• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - dsmol19

#6873


นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น เป็นเจ้าหน้าที่สำนักงบประมาณที่เข้ามาชี้แจงต่อคณะอนุกรรมาธิการงบฯ 3 คณะในวันที่ 8,10 และ 13 กรกฎาคม โดยวันที่ 8 กรกฎาคม เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวยังไม่มีอาการ แต่มีอาการเริ่มเจ็บคอในวันที่ 12 กรกฎาคม ก่อนจะตรวจพบเชื้อในวันที่ 13 กรกฎาคม ทั้งนี้ จึงได้สอบสวนโรคย้อนไปในวันที่ 10 กรกฎาคม ซึ่งเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวร่วมประชุมคณะอนุกรรมาธิการฯฝึกอบรมฯ ตั้งแต่เวลา 20.30-21.00 น. ดังนั้น ผู้ที่เข้าร่วมประชุมคณะอนุกรรมาธิการฯในวันดังกล่าวถือเป็นกลุ่มเสี่ยงทั้งหมด ส่วนในวันที่ 13 กรกฎาคมนั้น เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวร่วมประชุมคณะอนุกรรมาธิการกองทุนรัฐวิสาหกิจฯในเวลา 14.25-14.40 น. ซึ่งวันดังกล่าวนั้นแน่ชัดว่ามีการติดเชื้อแล้ว ดังนั้น กลุ่มนี้ทั้งหมดก็เป็นกลุ่มเสี่ยง อย่างไรก็ตาม พบว่า ห้องประชุมกรรมาธิการฯมีขนาดเล็ก แต่มีผู้เข้าร่วมประชุมจำนวนมากเกือบ 40 คนต่อคณะ

นพ.สุกิจ กล่าวว่า คณะกรรมาธิการงบประมาณชุดใหญ่มีความเห็นว่าควรตรวจหาเชื้อกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ ทางสภาฯจึงติดต่อกับทางโรงพยาบาลเอกชนเพื่อตรวจหาเชื้อด้วยอุปกรณ์ Rapid Antigen Test คาดว่า เร็วที่สุดน่าจะได้ตรวจในวันพรุ่งนี้ โดยเบื้องต้นมีกลุ่มเสี่ยงประมาณ 100 คนที่จะได้รับการตรวจหาเชื้อ ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่สัมผัสใกล้ชิดจะต้องกักตัว โดยจะสอบสวนกันอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การคัดกรองจะเริ่มพรุ่งนี้ แต่ในวันนี้ทุกคนยังคงทำงานปกติ

เมื่อถามว่า จะเป็นข้อครหาหรือไม่ว่า การตรวจหาเชื้อในหน่วยงานราชการง่ายกว่าประชาชนที่ต้องไปต่อคิวตรวจหาเชื้อ นพ.สุกิจ ระบุว่า เป็นกรณีการทำงานเพื่อส่วนรวม หากกรรมาธิการเดินหน้าไม่ได้ ก็โดนข้อครหาอีกด้านว่า ทำไมจึงไม่สามารถประชุมได้ ซึ่งการทำงานของกรรมาธิการเป็นเรื่องบ้านเมืองและเป็นเรื่องผลประโยชน์บ้านเมืองที่สำคัญ
#6874


การแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 เป็นปฎิกิริยาเร่งการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในหลายมิติ รวมทั้งด้านการอยู่อาศัยที่ให้ความสำคัญด้านสุขอนามัย และนำเทคโนโลยีมาใช้ตอบโจทย์ความสะดวกและวิถีชีวิตปกติใหม่ (New Normal) มากขึ้น โดย "ลุมพินี วิสดอม" บริษัทด้านวิจัยและพัฒนาในเครือบริษัท แอล.พี. เอ็น ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า "บ้านอัจริยะ"หรือSmart Residence ขยายตัวสูงมากกว่า 40% ต่อปีทีเดียว

ประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการบริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (มหาชน)บริษัทด้านวิจัยและพัฒนาในเครือบริษัท แอล.พี. เอ็น ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มการพัฒนาที่อยู่อาศัยยุคหลังโควิด มีการออกแบบที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของประชาชนภายใต้วิถีชีวิตปกติใหม่ (New Normal) ซึ่งกลายเป็นวิถีชีวิตในปัจจุบัน (Now Normal)

การวิจัยของทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ "ลุมพินี วิสดอม" พบว่า ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ 3 ปัจจัยในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ประกอบด้วยพื้นที่ใช้สอยและวัสดุ (Function & Material) สุขอนามัย (Health) เทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย (Smart Living Technology) โดยนำนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยโดยใช้เทคโนโลยี Internet of Thinks (IoTs) และอุปกรณ์อัจฉริยะเข้ามาเป็นส่วนสำคัญทำให้การอยู่อาศัยสะดวก ปลอดภัย มากขึ้น

"พฤติกรรมผู้ซื้อที่อยู่อาศัยทั่วโลกให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยเข้ามาใช้ในการปรับปรุงที่อยู่อาศัยในรูปแบบของบ้านอัจฉริยะ หรือ Smart Residence มากขึ้น รวมทั้งผู้ซื้อในไทย เริ่มให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่มีเทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อให้การอยู่อาศัย สะดวก สบาย ปลอดภัย"

โดยเฉพาะหลังการแพร่ระบาดของโควิด การใช้ชีวิตของผู้คนในสังคมเปลี่ยนแปลงไปจากบ้านเป็นที่อยู่อาศัยเพื่อการพักผ่อนและทำกิจกรรมส่วนตัว ปัจจุบันบ้านเป็นทั้งที่ทำงานและสถานที่พักผ่อนไปพร้อมกัน เมื่อผู้คนต้องทำงานที่บ้าน (Work from Home) มากขึ้น ทำให้การออกแบบพื้นที่อยู่อาศัยต้องมีพื้นที่ที่ยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนการใช้สอยได้แบบ "Multifunctional Space"

ยกตัวอย่าง การแบ่งพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านด้วยผนังทึบอาจต้องปรับเป็นผนังที่เปิดเพื่อเชื่อมต่อพื้นที่ภายในที่อยู่อาศัย ทำให้ดูโปร่ง มีการไหลเวียนอากาศที่ดี เลือกใช้วัสดุที่เหมาะสม เช่น พื้นที่ครัวโดยเฉพาะครัวไทย ต้องใช้วัสดุที่เช็ดทำความสะอาดได้ง่าย ระบายอากาศได้ดี หรือพื้นที่อ่านหนังสือ-พื้นที่นั่งเล่นที่ต้องการปริมาณแสงธรรมชาติมากกว่าห้องนอน

จากการประเมินของ IDC สถาบันวิจัยด้านการตลาดของสหรัฐ ระบุว่า จำนวนอุปกรณ์ "Smart Residence" ของโลก เติบโตเฉลี่ย 31% ต่อปี จาก 644 ล้านเครื่อง ในปี 2561 เป็น 1,300ล้าน เครื่องในปี 2565 หรือเพิ่มมากกว่า "เท่าตัว" ภายใน 3 ปี ขณะที่ A.T. Kearney ระบุว่า มูลค่าตลาด Smart Residence ทั่วโลก อยู่ที่ 2.63 แสนล้านดอลลาร์ หรือราว 8.4 ล้านล้านบาทในปี 2568 ซึ่งส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับ 2 หมวดหลัก คือ อุปกรณ์ที่เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต และอุปกรณ์ที่ตอบสนองความต้องการด้านความปลอดภัย

ด้าน "เมสเซ่ แฟรงก์เฟิร์ตนิว เอร่า บิซิเนส มีเดีย" ศึกษาการเติบโตของตลาด Smart Residence ในประเทศไทย พบว่า โปรดักท์ "Smart Home" ในไทยปี 2559 มีมูลค่า 645 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในปี 2563 มีมูลค่า 2,500 ล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ย 40% ต่อปี! แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์ Smart Residence เพื่อการดูแลผู้สูงอายุ เติบโตสูงสุด 60% และ Smart Home เพื่อการรักษาความปลอดภัยเติบโตอันดับ 2 อยู่ที่ 45% ต่อปี

ประพันธ์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า นอกจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ยังมีปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ทำให้ผู้คนหันมาดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น ดังนั้นนวัตกรรมด้านสุขอนามัย เช่น ระบบช่วยลดไวรัสและแบคทีเรียภายในอากาศ นวัตกรรมด้านวัสดุ เช่น สีทาบ้าน Low VOCs รวมถึงพื้นที่สีเขียวภายในบ้านถูกนำมาใช้มากขึ้น พร้อม เทคโนโลยี "Home Automation" เชื่อมต่อเข้ากับระบบสั่งการต่างๆ ทั้งทางเสียง หรือแอพพลิเคชั่น เพื่อควบคุมการทำงานของระบบเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น เปิด-ปิดไฟ โทรทัศน์ เครื่องเสียง ปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศ การเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตกับอุปกรณ์สั่งการด้วยเสียง นวัตกรรมที่ช่วยแก้ปัญหาความร้อนภายในที่อยู่อาศัย เช่น ระบบ Fresh Air Intake การนำระบบรักษาความปลอดภัย กล้องวงจรปิด ระบบเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว ควบคุมผ่านแอพพลิเคชั่น เมื่อเกิดเหตุก็จะส่งสัญญาณเตือนมาที่โทรศัพท์ของผู้ใช้งาน

"Smart Residence" กำลังถูกพัฒนาไปพร้อมๆ กับการพัฒนาเทคโนโลยี 5G และมีความเสถียรของระดับราคาที่จับต้องได้ (Affordable Price) มากขึ้น ตอบรับผู้บริโภคยุค Smart Life
#6877

(15 ก.ค.64) นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า  วันนี้เป็นวันแรกของการเริ่มโครงการสมุยพลัส  (Samui Plus) ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้เปิดระบบให้นักท่องเที่ยวลงทะเบียน เพื่อขอหนังสือรับรองบุคคลที่เดินทางเข้ามาประเทศไทย (COE) 

นายธานี กล่าวว่า ผู้เดินทางเข้าโครงการ Samui Plus ตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2564 มีผู้ลงทะเบียนขอ COE ผ่าน สถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่ไทยทั่วโลก จำนวน 81 ราย ได้รับอนุมัติแล้ว 14 ราย โดยเป็นผู้เดินทางเข้ามาในวันที่ 15  กรกฎาคม 2564 จำนวน 11 ราย และรอเอกสารประกอบ 65 ราย



· คุณสมบัติผู้เดินทางเข้าสมุยพลัส ได้แก่

1.เป็นผู้มีสัญชาติไทย หรือไม่มีสัญชาติไทยที่อยู่ใน 69 ประเทศ/พื้นที่เป้าหมายเป็นเวลาอย่างน้อย 21 วัน (ยกเว้นเป็นผู้พำนักอยู่ในไทย ทั้งชาวไทยและต่างชาติ)

2. เป็นผู้ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ขึ้นทะเบียนตามกฎหมายของไทย หรือได้รับการรับรองจาก WHO หรือตามที่ สธ.กําหนด ครบโดสแล้วอย่างน้อย 14 วันก่อนการเดินทาง โดยต้องแสดงเอกสารยืนยันการฉีดวัคซีน

****ผู้อายุต่ำกว่า 18 ปี ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน สามารถเดินทางพร้อมผู้ปกครองที่ได้รับวัคซีนแล้วได้) 

3.มีผลตรวจโควิด-19 ที่เป็นลบ ที่มีระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง

4.มีประกันสุขภาพที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลกรณีติดเชื้อโควิด-19 ในไทย ในวงเงินไม่น้อยว่า 100,000 ดอลลาร์ ตามระยะเวลาที่พำนัก

5.มีหลักฐานการจ่ายค่าตรวจโควิด-19 ล่วงหน้าตามจำนวนวันที่พัก

6.มีหลักฐานการชำระค่าโรงแรมมาตรฐาน Samui Extra+ สำหรับการพำนักใน 7 วันแรก และหลักฐานการจองโรงแรมมาตรฐาน SHA+ สำหรับการพำนักใน 7 วันถัดมา

****รายชื่อโรงแรมที่ได้รับมาตรฐาน Samui Extra+ เคยเป็นสถานที่กักกันตัวทางเลือก (AQ) มาก่อน สามารถดาวน์โหลดได้ตาม QR Code ที่ปรากฏบนภาพฉาย ส่วนโรงแรมตามมาตรฐาน SHA+ สามารถดูได้ที่ www.thailandsha.com

· การขอ COE สำหรับผู้เดินทางเข้าสมุยพลัส โมเดล มีขั้นตอนและรายละเอียดเช่นเดียวกับการขอ COE สำหรับเดินทางเข้า Phuket Sandbox โดยต้องลงทะเบียนเพื่อขอรับ COE ล่วงหน้าได้ไม่เกิน 30 วันก่อนวันเดินทางเข้าประเทศไทย

· เมื่อเดินทางถึงสมุย จะมีข้อกำหนดดังนี้

o ผู้เดินทางจะต้องติดตั้งแอพพลิเคชั่น Thailand Plus โดยเปิดระบบติดตามตัวตลอดเวลา

o และเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ในวันที่เดินทางถึง หรือวันถัดมา หากเป็นลบ สามารถทำกิจกรรมนอกห้องพักในบริเวณโรงแรมและพื้นที่ที่โรงแรมกำหนดได้

o วันที่ 4 จนถึงวันที่ 7 หากเป็นลบ สามารถเดินทางท่องเที่ยวใน อ.เกาะสมุย ตามเส้นทางกำหนด และเข้ารับตรวจเชื้ออีกครั้งในวันที่ 7 

o วันที่ 8 ให้เข้าเช็คอินโรงแรม SHA+ และรอผลตรวจที่โรงแรม หากผลเป็นลบ สามารถเดินทางในพื้นที่เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่าได้ โดยต้องเปิดแอพพลิเคชั่น Thailand Plus ไว้ตลอดเวลา

o หากอยู่เกิน 14 วัน หรือต้องการเดินทางไปยังจังหวัดอื่น ๆ หลังวันที่ 14 ผู้เดินทางต้องเข้ารับการตรวจเชื้อโควิด-19 ครั้งที่ 3  ในวันที่ 12 - 13

o หากพำนักน้อยกว่า 14 วัน ต้องมีหลักฐานบัตรโดยสารเที่ยวบินขาออก และเมื่อครบกำหนดพำนักต้องออกจากประเทศไทยเท่านั้น
#6885
นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet  ชอบหวานน้อย นมเน้นๆ มีแคลเซียม ต้องลอง นมอัดเม็ด milk tablet หลายเจ้าในตลาดมากมาย แต่ทำไมนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletแจ้งเกิดเป็นนมอัดเม็ดดาวรุ่งพุ่งแรง เพราะ ความนัวนม ย้ำว่านัวนมๆจริง และรสชาติหวานน้อย ที่เอาใจคนที่หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น รสชาติไม่หวานเลี่ยน การันตีไม่หวานแหลมแสบคอ  นมก็นมแท้ๆแน่นๆ จากนิวซีแลนด์ มี 2 ขนาดให้เลือก 





1.นมอัดเม็ดไทยชอง  milk tablet ขนาด 20 กรัมเป็นรูปซองขวด 1 ซองมี 15 เม็ด ขายปลีกซอง 12 บาท ฮัลโล ไม่แพงน้า รสชาติต้องได้ลอง เลือกคุณภาพ ประโยชน์ และ อร่อยด้วย คุ้มค่า

 

2.นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet ขนาด 27 กรัม ซองสี่เหลี่ยม ตกซองละ 18 บาท 
จะซื้อแบบกล่อง หรือ ซื้อแบบซองก็ได้ แบบกล่องซื้อไปเป็นของขวัญของใกเก๋ไก๋ ดูดีมีราคา เพราะแพคเกจเค้าน่ารักเว่อร์ 
 


นมอัดเม็ด milk tabletเป็นขนมทีมีประโยชน์นะคะ ทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletใช้นมแท้ๆ คุณภาพดีมาเป็นส่วนผสมหลักที่เข้มข้น ทำให้คนทานได้ แคลเซียมและวิตามินบี 2  ใครที่เน้นดูแลเรื่องกระดูกและฟัน และ ลดหวานเพื่อสุขภาพ แนะนำมากๆ กับนมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet

สั่งซื้อ คลิกเลย >>> https://lin.ee/sSGXFCK