวชนคนรุ่นใหม่จากทั่วโลกกว่า 2,000 คน ใน 190 ประเทศที่จะมารวมตัวกันเพื่อแสวงหาความร่วมมือและแนวทางแก้ปัญหาสำคัญต่างๆของโลก

โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่ทั่วโลกกำลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งเครือซีพีตระหนักถึงการส่งเสริมและสร้างบทบาทผู้นำเยาวชนคนรุ่นใหม่ของไทยที่จะขึ้นมาเป็น "The Change Maker" หรือผู้นำสร้างการเปลี่ยนแปลง ให้กับสังคมและประเทศชาติ เพื่อเป็นพลังสำคัญต่อการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้โลกที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต

สำหรับปีนี้การประชุม One Young World 2021 จะจัดขึ้นในรูปแบบผสมผสานโดยส่วนกลางจะจัดขึ้นที่เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี และผู้เข้าร่วมประชุมจากทั่วโลกจะร่วมประชุมในรูปแบบการประชุมเสมือนจริงผ่านทางออนไลน์ หรือ Virtual Summit โดยตลอดช่วงเวลาของการจัดประชุม ตัวแทนเยาวชนคนรุ่นใหม่ตั้งแต่อายุ 18-30 ปี จากทั่วโลกจะมารวมตัวกันเพื่อร่วมถ่ายทอดประสบการณ์และเสนอแนวทางแก้ไข (solution) และกรณีศึกษาต่างๆ (Best Practices) ในวิกฤตสำคัญของโลก ซึ่งในปีนี้ได้กำหนดหัวข้อที่เป็นปัญหาเร่งด่วนระดับโลกเพื่อร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางแก้ไข ประกอบด้วย 6 ประเด็น คือ


1.การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Crisis)

2.การศึกษา (Education)

3.สิทธิและเสรีภาพ (Rights & Freedom)

4.การแก้ปัญหาความขัดแย้ง (Conflict Resolution)

5.การพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต (Future Economies)

6.บทเรียนจากโรคระบาด (Lessons from The Pandemic) ซึ่งเป็นประเด็นที่เพิ่มขึ้นจากสถานการณ์ที่โลกกำลังเผชิญวิกฤตโควิด-19

พร้อมกันนี้ยังได้เชิญตัวแทนผู้นำระดับโลกในหลากหลายสาขาอาชีพทั้งในแวดวงการเมือง ธุรกิจ เศรษฐกิจ สังคม มาร่วมปาฐกถาพิเศษเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและจุดประกายแก่เหล่าผู้นำเยาวชนคนรุ่นใหม่จาก 190 ประเทศทั่วโลกในเวทีนี้ด้วย


ในการนี้ เครือซีพีได้รับเกียรติจาก "ศาสตราจารย์ มูฮัมหมัด ยูนุส" (Muhammad Yunus) นักเศรษฐศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ผู้ริเริ่มแนวคิดธุรกิจเพื่อสังคม (Social Business) และผู้ก่อตั้ง Yunus Foundation หนึ่งในนักสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งเคยร่วมขึ้นเวที One Young World มาให้แนวคิดพร้อมจุดประกายความคิด สร้างแรงบันดาลใจแก่ 20 ตัวแทนเยาวชนไทย ในการเตรียมความพร้อมก่อนถึงวันประชุม One Young World 2021

ศาสตราจารย์ยูนุส กล่าวว่า ตัวแทนผู้นำคนรุ่นใหม่ของคนไทยจะมีส่วนสำคัญอย่างมากในการสร้างการเปลี่ยนแปลงบนเวที One Young World 2021 ซึ่งขณะนี้สถานการณ์โควิด-19 ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญจะเป็นบทพิสูจน์และความท้าทายให้กับผู้นำรุ่นใหม่ในการร่วมกันหาทางออกและแก้ปัญหาสำคัญของโลก โดยเฉพาะในกลุ่มของคนรุ่นใหม่ที่มาจากภาคธุรกิจ ที่จะต้องตระหนักว่าการดำเนินธุรกิจจากนี้จะไม่มุ่งแสวงหาเพียงผลกำไรเท่านั้น แต่จะต้องคำนึงถึงการสร้างประโยชน์เพื่อสังคม

ตลอดจนมองเห็นมิติการแก้ปัญหาด้านความยั่งยืนคู่ขนานไปด้วย ซึ่งคนรุ่นใหม่จะต้องเร่งลงมือสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในหลักการที่เรียกว่า "สามศูนย์" (three zeros) คือ

1.ความยากจนต้องเป็นศูนย์ (Zero Poverty)

2.อัตราการว่างงานเป็นศูนย์ (Zero Unemployment)

3.การปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Net Carbon Emission)

ทั้งนี้ การทำธุรกิจเพื่อสังคมจะเป็นคำตอบของโลกในยุคใหม่ในการนำองค์ความรู้จากองค์กรธุรกิจมาช่วยแก้ไขปัญหาชุมชน สังคมและโลกให้เกิดความสันติสุขและยังสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอีกด้วย

"ผมเชื่อมั่นว่าตัวแทนผู้นำคนรุ่นใหม่ไทย และจากทั่วโลกในเวที One Young World 2021 จะเป็นพลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้ดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์วิกฤตการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ขณะนี้ยังลุกลามทำลายระบบเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างคาดไม่ถึง ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของคนในสังคมเป็นอย่างมาก ดังนั้นผู้นำรุ่นใหม่ต้องลุกขึ้นมาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้สามารถสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ ต้องผสมผสานแนวคิดการทำงาน การทำธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการสร้างประโยชน์และแก้ปัญหาสังคม ชุมชนในเวลาเดียวกัน"เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพกล่าว
#2795


โควิด-19 ระบาดไม่หยุด! กลับหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ รัฐสั่ง "ล็อกดาวน์" หวังอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ! อีกครั้ง ภาคธุรกิจสู้วิกฤติมาราธอนข้ามปี นาทีนี้หลังผิงฝา ต้องฮึดต่อ หากยกธงขาว กิจการอาจล้มเป็นโดมิโน่ แต่จะต่อกรอาวุธต้องพร้อม ฟังกูรูตลาดแนะ

โรคโควิด-19 ยังระบาดทั่วโลก และไทย โดยในประเทศตัวเลขผู้ติดเชื้อทะลุ "หมื่นคน" ทำให้จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ส่วนตัวเลข "ผู้เสียชีวิต" ล่าสุด ณ วันที่ 17 ก.ค.2564 อยู่ที่ 141 ราย นับเป็นความสูญเสียที่ไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้น 

ทั้งนี้ สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสมฤตยูที่ยังคงเลวร้าย ทำให้รัฐงัดไม้แข็งมาใช้ โดยเฉพาะการกลับมา "ล็อกดาวน์" ในพื้นที่สีแดงเข้มเพิ่มเป็น 13 จังหวัด เช่น กรุงเทพฯและปริมณฑล ทำให้ธุรกิจห้างร้านหลายประเภทถูกสั่ง "ปิดให้บริการ" อีกครั้ง 

ขณะเดียวกันวันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา ยังมีรายงานข่าวว่า ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นผู้อำนวยการ อาจพิจารณาเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการ ด้วยการขยายพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดจาก 10 จังหวัดเป็น 22 จังหวัด พร้อมปรับเวลาเคอร์ฟิวเป็น 20.00 - 03.00 น. 

การล็อกดาวน์ตัวเองอยู่บ้านมากขึ้นของประชาชน ธุรกิจถูกปิด แน่นอนมีผลกระทบตามมามากมายอย่างที่ทราบกัน ประชาชนเมื่อไม่ได้ออกมาทำหากิน หรือโอกาสไปทำงานน้อยลง บางกลุ่มก้อนอาจเดือดร้อนหนัก ขาดรายได้จุนเจือครอบครัว ส่วนกิจการหลากเซ็กเตอร์หากถูกจำกัดการทำธุรกิจ ย่อมขาดกระแสเงินสดไปหล่อเลี้ยงองค์กร สุ่มเสียงให้แขวนอยู่บนเส้นด้าย เพราะหลายบริษัทมีภาระต้องแบกรับ ทั้งต้นทุนคงที่จากค่าจ้าง เงินเดือนพนักงาน ค่าดำเนินงาน ค่าเช่าที่ ฯ 

เรียกว่ารอบตัวเต็มไปด้วย "ข่าวลบ" ที่อาจซ้ำเติมสถานการณ์ให้ "หดหู่" ยิ่งขึ้น ผู้คนทั้งโลกและไทยต่างตั้งความหวังห้วงเวลาวิกฤตินี้จะผ่านไปได้ด้วยดีโดยเร็ว แต่สถานการณ์เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่ยากคาดเดาจะเห็นเมื่อไหร่ นาทีความหวังพึ่งพา "วัคซีน" จากรัฐเพื่อฉีดให้ประชาชนครอบคลุมโดยเร็วยังกลายเป็นประเด็นกังขา การหวังให้คนไทยรวมพลัง "สามัคคี" สู้โควิด-19 ยังมีแตกแถวให้เห็น แต่การมานั่งก่นด่าอาจเพียงช่วยระบาย ควบคู่สะท้อนปัญหาให้รัฐรับรู้ เพราะที่สุดทุกคนอยากก้าวพ้นความมืดมิดนี้ให้ได้ 

แม้สารพันปัญหาเกิดขึ้น ในมิติด้านธุรกิจการค้าขาย ผู้ประกอบการที่เดือดร้อนจากโรคระบาด มาตรการรัฐ ต้องดิ้นปรับตัวแล้วปรับตัวเล่า ตีลังกาห้าตลบ แต่ข้ามคืนมักเจอประกาศใหม่ๆจาก ศบค. กทม.เป็นตัวแปรสร้างความมึนงงให้ธุรกิจจนต้องพับแผน เฟ้นหาไอเดียใหม่เอาตัวรอด แต่ยังไม่เพียงพอ เพราะความไม่แน่นอนยังเกิดขึ้นเป็นระยะ 

จังหวะนี้นักการตลาดไม่เพียงจุดตะเกียงในความมืดเพื่อให้กำลังใจตัวเองคนรอบข้าง แต่แสงสว่างจากตะเกียงยังมาพร้อม "กลยุทธ์" คำแนะนำในการหา "ช่องทาง" ที่ยังพอให้ดิ้นทำเงินด้วย 

สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย(MAT) ชวนถกหัวข้อ "Next Move After Pandemic มุมมองการตลาดยุค post COVID-19" และค้นหาคำตอบถึงโลกการตลาดหลังโรคระบาดจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง ลูกค้าจะเปลี่ยนจากเดิมหรือไม่ แล้วนักการตลาดจะปรับตัวอย่างไรให้รอด!! รวมถึง "ทางรอดเอสเอ็มอี" ที่มีเคล็ดลับฝ่าวิกฤติด้วย Head hand heart เทคนิครอดยุคโควิด โดยมีกูรูแบ่งปันแนวคิด 


++หาโอกาสจากความเปลี่ยนแปลง

 หากเปรียบการทำธุรกิจในช่วงโควิดระบาดเกือบ 2 ปี อาจเหมือนนั่งเครื่องเล่นโรลเลอร์โคสเตอร์หรือรถไฟเหาะตีลังกา นี่คือมุมมองของ ลักขณา ลีละยุทธโยธิน ประธานมูลนิธิเพื่อการศึกษา สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสเกิดเป็นคลื่นถาโถมครั้งที่ 1 2 และ 3 ลากยาวจนถึงปัจจุบัน ทำให้ภาคธุรกิจ การใช้ชีวิตของผู้คน "ขาดความมั่นใจ" 

กิจกรรมหลายอย่างถูกจำกัด ไม่สามารถทำได้ในช่วงไวรัสระบาด แต่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ "ปรับตัว" เก่งไม่จำนนต่ออุปสรรคต่างๆ นั่นจึงเห็นพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนรับวิถีปกติใหม่(New normal) ไม่ว่าจะเป็นเที่ยวทิพย์ ชิลทิพย์ การไปทำงานที่บริษัทไม่ได้ เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่มีบทบาทยิ่งขึ้น และตอกย้ำยุคดิจิทัลพนักงานสามารถทำงานได้ที่ไหนก็ได้ในโลก 

ปัจจัยข้างต้นยังสะท้อนการเปลี่่ยนแปลงของตลาด มีผลต่อการซื้อขายสินค้าและบริการ ซึ่ง "ลักขณา" ชี้โอกาสทางการตลาดจะเกิดกับสินค้าเทคโนโลยี เช่น คอมพิวเตอร์ มือถือ โน้ตบุ๊ค อุปกรณ์ไฟส่องหน้าให้สวยใสเมื่อประชุมออนไลน์ ฯ สิ่งเหล่านี้ยังสามารถทำเงินได้ในยามวิกฤติ 

"เรากำลังก้าวสู่อีกยุค แม้โควิดหมดไป พฤติกรรมและสิ่งเหล่านี้จะยังคงอยู่" ดังนั้นแบรนด์ไม่แค่หาช่องว่างทำตลาดให้ได้ในระยะสั้น แต่ต้องวางเกมกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อคว้าขุมทรัพย์ทางการตลาดให้ได้เพื่อฟื้นธุรกิจ 

ผู้บริโภคเปลี่ยนแบรนด์ไม่ปรับได้อย่างไร การสื่อสารตลาด ต้องรวดเร็วฉับไว ยุคนี้หากช้าอาจไม่ทันการณ์ไม่ทันกิน ขณะเดียวกันผู้บริโภคอยู่บ้านมากขึ้น การลงโฆษณาต่างๆ ต้องเลือกเวลาให้เหมาะเจาะ ก่อนโควิดระบาดคนออกไปทำงานนอกบ้าน เลิกงานใช้เวลาเดินทางอีกพักใหญ่จะถึงบ้าน จึงจะมีเวลามาเสพคอนเทนท์ ดังนั้นแบรนด์ต้องหา "เวลา" ที่ใช้ให้เจอเพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย ยิ่งกว่านั้นการเห็นโฆษณา คอนเทนท์เดิมๆซ้ำ อาจเบื่อและกลายเป็นโจทย์ที่นักการตลาดต้องแก้เพิ่มเติม 

การเพิ่มทักษะใหม่ๆ กลายเป็นสิ่งที่กูรูการตลาดกระทุ้งให้คนวงการตื่นตัวตระหนักเสมอ โดยเฉพาะโควิดเร่งให้ "เทคโนโลยี ดิจิทัล" มีอิทธิพลกลายเป็นส่วนหนึ่งในการทำธุรกิจค้าขาย เข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันผู้คน การมีทักษะด้านดังกล่าวจึงจำเป็นอย่างยิ่ง 

"วันนี้ต้องปรับใจยอมรับว่าโลกไม่เเหมือนเดิม การใช้ชีวิตแบบเดิมไม่ได้ และโอกาสเกิดมาพร้อมการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว" 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการล็อกดาวน์ ปิดหน้าร้าน ทำให้ช่องทางขายที่เป็นทางเลือกและ "ทางรอด" คือ ออนไลน์ หากวันนี้ธุรกิจไม่รุกเข้าไปไม่แค่ตกขบวน แต่จะไม่มี "รายได้" มาทดแทนส่วนที่หายไปด้วย "ลักขณา" ยกตัวอย่างสินค้าอุปโภคบริโภคบางแบรนด์ที่เคยคิดว่าเปิดหน้าร้านขายออนไลน์ลำบาก แต่วิกฤติโรคระบาดที่บีบคั้นกลายเป็นเร่งให้ช่องทางดังกล่าวเติบโตมีสัดส่วนยอดขาย 16% จากเดิม 2% แม้กระทั่งธุรกิจ "เดลิเวอรี่" ที่เฟื่องฟูขั้นสุด หากผู้ประกอบการไม่ลงสนามนี้ธุรกิจอาจอยู่ไม่ได้ 

การตีลังกาคิดหลายตลบอาจเหนื่อยยากไปบ้าง แต่เธอย้ำว่า ทุกคนต้องรอด เพราะความต้องการสินค้าของผู้บริโภคไม่หายไปไหน แค่เปลี่ยนรูปแบบ ช่องทางซื้อเท่านั้น 

"นาทีนี้ต้องอดทนไม่ยอมแพ้ เราต้องรอด ต้องแก้เกม หาข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคเสมอ เพื่อให้เราขยับธุรกิจตามกลุ่มเป้าหมายได้ ขณะที่่สังคมเต็มไปด้วยข่าวลวง คนทำงานต้องมีสติใช้เหตุผลพิจารณาสิ่งไหนน่าเชื่อถือ ถูกต้อง การตื่นตัวต้องมีคลอด เพราะการแข่งขันเกิดขึ้นตลอด ตัดสินใจให้ดีในเวลาที่ถูกต้อง เพราะจากนี้ไปความไม่แน่นอนจะเกิดตลอด ที่ขาดไม่ได้การทำตลาดยุคนี้ต้องทำเพื่อส่วนร่วมด้วย"  

++ช้าเร็วถึงเส้นชัยแน่!

สุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เมรากี้ จำกัด อดีตแม่ทัพพฤษา เรียลเอสเตท และยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย ได้ผันตัวมาตั้งบริษัทให้คำปรึกษาแก่ธุรกิจใหญ่ 5 หมวดหมู่ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม ค้าปลีก และวัสดุก่อสร้าง ฯ ฉายภาพธุรกิจเวลานี้ปัญหาหนักที่กำลังเผชิญทุกรายคือลูกค้าหาย รายได้ไม่มี และต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายรอบด้าน 

"กระแสเงินสด" คือสิ่งสำคัญยิ่ง แต่สถานการณ์ไม่เอื้อให้ทำเงิน ซ้ำร้ายกำไรหด ผู้ประกอบการบางรายแบกภาระหนี้สินเพิ่ม แต่ห้วงเวลายากเหล่านี้เชื่อว่าต้องรอดไปได้ 

"โควิดระบาดเวฟ 3 คงสุด ต้องต่ำสุดแล้ว ต้องเอาให้ผ่านและรอดให้ได้" เมื่อฮึดสู้แล้ว การคิดเร็วทำเร็ว ปรับตัวเป็นทางอออก แม้บางรายไม่รู้จะปรับตัวอย่างไร แต่อยากให้ลองค้นหาพ้นสวรรค์ในตัว ตั้งสติ ให้เกิดปัญหาหาจุดแข็งที่มีแล้วดึงออกมาใช้ให้ประโยชน์ให้ได้ 


"ผู้นำต้องมี Agility ปรับตัว คล่องแคล่วว่องไว รู้ว่าเป็นช่วงลำบากแต่อย่าดูถูกตัวเองว่าทำอะไรไม่เป็น ตอนนี้รอโอกาส ฟ้าลิขิตไม่ได้ ต้องกระโจนทำสิ่งใหม่ๆ" ทั้งนี้ หลายคนค้นพบความสามารถทำสิ่งใหม่ในช่วงวิกฤติ ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหารเพื่อส่งขายเดลิเวอรี่ การพลิกจากเจ้าของกิจการ มนุษย์เงินเดือน ไปทำการเกษตรสร้างรายได้หลักแสนบาทต่อเดือน การขายสินค้าออนไลน์ เป็นต้น  

ท่ามกลางความไม่แน่นอน การลดเรื่อง "เป้าหมาย" ยอดขาย กอบโกยความมั่งคั่งอาจต้องเบรกไว้บ้าง หันไปโฟกัสพนักงาน ให้กำลังกันเพื่่อรอดไปด้วยกันก่อน ลองทำในสิ่งที่ริเริ่มได้แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ทุกอย่างต้องไม่ลืมที่จะ "สร้างแบรนด์" ให้ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายรับรู้ เมื่อโรคระบาดหนักข้อขึ้น โรงพยาบาลสนามมีคนไข้ และบุคลากรทางการแพทย์จำนวนมาก ทำให้เห็นน้ำใจคนไทยช่วยบริจาค ธุรกิจร้านอาหารสามารถทำข้าวกล่องเมนูง่ายไม่ซับซ้อนในราคายุติธรรมป้อนโรงพยาบาลสนาม ติดชื่อแบรนด์ เบอร์ติดต่อ หากโดนใจจะมีโอกาสขยายตลาดได้

ร้านค้าทั่วไป หรือโชห่วย ปรับตัวเดลิเวอรี่ ส่งตามบ้านเรือนลูกค้าในรัศมี 3-5 กิโลเมตร หรือส่งภายใน 5-10 นาที การหาความต้องการตลาดที่ต่างจากคู่แข่ง พอสร้างความได้เปรียบร้านสะดวกซื้อ ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ เหล่านี้เป็นหนทางช่วยเพิ่มยอดขายได้ 

"การปรับตัว อย่าดูที่เงินเป็นหลัก ธุรกิจเริ่มต้นจากเล็กเสมอ อย่าดูถูกเงินน้อยย เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน เพื่อรอโอกาสเปิด"    

อย่างไรก็ตาม หากสารพันปัญหาที่เผชิญทำให้คิดไม่ออก หาทางปรับตัวไม่ได้ "สุพัตรา" แนะให้เขียนแผนที่ความคิด(Mind Map) คิดอะไรได้ให้เขียนไปเรื่อยๆ แจกแจงความคิด และยังเหมือนเป็นการระบาย ล้างสมองให้โล่ง ที่ช่วยให้ปิ๊งไอเดียและหาทางออกได้ด้วย  

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่ใช่แค่ดูแลธุรกิจให้รอด การทำร่างกายให้แข็งแรงสำคัญสุด ยิ้มสู้กับทุกปัญหาถาโถม เพราะช้าเร็วเชื่อว่าธุรกิจไปถึงเส้นชัยแน่นอน "แพ้ไม่ได้ เร็วช้าถึงเส้นชัยที่ต้องการแน่ ต้องชนะแน่ วิกฤตินี้แพ้ไม่ได้"  

++จุดตะเกียงดีกว่าด่าความมืด

ดั่งใจถวิล  อนันตชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทจ (ประเทศไทย) จำกัด มองนักการตลาด ผู้ประกอบการ ทุกภาคส่วนต้องอยู่ท่ามกลางวิกฤติโรคระบาดเกือบ 2 ปี สิ่งสำคัญทุกคนต้องจุดตะเกียงดีกว่าด่าความมืด เพราะโรคระบาดที่เกิดขึ้นคาดการณ์ไม่ได้จะมาราธอนแค่ไหน จึงไม่ใช่เวลาที่จะรอแสงสว่างปลายอุโมงค์

ทั้งนี้ ห้วงเวลาโรคระบาดยังอยู่ การตระหนักความจำเป็นในชีวิตหรือ "อิคิไก"ไ สามารถปรับประยุกต์ใช้กับแบรนด์ นักการตลาด และผู้บริโภคอย่างดี โดยต้องมาพิจารณา 4 มิติ 1.รู้ความปรารถนาหรือแพชชั่นของตัวเอง 2.มีแพชชั่นแล้วเก่ง มีสามารถหรือไม่ 3.การวางเป้าหมายและทำให้เกิดขึ้นจริง และ4.สิ่งทำสร้างประโยชน์ให้ภาคส่วนไหนบ้าง สิ่งเหล่านี้ช่วยทำให้จุดมุ่งหมายของแบรนด์หรือBrand Purpose ใหญ่ขึ้น 

ขณะเดียวกันนักการตลาดต้องทำตัวเป็นฟองน้ำ ซึมซับสิ่งที่เห็นรอบตัว โดยเฉพาะพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายไดไ้แม่นยำ กรณีศึกษาแบรนด์ "ซิซซ์เล่อร์" ที่ปรับตัวเปิดร้านคีออสบนสถานีรถไฟฟ้า เสิร์ฟอาหารให้ผู้บริโภค ที่มานั่งในร้านไม่ได้ ปรับเมนู ราคาให้เหมาะกำลังซื้อ สร้างการเติบโตยยอดขาย 

 "ทุกคนต้องร่วมมือกันมากขึ้นไม่แค่แบรนด์ แต่ผนึกกับผู้บริโภคได้ด้วยในการทำสิ่ง

ต่าง ๆ เช่น การสร้างแพลตฟอร์ม เปิดพื้นที่ให้ขายสินค้าร่วมกัน สร้างความหวัง แสงสว่างให้ตัวเองเพื่อเดินไปข้างหน้า"  

++ระวัง  แต่ต้องเร็วทันกระแส 

เอกก์ ภทรธนกุล ภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า บางประเทศที่ฉีดวัคซีนให้ประชาชนครบ 2 เข็ม ทำให้ผู้บริโภคเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติสะท้อนถึงการถวิลหาสิ่งที่เคยทำในชีวิตประจำวัน ดังนั้น นักการตลาดจึงเตรียมลงทุน ลงแรง และเทใจเพื่อทำกิจกรรมการตลาดอีกครั้ง ส่วนไทยที่ต้องเตรียมพร้อมรับคือการเปลี่ยนวิธีคิด 3 ประการ ได้แก่ 1.เลิกยึดติดตัวเลขการเติบโต ซึ่งเป็นสุดยอดความปรารถนาของนักการตลาด ควรปรับตัวเพื่อ "อยู่รอดให้เป็น" 
#2796


หลัง ครม. มีมติให้ช่วยเหลือและ "เยียวยา" ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากมาตรการ "ล็อกดาวน์" ของรัฐบาล ในการป้องกันและควบคุมการระบาดของ "โควิด-19" ที่ระบาดหนักใน 10 จังหวัดที่ถูกจัดให้เป็นพื้นที่สีแดงเข้ม

โดยในหลักการณ์เบื้องต้น จะมีการช่วยเหลือกลุ่ม "อาชีพอิสระ" และพ่อค้าแม่ค้ารายย่อย ในพื้นที่ 10 จังหวัดด้วย โดยจะได้รับ "เงินเยียวยา" 5,000 บาท แต่ต้องมีการสมัคร "ประกันสังคม" มาตรา 40 ภายในวันที่ 31 ก.ค. นี้ให้เรียบร้อยก่อน 

ล่าสุด "กรุงเทพธุรกิจออนไลน์" ได้สอบถามความคืบหน้าเกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้ประกันตนมาตรา 40 จาก "สุชาติ ชมกลิ่น" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงงาน ได้ความคืบหน้าดังนี้


 1. อาชีพอิสระสามารถยังสมัครได้เรื่อยๆ ถึงวันที่ 31 ก.ค. 64 

ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงประเด็นที่มีหลายคนเดินทางไปยังประกันสังคมแล้วได้รับแจ้งว่ายังไม่สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ได้เนื่องจากยังไม่ได้รับคำสั่ง

รมว.แรงงาน ให้คำตอบในประเด็นนี้ว่า ผู้ประกอบอาชีพอิสระทุกอาชีพสามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนในประกันสังคมมาตรา 40 ได้เลย ซึ่งปัจจุบันมีผู้สมัครเข้ามาแล้วราว 2 แสนราย

โดยช่องทางที่สามารถสมัคร มาตรา 40 ได้ มีดังนี้

1. สมัครด้วยตนเองที่สำนักงานประกันสังคมในพื้นที่
2. สายด่วนประกันสังคม หมายเลข 1506
3. เซเว่น-อีเลฟเว่น ทุกสาขา
4. ธนาคาร ธกส. ทุกสาขา
5. Big c ซุปเปอร์เซ็นเตอร์
6. เครือข่ายประกันสังคมทั่วประเทศ
7. สมัครผ่านเว็บไซต์ประกันสังคม (https://www.sso.go.th)


 2. ยืนยัน ต้องมีพร้อมเพย์ผูกเลขบัตรประชาชนเท่านั้น 

สุชาติ อธิบายว่าสาเหตุที่ต้องผูก "พร้อมเพย์" สำหรับผู้ประกันตนมาตรา33 ในสัดส่วนของกระทรวงแรงงานในระบบมีการเยียวยา 50% สามารถโอนเงินเข้าบัญชีให้กับลูกจ้างที่กรอกมาในระบบอีเซอร์วิสได้เลย

แต่เงินในส่วนที่รัฐบาลจะสมทบลูกจ้าง 2,500 บาท หรือนายจ้าง 3,000 บาท รวมถึงมาตรา 39 และ มาตรา 40 จำเป็นต้องผูกพร้อมเพย์ เพื่อแยกยอดเงินว่าส่วนไหนคือส่วนเงินเยียวยาจากรัฐบาล หรือส่วนไหนคือของประกันสังคม


 3. อาชีพอิสระที่สมัคร ม.40 ได้เงินเยียวยาเมื่อไร ? 

สุชาติ ชมกลิ่น อธิบายว่าสำหรับกลุ่ม "อาชีพอิสระ" ที่จะต้องสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 รายใหม่ จะต้องใช้เวลาในการหารือและตรวจสอบซึ่งจะ รอความชัดเจนหลังการหารือกับสภาพัฒน์ และต้องรอมติจาก ครม. ซึ่ง คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในเดือน ก.ค. 64 นี้

ส่วนผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 ที่มีชื่ออยู่ในระบบแล้วสามารถให้การช่วยเหลือได้เลยเนื่องจากมีชื่ออยู่ในระบบอยู่แล้ว 

ทั้งนี้ ผู้ประกันตนมาตรา 33 สามารถตรวจสอบสิทธิ "โครงการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33" ได้ ผ่านทางเว็บไซต์ประกันสังคม https://www.sso.go.th/eform_news/
#2798
ชื่อดีเสริมมงคล เกื้อหนุนให้ประสบความเจริญรุ่งเรืองดังใจหวัง

รับวิเคราะห์ชื่อให้ฟรี !!!!


รับตั้งชื่อ ตั้งชื่อเด็ก เปลี่ยนชื่อ หาชื่อมงคล
ใช้ทั้ง 3 ศาสตร์ คือตามหลักทักษา เลขศาสตร์ อายตนะ

ตามความเชื่อแบบไทย "ชื่อ" เป็นสิ่งที่มีความสำคัญ เพราะไม่เพียงจะเป็นคำที่ใช้แทนตัวเราเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้คุณให้โทษแก่เราอีกด้วย ดังนั้นการ "ตั้งชื่อ" ให้แก่เด็กหรือแม้แต่เปลี่ยนชื่อให้ตัวท่านเอง ต้องทำตามตำราจึงจะเป็นมงคล
การตั้งชื่อมงคลให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ตามเงื่อนไขของทุกศาสตร์ทุกตำรา เพื่อจะได้ชื่อดี ๆ สักชื่อนึงไม่ง่ายเลย ต้องมีการวิเคราะห์ชื่อแยกแยะอักขระ คำนวณวิเคราะห์ร้อยชื่อพันชื่อหากโชคดีอาจได้มาสักชื่อนึงก็เป็นได้ ได้ชื่อแล้วจะต้องดูผลคำทำนายรวมกับนามสกุลอีก ใช้แต่ละศาสตร์กลั่นกรองชื่อ แต่ละชื่อใช้เวลาในการคำนวณพอสมควร

ค่าครูในการตั้งชื่อ 299 บาท (จากปกติ 599 บาท) ท่านจะได้รับ

รับชื่อมงคล 2-3 ชื่อ มีคำอ่านและคำแปลของชื่อ
วิเคราะห์ชื่อใหม่ให้ทั้ง 3 ศาสตร์ ไม่ว่าหลักทักษา หลักเลขศาสตร์ หลักอายตนะ
ชื่อที่ได้รับจะผ่านการทำพิธีเสริมดวง เสริมมงคลให้ด้วย
ฤกษ์ในการเปลี่ยนชื่อ
พิธีกรรมที่ส่งเสริมการใช้ชื่อใหม่ ให้เกิดความเป็นสิริมงคล

ต้องการตั้งชื่อติดต่อทักแชท หรือ id line : teerapat999
รายละเอียดเพิ่มเติม http://porntaywa99.lnwshop.com/p/3
 
#2799
ความคุ้มค่าที่มาพร้อมความปลอดภัย ใบมีดโกนหนวดได้รับออกแบบมาจากวัสดุเกรดพรีเมียมป้องกันสนิม มีใบมีดสองชั้นเพื่อรองรับแรงกดขณะโกนหนวด ช่วยป้องกันริ้วรอยที่จะเกิดกับผิวหน้าของคุณ และช่วยให้คุณโกนได้สะอาดเกลี้ยงเกลาเรียบเนียน อีกทั้งใบมีดโกนทั้ง 36 ใบได้รับการผนึกมาเป็นอย่างดีเพื่อป้องกันเชื้อโรค และป้องกันน้ำ สามารถเก็บไว้ใช้ได้ยาวนานหมดปัญหาเรื่องการซื้อใบมีดโกนบ่อย ๆ
เข้าสู้หน้าเว็บ https://razor69.lnwshop.com
#2800


"บลจ.อีสท์สปริง" ชี้เศรษฐกิจสหรัฐ ยุโรป จีน ทยอยฟื้นตัวหลังโควิดหนุนหุ้นต่างประเทศสร้างโอกาสเติบโตแนะกระจายลงทุน ชูหุ้น 2 ธีมหลัก "อินฟราฯ -พลังงานทางเลือก" 3 ธีมเสริม "หุ้นเติบโต-จีน-เปิดเมือง" ด้านหุ้นไทย "บลจ.ทาลีส" เน้นคัดหุ้นกลาง-เล็ก โตเด่น

จากงานสัมมนาออนไลน์ "Mutual Fund in Trend"  จับทิศกองทุนรวม คว้าโอกาส ตามเทรนด์ให้ทัน โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ยังรอ "วัคซีน"  ในขณะที่เศรษฐกิจต่างประเทศ เริ่มเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์หลังโควิด-19 เริ่มเห็นการฟื้นตัวมากกว่า ดังนั้นในแง่ของการลงทุน ควรคว้าโอกาส "กราะจายการลงทุนหุ้นต่างประเทศ" ตั้งแต่ตอนนี้

นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด หรือ อีสท์สปริง และบลจ. ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้พัฒนาการของวิกฤติการแพร่ระบาดโควิด-19 ในต่างประเทศปรับตัวดีขึ้นและมองข้ามไปถึงการเปิดเมือง  โดยเฉพาะในสหรัฐ ยุโรปและจีน  

ดังนั้น เรามองว่า ขณะนี้เป็นจังหวะที่ต้องเริ่มลงทุนในหุ้นต่างประเทศ มากกว่าหุ้นไทย  เนื่องเศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังอยู่ในช่วงที่มีการกระจายวัคซีนล่าช้าและยังจำเป็นช่วยกันประคับประคองสถานการณ์ให้อยู่รอด ซึ่งการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอก 4 ทำให้จีดีพีของไทยปีนี้อาจต่ำกว่า 2%  

ส่วนปัจจัยมีผลต่อการลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะนโยบายการเงินของเฟดที่เริ่มส่งสัญญาณลดคิวอีและขึ้นดอกเบี้ย ที่จะมีผลกระทบต่อตลาดการลงทุนนั้น  เรายังมองว่าเฟดยังคงต้องดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง

อีสท์สปริง แนะ2 ธีมหลัก 3 ธีมเสริมลุยหุ้นนอก 

นายอดิศร กล่าวต่อว่า  เราแนะกระจายการลงทุนหุ้นต่างประเทศ จัดพอร์ตลงทุนหลัก ในกองทุนที่กระจายการลงทุนในหุ้นทั่วโลก เน้นหุ้น 2 ธีมหลัก  คือ 1. อินฟราสตักเจอร์ รองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลักโควิด-19 หนุนให้ภาคธุรกิจมีกำไรและราคาหุ้นปรับตัวขึ้นต่อไปได้  และ2.พลังงานทางเลือกหรือพลังสะอาด ปัจจุบันยังราคาอยู่ในจุดที่เหมาะสม   

ขณะที่ควรมีการลงทุนเสริม เน้นหุ้น 3 ธีมเสริม ได้แก่ 1. หุ้นเติบโต เช่น หุ้นเทคโนโลยี เป็นเทรนด์ของโลก 5จีและเฮลธ์เทค ในช่วงครึ่งปีแรกราคาปรับตัวลงมาพอสมควรแล้ว  เช่นเดียวกับ 2. หุ้นจีน ที่ราคาหุ้นยังปรับตัวลงมาตั้งแต่ต้นปีนี้  และ3.หุ้นเปิดเมือง เช่นกลุ่มค้าปลีกและท่องเที่ยว  ที่กำไรและราคาหุ้นมีแนวโน้มกลับมาขยายตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ  

สิ่งที่ผู้ลงทุนควรทำ หากต้องการลงทุนต่างประเทศ คือ จัดพอร์ตให้ดี  ควรลงทุนอย่างมีความรู้และมีข้อมูลที่เป็นเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของโลก รวมถึงต้องมีการติดตามปัจจัยต่างที่มีผลกระทบอย่างใกล้ชิด ปรับพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อลดความเสี่ยง  

   
ทางด้านการลงทุน ในตลาดหุ้นไทย ด้วยทิศทางในการขับเคลื่อนตลาดในระยะข้างหน้า  จะต้องพึ่งพานักลงทุนในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะรายย่อย  ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564  เม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ยังขายสุทธิมาอย่างต่อเนื่อง คงไม่ได้กลับเข้ามาง่ายๆ จากภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังโควิด-19 อาจใช้เวลาถึง 4 ปี ถึงจะกลับมาเท่าก่อนเกิดโควิด-19 ในปี 2562

จับตา 3 สัปดาห์นี้ คาดล็อกดาวน์เข้ม 

 นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ทาลิส เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยดังกล่าว และการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอก 4 ในเดือนก.ค.นี้ คาดว่ารัฐยังใช้มาตรการคุมการแพร่ระบาดที่เข้มข้นขึ้น "มาตรการล็อกดาวน์" เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยากในปีนี้  ยังต้องติดตามว่าจะเข้มข้นแค่ไหน เพราะยังมีความมเสี่ยงสูงในช่วง3 สัปดาห์ข้างหน้า

ขณะที่มาตรการเยียวยาภาครัฐยังจำเป็นและยังต้องใช้เม็ดเงินเยียวยาผลกระทบในปีนี้ มองอาจมากกว่าปีก่อน จาก5 แสนล้านบาทเพิ่มเป็น 8-9 แสนล้านบาท โดยจำเป็นต้องปรับเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพี จากระดับ 60% ไปถึง80%ในปีนี้และปีหน้า ก็เป็นเรื่องที่ควรทำ  ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19ในปีนี้ เชื้อรุนแรงขึ้น  มีวัคซีนแต่ยังต้องรอการกระจายที่เพียงพอและมีประสิทธิภาพต่อเชื้อกลายพันธุ์

แม้ว่า "มาตรการล็อกดาวน์" ทั้งประเทศหรือ "กึ่งล็อกดาวน์" แค่ในบางพื้นที่ นั้นมองว่าเป็นข่าวร้ายสำหรับผู้ประกอบการ แต่ในแง่ของการลงทุน มองว่า "ยังเป็นโอกาส"  จากสถานการณ์ที่ผ่านมาก่อนล็อกดาวน์ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวต่ำแล้วหลังจากนั้นราวสองเดือนกลับมาฟื้นตัวได้  

 ประเด็นสำคัญปัจจัยที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย คือ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในไทย หากในช่วง 3-6 เดือนนี้ ยังไม่เห็นปรับลดลง น่าเป็นห่วง แต่หากปรับลดลงได้ หนุนตลาดหุ้นไทย จากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยคาดว่าปลายปีหน้าน่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวได้ คาดใช้เวลา 4 ปีกลับมาฟื้นตัวที่ 3-4% เท่าช่วงก่อนโควิด-19ในปี2562

   
จับเทรนด์รับ "เปิดเมือง-พลังงานทางเลือก" 

นอกจากนี้ในช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมา พบว่า บริษัทขนาดกลางและเล็ก ที่มีความคล่องตัวและปรับตัวได้ ในขณะที่ตลาดทุนยังเป็นแหล่งระดมทุนที่ดี ขณะที่บริษัทขนาดใหญ่ยังใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัว

ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนหุ้นไทย  ยังแนะการลงทุน "หุ้นขนาดกลางและเล็ก" ซึ่งยังมีความน่าสนใจลงทุนในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า

แต่กลยุทธ์ที่สำคัญ คือ ผู้ลงทุนต้องคัด เลือกธุรกิจที่มีความแข็งแกร่ง ปรับตัวได้ดีในชช่วงโควิด-19 และยังมีแนวโน้มเติบโตสูง 15-30% ต่อปีในระยะข้างหน้า  รวมถึงต้องเป็นธุรกิจที่ไม่ใช่เงินลงทุนสูง และผู้บริหารธุรกิจมีความสามารถบริหารจัดการกับปัญหา ลดอุปสรรคได้ดีในวิกฤติครั้งนี้  

พร้อมกับการจัดพอร์ตหุ้นขนาดกลางและเล็ก เน้นกระจายการลงทุนในธีม "เปิดเมือง"  หรืออยู่ในเทรนด์การลงทุนที่สอดคล้องไปกับเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของโลก  "พลังงานทางเลือก"