• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - deam205

#2881


มาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ตรวจสอบสิทธิ์ www.sso.go.th เงินเยียวยาประกันสังคม ม.40 ม.39 ลูกจ้าง-นายจ้าง ม.33 มีรายละเอียดความคืบหน้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้เงินกู้ เสนออนุมัติวงเงิน 33,471 ล้านบาท เนื่องจากการประกาศเพิ่มจำนวนพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด จาก 13 จังหวัด ก่อนจะเพิ่มอีก 16 จังหวัดเป็น 29 จังหวัด

โดยกรอบการเยียวยาที่จะนำไปจ่ายให้กับผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ซึ่งเป็นแรงงานอาชีพอิสระ หรือฟรีแลนซ์ สัญชาติไทย รายละ 5,000 บาท โดยโอนผ่านบัญชีพร้อมเพย์เลขประจำตัวประชาชน โดยใน 29 จังหวัด แบ่งออกเป็นผู้ประกันตน ม.39 จำนวน 1.4 ล้านคน และม.40 จำนวน 5.25 ล้านคน รวมทั้งสิ้น 6,694,200 คน

ขณะที่ กลุ่มผู้ประกันตน ม.39 และม.40 ใน 13 จังหวัด จะได้รับเงินเยียวยารวม 2 เดือน โดย ครม.ได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงานไปทำรายละเอียดที่จะได้อีก 1 เดือน เสนอต่อการประชุมครม. ครั้งต่อไป

โดยตรวจสอบสิทธิ์ www.sso.go.th เงินเยียวยาประกันสังคมที่จะจ่ายให้แต่ละกลุ่มจะมีรายละเอียด และเงื่อนไขการจ่ายเงินแตกต่างกัน ดังนี้

ผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่ 16 จังหวัดประกอบด้วย กาญจนบุรี สมุทรสงคราม สุพรรณบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี อ่างทอง นครนายก ปราจีนบุรี ลพบุรี ระยอง สิงห์บุรี สระบุรี นครราชสีมา เพชรบูรณ์ ตาก มีอยู่ราว 3-4 แสนราย

ผู้ประกันตนมาตรา 40 ในพื้นที่ 13 จังหวัดประกอบด้วย กรุงเทพฯ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ยะลา ปัตตานี นราธิวาส สงขลา และ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และพระนครศรีอยุธยา (บางส่วนที่ชำระเงินสมทบก่อนวันที่ 3 ส.ค.64 ) จำนวน 4.2 ล้านราย

ผู้ประกันตนมาตรา 39 และ 40 ใน 16 จังหวัดประกอบด้วย กาญจนบุรี สมุทรสงคราม สุพรรณบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี อ่างทอง นครนายก ปราจีนบุรี ลพบุรี ระยอง สิงห์บุรี สระบุรี นครราชสีมา เพชรบูรณ์ ตาก

ขั้นตอนการตรวจสอบสิทธิ์เงินเยียวยาประกันสังคม 

1.เข้าเว็บไซต์ www.sso.go.th หรือ คลิกที่นี่ 

2.เลือกตรวจสอบสถานะโครงการเยียวยาผู้ประกันตนตามกลุ่มของตน คือ 

- ตรวจสอบสถานะโครงการเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 33 สามารถตรวจสอบสิทธิได้ ที่นี่ 

- ตรวจสอบสถานะโครงการเยียวยานายจ้าง สามารถตรวจสอบสิทธิได้ ที่นี่

- ตรวจสอบสถานะโครงการเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 39 สามารถตรวจสอบสิทธิได้ ที่นี่

- ตรวจสอบสถานะสิทธิ์โครงการเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 40 สามารถตรวจสอบสิทธิได้ ที่นี่

3.กรอกเลขบัตรประชาชน 13 หลัก และกรอกรหัสให้ตรงตามรูปที่กำหนด

4.จากนั้นกดค้นหา

5.ระบบจะแสดงผลการค้นหา พร้อมระบุจะอัปเดตข้อมูลล่าสุด ตามวันเวลาที่กำหนดอีกครั้ง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : 

'ประกันสังคม' ม.33 ม.39 ม.40 เช็คที่นี่วิธีผูกพร้อมเพย์รอเงินเยียวยาเข้า 5 พัน
เช็คเงิน 'เยียวยาประกันสังคม' ม.33 โอนเงิน 2,500 บาท พื้นที่สีแดงเข้ม 16 จังหวัด

ส่วนสาเหตุ ที่ตรวจสอบสิทธิ์ www.sso.go.th เงินเยียวยาประกันสังคม เข้าไปตรวจสอบในระบบ แต่กลับพบว่า ไม่ได้รับสิทธิ อาจจะมีสาเหตุ มาจาก ชื่อหรือนามสกุล ในระบบผู้ประกันตนมีตัวสะกดไม่ตรงกับบัตรประชาชน เพราะผู้ประกันตนอาจมีการเปลี่ยนชื่อภายหลัง หรือตอนสมัครมีการสะกดผิด สามารถเข้าระบบสมาชิกผู้ประกันตนได้ ที่นี่

ขณะเดียวกัน ล่าสุด ธนาคารกรุงไทย แจ้งผู้ประกันตนมาตรา 39 และมาตรา 40 โอน เงินเยียวยา ผ่านพร้อมเพย์ด้วยบัตรประชาชน ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด รวมทั้งหมด 29 จังหวัด เริ่ม 23 ส.ค. 64

สมัครพร้อมเพย์ผ่านแอปฯ KrungthaiNEXT หรือตู้ ATM/ATM+

วิธีการสมัคร

1. เลือกเมนู พร้อมเพย์
2. เลือกหมายเลข ที่ต้องการสมัคร พร้อมเพย์ รับเงินจากภาครัฐต้องผูกกับ หมายเลขบัตรประชาชนเท่านั้น
3. อ่านข้อกำหนดและ เงื่อนไข พร้อมทำ เครื่องหมายและ กด ยอมรับ
4. เลือกบัญชีที่ต้องการ ผูกกับหมายเลข พร้อมเพย์
5. ตรวจสอบ และ ยืนยันข้อมูล
6. สมัครสำเร็จ

โดยรายละเอียดการตรวจสอบสิทธิ์ www.sso.go.th เงินเยียวยาประกันสังคม สามารถแยกรายละเอียดได้ดังนี้ 

เงินเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 33 จำนวน 2,500 บาท เข้าบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับบัตรประชาชน วันที่ 20 ส.ค.64 

เงินเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 39 จำนวน 5,000 บาท เข้าบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับบัตรประชาชน วันที่ 23 ส.ค.64 

เงินเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 40 จำนวน 5,000 บาท เข้าบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับบัตรประชาชน วันที่ 24 -26 ส.ค.64 โอนละวันละ 1.5 ล้านราย

เงินเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 39 และ 40 จำนวน 5,000 บาท เข้าบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับบัตรประชาชน วันที่ 27 ส.ค.64
#2882


นายธนา ต่อสหะกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มดีพีซี จำกัด (MDPC) กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปี 64 เป็นต้นมาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอก 2 และระลอก 3 ส่งผลให้ตลาดคอนโดมิเนียมเพื่อเช่า ทยอยได้รับความนิยมมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดคอนโดเพื่อเช่าเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1/64 มีผู้สนใจเข้ามาสอบถามห้องชุดให้เช่าเพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/63 ขณะที่ในไตรมาส 2/64 จำนวนผู้ที่สนใจเข้ามาสอบถามห้องชุดให้เช่าเพิ่มขึ้นสูงถึง 42% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/63

จากตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคมีความสนใจเช่าห้องชุดมากขึ้น รวมถึงปรับเปลี่ยนทำเลและพฤติกรรมในการพักอาศัย เช่น เดิมผู้เช่าสนใจห้อง 1 ห้องนอน ขนาดไม่เกิน 50 ตร.ม. ที่เน้นพื้นที่ภายในห้องนอนมากกว่าพื้นที่ห้องอเนกประสงค์ แต่ปัจจุบันผู้เช่ามองหาห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน ขนาด 43-60 ตร.ม. ที่เน้นประโยชน์จากการใช้ฟังก์ชั่นต่าง ๆ ได้อย่างคุ้มค่า พื้นที่ห้องอเนกประสงค์สามารถปรับเปลี่ยนเป็นสถานที่ทำงานแบบ Work From Home หรือปรับเป็นพื้นที่ในการออกกำลังกายได้ รวมทั้งต้องการพื้นที่ระเบียงขนาดใหญ่ เพื่อปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับห้องพัก

นายธนา กล่าวว่า แม้พฤติกรรมการหาห้องชุดเพื่อเช่าจะเปลี่ยนไป แต่ผู้เช่ายังให้ความสำคัญกับเรื่องของ ทำเล โดยยังคงมองหาห้องชุดในทำเลกลางใจเมือง มีระบบการเดินทางที่สะดวกสบาย และใกล้กับสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น ร้านสะดวกซื้อ ช้อปปิ้งมอลล์ สำหรับทำเลที่ผู้เช่าให้ความสนใจและมีอัตราการเช่าเติบโตอย่างต่อเนื่องคือ ทำสุขุมวิทตอนกลางถึงตอนปลาย ลาดพร้าว-พหลโยธิน

โดยทำเลย่านสุขุมวิทตอนกลาง เริ่มตั้งแต่แยกอโศกไปถึงสถานีรถไฟฟ้าพระโขนง พบว่า มีความหลากหลายของการใช้ชีวิตมากที่สุด โดยเฉพาะ "ทองหล่อ-เอกมัย" เพราะเป็นทำเลที่มีปัจจัยหนุนเอื้อต่อการเติบโตในอนาคตอ อาทิ เป็นทำเลยอดนิยมในการพักอาศัยชาวต่างชาติ เพราะมีระบบรถไฟฟ้าเชื่อมต่อครอบคลุมช่วยเสริมศักยภาพพื้นที่ ส่งผลให้ปัจจุบันอัตราการเช่าในพื้นที่ดังกล่าวสูงถึง 40 % โดยส่วนใหญ่เป็นผู้เช่าชาวต่างชาติคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 70% และมีอัตราค่าเช่าห้องชุดขนาดประมาณ 40-60 ตร.ม. เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 35,000 บาทต่อเดือน ส่งผลให้กลุ่มนักลงทุนเข้ามาลงทุนเพื่อปล่อยเช่าจำนวนมาก โดยมีอัตรา Rental Yield เฉลี่ย อยู่ที่ 4-6% ซึ่งสูงที่สุดเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่นๆ ในทำเลสุขุมวิท

ส่วนทำเลสุขุมวิทตอนปลาย ที่เริ่มจากสถานีรถไฟฟ้าพระโขนงไปจนถึงสถานีแบริ่งนั้นเป็นทำเลที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มคนวัยทำงาน หรือ First Jobber อย่างมาก โดยมีสัดส่วนการเช่าสูงถึง 50% จากกลุ่มผู้เช่าทั้งหมด เนื่องจากราคาปล่อยเช่าคอนโดมิเนียมยังไม่สูงมาก ห้องชุดขนาดประมาณ 40-60 ตร.ม. จะมีอัตราค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ. 24,000 บาทต่อเดือน

สำหรับทำเลย่านลาดพร้าว – พหลโยธิน ถือเป็นอีหนึ่งทำเลที่มีอัตราการเติบโตของตลาดเช่าค่อนข้างดี เนื่องจากการขยายตัวของรถไฟฟ้าสายใหม่อย่างสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (หมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต) ส่งผลให้มีประชากรในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งพื้นที่อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ สถานศึกษา ก็มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สถานีกลางบางซื่อ ศูนย์กลางการคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดของกรุงเทพฯ ก็เป็นอีกปัจจัยหนุนสำคัญที่จะทำให้ตลาดเช่ามีอัตราการเติบโตในอนาคต โดยปัจจุบันราคาค่าเช่าเฉลี่ยในพื้นที่อยู่ที่ประมาณ 18,000 บาทต่อเดือน โดยกลุ่มผู้เช่าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มวัยทำงาน นักศึกษา สำหรับอัตราผลตอบแทนในการลงทุนปล่อยเช่า เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5%
#2883


โบรกฯ มองแนวโน้มดัชนีเช้านี้รีบาวนด์หลังคลายกังวลเฟดปรับลด QE ตัวเลขผู้ติดเชื้อไทยลดลง โดยวันนี้มองว่าหุ้นกลุ่ม Domestic ได้แก่ กลุ่มโรงแรม กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มค้าปลีก มีโอกาสฟื้นตัวได้รับตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีสัญญาณบวก

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นเช้านี้รีบาวนด์ฟื้นตัวขึ้นมาได้ หลังจากความกังวลการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เริ่มคลี่คลาย ซึ่งตลาดสหรัฐฯ และยุโรปได้ปรับตัวลงสะท้อนปัจจัยดังกล่าวแล้ว และให้จับตาการประชุมประจำปีของเฟดในวันที่ 26-28 ส.ค.นี้ ว่าเฟดจะปรับลด QE หรือไม่

นอกจากนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศวันนี้ต่ำกว่า 2 หมื่นรายในรอบ 10 วัน จากวันที่ 13 ส.ค.ที่ผ่านมา ที่มีตัวเลขสูงสุดที่ 23,418 ราย ซึ่งเป็นสัญญาณบวก จะเป็นการสะท้อนมาตรการ lock down เห็นผล และเมื่อถึง 31 ส.ค.นี้รัฐบาลจะประเมินว่าจะผ่อนคลายได้หรือไม่

วันนี้มองว่าหุ้นกลุ่ม Domestic ได้แก่ กลุ่มโรงแรม กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มค้าปลีก มีโอกาสฟื้นตัวได้รับตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีสัญญาณบวก

ส่วนราคาน้ำมันที่ปรับลดมา 6 วัน เข้าใกล้เขตรีบาวนด์ ทำให้อาจไม่กดดันกลุ่มพลังงานมาก

"ตลาดวันนี้เห็นการรีบาวนด์ และไม่หลุด 1,540 จุด และนักลงทุนต่างประเทศกลับมาซื้อวานนี้กว่า 500 ล้านบาท ตลาดน่าจะขึ้นทดสอบ 1,550 จุด"

พร้อมให้แนวรับไว้ที่ 1,540, 1,533 จุด แนวต้านที่ 1,550, 1,554 จุด
#2884


ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้านี้เคลื่อนไหวในแดนลบ เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ในภูมิภาคยังสร้างความวิตกกังวลให้นักลงทุน นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเริ่มปรับลดวงเงินซื้อสินทรัพย์ตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในปีนี้ ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้

ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,442.51 จุด ลดลง 23.04 จุด หรือ -0.66%, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 27,238.45 จุด ลดลง 42.72 จุด หรือ -0.16% และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 25,241.32 จุด ลดลง 75.01 จุด หรือ -0.30%

ภาวะการซื้อขายในภูมิภาคยังคงถูกกดดันจากปัจจัยลบเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 โดยเมื่อวานนี้ ออสเตรเลียพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่สูงเป็นประวัติการณ์ ขณะที่เมืองหลวงของรัฐบางแห่งยังคงอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อสกัดการระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่ 3 ในประเทศ

รายงานระบุว่า ออสเตรเลียพบผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มขึ้นอีก 754 ราย ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมในประเทศนับตั้งแต่โควิด-19 เริ่มระบาดมีจำนวนมากกว่า 41,000 ราย

ขณะที่เขตเมืองหลวงของออสเตรเลีย (ACT) ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ได้ขยายมาตรการดังกล่าวออกไปจนถึงวันที่ 2 ก.ย. และพบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 16 ราย ส่งผลให้ยอดรวมผู้ติดเชื้อที่ยังรักษาตัวอยู่ในกรุงแคนเบอร์ราขณะนี้อยู่ที่ 83 ราย มาตรการดังกล่าวส่งผลให้กรุงแคนเบอร์ราเป็นเมืองใหญ่อีกแห่งของออสเตรเลียที่บังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ เช่นเดียวกับซิดนีย์ และเมลเบิร์น

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในภูมิภาควันนี้ นักลงทุนยังจับตาธนาคารกลางจีน (PBOC) เตรียมประกาศอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท 1 ปี และประเภท 5 ปีในเช้าวันนี้ โดยตลาดคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางจีนจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 1 ปี ไว้ที่ระดับ 3.85% และตรึงอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปี ไว้ที่ระดับ 4.65%

นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาการรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (PPI) ของเกาหลีใต้และอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นเดือน ก.ค.ในวันนี้ด้วย
#2885


ท่ามกลางกรณีพิพาทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐและจีน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตลาดดิจิทัลที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วของอาเซียนทำให้กลายเป็นสนามรบหลักสำหรับยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมดิจิทัลของทั้งสองประเทศมหาอำนาจโลก

สำหรับตลาดอาเซียน อเมซอน ดอท คอม ไมโครซอฟต์ กูเกิล อาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิง และบรรดาผู้เล่นรายอื่นๆทุ่มลงทุนอย่างหนักในคลาวด์ คอมพิวติง ซึ่งเป็นบริการที่ครอบคลุมถึงการให้ใช้กำลังประมวลผล หน่วยจัดเก็บข้อมูล และระบบออนไลน์ต่างๆจากผู้ให้บริการซึ่งมีทั้งบริษัททุกขนาดและหน่วยงานรัฐ เพื่อลดความยุ่งยากในการติดตั้ง ดูแลระบบ ช่วยประหยัดเวลา และลดต้นทุนในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่าย

อาคารสูง 11 ชั้นบนพื้นที่ 170,000 ตารางเมตรในตุนจุง คลิง ห่างจากใจกลางเมืองของสิงคโปร์เพียงช่วงเวลาขับรถ20นาที มองเผินๆเหมือนเป็นศูนย์กลางโลจิสติกขนาดใหญ่ หรือคลังสินค้าแต่ทีมงานรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด รวมทั้งกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งรอบบริเวณตึกบ่งชี้ว่านี่ไม่ใช่แค่ที่เก็บสินค้าธรรมดา อีกทั้งเมื่อผู้สื่อข่าวคนหนึ่งหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อจะถ่ายภาพอาคารแห่งนี้ไว้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งก็เดินเข้ามาห้ามและเตือนว่า"นี่เป็นที่ส่วนบุคคลไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป"

ทันทีที่เสร็จสมบูรณ์ ที่"ส่วนบุคคล"แห่งนี้จะเต็มไปไปด้วยเซอร์เวอร์เรียงรายเป็นแถวๆที่รองรับข้อมูลส่วนบุคคลที่ละเอียดอ่อนของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหลายร้อยล้านราย และถือเป็นศูนย์ข้อมูลสำหรับลูกค้าแห่งแรกของเฟซบุ๊คในเอเชีย ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทประกาศว่าจะลงทุน 1,400 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์(1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)ในโครงการนี้

นี่เป็นหนึ่งในศูนย์ข้อมูลอีกหลายแห่งที่บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีโลกกำลังสร้างขึ้นในสิงคโปร์ เนื่องจากประเทศนี้มีระบบการเมืองที่มีเสถียรภาพและมีแรงงานที่มีทักษะความชำนาญด้านเทคโนโลยีจำนวนมาก ประกอบกับภูมิภาคนี้มีการต่อเชื่อมกับเคเบิ้ลสื่อสารใต้ทะเลที่เชื่อมโยงกับส่วนที่เหลือของโลก


สิงคโปร์จึงกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์หลักสำหรับผู้เล่นรายใหญ่ๆในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่ต้องการเข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาดในธุรกิจให้บริการคลาวด์ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ข้อมูลของคุชแมน และเวคฟิลด์ บริษัทให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ ระบุว่าตอนนี้ศูนย์ข้อมูลของสิงคโปร์มีศักยภาพ 410 เมกะวัตส์และจะมีความสามารถเพิ่มอีก 170 เมกะวัตส์ในอนาคตอันใกล้ ทำให้สิงคโปร์เป็น"ฮับ"ข้อมูลระดับโลก ที่เทียบเคียงได้กับนครแฟรงเฟิร์ต ในประเทศเยอรมนี และนครชิคาโก ของสหรัฐ

แต่ความโดดเด่นของสิงคโปร์ไม่ได้เป็นที่ดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีอเมริกันเท่านั้น แต่เป็นที่หมายปองในฐานะเป็นฐานที่มั่นทางยุทธศาสตร์สำหรับบริษัทเทคโนโลยีจีนด้วย ทั้งอาลีบาบา และเทนเซนต์ที่ต่างก็แข่งกันแย่งลูกค้ากลุ่มเดียวกัน

ขณะที่อเมซอนเป็นผู้นำในกลุ่มผู้ให้บริการคลาวด์ โดยคานัลลิสต์ บริษัทวิจัยระบุว่า อเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (เอดับเบิลยูเอส)คุมส่วนแบ่งตลาดกว่า 30% ในธุรกิจคลาวด์ทั่วโลกในช่วงไตรมาส2ของปี 2564 และปัจจุบัน อเมซอนกำลังเพิ่มโครงสร้างพื้นฐานในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในปลายปี 2564 หรือต้นปี 2565

ศูนย์ข้อมูลในกรุงจาการ์ตาจะเป็นศูนย์ข้อมูลแห่งที่สองของเอดับเบิลยูเอสในตลาดอาเซียน ส่วนในสิงคโปร์ เอดับเบิลยูเอสเข้าไปตั้งศูนย์ข้อมูลตั้งแต่ปี 2553

"เอดับเบิลยูเอสมองเห็นศักยภาพการเติบโตอย่างมากและรวดเร็วในอาเซียน และในภาพรวม เรามองเห็นว่าทุกเซคเมนท์ ที่รวมถึง สตาร์อัพ กิจการต่างๆและธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง(เอสเอ็มอี)เป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจคลาวด์"โคเนอร์ แมคนามารา กรรมการผู้อำนวยการเอดับเบิลยูเอส ประจำภูมิภาคอาเซียน กล่าว

ส่วนไมโครซอฟต์ ผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่สุดอันดับสอง ประกาศเมื่อต้นปีนี้ว่า ได้ตั้งศูนย์ข้อมูลในอินโดนีเซียและมาเลเซีย ซึ่งต่างก็เป็นตลาดคลาวด์ที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

"ถ้าพิจารณาตลาดอาเซียนที่มีประชากร 650 ล้านคนถือว่ามีขนาดใหญ่กว่ายุโรปประมาณ 50% โดยยุโรปมีประชากร 446 ล้านคน "อาห์เหม็ด มาซาริ ประธานไมโครซอฟต์ เอเชีย กล่าวและว่า การเข้าถึงมือถือและการเข้าถึงอุปกรณ์เคลื่อนที่ครั้งแรกของประชากรไม่เหมือนพื้นที่ใดๆในโลก และยังมีโอกาสที่ธุรกิจคลาวด์จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง

อาลีบาบา อันดับ4ในตลาดให้บริการคลาวด์โลก ตามหลังอเมซอน ไมโครซอฟต์และกูเกิล ในเดือนมิ.ย.บริษัทประกาศว่าลงทุนเป็นเงิน 1,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงเวลา3ปีข้างหน้าเพื่อสนับสนุนบรรดานักพัฒนาและสนับสนุนสตาร์ทอัพในเอเชีย-แปซิฟิก

"เราเห็นความต้องการเทคโนโลยีคลาวด์เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในภูมิภาคนี้ตั้งแต่ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ แพลทฟอร์มโลจิสติก ไปจนถึงฟินเทคและบันเทิงทางออนไลน์"เจฟฟ์ จาง ประธานอาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าว

หน่วยงานด้านคลาวด์ของบริษัทอาลีบาบาเปิดตัวศูนย์ข้อมูลแห่งที่3 ในอินโดนีเซียและมีแผนที่จะเปิดตัวศูนย์ข้อมูลในฟิลิปปินส์ภายในปีนี้

คานัลลิสต์ ระบุว่า ธุรกิจบริการคลาวด์จะสร้างรายได้หลักให้แก่บริษัทต่างๆ โดยในไตรมาส2ของปีนี้ มูลค่าของธุรกิจคลาวด์ทั่วโลกอยู่ที่ 47,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 36% จากปีก่อนหน้านี้
#2886


นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ และหัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน(บจ.)ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส2ปี 2564 ออกมาแล้วจำนวน  501 บริษัท คิดเป็นมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป)ที่96%มีกำไรสุทธิ 269,183 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 116% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 124,277 ล้านบาท โดยถือว่าออกมาดีกว่าที่คาด 

ทั้งนี้จากบริษัทขนาดใหญ่มีรายการพิเศษ เช่น ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY)และ บริษัท พีทีที โกล. เคมิคอล จำกัด(มหาชน)หรือ  PTTGC  ซึ่ง2 บริษัทดังกล่าวมีกำไรพิเศษรวมกัน 25,351 ล้านบาท ประกอบกับฐานกำไรช่วงเดียวกันปีก่อนที่ต่ำ  และหากเทียบกับไตรมาส1ปีนี้ ที่กำไรสุทธิ258,030 ล้านบาท  จะเติบโต4% 


ดังนั้นทำให้ครึ่งปีแรก2564 บจ.มีกำไรสุทธิ  527,213 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 62.7% ของประมาณที่บล.เอเซียพลัส ที่คาดทั้งปีนี้บจ.กำไรสุทธิ 845,000 ล้านบาท  หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS)ที่ 73.60 บาท เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาด 71.2 บาท เพื่อสะท้อนกับกำไรพิเศษของบจ.ในช่วงไตรมาส2ปีนี้ 

สำหรับแนวโน้มในช่วงไตรมาส3ปี 2564 คาดว่าผลการดำเนินงานของบจ.จะปรับตัวลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์  ทำให้คาดว่าผลดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังปรับตัวลดลงกว่าครึ่งปีแรกประมาณ 40%  ซึ่งขณะนี้บริษัทยังไม่มีแผนปรับประมาณการกำไรปีนี้ แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ขณะที่่ในส่วนของ ประมาณการของบล.อื่น อาจต้องปรับลดลง เพราะ Bloomberg Consensus  EPS ล่าสุดอยู่ที่ 85.43 บาทต่อหุ้นซึ่งถือว่าสูงมาก 

"กำไรไตรมาส2/64ออกมาดีกว่าที่คาด เพราะเดิมเราคาดว่าแต่ละไตรมาสบจ.จะมีกำไรไม่เกิน2.6 แสนล้านบาท แต่หากไม่มีรายการพิเศษเกิดขึ้นก็จะเป็นไปตามที่เราคาด  ส่วนแนวโน้มกำไรในครึ่งปีหลังมีทิศทางปรับตัวลดลงจากครึ่งปีแรก  มีโอกาสลดลงไม่น้อยกว่า 40% หากผู้ติดเชื้อยืนเหนือระดับ 2 หมื่นรายต่อวัน ไปจนถึงช่วงปลายปีนี้"
#2887


เนื่องจากสถานการณ์โควิดที่ยังรุนแรงต่อเนื่องขึ้นทุกวัน "อ.นิ่ม เทวจิตศิษย์ปู่" ซึ่งเป็นหมอดูชื่อดังเว็บรวยruay  สื่อเจ้าที่จิตสัมผัส เป็นต้นฉบับการไหว้เจ้าที่กลางบ้าน ที่ได้รับความไว้วางใจเป็นที่ปรึกษาให้กับนักแสดงหลายๆท่านอาทิ "แม่ก้อย ทาริกา,ไก่ วรายุฑ,หน่อง หมอเจี๊ยบ ลลนา,จอย รินลณี,อาย กมลเนตร,แจ็คกี้ ชาเคอลีน,ใบเฟิร์น อัญชสา,ติ๊นา ศุภนาฎ ,นิวเคลียร์ หรรษา" ได้ให้คำแนะนำทำพิธีไหว้เจ้าที่กลางบ้านด้วยตนเอง ผ่อนร้ายกลายเป็นเบา เสริมพลังเจ้าที่ให้มีพลัง   ใครกำลังติดขัด การเงินมีปัญหา ต่อเติมบ้าน สร้างบ้านไม่เสร็จสักที ลองทำวิธีนี้ดู

"การไหว้เจ้าที่กลางบ้าน คือการไหว้เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าของที่เจ้าของทาง เจ้าของบ้านเจ้าของเรือน ไหว้เพื่อขอขมา ขอเปิดทางทำมาหากิน เปิดทางรับทรัพย์ สามารถไหว้เองได้แต่ต้องเป็นอังคารหรือเสาร์เที่ยงตรงเพราะเป็นวันรับ วันแข็ง  ปกติใน1ปีจะห้ามไหว้เองคือเดือนเมษายนและเดือนตุลาคม  เมษายนเป็นเดือนร้อน ส่วนเดือนตุลาคมเป็นเดือนที่สัมภเวสีจะมาขอส่วนบุญ จึงให้งดไหว้เอง สำหรับปีนี้ที่แนะนำให้ไหว้เดือนสิงหาคม เพราะเชื่อกันว่าเป็นเดือนประตูนรกเปิด และในเดือนนี้ตรงกับวันสารทจีน ทำให้เดือนสิงที่ควรเป็นสิงห์ กลับเป็นเดือนที่อ่อนแอแทนจึงควรเพิ่มพลังให้เจ้าที่"

"ในส่วนของดวงเมืองคงต้องดูยาวๆไปถึงเมษายนปีหน้า โรคระบาดก็เฝ้าระวังแบบ100% จนถึงตุลาคม เพราะกันยายน-ตุลาคมดวงเมืองมีความระส่ำ อุทกภัยหนัก ปลายปี ทั้งน้ำทั้งไฟ แต่ไม่ต้องตื่นตระหนกเป็นเพียงการคาดการณ์ต้องเฝ้าระวัง เพราะต้องดูแลตัวเองเท่านั้นถึงจะรอด แต่ถ้าด้านจิตใจก็ให้เน้นสวดบทมหาจักรพรรดิ์ เปิดทางทั้ง3โลก ปรับภพภูมิให้กับทุกสิ่ง"

สำหรับการไหว้เจ้าที่กลางบ้าน สามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
You Toub :นิ่มจูเมเตลู ค้นหา การไหว้เจ้าที่กลางบ้านฉบับเต็ม โดย อ.นิ่ม เทวจิตศิษย์ปู่
Face book: อ.นิ่ม เทวจิตศิษย์ปู่ ไหว้เจ้าที่กลางบ้าน

อ้างอิง https://th.wikipedia.org/wiki/บทสวดมนต์ในศาสนาพุทธ
#2888


ดร.จิรศักดิ์ จิยะจันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวิลด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WORLD) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในงวดไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 มีรายได้รวม 1,213.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 1,199.30 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นเกิน 100% แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จำนวน 1,189.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 1,175.88 ล้านบาท เกิดจากการรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ในนิคมอุตสาหกรรม คิดเป็น 79% ของพื้นที่ในโซนอุตสาหกรรม หรือคิดเป็นสัดส่วน 40% ของมูลค่าโครงการ

ขณะที่รายได้จากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจำนวน 6.66 ล้านบาท มาจากบริษัทย่อยที่เริ่มมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในไตรมาส 2 เป็นงวดแรก โดยรับรู้ตามวิธี Cost-to-Cost Method ซึ่งเป็นวิธีประมาณการอัตราส่วนความสำเร็จของงานจากต้นทุนค่าก่อสร้างที่เกิดขึ้นจนถึงปัจจุบันเทียบกับประมาณการต้นทุนค่าก่อสร้างทั้งสิ้น

"ทีมผู้บริหารมีความตั้งใจอย่างเต็มที่และทำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยพยายามสร้างรายได้และกำไรของ WORLD ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้นทุกคน ซึ่งขณะนี้ผลงานเริ่มเป็นที่ประจักษ์โดยเริ่มจากผลประกอบการเทิร์นอะราวนด์ที่เด่นชัดในครั้งนี้"

โดยในงบไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 มีกำไรสุทธิ 55.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 56 ล้านบาท ที่ขาดทุนสุทธิ 0.45 ล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 มีกำไรสุทธิ 65.41 ล้านบาท เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 4.74 ล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมมีจำนวน 1,158.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 1,143.30 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นเกิน 100% แบ่งเป็นต้นทุนขายจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จำนวน 1,007.68 ล้านบาท โดยรับรู้ต้นทุนขายจากการปันส่วนตามพื้นที่ขาย ต้นทุนจากการก่อสร้างจำนวน 4.52 ล้านบาท รับรู้ตามต้นทุนจริงที่เกิดขึ้น ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจำนวน 81.34 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นค่านายหน้าจากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม และค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์ต้นทุนทางการเงินจำนวน 0.07 ล้านบาท

ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทดำเนินธุรกิจหลักเกี่ยวกับการลงทุนในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง แบ่งเป็น 4 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย 1.โครงการนิคมอุตสาหกรรมในรูปแบบของที่ดินเปล่า โกดังสินค้า โรงงาน อาคารสำนักงาน อาคารพาณิชย์เพื่อจำหนาย และให้เช่า รวมถึงการให้ซื้อขายสาธารณูปโภค การให้บริการด้านสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้องกับนิคมอุตสาหกรรม 2.โครงการที่อยู่อาศัยในรูปแบบของที่ดินเปล่า บ้าน วิลล่า คอนโดมิเนียม โรงแรมเพื่อจำหน่ายและให้เช่า รวมถึงการให้บริการในการบริหารนิติบุคคลหรือที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยโครงการเชิงอุตสาหกรรมและพาณิชย์แนวราบเพื่อจำหน่าย ประกอบไปด้วยโครงการนิคมอุตสาหกรรม อาคารพาณิชย์ 3.ธุรกิจรับเหมากอสร้าง และ 4.ธุรกิจโรงพยาบาลและบริการด้านสุขภาพ จำหน่ายเครื่องมือแพทย์ (ยังไม่ก่อให้เกิดรายได้)
#2889


นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า เพื่อรับกระแสการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโลก (Megatrends) ที่ส่งผลกระทบและสร้างการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และธุรกิจ IRPC  จึงได้กำหนดวิสัยทัศน์ใหม่ขึ้น เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนองค์กร ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งควบคู่ไปกับการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับทุกชีวิตและสิ่งแวดล้อม

 วิสัยทัศน์ใหม่ของ IRPC ที่จะเริ่มใช้ในปี 2564 คือ การเป็นองค์กรที่ "สร้างสรรค์นวัตกรรมการใช้วัสดุและพลังงาน เพื่อชีวิตที่ลงตัว (To Shape Material and Energy Solutions in Harmony with Life) ได้ถูกกำหนดขึ้นโดยคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจต่างๆ ของโลก อาทิ เทคโนโลยี การสื่อสาร การคมนาคม ความต้องการของลูกค้า ที่กำลังเข้าสู่การเป็นสังคมเมืองและสังคมผู้สูงอายุ ความห่วงใยสิ่งแวดล้อม รวมถึงสงครามการค้า ซึ่งไม่เพียงแต่จะสร้างผลกระทบต่อผู้ประกอบการธุรกิจเท่านั้น หากแต่ยังเป็นโอกาสสำคัญของ IRPC ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพและความแข็งแกร่งให้กับองค์กรด้วย


IRPC จะให้ความสำคัญต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมการใช้วัสดุให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงการใช้วัสดุหมุนเวียนและการรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถรองรับความต้องการใช้งานทางการแพทย์ และสุขภาพ ที่สร้างประโยชน์เพื่อคนไทยโดยคนไทยเป็นรายแรกของประเทศ อาทิ การสร้างสรรค์นวัตกรรมเม็ดพลาสติก พีพี เกรด เมลต์โบลน (PP Melt blown: Polypropylene Melt blown) วัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 และชุดป้องกันส่วนบุคคล (PPE) หรือแม้แต่กลุ่มนวัตกรรมทางการเกษตร ได้แก่ ซิงค์ออกไซด์นาโน (ZnO NANO) ที่พัฒนาต่อยอดมาจากซิงค์ออกไซด์ (ZnO) ทำให้มีขนาดเล็กระดับอนุภาคนาโน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุอาหารเข้าสู่ส่วนต่างๆ ของพืชได้ดียิ่งขึ้นเพิ่มผลิตผลทางการเกษตรและปลอดภัยต่อทั้งเกษตรกรและสิ่งแวดล้อม

สำหรับการสร้างสรรค์ด้านการใช้พลังงานนั้น IRPC จะขยายผลธุรกิจในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานแห่งอนาคต ทั้งพลังงานทางเลือก และพลังงานหมุนเวียน เช่น วัสดุเคลือบแผงโซลาร์เซลล์ลดความร้อน และอุปกรณ์เก็บพลังงานสำรองให้รถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น ตลอดจนการปรับปรุงกระบวนการผลิตโรงกลั่นน้ำมันให้ได้เป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีมากขึ้น 

"เพื่อให้ประสบความสำเร็จตามวิสัยทัศน์ใหม่ การดำเนินธุรกิจและสิ่งที่ IRPC จะสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้กับชีวิตและสิ่งแวดล้อม เราไม่เพียงแต่ขยายฐานจากการดำเนินธุรกิจด้านการผลิตปิโตรเคมีและการกลั่นที่เราเชี่ยวชาญมายาวนานกว่า 40 ปี และมีความมั่นคงเท่านั้น แต่เราต้องต่อยอดองค์ความรู้ที่มีและเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตร เพื่อสร้างนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์และรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ เสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจ และสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืนจากความสมดุลของทั้งชีวิตผู้คน และสิ่งแวดล้อม"

สำหรับการขับเคลื่อนธุรกิจหลังจากนี้ IRPC จะใช้องค์ความรู้ขององค์กร ที่ประกอบด้วยนวัตกรรม ความเชี่ยวชาญของบุคลากร รวมถึงความพร้อมในการนำเทคโนโลยีและดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มความแม่นยำ ว่องไว ทันต่อสถานการณ์ ควบคู่ไปกับการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจ โดยมุ่งเน้นการส่งมอบสิ่งดีๆ ให้กับชีวิตและสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน
#2890


สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนก.ย. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาดไนเม็กซ์ลดลง 1.13 ดอลลาร์ ปิดที่ 65.46 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 80 เซนต์ ปิดที่ 68.23 ดอลลาร์/บาร์เรล

สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (อีไอเอ) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 3.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 3.1 ล้านบาร์เรล

สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (เอพีไอ) ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันของสหรัฐ เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 1.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว

อีไอเอยังเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ ลดลง 1 ล้านบาร์เรล

ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 700,000 บาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 2.3 ล้านบาร์เรล

นอกจากนี้ สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 2.7 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 700,000 บาร์เรล

ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันร่วงลง 4 วันติดต่อกัน ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์น้ำมันที่อ่อนแอในเอเชีย

ราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากการที่กลุ่มเฮดจ์ฟันด์ได้เทขายสัญญาน้ำมันในสัปดาห์ที่แล้วเป็นสัปดาห์ที่ 6 ในรอบ 8 สัปดาห์ ท่ามกลางความกังวลที่ว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในจีน ยุโรป และอเมริกาเหนือจะส่งผลกระทบต่อการสัญจรทางอากาศ

สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (เอ็นบีเอส) ระบุว่า เศรษฐกิจจีนยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดครั้งใหม่ของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งภัยพิบัติจากน้ำท่วม ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไร้เสถียรภาพ

นอกจากนี้ การกลั่นน้ำมันดิบของจีนในเดือนก.ค.ดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดเมื่อเทียบรายวันนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2563 ขณะที่โรงกลั่นอิสระพากันลดการผลิตน้ำมัน อันเนื่องจากกำไรที่ลดต่ำลง

สำนักงานพลังงานสากล (ไออีเอ) ออกรายงานเตือนว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาจะฉุดความต้องการใช้น้ำมันลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ ไออีเอได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกในปี 2564 ลงสู่ระดับ 5.3 ล้านบาร์เรล/วัน จากระดับ 5.4 ล้านบาร์เรล/วัน แต่ไออีเอได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของความต้องการใช้น้ำมันในปี 2565 สู่ระดับ 3.2 ล้านบาร์เรล/วัน จากระดับ 3 ล้านบาร์เรล/วัน
#2891


The 1 ผู้นำดิจิทัลไลฟ์สไตล์และลอยัลตี้แพลตฟอร์มอันดับ 1 ของไทย ภายใต้กลุ่มเซ็นทรัล ตอกย้ำวิสัยทัศน์ Your Everyday Lifestyle App ดัน The 1 Today มุ่งสู่ Shopping & Deals Destination ผนึกกลยุทธ์ View-to-Purchase นำเสนอครบจบบนแอป The 1 ในเพียง 3 ขั้นตอน อ่าน-เช็ค-ช้อป พร้อมเสริมทัพ 17 คอนเทนต์พาร์ทเนอร์ด้านไลฟ์สไตล์ ช้อปแบบ Omnichannel

นางสาวมิ่งขวัญ พฤฒิสถาพร Head of Program Management, The 1 App Discovery - The 1 กล่าวว่า The 1 Today หนึ่งในฟีเจอร์หลักของแอป The 1 นั้นเป็นเหมือนเพื่อนคู่คิดที่คอยมอบคำแนะนำเรื่องการช้อปปิ้งให้กับผู้อ่านได้อย่างตรงใจ ล่าสุด เราได้เพิ่มความสะดวกสบายด้วย View-to-Purchase อ่าน-เช็ค-ช้อป โดยได้นำข้อมูลสินค้า แคมเปญโปรโมชั่นดีๆ ไปจนถึงช่องทางสั่งซื้อมารวมไว้ในแอป The 1 ที่เดียว

นอกจากสมาชิก The 1 ทั้ง 18 ล้านคนแล้ว เรายังมีเว็บไซต์ และระบบ Guest Mode ในแอป เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้าถึง The 1 Today ได้ในวงกว้าง The 1 เชื่อว่าการนำเสนอประการณ์ครบวงจรเช่นนี้จะช่วยให้ทุกคนสามารถช้อปออนไลน์ได้อย่างสะดวกสบายไร้รอยต่อยิ่งขึ้น

หลังจากที่เปิดตัวเมื่อปลายปี 2563 The 1 Today ได้กลายเป็นฟีเจอร์สำคัญที่ได้รับความนิยมอันดับต้นๆ ของแอป The 1 โดยมีผู้อ่านเพิ่มขึ้นกว่า 30% และอัตราการเข้าชมบทความเพิ่มขึ้นถึง 160% ในเดือนมิถุนายนเมื่อเทียบกับต้นปี ด้วยจำนวนผู้เข้าชมที่เพิ่มขึ้นและจำนวนบทความกว่า 1,000 บทความต่อเดือน ทีมงาน The 1 จึงพัฒนาแอปให้สามารถรองรับความต้องการที่มากขึ้นอยู่เสมอ โดยปัจจุบันนอกจากจะจัดกลุ่มบทความเป็นหมวดหมู่ ไม่ว่าจะเป็น ช้อปปิ้ง ข่าวสาร ไลฟ์สไตล์ จัดอันดับ Top 10 ดูดวง เป็นต้น สมาชิก The 1 ยังสามารถค้นหาบทความด้วยแฮชแท็กที่สนใจได้อีกด้วย

นายศุภณัฏฐ์ โรจน์สุข Head of Content Partnerships & Content Operation - The 1 กล่าว "นอกจากการมอบแรงบันดาลใจและความเพลิดเพลินให้กับผู้อ่านแล้ว คอนเทนต์ใน The 1 Today ยังมุ่งเน้นสาระประโยชน์ โดยเฉพาะสำหรับคอนเทนต์ช้อปปิ้งที่โดดเด่นกว่าบนแพล็ตฟอร์มอื่นๆ เพราะ The 1 สามารถนำข้อมูลจาก The 1 Insight มานำเสนอสินค้าที่ได้รับความนิยมในช่วงนั้นๆ ได้แบบเรียลไทม์ ทั้งนี้ เพื่อนำเสนอคอนเทนต์ที่ตรงใจให้กับผู้อ่านนั่นเอง โดย The 1 Today นับว่าประสบความสำเร็จแล้วในก้าวแรกด้วยการเพิ่มยอดขายให้กับเครือเซ็นทรัลได้มากขึ้นถึง 10 เท่าในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา"

นอกจากคอนเทนต์สำหรับสายช้อปที่มีทั้งคอนเทนต์รีวิวสินค้าและแคมเปญต่างๆ คอนเทนต์นำเสนอสินค้า Top 10 และคอนเทนต์ Must-Have ที่ต่างก็ได้รับความนิยมจากสมาชิก โดยมีตัวเลขผู้เข้าชมรวมสูงสุดจากทุกหมวด The 1 Today ยังนำเสนอบทความจาก 17 พันธมิตรสื่อไลฟ์สไตล์อย่างหลากหลาย ได้แก่ สายอัปเดตข่าว อาทิ เรื่องเล่าเช้านี้, Sanook! และ Infoquest สายคัลเจอร์ อาทิ The Standard Pop, Time Out Bangkok, Hello!, Soimilk, Soul4Street, Coundsheck's Journey และ ILI.U สายกิน อาทิ Gourmet & Cuisine, Krua.co และตามล่า Fine Dining และ สายดูดวง อาทิ aดวง, Horosociety พ. พาทินี และหมอจันทรา
#2892


ตามที่ได้มีประกาศจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษา ให้ประชาชนสามารถใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ด้วยตัวเอง เพื่อให้สามารถวินิจฉัย รักษา และป้องกันที่เหมาะสมโดยเร็ว ทำให้เกิดความต้องการอุปกรณ์ดังกล่าวมาใช้ทดสอบด้วยตัวเองอย่างแพร่หลายนั้น เมื่อเร็วๆ นี้ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้จัดเสวนาออนไลน์แนะวิธีใช้ชุดตรวจ COVID-19 เบื้องต้นด้วยตัวเอง โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูงในการสัมผัสต่อโรค ย้ำให้กำจัดชุดตรวจที่ใช้แล้วด้วยจิตสำนึกที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

อ.ดร.ทนพ.เมธี ศรีประพันธ์ อาจารย์นักเทคนิคการแพทย์ ประจำภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวถึงวิธีการตรวจยืนยันการติดโรค COVID-19 ในปัจจุบันว่า ยังคงเป็นวิธี RT-PCR ซึ่งข้อดีของการใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ตรวจคัดกรอง COVID-19 ที่ประชาชนทั่วไปสามารถหาซื้อมาตรวจได้ด้วยตัวเองนั้น คือ จะช่วยในการแยก หรือคัดกรองผู้ที่มีผลบวกเบื้องต้น หรือกลุ่มเสี่ยงให้เข้ารับการรักษา หรือดูแลในระบบสาธารณสุขให้เร็วขึ้น ทั้งนี้ หากผู้ตรวจมีความจำเป็นต้องใช้หลักฐานการตรวจที่รับรองโดยแพทย์ จะต้องไปตรวจในโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลเท่านั้น ซึ่งสำหรับผู้ที่ยังไม่มีความเสี่ยงก็ไม่จำเป็นที่จะต้องตรวจ และหากจำเป็นต้องตรวจเมื่อเป็นกลุ่มเสี่ยง ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และซื้อจากสถานพยาบาล คลินิกเวชกรรม คลินิกเทคนิคการแพทย์ และร้านยาที่มีเภสัชกรคอยให้คำปรึกษาเท่านั้น ไม่ควรหาซื้อเองผ่านทางออนไลน์ ตลาดนัด หรือผู้ที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์

ซึ่งตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) แห่งสหประชาชาติ ข้อที่ 6 ที่ว่าด้วยน้ำและระบบสุขาภิบาลสะอาด (Clean Water and Sanitation) ควรใช้ชุดตรวจ COVID-19 ด้วยจิตสำนึกที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสก่อโรค COVID-19 โดยผู้ตรวจจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่การเลือกชุดตรวจที่ผ่านการรับรองคุณภาพ การเก็บและเตรียมตัวอย่างตรวจ การใช้งานชุดตรวจ การอ่านและแปลผล รวมถึงการกำจัดชุดตรวจที่ใช้งานแล้ว ซึ่งการเก็บตัวอย่างตรวจ ไม่ว่าจะเป็นการแหย่จมูก (swab) โดยใช้ก้านสำลีที่ให้มากับชุดตรวจ สอดเข้าไปในรูจมูกเพื่อเก็บตัวอย่าง หรือการเก็บตัวอย่างตรวจโดยใช้น้ำลาย รวมถึงการดำเนินการตรวจนั้น ควรทำด้วยตัวเอง ในพื้นที่ที่แยกจากบริเวณอื่น และควรทำตามขั้นตอน หรือคำแนะนำในเอกสารประกอบชุดตรวจ หรือ VDO Clip ของชุดตรวจแต่ละยี่ห้อ ซึ่งสามารถสแกนได้จาก QR Code ที่แนบมากับผลิตภัณฑ์อย่างเคร่งครัด ซึ่งการเพิ่มหรือลดขั้นตอนเอง อาจทำให้ผลการตรวจผิดพลาดได้ ภายหลังการตรวจและอ่านผลแล้วให้ทิ้งชุดตรวจ รวมถึงอุปกรณ์ทั้งหมดในถุงพลาสติกที่มีน้ำยาฆ่าเชื้อ โดยควรซ้อนถุง 2 ชั้น และรัดปากถุงให้แน่นก่อนทิ้ง รวมถึงเขียนข้อความติดไว้ด้วยว่า "ชุดตรวจ COVID-19 ใส่น้ำยาแล้ว" จากนั้น จึงนำไปทิ้งในถังขยะติดเชื้อ (ถังสีแดง) เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อผู้อื่น แต่ถ้าไม่มี สามารถอนุโลมให้ใส่ถังขยะทั่วไปได้

ส่วนวิธีการแปลผลตรวจนั้นก็สามารถศึกษาจาก VDO Clip ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งผลการตรวจที่เป็นบวกจะมีแถบสีขึ้นทั้งที่ C และ T ในขณะที่ผลการตรวจที่เป็นลบจะมีแถบสีขึ้นที่ C ด้านเดียว นอกจากนี้ ในกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูงหากตรวจแล้วได้ผลลบ ให้เว้นช่วงและรักษาระยะห่าง รวมถึงกักตัวเป็นระยะเวลา 14 วัน นับจากวันที่มีความเสี่ยง หรือสัมผัสผู้ติดเชื้อ นอกจากนี้ จะต้องตรวจซ้ำเป็นระยะๆ เช่น ทุก 3 - 5 วัน จนครบเวลากักตัว อย่างไรก็ตามหากผลตรวจขึ้นแถบสีที่ T ด้านเดียว หรือไม่มีแถบสีใดขึ้นเลย จะไม่สามารถอ่านและแปลผลได้ ต้องตรวจซ้ำ หรือเปลี่ยนชุดตรวจใหม่

ชุดตรวจ ATK สำหรับตรวจคัดกรองด้วยตัวเองมีจำหน่ายที่ สถานปฏิบัติการเภสัชชุมชน คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ถนนศรีอยุธยา กรุงเทพฯ เปิดทำการทุกวันจันทร์ พุธ และศุกร์ ตั้งแต่เวลา 09.00 - 15.00 น. สอบถามรายละเอียดได้ที่โทร.0-2644-4609
#2893
ตู้ลิ้นชัก อุปกรณ์ที่ให้ประโยชน์กับเรานั้นได้หลายรูปแบบ ให้ประโยชน์ได้มากมายหลากหลายตามที่เราต้องการเป็นอย่างมาก หลายคนอาจจะบอกว่า ตู้ลิ้นชักพลาสติก เอาไว้ใส่สำหรับเสื้อผ้าหรือเกี่ยวกับเครื่องนุ่งห่มของเราแต่เพียงอย่างเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่จำเป็นต้องจำกัดเฉพาะในส่วนของเสื้อผ้า เราอาจจะเอาไว้สำหรับเก็บอุปกรณ์อย่างอื่นก็ได้ด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเอาไว้ในส่วนของเสื้อผ้าเราอาจจะแบ่ง ตู้ลิ้นชักใส่เสื้อผ้า ตรงนี้มาเป็นอุปกรณ์ในการเก็บพวกสบู่ แชมพู ยาสีฟันได้ด้วยเช่นกัน หรือบางครั้งการใช้อุปกรณ์เหล่านี้อาจจะรวมไปถึงการเก็บของที่เหลือใช้สำหรับตัวเองได้อีกด้วย

การเก็บของที่เหลือใช้อาจจะเป็นในเรื่องของการเอกสารสำคัญ ที่เราไม่อยากให้คนอื่นนั้นได้มาพบได้มาเจอ การเก็บไว้ในห้องถือว่าเป็นการเก็บไว้ในที่ปลอดภัยเหมือนกับเป็นตู้เซฟเล็ก ๆ สำหรับตัวเราเอง อาจจะไม่ได้เก็บของมีมูลค่ามากมายมากนัก แต่เชื่อได้ว่าห้องนอนของเราเป็นห้องที่เราเอาไว้สำหรับพักผ่อน ก็คงจะมีแต่เรากับคนที่เรารักเท่านั้นที่เข้ามาใช้งานได้ ในบางครั้งการเลือกใช้ตู้ลิ้นชักพลาสติกก็ถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่สามารถใช้งานได้ตามจุดต่าง ๆ ได้หลากหลายกันด้วย ปัจจุบันคนที่มีลูกหลานอยู่กับบ้านก็เลือกที่ใช้ ตู้ลิ้นชักพลาสติก ในการเก็บอุปกรณ์หลายอย่าง สอนให้เด็กใช้อุปกรณ์เหล่านี้ให้เหมาะสมกับสิ่งที่ตนเองนั้นควรจะต้องเก็บเอาไว้

ยกตัวอย่างง่าย ๆ ตู้ลิ้นชักพลาสติก 1 ใบจะมีอยู่ประมาณ 3 ช่องเพราะอาจจะระบุทั้ง 3 ช่องให้มีการเก็บของที่แตกต่างกันออกไป สอนให้เด็กรู้ว่าของเล่นนั้นไว้ในส่วนล่างสุด ส่วนที่ 2 ถัดมาอาจจะเป็นการเตรียมอุปกรณ์ส่วนตัวของเด็กอย่างเช่น เสื้อผ้าหรือของที่ตนเองนั้นชอบหรือจะเป็นตุ๊กตาก็ได้ ในส่วนด้านบนของตู้สำหรับการเก็บอุปกรณ์เครื่องเขียนที่เด็ก ๆ นั้นชอบจะมีพื้นที่ส่วนตัวก็สามารถทำได้ด้วยเช่นกัน

แต่ละบ้านควรจะมี ตู้ลิ้นชัก อย่างน้อย 2-3 ใบเอาไว้แยกอุปกรณ์การเก็บที่แตกต่างกันและถือว่าเป็นของใช้ประจำตัวของแต่ละคน ซึ่งราคาของตู้เหล่านี้ไม่ได้มีราคาแพง เลือกให้เข้ากับตัวบ้านก็กลายเป็นเฟอร์นิเจอร์ชนิดหนึ่งได้เป็นอย่างดี
#2894


แกร็บ ประเทศไทย เปิดตัว "GrabExpress 4 Hours" บริการรับส่งพัสดุด่วนภายในเวลา 4 ชั่วโมงด้วยราคา 59 บาท ขานรับตลาดอีคอมเมิร์ซโตแบบก้าวกระโดด ชู 3 จุดเด่น "ย่อมเยา ยืดหยุ่น ปลอดภัย" เล็งเจาะกลุ่มร้านค้าออนไลน์ (Social Seller)

นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม ผู้อํานวยการฝ่ายการตลาดและพันธมิตรธุรกิจ แกร็บ ประเทศไทย เผยว่า "จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาเกือบสองปี ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปในทุกด้าน คนหันมาพึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซหรือการซื้อขายสินค้าออนไลน์นั้นมีอัตราเติบโตแบบก้าวกระโดด ทั้งนี้ จากรายงานเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำปี 2563 โดย Google, Temasek และ Bain & Company ระบุว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยมีการเติบโตที่รวดเร็วอย่างมีนัยยะสำคัญและเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตรวดเร็วที่สุด โดยในปี พ.ศ. 2563 มีมูลค่าสูงถึง 9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เติบโตขึ้น 81% จากปีก่อนหน้า และคาดว่าธุรกิจดังกล่าวจะเติบโตถึง 2.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า" 

"เทรนด์การซื้อขายสินค้าออนไลน์ที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วส่งผลให้มีปริมาณความต้องการของบริการจัดส่งสินค้า-พัสดุเพิ่มมากขึ้น ซึ่งต้องมีทั้งความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัยและมีราคาที่ย่อมเยา ล่าสุด แกร็บ ประเทศไทย จึงได้เปิดตัว 'GrabExpress 4 Hours' บริการจัดส่งสินค้า-พัสดุภายในระยะเวลา 4 ชั่วโมงด้วยแกร็บเอ็กซ์เพรส ในราคาเริ่มต้นเพียง 59 บาท ซึ่งถือเป็นบริการรูปแบบใหม่ล่าสุดที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์กลุ่มพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยปิดจุดอ่อนของบริการจัดส่งพัสดุด่วนแบบเรียลไทม์ (Instant Delivery) ที่มีราคาค่อนข้างสูง และบริการจัดส่งสินค้าในวันถัดไป (Next Day Delivery) ที่แม้ราคาค่าบริการจะถูกกว่าแต่ลูกค้าต้องรอนานข้ามวัน โดยบริการ GrabExpress 4 Hours นี้มาพร้อมจุดเด่น 3 ด้านที่สร้างความแตกต่าง ช่วยให้ร้านค้าออนไลน์สามารถส่งมอบสินค้าได้ทันใจและประหยัดต้นทุนไปพร้อมๆ กัน" 



จุดเด่น 3 ประการของบริการ GrabExpress 4 Hours ประกอบด้วย
• ราคาย่อมเยาเข้าถึงได้ (Affordability): ค่าบริการเริ่มต้นเพียง 59 บาทซึ่งเป็นราคาเหมาสำหรับการจัดส่งสินค้าหรือพัสดุขนาดเล็กภายในระยะทาง 15 กิโลเมตรแรก โดยใช้เวลาจัดส่งถึงมือลูกค้าเพียง 4 ชั่วโมงนับจากเวลาที่กดใช้บริการ (อัตราค่าบริการจัดส่งเพิ่มขึ้นกิโลเมตรละ 10 บาทตั้งแต่ระยะทาง 15 - 30 กิโลเมตร)
• ความยืดหยุ่นในการให้บริการ (Flexibility): สามารถเรียกใช้บริการจัดส่งได้ตลอดวันตั้งแต่ 08.00 - 18.00 น. (สำหรับในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด จะให้บริการตั้งแต่เวลา 08.00 - 16.00 น.) โดยมีพาร์ทเนอร์คนขับไปรับสินค้าหรือพัสดุจากผู้ส่งถึงมือ ไม่ต้องเสียเวลาไปจัดส่งด้วยตัวเอง
• ความปลอดภัยในการใช้บริการ (Service Guarantee): สามารถตรวจสอบและติดตามสถานะการจัดส่งได้แบบเรียลไทม์ผ่านแอปพลิเคชัน Grab ทั้งยังการประกันสินค้า ครอบคลุมมูลค่าสูงสุดถึง 10,000 บาทต่อการจัดส่งในแต่ละครั้ง

"GrabExpress 4 Hours ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ของบริการจัดส่งสินค้า-พัสดุแบบออนดีมานด์ ซึ่งมุ่งเน้นตอบโจทย์ให้กับกลุ่มร้านค้าออนไลน์เป็นหลัก โดยเราริเริ่มขึ้นเพื่อต่อยอดโครงการ 'GrabExpress Sellers Club' คู่คิดพิชิตธุรกิจออนไลน์ ที่แกร็บเพิ่งได้เปิดตัวไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยหวังว่าบริการนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจและลดต้นทุนให้แก่ร้านค้าออนไลน์ได้ ซึ่งแกร็บเตรียมขยายบริการดังกล่าวไปในจังหวัดอื่นๆ ต่อไปในอนาคต" นางสาวจันต์สุดา กล่าวทิ้งท้าย

แกร็บ (Grab) คือ ผู้นำด้านซูเปอร์แอปที่ช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันให้กับผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันแอปพลิเคชันแกร็บได้ถูกดาวน์โหลดแล้วบนโทรศัพท์มือถือมากกว่า 214 ล้านเครื่อง ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงพาร์ทเนอร์คนขับ พาร์ทเนอร์ร้านค้า รวมถึงตัวแทนกว่าหลายล้านราย โดยนำเสนอบริการต่างๆ แบบออนดีมานด์ ไม่ว่าจะเป็น การเดินทาง การจัดส่งอาหาร สินค้าและพัสดุ ระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนบริการทางการเงิน เพื่อตอบสนองผู้ใช้บริการทั่วทั้ง 428 เมืองใน 8 ประเทศ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแกร็บได้ที่ www.grab.com
#2895
ชั้นวางทีวี บางบ้านนั้นมีการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์ชนิดนี้ ให้สามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลายรูปแบบ โดยส่วนใหญ่แล้วเรามักจะเลือก ตู้วางทีวี หรือ โต๊ะวางทีวี ให้เหมาะสมต่อบ้านของเราไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรูปทรง ประโยชน์ในการใช้งานจะต้องเน้นย้ำในเรื่องใช้เฟอร์นิเจอร์ตัวนี้ โชว์ให้กับเพื่อนบ้านหรือทุกคนที่เข้ามาดูทีวีของเราเกิดความประทับใจเป็นอันดับแรกกันด้วย

แต่ความเป็นจริงหรือหลักที่ถูกต้องที่สุดคือเราควรจะเลือก ชั้นวางทีวี ที่เกิดประโยชน์กับตัวเลือกหลากหลายที่สุด เราควรเลือกเฟอร์นิเจอร์ตัวนี้ให้เกิดประโยชน์กับเราอย่าง เช่นจะต้องมีลิ้นชักในการใช้อุปกรณ์ต่างๆ นานา โดยส่วนใหญ่แล้วทีวี 1 เครื่องก็จะมีเครื่องเสียงที่วางอยู่ด้านข้างประกบกันด้วย เรียกว่าปัจจุบันทีวีก็มีขนาดจอที่ใหญ่โตมโหฬาร สามารถตั้งเป็นโฮมเธียเตอร์สำหรับบ้านของเราได้และนั่นหมายความว่าการตั้งโชว์บน ชั้นวางทีวี ก็ควรจะมีจุดเด่นมีเอกลักษณ์ประจำตัวที่ดูแล้วให้ความสุขและความอลังการอย่างเต็มที่สำหรับตัวของผู้ชมเอง

สำหรับหลักการเลือก ชั้นวางทีวี หรือ โต๊ะวางทีวี เราควรจะไปเลือกด้วยตัวของเราเองหรือมีการจัดสีสันที่เหมาะสมสำหรับการวางเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่บ้านของเรา บางครั้งการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีสีที่แตกต่างกันของจอทีวีก็ทำให้ ตัวของทีวีหรืออุปกรณ์เครื่องเสียงต่างๆ นั้นดูโดดเด่นมากเพิ่มขึ้นไปด้วย การวางสีโทนเดียวกันทั้งหมดอาจจะทำให้ดูเรียบง่ายเรียบหรู ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องแล้วแต่ว่าแต่ละคนนั้นมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไปแบบไหนซึ่งถามว่า การเลือกเฟอร์นิเจอร์นั้นมีเรื่องของความผิดหรือความถูกในการเลือกเฟอร์นิเจอร์หรือไม่ก็คงจะไม่มีเรื่องของความผิดถูก แต่สำหรับคนที่เชื่อในเรื่องของการจัดวางหลักฮวงจุ้ยหากจำเป็นจะต้องดูในเรื่องของสีสัน ของชั้นวางทีวีกันสักเล็กน้อยเพื่อเสริมดวงเสริมดวงชะตาให้กับเราเองประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆรอบตัวกันไปด้วย ซึ่งเดี๋ยวนี้ ชั้นวางทีวี มีสีสันมากมายให้กับเราได้เลือกใช้ ลองเปรียบเทียบกันดูว่าสีสันไหนและรูปแบบไหนจะเหมาะกับเราและเกิดประโยชน์เสริมฮวงจุ้ยเสริมดวงให้กับเรา เลือกที่ดีที่สุดสำหรับตัวเราในทุกทิศทางกันดู
#2896


บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) ภายใต้พันธกิจ 'EMPOWER LIVING' ที่มุ่งส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ จัดแคมเปญ 'บ้านสร้างบุญ' ได้บ้าน ได้บุญ ได้ส่วนลด ทุกการจองบ้านกลางเมือง และพลีโน่ในกว่า 50 ทำเลทั่วกรุงเทพ เอพีร่วมสมทบทุนบริจาคด้านการแพทย์สู้ภัย โควิด-19 เริ่มตั้งแต่วันนี้ถึง 30 กันยายนนี้

นายเมธา รักธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าทาวน์โฮม บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) เปิดเผยว่า วิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเสี่ยงสูง และต้องทุ่มเทกายใจเพื่อปฏิบัติหน้าที่ดูแลผู้ป่วยอย่างเต็มความสามารถ ทางกลุ่มธุรกิจทาวน์โฮมจึงขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ ฮีโร่ด่านหน้าของไทย ในการสู้วิกฤตโควิด-19 ผ่านแคมเปญ 'บ้านสร้างบุญ' ได้ร่วมทำบุญ ได้บ้าน ได้ส่วนลดเพิ่ม ซึ่งทุกๆ เงินจองที่ลูกค้าจองซื้อทาวน์โฮมเครือเอพี ทั้งแบรนด์ 'บ้านกลางเมือง หรือ 'พลีโน่' ในกว่า 50 โครงการทั่วกรุงเทพ

นอกจากลูกค้าจะได้รับส่วนลดพิเศษเพิ่มเท่าจำนวนเงินจองแล้วนั้น บริษัทฯ จะร่วมสมทบทุนบริจาคเพิ่มเท่ากับจำนวนเงินจองซื้อโครงการ และนำไปส่งมอบให้แก่ 3 องค์กรทางการแพทย์ ได้แก่ กองทุนศิริราชสู้ภัยโควิด ศิริราชมูลนิธิ, โครงการสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ และโครงการป้องกันและช่วยเหลือสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คณะแพทย์ศาสตร์ รพ.รามาธิบดี เพื่อใช้เป็นทุนในการจัดหาอุปกรณ์สู้ภัยโควิด ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการทำงานให้กับทีมแพทย์และบุคลากรด่านหน้าผ่านแคมเปญ "บ้านสร้างบุญ : ได้บ้าน ได้บุญ ได้ส่วนลด" ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 กันยายน 64



"ตั้งแต่เกิดวิกฤตการแพร่ระบาด นอกเหนือจากการดูแลลูกบ้านในโครงการให้ห่างไกลจากโควิด-19 แล้วนั้น ที่ผ่านมาเรายังได้จัดทำแคมเปญ SAVE LIVES PROTECT PEOPLE - เอพี เซฟชีวิต เซฟสังคมขึ้น เพื่อช่วยเหลือและจุดประกายสังคมไทยในการหยิบยื่นความช่วยเหลือตามกำลังให้แก่กลุ่มคนที่อาจถูกมองข้าม และแคมเปญ บ้านสร้างบุญ ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งแคมเปญที่เราอยากเป็นสะพานบุญให้ลูกค้าเอพีทุกท่านได้มีส่วนร่วมสนับสนุนการทำงานให้แก่นักรบชุดขาวที่เหน็ดเหนื่อยเพื่อพวกเราอย่างไม่มีวันหยุดร่วมกัน"

ทั้งนี้ เอพี ไทยแลนด์ เรามุ่ง 'EMPOWER LIVING' ทุกมิติการอยู่อาศัย การทำงานในทุกด้านจะให้ความสำคัญกับการส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกค้า โดยกลุ่มสินค้าทาวน์โฮมในเครือเอพี ทั้งบ้านกลางเมือง ทาวน์โฮม 3 ชั้น ในทำเลศักยภาพ และพลีโน่ ทาวน์โฮม 2 ชั้น บ้านหลังแรกที่ดีที่สุด คือ สองแบรนด์ยอดนิยมที่ลูกค้าให้การตอบรับอย่างดียิ่ง ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะสามารถตอบโจทย์ความต้องการในการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุค Next Normal ได้เหนือกว่าใคร เราเชื่อมั่นว่าแคมเปญ 'บ้านสร้างบุญ' ได้บ้าน ได้ส่วนลด ได้บุญ จะมีส่วนในการเอ็มพาวเวอร์ให้สังคมไทยผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 และสามารถกลับมายิ้มด้วยกันอีกครั้งในเร็ววันนี้

เอพี ไทยแลนด์ ภายใต้พันธกิจ 'EMPOWER LIVING'
มุ่งส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดี ที่ลูกค้าสามารถเลือกได้
#2897
 
 
ข้าวอินทรีย์สำหรับแม่ให้นมลูก
กลุ่มข้าวอินทรีย์สุรินทร์ จากนาข้าวเคมีสู่นาข้าวอินทรีย์  เกษตรอินทรีย์  การผลิตข้าวออร์แกนิค

9 เหตุผลที่คุณแม่ตั้งครรภ์ .....ควรรับประทานข้าวกล้องออร์แกนิค (ข้าวอินทรีย์กรมการข้าว)
        การรับประทาน "#ข้าวกล้องออร์แกนิค หรือ  ข้าวอินทรีย์แฟร์เทรด  " ส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์และสุขภาพคุณแม่มากมาย ถือเป็นหนึ่งในอาหารกลุ่มให้พลังงาน ข้าวกล้องเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี จึงยังคงไว้ด้วยคุณค่าสารอาหารมากกว่าขาวที่ถูกขัดสีแล้ว  เรามากันทำไมคุณแม่ตั้งครรภ์ควรกิน  "#ข้าวกล้องออร์แกนิค"  ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้




1. ข้าวกล้องมะลินิลออแกนิค, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในเรื่องของอาการท้องผูกและมะเร็งลำไส้
2.  ข้าวกล้องหอมมะลินิลออแกนิคสำหรับทารก, ข้าวกล้องออร์แกนิคเมื่อรับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันการเกิดปากนกกระจอก เนื่องจากมีวิตามินบี 2
3.   ข้าวหอมมะลิออแกนิคสำหรับทารก, ข้าวกล้องออร์แกนิคบรรเทาอาการอ่อนเพลีย อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ
4.  ข้าวกล้องหอมมะลิorganic, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน และเส้นผม
5. ข้าวกล้องปะกาอำปึลอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีธาตุเหล็กมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
6.  ข้าวปะกาอำปึลอินทรีย์กรมการข้าว, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีเกลือแร่ และวิตามินรวมกันกว่า 20ชนิด ซึ่งช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
7.  ข้าวผกาอำปึลออแกนิค, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีโปรตีนมากกว่า 20-30% ช่วยเสริมสร้างร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ
8.   ข้าวหอมมะลิแดงorganic, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแคลเซียมจำเป็นที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง และยังช่วยป้องกันการเกิดตะคริว ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์กว่า 90% ต้องเผชิญ
9. ข้าวกล้องหอมมะลิแดงออแกนิคคือ, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแป้งมีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น มีผลทำให้สุขภาพจิตใจของคุณแม่ตั้งครรภ์ดีขึ้น เพราะสุขภาพร่างกายแข็งแรง สดชื่น แจ่มใส

หลังจากรู้คุณค่าของ "ข้าวกล้องออร์แกนิค"  กันแล้ว อย่าลืมซื้อ "ข้าวกล้องออร์แกนิก"  มาทานกันนะคะ

ข้าว Hor.Boutique ข้าวไรซ์เบอรี่ หรือ ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่   ข้าวอินทรีย์
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website :   ข้าวหอมมะลิปลอดสารพิษ
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  ข้าวกล้องหอมมะลิออร์แกนิค
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิปลอดสารพิษ
3.  ข้าวปะกาอำปึลออแกนิก   ข้าวกล้องผกาอำปึลออร์แกนิค(ข้าวพื้นถิ่นออแกนิกสุรินทร์) 4.  ข้าวผสมหลายสายพันธุ์ปลอดสารเคมีจังหวัดสุรินทร์
5.  ข้าวกล้องเกษตรอินทรีย์หอมมะลิแดง 6.  ขายข้าวกล้องหอมมะลินิลอินทรีย์
7.  ข้าวไรซ์เบอรี่อินทรีย์กรมการข้าว ข้าวไรซ์เบอร์รี่เพื่อสุขภาพ 

#ข้าวคนท้อง  #ข้าวสำหรับคนท้อง   #ข้าวคนตั้งครรภ์   #ข้าวสำหรับคนตั้งครรภ์  #คนท้องกินข้าวกล้อง  #คุณแม่ตั้งครรภ์
 

 
 
#2898


วันที่ 15 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ให้สัมภาษณ์ในรายการสุทธิชัยไลฟ์ ในหัวข้อ "มุมมอง ธนินท์ เจียรวนนท์ โควิดกับทางออกของประเทศไทย" โดยพิธีกร คือ นายสุทธิชัย หยุ่น เปิดประเด็นว่า ได้สัมภาษณ์บุคคลจากหลายภาคส่วน และ วันนี้จะเป็นการพูดคุยกับนายธนินท์ในบทบาทภาคธุรกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และ แนวโน้มทางเศรษฐกิจของไทย


นายธนินท์ กล่าวว่า เป็นหัวเลี้ยว หัวต่อของประเทศไทย ซึ่งวิกฤตโควิดเป็นเหมือนสงครามโลก (โรค) ครั้งที่ 3 ก็ว่าได้ เพราะทุกประเทศในโลกได้รับผลกระทบทั้งหมด แต่หากประเทศใดปรับตัวได้ ก็จะก้าวกระโดด แต่หากประเทศไทยขาดนโยบายที่มีความพร้อม และมีการเปลี่ยนแปลงไม่เร็วพอ ก็จะตกขบวน ตามหลังประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ในสถานการณ์ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อยังไม่ลดลง และยังไม่แน่ใจว่า ฟ้าจะกลับมาสว่างอีกครั้งเมื่อใด ทั้งนี้ นายธนินท์ ได้กล่าวถึง 4 ประเด็น ที่ต้องให้ความสำคัญ ได้แก่ 1) ปากท้อง 2) ป้องกัน 3) รักษา 4) อนาคต

ประเด็นแรก คือเรื่อง "ปากท้อง" โดยนายธนินท์กล่าวว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน คนได้รับความลำบากมาก คนลำบากในต่างจังหวัด ยังพอมีญาติ มีอาหารมาแบ่งปัน ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ยังพอประทังชีพได้ แต่คนมีรายได้น้อยในเมือง และคนที่มีภาระ เมื่อเจอเข้ากับวิกฤตที่ต้องกักตัว ไปทำงานไม่ได้ จะทำให้ลำบากมาก แม้กระทั่งอาหาร บางครั้งยังไม่เพียงพอ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ที่ภาครัฐต้องมีมาตรการมาดูแล แต่ในส่วนของภาคเอกชน เราทำได้เพียงช่วยแบ่งเบาภาระ

โดยเครือซีพี มีโครงการครัวปันอิ่ม แจกอาหาร 2 ล้านกล่อง ในเวลา 2 เดือน ร่วมกับ 100 พันธมิตรอาสาสมัคร ไปแจกให้กับชุมชน โดยอาหารจำนวน 1 ล้านกล่องจากจำนวนทั้งหมด จะสั่งซื้อจากร้านอาหาร ขนาดกลาง ขนาดเล็ก และ ขนาดจิ๋ว เป็นเป็นการช่วยเหลือจากปัญหาร้านถูกปิด เพื่อให้ร้านต่าง ๆ พออยู่ได้ และ ยังช่วยให้ชุมชนต่าง ๆ ที่ลำบาก เข้าถึงอาหาร และ หน้ากากอนามัย ที่แจกในคราวเดียวกัน นอกจากนี้ จะทำการคัดเลือกร้านที่สะอาด ปลอดภัย และช่วยโปร โมทร้านอาหาร พร้อมใส่เบอร์โทร หากใครสนใจก็สั่งซื้อจากร้านได้โดยตรงอีกด้วย


ประเด็นที่สอง คือ "ป้องกัน" โดยนายธนินท์ เน้นความสำคัญของวัคซีน ยิ่งฉีดได้ครอบคลุมรวดเร็วมากเท่าไหร่ ก็จะลดผลกระทบได้มากเท่านั้น ตัวอย่างมีให้ดูหลายประเทศ เช่น อังกฤษ พอฉีดได้จำนวนมาก ก็กลับมาเปิดประเทศ ถึงแม้ว่าจะติดเชื้อเพิ่ม แต่ก็ไม่ตาย ไม่เจ็บหนัก ก็จะทำให้ประเทศสามารถเดินต่อไปได้ ซึ่งต้องตั้งเป้าหมายฉีดให้ครบ 100% ไปเลย โดยนำเข้าวัคซีนทุกยี่ห้อ

ในตอนหนี่งของการสัมภาษณ์ นายสุทธิชัย หยุ่น ได้ถามว่า นายธนินท์ หรือซีพี มีส่วนในการนำเข้าวัคซีนซิโนแวคของรัฐบาลหรือไม่  ซึ่งนายธนินท์ ได้ตอบอย่างเคลียร์ชัดว่า ไม่เกี่ยวข้องแน่นอน เพราะการผลิตวัคซีนทั้งหมดของซิโนแวคต้องส่งให้กับรัฐบาลจีน และต่อให้เอกชนอยากซื้อก็ซื้อไม่ได้ พนักงานเครือซีพีในประเทศจีน ยังไม่สามารถซื้อซิโนแวคมาฉีดให้พนักงานได้เลย ขึ้นอยู่กับรัฐบาลจีนทั้งหมด นายธนินท์กล่าวเสริมที่มาของประเด็นซิโนแวคว่า

ตอนที่บริษัทซิโนแวคตั้งต้นจะทำวิจัยวัคซีนป้องกันโควิด อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ มีเงินไม่พอ ต้องการระดมทุนเพิ่ม หลานชายซึ่งรู้จักกับหมอและนักวิจัยด้านยา ก็ได้รับเชิญชวนให้เข้าไปช่วยลงทุนในยามที่บริษัทนี้เงินไม่พอ ซึ่งต่อมาบริษัทนี้ซึ่งอยู่ในเครือฯของซิโนแวคก็ให้เป็นหุ้นบริษัทคืนแก่หลานชายในประเทศจีนมา 15% ในอัตราเท่ากับนักวิจัยที่มีหุ้นกันละ 15% ซึ่งในช่วงนั้น จริง ๆ เป็นการช่วยเหลือนักวิจัยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ  แต่ไปสั่งการอะไรไม่ได้ จะขอซื้อวัคซีนก็ทำไม่ได้แน่นอน ซึ่งในประเทศไทย ซีพียังต้องสั่งซื้อวัคซีนซิโนฟาร์มมา 1 แสนโด้ส มาดูแลพนักงานของบริษัทเอง โดยซื้อจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จะซื้อตรงก็ยังทำไม่ได้ เพราะวัคซีน ถูกควบคุมทั้งหมด

นอกจากนี้ วัคซีนทุกยี่ห้อ หากผู้ผลิต กล้าฉีดให้คนประเทศของเขา ก็มั่นใจได้ว่า มีความปลอดภัยระดับสูง โดยนายธนินท์เอง ก็ฉีดวัคซีน แอสตร้าซินิก้า เพราะคนอังกฤษฉีดกัน ยอดผู้ป่วยหนัก และ ผู้เสียชีวิตก็ยังน้อย ดังนั้น ต้องนำเข้าวัคซีนหลาย ๆ ยี่ห้อ เข้ามาฉีด ของทางอเมริกา ยุโรป ก็มีเทคโนโลยีที่ดี และประเทศเหล่านั้นได้ฉีดให้คนของเขาจำนวนมาก เราจะกลัวอะไร ยิ่งมีทางเลือกมาก ประชาชนก็มั่นใจ และ ฉีดวัคซีนได้เร็วขึ้น

ประเด็นที่สาม คือ "รักษา" โดยกล่าวถึง การรักษาที่ต้องเร็ว ถึงแม้ว่าผู้ป่วย 90% หายได้ด้วยการดูแลตัวเอง แต่การที่ผู้ป่วยต้องอยู่บ้านเป็น Home Isolation มากขึ้น ยังจำเป็นต้องดำเนินการคู่กับหมอทางไกล Telehealth และต้องเข้าถึงยาโดยเร็ว หากคนไข้ได้ปรึกษาอาการกับหมอ มีหมอออนไลน์ จะมีกำลังใจ นอกจากนี้นายธนินท์ได้ย้ำว่าเรื่องการเข้าถึงยามีความสำคัญอย่างมาก อย่ารอให้คนไข้มีอาการหนัก และควรกระจายยาอย่างรวดเร็ว ลดขั้นตอน ยุคนี้ต้องเร็วและมีคุณภาพ

สำหรับเครือซีพี คงช่วยได้บ้างในเรื่องการปลูกฟ้าทะลายโจรในโครงการ ปันปลูก ฟ้าทะลายโจร แจกฟรี 30 ล้านเม็ด ในพื้นที่ 100 ไร่ ใน 100 วัน เราจะปลูกเพื่อแจกจ่ายฟรี เพราะตอนนี้ฟ้าทะลายโจรขนาดตลาดมาก เป็นเพียงเข้าไปเสริมในตลาด ทำให้ผู้ประกอบการเดิมไม่กระทบ ดังนั้น เราเป็นการเติมซัพพลาย เข้าไปลดความขาดแคลนเท่านั้น โดยเป็นการแจกฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายแน่นอน โดยจะปลูกโดยควบคุมเป็นแบบปลอดสารพิษทั้งหมด และจะถ่ายทอดองค์ความรู้ให้เกษตรกร ชาวบ้าน โดยมีอิสระในการปลูก การขาย และขยายผล โดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ทั้งนี้ การบริโภคฟ้าทะลายโจร ต้องรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมตามคำแนะนำของสาธารสุข

ประเด็นที่ 4 คือ "อนาคต" ซึ่งนายนินท์ ชี้ประเด็นประเทศไทยเสี่ยงถดถอย หากภาครัฐไม่มีมาตรการรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ปัจจุบัน ธุรกิจขนาดจิ๋ว เล็ก กลาง ใหญ่ ล้วนได้รับผลกระทบ และหากต้องล้มหาย ตายจากไป หลังพ้นวิกฤต บริษัทที่จะจ่ายภาษีให้ประเทศได้จะมีจำนวนลดน้อยลง และเครื่องจักรเศรษฐกิจ เช่น ท่องเที่ยว ส่งออก จะใช้เวลาฟื้นตัวช้า หากมีการปิดกิจการไปแล้ว ดังนั้น ต้องดูแลให้ธุรกิจทุกระดับอยู่รอด และ ปรับตัวสู่ธุรกิจอนาคต โดยเฉพาะ ธุรกิจ 4.0 และที่สำคัญต้องเตรียมพร้อมเรื่องคน วันนี้ประเทศไทยแข่งเรื่องแรงงานราคาถูก กับประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้แล้ว เพราะเรายังต้องใช้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน

ดังนั้น ไทย ต้องขยับไปสู่ธุรกิจไฮเทค แต่ก็ตามมาเรื่องคน คนเราพร้อมหรือไม่ รัฐบาลพูดไป แต่ยังขับเคลื่อนได้ช้า เราต้องออกไปเชิญชวนการลงทุน มาเพื่อสร้างงานในประเทศไทย ดึงดูดนักลงทุน ให้มาลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ในประเทศไทย ไม่ใช่ไปประเทศเพื่อนบ้าน ทุกบริษัทระดับโลกด้านไฮเทค ล้วนเนื้อหอม ทุกประเทศอยากดึงบริษัทเหล่านี้ไปลงทุนในประเทศกันทั้งนั้น 

แล้วประเทศไทย จะมีมาตรการเชิงรุกอะไร ในการไปดึงบริษัทเหล่านี้เข้ามา ดึงคนเก่งทั่วโลก มาอยู่เมืองไทย มาใช้จ่ายที่ประเทศไทย มาจ่ายภาษีให้ประเทศไทย เหมือนเช่นอเมริกา ดึงคนยุโรป จีน อินเดีย ญี่ปุ่น ไปอยู่อเมริกา หรือ คนสิงค์โปร์มีประชากรครึ่งหนึ่ง เป็นคนจากต่างประเทศที่เข้าไปลงทุน เศรษฐกิจใหม่ ก็จะเกิดขึ้น แต่ที่พูดมาทั้งหมด ต้องทำควบคู่กันทั้งหมด ยามมืดสุด ต้องคิดว่า เมื่อสว่างแล้ว ประเทศจะเป็นอย่างไร

 

ดังนั้น ทั้ง 4 ประเด็น ตั้งแต่ปากท้องที่ต้องดูแล ป้องกันโดยการหาวัคซีนให้มากและเร็วที่สุด หากเอกชนจะช่วยนำเข้า รัฐควรรีบสนับสนุน วัคซีนยี่ห้อไหนดี ต้องพยายามนำเข้ามาทั้งหมด การรักษาที่ต้องรวดเร็ว ต้องเข้าถึงยา อย่าปล่อยให้หนัก และสุดท้ายคือ ต้องมองเรื่องอนาคตควบคู่ ทั้ง 4 เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ต้องทำพร้อมกัน ในยามวิกฤต จะใช้ขั้นตอนแบบเดิมไม่ได้ ต้องรวดเร็วและมีคุณภาพ

นายธนินท์ ทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ได้เรียนรู้จากวิกฤตครั้งนี้คือ ความสำคัญของการเปลี่ยนแปลง การปรับตัว หากใครไม่สามารถปรับตัวได้ก็จะไม่สามารถอยู่รอดได้ ไม่ว่าบริษัทจะใหญ่หรือเล็ก ประเทศใดปรับตัวได้จะเป็นผู้นำใหม่ ประเทศที่เคยเป็นผู้นำ หากปรับตัวไม่ได้ ก็จะกลายเป็นผู้ตาม และนี่แหละ คือ สงครามโลก(โรค) ครั้งที่ 3 ที่ทุกหย่อมหญ้า ได้รับผลกระทบอย่างเท่าเทียม
#2899


ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สรุปมูลค่าการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุนวันที่ 16 ส.ค.2564 พบว่า สถาบันในประเทศ (กองทุน) มียอดขายสุทธิ 430.75 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ซื้อสุทธิ 125.34 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 1,433.42 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปในประเทศ (รายย่อย) ขายสุทธิ 1,128.00 ล้านบาท



ทั้งนี้ ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายสะสมในช่วง 1 - 16 ส.ค. กองทุน ซื้อสุทธิ 5,776.58 ล้านบาท โบรกเกอร์ ซื้อสุทธิ 235.12 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 9,929.16 ล้านบาท และรายย่อย ซื้อสุทธิ 3,917.46 ล้านบาท

ส่วนมูลค่าการซื้อขายสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค. - 16 ส.ค. กองทุน ขายสุทธิ 38,571.01 ล้านบาท โบรกเกอร์ ซื้อสุทธิ 9,696.03 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 103,211.42 ล้านบาท และรายย่อย ซื้อสุทธิ 132,086.41 ล้านบาท

ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหว "ตลาดหุ้นไทย" วันนี้ ปิดตลาดดัชนี SET Index อยู่ที่ 1,531.24 จุด เพิ่มขึ้น 2.92 จุด หรือ 0.19% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 77,166.69 ล้านบาท ระหว่างวันเคลื่อนไหว "สูงสุด" แตะระดับ 1,532.94 จุด และต่ำสุด 1,512.28 จุด 
#2900


นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ซึ่งมี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการ ได้มอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) และแนวทางการพัฒนาระยะเร่งด่วนรองรับการเปิดให้บริการเส้นทางรถไฟสายจีน-ลาว ภายในเดือนธ.ค. 2564

รวมทั้งระยะปานกลาง และระยะยาวในช่วงที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระยะยาวยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จการเปิดเส้นทางรถไฟสายลาว-จีน เป็นโอกาสที่ดีสำหรับการค้าสินค้าเกษตรไทยไปยังจีน เนื่องจากที่ผ่านมา จีนเป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญอันดับที่ 1 ของไทย โดยปี 2563 ไทยมีมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรไปจีน 314,956 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีมูลค่าส่งออก 281,577 ล้านบาท

สินค้าส่งออกที่สำคัญของไทยไปจีน ได้แก่ ยางธรรมชาติผลไม้และผลิตภัณฑ์ มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ/สัตว์ ข้าวและผลิตภัณฑ์ เป็นต้น และมีมูลค่าการนำเข้าสินค้าเกษตรจากจีนมายังไทย 53,422 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีมูลค่าส่งออก 52,944ล้านบาท

ส่วนสินค้านำเข้าที่สำคัญจากจีนมายังไทย ได้แก่ ผลไม้และผลิตภัณฑ์ ผักและผลิตภัณฑ์ พืชอาหาร และน้ำตาลและผลิตภัณฑ์เป็นต้น ซึ่งเมื่อเปิดให้บริการเส้นทางรถไฟสายลาว-จีนอย่างเต็มรูปแบบในระยะยาว จะเป็นโอกาสที่ดีของไทย ทำให้มีทางเลือกในการขนส่งสินค้าไปยังจีนได้มากขึ้น และคาดว่า จะทำให้การส่งออก-นำเข้าของทั้งลาวและจีน ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้


เมื่อเดือนมิ.ย.2564 นายทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์การเกษตร ในที่ประชุมได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการใน 3 เรื่อง ได้แก่ 1. เร่งพัฒนาระบบ National Single Window (NSW) และปรับลดขั้นตอนในการนำเข้าส่งออกสินค้าเกษตรให้แล้วเสร็จในสิ้นปี2564

จัดตั้งคณะทำงานจัดทำแผนการเตรียมความพร้อมรองรับการให้บริการเส้นทางรถไฟไทย-ลาว-จีน ระยะเร่งด่วน ปานกลางและ ยาว เพื่อรองรับการเปิดให้บริการในสิ้นปี 2564 และเตรียมความพร้อมไว้ระหว่างรอการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้แล้วเสร็จในระยะยาว และ 3. เร่งเจรจาเพื่อลงนามในพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ไทยผ่านประเทศที่สาม เพื่อสามารถให้บริการได้ภายในสิ้นปี 2564
ทั้งนี้ สินค้าเกษตรมีความยากและซับซ้อนมากกว่าสินค้าอุตสาหกรรมอื่นๆ เนื่องจากสินค้าเกษตรมีความหลากหลายแตกต่างกันในแต่ละชนิดสินค้า ซึ่งมีเงื่อนไขหรือข้อจำกัด แบ่งออกเป็น 2 มิติ คือมิติต้นทุน กรณีส่งออกผลไม้สดจะมีเรื่องของการสูญเสียระหว่างขนส่งมากกว่าสินค้าแปรรูป ซึ่งความสดใหม่และการเน่าเสียจะง่ายกว่า จำเป็นต้องใช้เทคนิคในการบรรจุภัณฑ์เพื่อป้องกันการกระแทก และรักษาคุณภาพของผลผลิตมากกว่าสินค้าแปรรูป

มิติเวลา กรณีส่งออกสินค้าเกษตรแปรรูปแช่แข็ง จำเป็นต้องใช้การขนส่งที่เหมาะสมด้วยระบบcold chain เข้ามาช่วยรักษาคุณภาพของสินค้า ให้ไม่เกิดการเน่าเสียประเด็นปัญหาสำคัญของการส่งออกสินค้าเกษตรผ่านเส้นทางรถไฟลาว-จีน ยังมีข้อจำกัด เนื่องจากสินค้าที่ส่งออกทางรางจากด่านหนองคายจะไปสุดปลายทางที่ท่านาแล้ง สปป.ลาว ซึ่งยังไม่เชื่อมต่อจุดที่ขนส่งทางรางไปยังจีน

ดังนั้น สินค้าจะต้องถูกเปลี่ยนถ่ายจากรถไฟไปสู่รถบรรทุกขนส่ง ณ ท่านาแล้ง สู่สถานีคำสว่างของลาวระยะทาง 15-20 กม. ถึงจะเปลี่ยนถ่ายจากรถบรรทุกขนส่งไปยังรถไฟก่อนส่งต่อไปยังจีนได้ ซึ่งการเปลี่ยนถ่ายสินค้าจากรถไฟ-รถบรรทุก-รถไฟ จะต้องใช้ระยะเวลาในการขนถ่าย ซึ่งหากบริหารจัดการไม่ดี จะเป็นปัญหาของการขนส่งสินค้าเกษตรที่เน่าเสียง่าย เรื่องนี้ เป็นประเด็นสำคัญที่รัฐบาลไทย-ลาว-จีน ต้องหารือเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกันต่อไป


อย่างไรก็ตามเกษตรกรผู้ผลิตและผู้ประกอบการส่งออกสินค้าเกษตร ต้องเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดเส้นทางรถไฟสายลาว-จีน ในส่วนของเกษตรกรผู้ผลิต ควรเน้นในเรื่องการผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพได้มาตรฐานการส่งออก ซึ่ง กระทรวงเกษตรให้ความสำคัญและส่งเสริมเรื่องนี้มาโดยตลอด ส่วนการเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการส่งออกสินค้าเกษตร ในระยะแรกที่เปิดให้บริการเส้นทางรถไฟ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องศึกษาความคุ้มค่าในการส่งออกสินค้าเกษตรผ่านเส้นทางดังกล่าวให้รอบคอบ เนื่องจากมีจุดที่ขาดการเชื่อมโยง Missing linkระยะทาง 15-20 กม. ซึ่งจะต้องมีการเปลี่ยนถ่ายสินค้า ดังกล่าว