• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Fern751

#7205


นายดีราช บาจาช Head of Asia Credit  Lombard Odier  เปิดเผยว่า เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดำเนินตามปกติและนำหน้าประเทศหลักอื่นๆ ส่งผลให้อัตราการผิดนัดชำระหนี้ (Default rate) ในภาคเอกชนโดยรวมลดลง อย่างไรก็ตาม การดำเนินการตามแผนพัฒนาประเทศระยะยาวทำให้รัฐบาลจีนทยอยยกเลิกการอุ้มกิจการที่ไม่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งออกนโยบายที่เข้มงวดมากขึ้นในบางภาคธุรกิจ เช่น อสังหาริมทรัพย์ เพื่อควบคุมความร้อนแรงที่สะสมในช่วง 20 ปี ที่ผ่านมา ทำให้อัตราการผิดนัดชำระหนี้ในภาครัฐวิสาหกิจและภาคธุรกิจที่ตกเป็นเป้าหมายเพิ่มขึ้น

Lombard Odier มองว่าตราสารหนี้เอกชนให้ผลตอบแทนคุ้มค่ากว่าพันธบัตรรัฐบาล และ Spread (อัตราผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากพันธบัตรรัฐบาล) ของตราสารหนี้เอกชนระดับ Investment Grade ในเอเชีย (Asia IG Credit) นับว่าสูงกว่า Spread ของตราสารหนี้เอกชนในระดับเดียวกันทั่วโลก (Global IG Credit) นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ในเอเชีย ทำให้ Spread ของตราสารหนี้ผลตอบแทนสูงในเอเชีย (Asia High Yield)  เพิ่มขึ้น (ราคาลดลง) สวนทางกับ Spread ของตราสารหนี้ผลตอบแทนสูงในสหรัฐฯ (US High Yield) ที่ลดลง (ราคาเพิ่มขึ้น) จึงยิ่งเพิ่มโอกาสการลงทุนให้ตราสารหนี้เอกชนของเอเชีย

ในประเด็นความเสี่ยง ปริมาณตราสารหนี้ใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดไม่น่าสร้างผลกระทบมากนัก เนื่องจากบริษัทเอกชนหลายแห่งได้ออกตราสารหนี้เพื่อล็อคดอกเบี้ยกู้ยืมระยะยาวไปล่วงหน้าแล้ว ขณะที่ ความกังวลเรื่องบอนด์ยีลด์ระยะยาวที่อาจจะปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงจากการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อได้ผ่อนคลายลง ดังจะเห็นได้จากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ อายุ 10 ปี ที่ขยับลงจาก 1.78% ในช่วงเดือนเมษายน 2564 เหลือเพียง 1.22% ณ สิ้นเดือนกรกฏาคม 2564 ที่ผ่านมา


นางสาวศิริพร สุวรรณการ Private Banking Financial Advisory Head Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย ให้คำแนะนำว่า นักลงทุนควรทยอยสะสมเงินลงทุนในสินทรัพย์ให้หลากหลายประเภท ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้พอร์ตการลงทุนเป็นแหล่งสร้างรายได้สม่ำเสมอและเงินลงทุนมีการเติบโตในระยะยาว


สำหรับส่วนของตราสารหนี้ นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางสามารถเลือกลงทุนในกองทุน K-APB เป็นสัดส่วน 3-5% ของพอร์ต เนื่องจากผลตอบแทนของตราสารหนี้ในฝั่งจีนและเอเชียดีกว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว โดยกองทุนนี้ให้ความสำคัญกับการคัดสรรตราสารหนี้คุณภาพดีจากบริษัทเอกชนที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและกำไรสุทธิขยายตัว รวมทั้งมีการกระจายเงินลงทุนในตราสารหนี้มากกว่า 300 รายการ จึงช่วยสนับสนุนพอร์ตโดยรวมทั้งในด้านการสร้างรายได้และพยุงมูลค่าเงินลงทุนในยามตลาดหุ้นผันผวน

ขณะเดียวกัน นักลงทุนควรลดน้ำหนักการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล เพราะอัตราผลตอบแทนปัจจุบันต่ำมาก ทำให้รายได้น้อย และที่สำคัญรายได้นั้นไม่เพียงพอจะชดเชยกับแนวโน้มราคาที่อาจจะลดลงจากผลกระทบของบอนด์ยีลด์ขาขึ้นในอนาคตอันใกล้ได้

สำหรับ "กองทุน K-APB" เป็นกองทุนเปิดที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุน LO Funds – Asia Value Bond Fund, (USD) โดยจะลงทุนในตราสารหนี้ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (รวมญี่ปุ่น) ที่อยู่ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งอาจลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าที่สามารถลงทุนได้ (Non – Investment Grade) และตราสารหนี้ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated Securities) ได้
#7206
การสั่งจองคัมภีร์พระเวทย์
โดยประสิทธิ์ให้เป็นรายบุคคล ท่านใดต้องการจอง ค่าครู 399 บาท



คัมภีร์พระเวทย์ มีวิชาต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

บทนำ บทสวดมนต์ การอัญเชิญบรมครู การขึ้นพานครู บทไหว้ครู บทอัญเชิญครู วิชาเชิญแม่คุ้มครอง วิชากันภัย ๘ ทิศ

วิชากำลังช้างสาร วิชาเสกน้ำปลุกตัว วิชากำแพงแก้ว วิชาตาข่ายเพชรพระเจ้า ๕ พระองค์ วิชาผูกหุ่นพยนต์เฝ้าบ้าน

วิชากันขโมย วิชาปล่อยปลาต่ออายุ การทำสังฆทาน วิชาแก้กรรมทำแท้ง วิชาแก้อาถรรพ์ (ไปรับวัตถุมงคลที่ไม่ดี, รับขันธ์ ฯลฯ) วิชาทำน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ต่อชะตาด้วยตนเอง วิชาตั้งหิ้งพระค้าขาย วิชาการแก้กรรมเฉพาะกิจ วิชาทวงหนี้

วิชาแก้ไฝในที่ลับ วิชาพฤกษาชาติเสริมชะตา วิชาขอขมาพ่อแม่ วิชาลอยสรรพเคราะห์ด่วน วิชาทำน้ำมนต์ประทุมทิพย์

วิชาแก้เคล็ดเสริมลาภ วิชามงกุฎยอดทรัพย์ วิชาไหว้ผีปู่ผีย่า วิชาสร้างปราณเสริมลาภ การทำน้ำมนต์ถอนคุณไสย

วิชาถอนของ ของสมเด็จโต วิชาแก้ของในร้านค้า วิชาเรียกของหาย พระคาถาต่าง ๆ พระคาถาขุนแผน พระคาถาคิ้วทอง

พระคาถาพระลักษณ์หน้าทอง พระคาถาสาลิกาลิ้นทอง พระคาถาเขี้ยวแก้ว พระคาถาราศีทอง พระคาถาสาลิกามัดจิต

พระคาถาไม้สวรรค์ พระคาถาเมตตาอ่อนใจ พระคาถาผูกใจ พระคาถาเสกสีผึ้ง พระคาถาพ่นบุหรี่ พระคาถามหาระรวย

พระคาถามหานิยม พระคาถาเทพรัญจวน พระคาถานะหน้าทอง พระคาถานกแขกเต้า พระคาถาเสกสีผึ้งสีปาก

พระคาถาการะเวกเสียงทอง พระคาถาสาลิกาดลใจ พระคาถาพญาไก่แก้วทั้ง ๑๖ ลืมรัง วิชาฤามหานิยม

การทำเสน่ห์ด้วยใบรักซ้อน วิชาทำหุ่น ทำรัก-ทำเลิก การทำเสน่ห์การ้องทัก (เรียกจิต) วิชาฤาษีมัดใจ(เสกของกิน)

มนต์เสน่ห์มัดใจ(รักกันจนวันตาย) มนต์ปู่จ้อยมหาเสน่ห์ วิชาหงส์ร่อนมังกรรำ วิชามนต์เทพมัดจิตบังคับใจ

วิชากลับธาตุกลับใจ วิชากรงทอง คาถาเสริมลาภ เสกธูปเรียกขนหงส์ทอง คาถาขอลาภ เสกธูปเรียกคน

พระคาถาเรียกเงิน การทำน้ำมนต์ค้าขาย มนต์ขุนแผนเรียกคน บทสวดขอลาภ การทำเทียนสะเดาะเคราะห์

คาถาเรียกเลข วิชาลงทอง เสกน้ำล้างหน้า เหตุใดคาถาถึงศักดิ์สิทธิ์และไม่ศักดิ์สิทธิ์ มนต์ทำงัวธนู การบูชาท้าวเวสสุวรรณ คาถาแก้ฝันร้าย รวมทั้งนิมิตร้าย และลางร้ายต่างๆ เชิญอาคมเข้าสู่ตัว คาถาอาวุธ ๔ ประการ คาถาขอทรัพย์พญานาคราช คาถาบูชาจ้าวปู่พญานาคาธิบดีศรีสุทโธมัจฉราชจริยาคาถา คาถาปลาช่อน (คาถาขอฝน) การบูชาพระราหู พระคาถาพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์เปิดโลก (เรียกบุญบารมีเดิม) คาถาเงินล้าน คาถาชินบัญชร การฝึกสมาธิ



ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สั่งซื้อบูชา ทักแชทได้เลยหรือติดต่อได้ที่



โทร. 0846623662

id line : teerapat999



ลาซาด้า

https://pdp.lazada.co.th/products/i2632506885.html?spm=a1zawg.20038917.content_wrap.6.2f304edfMp9Zq0



#7207
ขายดาวน์ 215,800 (เดือน กค 2564) ห้อง 1017
#7208


บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนเอไอเอ (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย นายสุขวัฒน์ ประเสริฐยิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เป็นตัวแทนรับมอบรางวัล Best New Asset Management Company Thailand ประจำปี 2564 ในหมวด Fund & Asset Management Newcomer Awards จาก Global Banking & Finance Review สื่อการเงินการลงทุนชั้นนำแห่งประเทศอังกฤษ โดยรางวัลดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญพร้อมด้วยประสบการณ์ในด้านการลงทุนของบลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) แม้จะเป็นบลจ. ใหม่ในอุตสาหกรรม โดย บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) เป็นผุ้บริหารเงินลงทุนให้แก่กลุ่มบริษัท เอไอเอ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทประกันชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก[1] ผ่านความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนใน 18 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เสริมด้วยเครือข่ายทางธุรกิจระดับโลก พร้อมทั้งพันธมิตรผู้จัดการกองทุนที่มีชื่อเสียงในระดับสากล

ทั้งนี้ บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) เริ่มประกอบธุรกิจในปี พ.ศ. 2563 ถือหุ้นโดยกลุ่มบริษัทเอไอเอ ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก ด้วยวิสัยทัศน์ที่ว่า "เราลงทุนเคียงข้างลูกค้า บริหารจัดการสินทรัพย์ผ่านความชำนาญและประสบการณ์ระดับโลก เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้กับผู้ลงทุน" ปัจจุบัน บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารประมาณ 800,000 ล้านบาท อันรวมถึงกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคคล ซึ่งถือเป็นบลจ. ที่มีขนาดใหญ่ใน 5 อันดับแรกของอุตสาหกรรมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน[2] (ข้อมูล ณ เดือนพฤษภาคม 2564)
#7210
89,400,000 บาทค่ะ
T.065.965.7691 (เบญ)
ID:bp2036 
เจ้าของขายเอง

ขายที่ดินย่านธุรกิจ ใกล้กองสลาก ด้านหน้าติดถนนสนามบินน้ำ อ.เมือง จ.นนทบุรี


ที่ตั้งที่ดินนะคะ ถนน นนทบุรี ท่าทราย อำเภอเมืองนนทบุรี นนทบุรี 40160

T.0659657691 (เบญ)
ID:bp2036 
เจ้าของขายเอง

เนื้อที่ 1-3-45 ไร่ 
หน้ากว้างมาก  ก.46 ม. x ย. 61 ม. 
เหมาะทำอาคารพาณิชย์, หอพัก, บ้านพักอาศัย, เปิดร้านอาหาร, Cafe, 
super maket และอื่นๆ
ด้านหน้าติดถนนสนามบินน้ำ
ห่างจากกองสลากไม่ถึง 800 ม. 
ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู (สถานีสนามบินน้ำ)
จะเดินทางไป ศูนย์ราชการนนท์หรือกระทรวงพาณิชย์ ก็ใกล้ไม่ถึง 15.น
ออกได้หลายเส้น ไม่ว่าจะเป็น ถ.ติวานนท์, ถ.งามวงศ์วาน,ถ.แจ้งวัฒนะ,
ถ.รัตนาธิเบศร์, ถ.ราชพฤกษ์,ถ.ชัยพฤกษ์ก็สะดวก

ตร.วาละ 120,000 บ.
(สามารถแบ่งขายแยกแปลงได้)

T.065-965-7691
ID:bp2036
เจ้าของขายเอง 
งดรับนานหน้านะจ๊ะ


#ขายที่ดิน #ขายที่ดินนนทบุรี #ขายที่ติดถนนหลวง
#ขายที่ #ขายที่ดินแปลงใหญ่ #ขายที่ทำเลดี #ที่ดินใกล้รถไฟฟ้า 
#ที่ดินติดรถไฟฟ้า

https://www.prakard.com/viewtopic.php?f=85&t=7834069












#7212


คลัสเตอร์อะไรที่ควรพัฒนาในภูมิภาค ในการไขปัญหาข้อแรกที่ว่า "ถ้าจะมีการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจแห่งที่สองในเขตพื้นที่ภาคอื่น ๆ ควรส่งเสริมให้มีการพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรมใด?"

คลัสเตอร์อะไรที่ควรพัฒนาในภูมิภาค
ในการไขปัญหาข้อแรกที่ว่า "ถ้าจะมีการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจแห่งที่สองในเขตพื้นที่ภาคอื่น ๆ ควรส่งเสริมให้มีการพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรมใด?" จึงต้องคำนึงถึงการก่อตัวของการรวมกลุ่มของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีนัยสำคัญ ซึ่งแสดงถึงการมีอยู่ของคลัสเตอร์ในพื้นที่นั้น ๆ เพื่อเป็นการระบุคลัสเตอร์ที่มีศักยภาพในพื้นที่ภาคดังกล่าว และเป็นการบ่งชี้ถึงศักยภาพของพื้นที่ประกอบการและความพร้อมของเครือข่ายอุตสาหกรรมโดยอ้อม

ทั้งนี้ การศึกษาในเชิงวิชาการเพื่อระบุถึงการมีอยู่ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ได้มีการดำเนินการอยู่ 2 แนวทาง คือ (1) การศึกษาวิจัยโดยใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพในเชิงลึกประกอบกับการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญในระดับพื้นที่ และ (2) ใช้เทคนิคทางด้านปริมาณจากตัวเลขที่เรียกว่า Cluster Mapping1 ซึ่งจะช่วยระบุการมีอยู่ของคลัสเตอร์ภายในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กำหนด

สำหรับการศึกษาเพื่อตอบคำถามครั้งนี้ ผู้เขียนได้เลือกใช้วิธีการศึกษาด้วยเทคนิคเชิงปริมาณตามแนวทางของ European Cluster Observatory ที่เรียกว่า 3 STAR Model เนื่องจาก มีความเรียบง่าย และสามารถวัดเปรียบเทียบได้ โดยจะทำการวัดผลกระทบทางอ้อมจากการอยู่ในพื้นที่ร่วมกันของธุรกิจ (Co-location of Businesses) จากการกระจุกตัวของการจ้างงาน และการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการพิจารณา 3 ปัจจัยเป็นลำดับ ประกอบด้วย ขนาด (Size) ระดับความชำนาญพิเศษของพื้นที่ (Specialization) และขอบเขตของอุตสาหกรรมที่พื้นที่จะขับเคลื่อน หรือมุ่งเน้นในการผลิต (Focus) แบ่งเป็นระดับ 0 1 2 และ 3 Stars ตามจำนวนขั้นที่ผ่านเงื่อนไขตามลำดับ โดยใช้ข้อมูลการจ้างงาน และมูลค่าเพิ่มจากสถิติมูลฐานอุตสาหกรรมการผลิตในปี 2554 จำแนกตามประเภทอุตสาหกรรม พ.ศ. 2559 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ จากการนำระดับการจัดประเภทอุตสาหกรรม TSIC 4 ตำแหน่ง ในระดับประเทศ และภูมิภาคต่าง ๆ มาคำนวณ แล้วคัดเลือกสาขาอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ เป็นตัวนำในแต่ละเขตพื้นที่จากกลุ่มสาขาอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจในระดับของความชำนาญพิเศษ 3 Stars และจำนวนการจ้างงานอย่างน้อย 2 Stars ร่วมกับสาขาที่มีจำนวนการจ้างงานในระดับของความชำนาญพิเศษ 3 Stars และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจอย่างน้อย 2 Stars ซึ่งถือว่าเป็นสาขาที่มีความสำคัญต่อประเทศ และมีระดับสัดส่วนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากกว่าค่าเฉลี่ยอย่างเพียงพอ แล้วนำมาจัดกลุ่มสาขาอุตสาหกรรมดังกล่าว ให้เป็นคลัสเตอร์


ในเบื้องต้น พบว่า ในแต่ละเขตพื้นที่มีกลุ่มคลัสเตอร์ที่มีศักยภาพสูง

(1) เขตพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก มีคลัสเตอร์ที่มีศักยภาพ ประกอบด้วย คลัสเตอร์ยานยนต์ และชิ้นส่วน คลัสเตอร์ปิโตรเคมี และเคมีภัณฑ์ และคลัสเตอร์เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงคลัสเตอร์กลุ่มสาขาอื่น ๆ เช่น สาขาการผลิตเครื่องประดับเพชรพลอยแท้ และสิ่งของสาขาการผลิตรองเท้า และสาขาการพิมพ์

(2) เขตพื้นที่ภาคเหนือ มีคลัสเตอร์ที่มีศักยภาพ ประกอบด้วย คลัสเตอร์กลุ่มอุปกรณ์ทางทัศนศาสตร์และอุปกรณ์ถ่ายภาพ คลัสเตอร์เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้สอยในสาขาการผลิตผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ทำจากไม้ และการผลิตสิ่งของ รวมถึงคลัสเตอร์เกษตรแปรรูป อาทิ สาขาผลิตภัณฑ์ยาสูบ ในขณะที่สาขาการแปรรูป และการถนอมผลไม้และผัก และสาขาการผลิตน้ำตาล ยังคงมีระดับสัดส่วนของการสร้างมูลค่าเพิ่ม และสัดส่วนการจ้างงานน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศตามลำดับ

(3) เขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีคลัสเตอร์ที่มีศักยภาพ ประกอบด้วย คลัสเตอร์อาหาร และเกษตรแปรรูปในสาขาการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการโม่-สีธัญพืช สาขาการผลิตน้าตาล รวมถึงสาขาการผลิตสตาร์ชและผลิตภัณฑ์จากสตาร์ช

(4) เขตพื้นที่ภาคใต้ มีคลัสเตอร์ที่มีศักยภาพ ประกอบด้วย คลัสเตอร์เกษตรแปรรูปในกลุ่มยางพาราและปาล์มน้ามัน ในขณะที่สาขาการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้าแปรรูปอื่น ๆ ยังคงมีระดับสัดส่วนของการสร้างมูลค่าเพิ่มน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ

นอกจากนี้ จากการพิจารณาผลการศึกษาคลัสเตอร์ ที่มีศักยภาพในมิติการจ้างงาน หรือมูลค่าเพิ่มในระดับ 1 ถึง 3 Stars ของเขตพื้นที่แต่ละภาคควบคู่กับนโยบาย 10 อุตสาหกรรมศักยภาพเป้าหมายของรัฐบาล เพื่อเชื่อมโยงเป้าหมายของการพัฒนาประเทศ กับศักยภาพในระดับพื้นที่ พบว่า สาขาอุตสาหกรรมในกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนที่มีศักยภาพต่อยอดไปสู่กลุ่มยานยนต์สมัยใหม่ กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีศักยภาพต่อยอดไปสู่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ กลุ่มปิโตรเคมี และเคมีภัณฑ์ ที่มีศักยภาพต่อยอดไปสู่เคมีชีวภาพ รวมถึง กลุ่มคลัสเตอร์ดิจิทัล คลัสเตอร์การแพทย์ครบวงจร (ในกลุ่มเภสัชภัณฑ์ และเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์) และคลัสเตอร์อากาศยานนั้น มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กระจุกตัวอยู่อย่างหนาแน่นในเขตพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก ส่วนกลุ่มคลัสเตอร์อาหาร และเกษตรแปรรูป ที่มีศักยภาพพัฒนาไปสู่อาหารแห่งอนาคต เชื้อเพลิงชีวภาพ และเทคโนโลยีชีวภาพ ในเขตพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก จะมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หลากหลายกว่า และมีการกระจุกตัวสูงกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับเขตพื้นที่ภาคอื่น ๆ ในขณะที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจบางสาขาในอุตสาหกรรมอาหาร และเกษตรแปรรูป มีการกระจุกตัวอยู่ในเขตพื้นที่ภาคที่เหลือ ตามศักยภาพของแต่ละพื้นที่ เช่น กลุ่มการแปรรูป และการถนอมผลไม้ และผัก กลุ่มผลิตภัณฑ์ยาสูบ และกลุ่มการผลิตน้าตาลในเขตพื้นที่ภาคเหนือ กลุ่มการผลิตน้าตาล และสตาร์ช ในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือกลุ่มยางพารา และปาล์มน้ามัน ในเขตพื้นที่ภาคใต้ เป็นต้น

มีแนวทางการพัฒนาคลัสเตอร์ อย่างไร?
สำหรับการไขปัญหาข้อที่สองที่ว่า "ควรมีแนวทางการพัฒนาคลัสเตอร์อย่างไรจึงจะเหมาะสม?" นั้น ต้องย้อนกลับไปที่ความสำคัญของพื้นที่ที่ตั้งของบริษัทต่อขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศ ดังที่กล่าวมาแล้วในตอนต้น โดยพื้นที่ที่มี "องค์ประกอบของปัจจัยแวดล้อม" ที่เอื้อต่อการกระจุกตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในธุรกิจสาขาเฉพาะในพื้นที่ใกล้เคียงกัน (หรือคลัสเตอร์) อย่างเหมาะสมจะเป็น ตัวจักรสาคัญที่ขับเคลื่อนให้พื้นที่หรือประเทศนั้นมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง คาถามที่ตามมาคือ "แล้วอะไร คือ ปัจจัยแวดล้อมที่เหมาะสมที่ไทยควรผลักดันให้มีขึ้นล่ะ?" จากการค้นคว้าพบว่ามีหลายบทความวิชาการได้พยายามตอบคาถามดังกล่าว รวมถึงแนวคิด Diamond Model ของ Michael E. Porter ที่ได้รับความนิยม นอกจากนั้น ยังมีข้อสังเกตอีกว่าแนวทางในการพัฒนาให้เกิดการรวมกลุ่มในรูปแบบคลัสเตอร์ไม่ใช่จุดสุดท้ายของเรื่อง เพราะคลัสเตอร์ก็มีวงจรของการก่อตัว เจริญเติบโต อิ่มตัว และหมดความสาคัญไปจากระบบเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมหรือผลิตภัณฑ์ รวมทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้ว จะมีคลัสเตอร์ ที่มีระดับการพัฒนาที่มากกว่าประเทศที่กาลังพัฒนา กล่าวคือ คลัสเตอร์จะยิ่งมีความลึกและมีซัพพลายเออร์ที่มีความพิเศษ มีความกว้างของระดับชั้นของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง มีสถาบันสนับสนุนที่มีความครอบคลุม รวมถึงบริษัทที่ตั้งอยู่จะมีความซับซ้อนทางเทคโนโลยี และนวัตกรรมในระดับที่สูงกว่า ดังนั้น การพัฒนาคลัสเตอร์จึงไม่สามารถหยุดนิ่งได้ และควรส่งเสริมให้เกิดปัจจัยแวดล้อมที่ช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อพัฒนาโครงสร้าง และยกระดับความซับซ้อนของกิจกรรมของคลัสเตอร์ ไปสู่ฐานคุณค่าใหม่อยู่ตลอดเวลา (ซึ่งเป็นวิธีที่มีความยั่งยืน และก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ มากกว่าการส่งเสริมให้เกิดคลัสเตอร์ขึ้นโดยตรง) 


ประกอบกับเมื่อพิจารณาร่วมกับบริบทการพัฒนาของไทยแล้ว โดยในบริบทของไทยมี 5 ประการ ที่ควรริเริ่มให้มีขึ้นประกอบด้วย

(1) การพัฒนาปัจจัยทุน (Capitals) โดยดำเนินการยกระดับศักยภาพของปัจจัยทุนด้านต่าง ๆ ในระดับประเทศเพื่อเชื่อมโยงสู่การพัฒนาระดับภาค ทั้งที่เป็นปัจจัยพื้นฐาน ได้แก่ การพัฒนาทุนทางทรัพยากรธรรมชาติ และวัตถุดิบ รวมถึงแรงงานขั้นพื้นฐาน และปัจจัยก้าวหน้า ได้แก่ การพัฒนาทุนมนุษย์ และแรงงานฝีมือ การพัฒนาทุนทางการเงิน รวมถึงทุนทางปัญญา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ไทยควรคำนึงถึงในการวางรากฐาน ให้พร้อมต่อการก้าวไปสู่อุตสาหกรรมอนาคต

(2) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ (Infrastructures) ที่ช่วยสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง อาทิ ถนน ทางรถไฟ สนามบิน รวมถึงระบบการสื่อสาร และโทรคมนาคม ภายในภูมิภาค โดยเฉพาะการเชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ภาคต่าง ๆ เข้าสู่เขตพื้นที่ภาคกลาง และภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลักของประเทศ และท่าเรือสำคัญ ไปจนถึงการจัดการผังเมือง/บริการสาธารณะ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ผู้อยู่อาศัย เพื่อช่วยดึงดูด และรักษาบุคลากรแรงงานฝีมือ และผู้ประกอบการให้เข้ามาอาศัยในพื้นที่

(3) การส่งเสริมหน่วยเศรษฐกิจที่เป็นกุญแจสำคัญ (Key Economic Actors) เนื่องจากคลัสเตอร์ที่มีศักยภาพสูง ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถของตัวบริษัท และอุตสาหกรรมที่เข้ามาเป็นสมาชิก จึงควรดำเนินการส่งเสริม เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัท/อุตสาหกรรมในประเทศ ไปพร้อมกับการดึงดูดการลงทุนจากบริษัทข้ามชาติในส่วนที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง สร้างเป็นสมาชิกในเครือข่ายการผลิตเพื่อขับเคลื่อนจากอุตสาหกรรมฐานเดิมไปสู่อุตสาหกรรมอนาคต เพื่อเป็นการวางตำแหน่งการแข่งขันของไทยในเครือข่าย การผลิตโลกอย่างยั่งยืน

(4) การสร้างสภาพแวดล้อมในการแข่งขัน และร่วมมือที่เหมาะสม (Co-operative Condition) สร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม และการรวมกลุ่ม/พันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ร่วมกับการดำเนินการเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างภาคเอกชน ภาครัฐ และเครือข่ายสถาบันการศึกษา/สถาบันวิจัย โดยใช้กลไกต่าง ๆ อาทิ ก่อตั้งหน่วยงานส่งเสริมการพัฒนาคลัสเตอร์ (Cluster Development Agent: CDA) เพื่อผลักดันและดำเนินนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคลัสเตอร์ หรือการริเริ่มจัดตั้งประชาคมการวิจัย (Research Consortia) ทุนเพื่อการวิจัยร่วม (Joint Research Fund) และการวิจัยร่วม (Joint Projects) เป็นต้น

(5) การพัฒนาตลาด (Demand) เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดจากการพัฒนาตลาดภายในประเทศ และ/หรือเชื่อมโยงสู่ตลาดต่างประเทศ โดยกำหนดให้ไทยอยู่ในตำแหน่งในการแข่งขันทางการตลาด และเครือข่ายการผลิตระดับอาเซียน/โลกอย่างเหมาะสม

ประเด็นสำคัญ คือ...การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจที่สอง สาม สี่.... จำเป็นต้องเชื่อมโยงกับเขตพื้นที่ภาคกลาง และการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ที่เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ของเครือข่ายการผลิต และโลจิสติกส์ของประเทศอย่างใกล้ชิด โดยการขับเคลื่อนการพัฒนาคลัสเตอร์ในพื้นที่นั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย และภาครัฐควรมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้สนับสนุนมากกว่าผู้เล่น ดังนั้น การชักจูงภาคเอกชนที่มีความพร้อมในการนำ และมองเห็นโอกาสให้เป็นแนวร่วมสำคัญในการผลักดันการพัฒนาคลัสเตอร์ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่สาคัญในการขับเคลื่อนแนวคิดเชิงนโยบายไปสู่การพัฒนาที่เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

เอกสารอ้างอิง:
Bresnahan, T., Gambardella, A., and Saxenian A. (2001). Old economy' inputs for 'new economy' outcomes: cluster formation in the new Silicon Valleys. Industrial and Corporate Change, Oxford University Press, No.4 Vol.10, 2001.

Dzisah, J. and Etzkowitz, H. (2008). Triple helix circulation: the heart of innovation and development. International Journal of Technology Management & Sustainable Development, Vol 7, No 2, Sep 2008, pp. 101-115(15).

Europe INNOVA. (2008). The concept of clusters and cluster policies and their role for competitiveness and innovation: main statistical results and lessons learned. Commission staff working document SEC (2008) 2637.

International Trade Department. (2009). Clusters for competitiveness. A practical guide and policy implications for developing cluster initiatives. 2009.
#7213


"เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์" ตอกย้ำความเชื่อมั่นการคุ้มครองโควิด-19 ยืนยันให้ความคุ้มครองลูกค้าทุกรายที่ถือกรมธรรม์ประกันชีวิตและประกันสุขภาพ ปัจจุบันจ่ายสินไหมแก่ลูกค้าที่ป่วยจากไวรัส โควิด-19 แล้วกว่า 560 ราย ล่าสุดขานรับนโยบาย คปภ เตรียมความพร้อมในการพิจารณาจ่ายสินไหม กรณี Home Isolation และCommunity Isolation พร้อมยืนหยัดอยู่ดูแลลูกค้าทุกช่วงเวลาของชีวิต

นายบัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์กล่าวว่า "จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในขณะนี้ที่ยังมีการติดเชื้อในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกรณีความไม่แน่นอนในการรับประกันภัยบางแห่งที่ส่งผลให้กลุ่มลูกค้าที่ได้ทำประกันสุขภาพและประกันชีวิตไว้เกิดความกังวลใจและสอบถามเข้ามาเป็นอย่างมากในภาวะวิกฤตนี้ กลุ่มบริษัท เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ยังคงยึดมั่นให้ความคุ้มครองลูกค้าทุกรายที่ถือกรมธรรม์ประกันชีวิตและประกันสุขภาพของบริษัทฯ โดยจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขและไม่มีนโยบายในการยกเลิกสัญญาในกรมธรรม์แต่อย่างใด ซึ่งเจนเนอราลี่พร้อมคุ้มครองลูกค้าทุกราย ตามสิทธิในกรมธรรม์ ทั้งการเจ็บป่วยจากโรคภัยต่าง ๆ และการเจ็บป่วยจากการติดเชื้อโควิด-19 โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้มีการจ่ายสินไหมแล้วกว่า 560 เคส เป็นสินไหมมรณกรรมให้แก่ลูกค้าประกันชีวิตที่เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อโควิด-19 ไปแล้ว 10 ราย และสินไหมค่ารักษาพยาบาลในส่วนของประกันสุขภาพ ให้กับลูกค้าที่ป่วยจากการติดเชื้อโควิด-19 ไปแล้วกว่า 550ราย โดยผู้เอาประกันสามารถเข้ารักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยใน โดยไม่ต้องสำรองค่าใช้จ่ายได้ที่โรงพยาบาลในเครือข่ายของบริษัท"



สำหรับกรมธรรม์ประกันชีวิตและประกันสุขภาพของเจนเนอราลี่นั้นครอบคลุมการเจ็บป่วยตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ รวมถึงการคุ้มครองการติดเชื้อโควิด-19 ทั้ง

การคุ้มครองการตรวจ การคุ้มครองการเข้ารับการรักษา ตามผลประโยชน์ความคุ้มครองทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าชดเชยรายได้ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม (Field Hospital) และหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) โดยล่าสุดได้ขยายความคุ้มครองการเข้ารับการรักษาพยาบาลแบบการดูแลตนเองที่บ้าน (Home Isolation) และการดูแลตนเองในระบบชุมชน(Community Isolation) ตามกฎเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)ประกาศกำหนด ซึ่งเงื่อนไขและหลักปฏิบัติจะอ้างอิงตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง โดยลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่​https://generali.co.th/services/covid-19-faq/ หรือติดต่อทางศูนย์ลูกค้า
สัมพันธ์ โทร 1394

"เจนเนอราลี่จะขอให้ความเชื่อมั่นแก่ลูกค้าทุกคน ตามความมุ่งมั่นที่จะเป็น "Lifetime Partner" เพื่อส่งมอบความคุ้มครองดูแลให้แก่ลูกค้าในทุกช่องทาง
และพร้อมยืนหยัดดูแลลูกค้าทุกช่วงเวลาของชีวิต และขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนผ่านพ้น
จากสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 นี้ไปด้วยกัน" นายบัณฑิต กล่าวทิ้งท้าย

หมายเหตุ เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ และตามประกาศ
ของกระทรวงสาธารณสุข
#7214
ขายดาวน์ 215,800 (เดือน กค 2564) ห้อง 1017
#7215


ทำเนียบขาวในวันพฤหัสบดี(5ส.ค.) ยืนยันอาจกำหนดให้ชาวต่างชาติเกือบทุกคนที่จะเดินทางเข้าสหรัฐฯ ต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบเสียก่อน ส่วนหนึ่งในแผนกลับมาเปิดการเดินทางระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตามยังไม่มีการตัดสินใจในเรื่องดังกล่าวและยังไม่มีการยกเลิกข้อจำกัดต่างๆในทันที

เจฟ ไซนส์ ผู้ประสานงานคณะทำงานเฉพาะกิจโควิด-19 ของทำเนียบขาว ยืนยันว่ากลุ่มทำงานระหว่างหน่วยงาน กำลังคิดแผนที่อาจออกข้อบังคับบางรูปแบบสำหรับกำหนดให้ชาวต่างชาติเกือบทุกคนที่จะเดินทางเข้าสหรัฐฯ ต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบเสียก่อน

"เราจะพร้อมเมื่อถึงเวลาที่ต้องพิจารณาเปิดพรมแดน" ไซนส์ กล่าวระหว่างแถลงสรุปสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำเนียบขาว

รายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า เวลานี้รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้จัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อทบทวนและนำระบบใหม่นี้มาใช้ทันทีที่พร้อมจะเปิดรับชาวต่างชาติอีกครั้ง ภายใต้เงื่อนไขว่าชาวต่างชาติจากทุกประเทศที่จะเดินทางเข้าสหรัฐฯ จะต้องได้รับวัคซีนครบแล้ว

ในถ้อยแถลงแยกกัน เจน ซากี โฆษกทำเนียบขาวยอมรับว่ามีความไม่สอดคล้องกันในข้อจำกัดต่างๆในปัจจุบันที่ห้ามนักเดินทางจากบางประเทศที่มีอัตราการติดเชื้อโควิด-19 ในระดับต่ำเดินทางเข้าสหรัฐฯ แต่กลับไม่ห้ามนักเดินทางจากประเทศอื่นๆที่มีอัตราการติดเชื้อในระดับสูง

อย่างไรก็ตามเธอเน้นว่ายังไม่เป็นที่แน่นอนว่าสหรัฐฯจะบังคับนักเดินทางจากต่างชาติฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบเสียก่อนหรือไม่

ทำเนียบขาวระบุในวันพฤหัสบดี(5ส.ค.) ว่ายังไม่พร้อมยกเลิกข้อจำกัดต่างๆในทันที เพราะว่าเคสผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นและการแพร่ระบาดของตัวกลายพันธุ์เดลตาที่แพร่เชื้อได้ง่ายมาก

รัฐบาลอเมริกันเริ่มจำกัดการเดินทางของชาวต่างชาติที่จะเข้ามายังสหรัฐฯ โดยเริ่มจากประเทศจีนในเดือนมกราคม 2020 เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก่อนที่จะเพิ่มรายชื่อประเทศต่างๆ ที่มีการระบาดในระดับสูงในประเทศนั้นๆ โดยล่าสุดได้แก่อินเดีย

ทำเนียบขาวได้หารือกับสายการบินต่างๆและอื่นๆว่าจะสามารถบังคับใช้กฎเกณฑ์ใหม่นี้ได้อย่างไร ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ต้องพิจารณาว่าจะยอมรับหลักฐานหรือเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนแบบไหน และจะยอมรับวัคซีนโควิดที่บางประเทศใช้หรือไม่ ขณะที่มันยังไม่ผ่านการรับรองของคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบของสหรัฐฯ

ปัจจุบันสหรัฐฯห้ามนักเดินทางที่ไม่ใช่พลเมืองสหรัฐฯเกือบทุกคนที่อยู่ในสหราชอาณาจักร กลุ่มประเทศเชงเก้น 26 ชาติในยุุโรป ไอร์แลนด์ จีน อินเดีย แอฟริกาใต้ อิหร่านและบราซิล ในช่วง 14 วันหลังสุดเดินทางเข้าประเทศ

ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าแผนดังกล่าวจะบังคับใช้กับชาวต่างชาติที่เดินทางทางบกผ่านพรมแดนที่ติดกับแคนาดาและเม็กซิโกด้วยเงื่อนไขเดียวกันหรือไม่

เจ้าหน้าที่ด้านอุตสาหกรรมการบินระบุว่าอาจต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์หรือบางทีอาจหลายเดือน ก่อนข้อจำกัดด้านการเดินทางจะถูกยกเลิก ขณะที่ฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์บางส่วนระบุว่ามันไม่สมเหตุสมผล เพราะว่าบางประเทศที่มีอัตราการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในระดับสูง ไม่ได้อยู่ในรายชื่อประเทศที่จำกัดด้านการเดินทาง ขณะที่บางประเทศที่สามารถควบคุมโรคระบาดใหญ่ได้แล้วกลับมีรายชื่ออยู่ในบัญชีดังกล่าว

(ที่มา:รอยเตอร์)