• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Jessicas

#2761


ความต้องการน้ำในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นและมีโอกาสที่จะเข้าสู่ภาวะขาดแคลน โดยปัจจุบันมีต้นทุนน้ำรวม 1,537 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่มีความต้องการน้ำรวม 2,190 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยเป็นความต้องการภาคอุตสาหกรรมเท่ากับ 625.31 ล้านลูกบาศก์เมตร

วีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า เพื่อให้การบริการจัดการน้ำในอีอีซีมีประสิทธิภาพ เพราะเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่และเป็นฐานสำคัญที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ โดย กนอ.ลงนามสัญญาซื้อขายน้ำดิบกับ บริษัท วาย.เอส.เอส.พี.แอกกริเกต จำกัด เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการด้านน้ำภาคอุตสาหกรรม และรองรับการขยายตัวภาคอุตสาหกรรมในอีอีซี รวมถึงสร้างความมั่นคงด้านน้ำให้นิคมอุตสาหกรรมในอีอีซี

ทั้งนี้ มีการพยากรณ์ความต้องการน้ำใน 5 ปี ข้างหน้า เท่ากับ 2,481 ล้านลูกบาศก์เมตร ใน 10 ปีข้างหน้าเท่ากับ 2,615 ล้านลูกบาศก์เมตร และใน 20 ปีข้างหน้า 2,722 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งแสดงถึงความเสี่ยงของการขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคในอนาคต

ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณารายจังหวัดจะเห็นว่า จังหวัดชลบุรี ปริมาณความต้องการน้ำภาคอุตสาหกรรม 247.02 ล้านลูกบาศก์เมตร ขณะที่ปริมาณน้ำต้นทุนของจังหวัดมีเพียง 291.63 ล้านลูกบาศก์เมตร และจังหวัดระยอง ปริมาณความต้องการน้ำภาคอุตสาหกรรมมี 307.3 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยที่ปริมาณน้ำต้นทุนของจังหวัดมีเพียง 757.77 ล้านลูกบาศก์เมตร

"จากความต้องการใช้น้ำที่จะเพิ่มต่อเนื่อง กนอ.ต้องพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อสร้างความมั่นคงให้ภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้กระบวนการผลิตต่อเนื่อง สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ประกอบการ"


สำหรับปัจจุบันนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 2 แห่ง มีโรงงาน 303 แห่ง แบ่งเป็น นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง 221 แห่ง ในปีนี้ต้องการใช้น้ำ 740,000 ลูกบาศก์เมตรต่อเดือน และ นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด 82 แห่ง ต้องการใช้น้ำ 6.4 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อเดือน และแต่ละปีเพิ่มขึ้น 1% โดยปี 2566 คาดว่าจะมีปริมาณการใช้น้ำ 74-75 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน เพราะมีโรงงานใช้การผลิตเยอะขึ้น

ทั้งนี้ จากปริมาณการใช้น้ำที่ค่อนข้างสูงจึงต้องสรรหาแหล่งน้ำเพิ่มเติม เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการ ขณะเดียวกันยังป้องกันการขาดแคลนน้ำช่วงฤดูแล้งที่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งของการลงนามในสัญญาซื้อขายน้ำดิบ เพื่อให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมไม่สะดุด และรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมในอีอีซี

ส่วนแหล่งน้ำดิบสำหรับผลิตน้ำประปาของนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังมาจาก บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์ วอเตอร์ โดยจ่ายน้ำจากอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล 80% และจากอ่างหนองค้อหรืออ่างบางพระ 20% ขณะที่แหล่งน้ำดิบของนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด มาจากอ่างเก็บน้ำดอกกราย อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล และอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่

สำหรับบริษัท วาย.เอส.เอส.พี.แอกกริเกต จำกัด มีแหล่งน้ำคุณภาพและจ่ายน้ำให้นิคมอุตสาหกรรมในราคาเหมาะสม โดยจัดหาและจ่ายน้ำดิบให้ กนอ.เพื่อใช้บริหารจัดการน้ำนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังไม่น้อยกว่า 15,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน และนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ไม่น้อยกว่า 200,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน

สำหรับการลงนามซื้อขายน้ำดิบครั้งนี้ มีอายุสัญญา 20 ปี โดยเป็นราคาซื้อขายที่ถูกกว่าแหล่งน้ำหลักที่ขายให้ปัจจุบัน อีกสัญญายังระบุว่าอนาคตหากมีการเปลี่ยนแปลงจะโดนปรับกี่เปอร์เซ็นต์ ทำให้ กนอ.มั่นใจว่าจะบริหารจัดการน้ำได้ยั่งยืน

"การลงนามกับเอกชนครั้งนี้ ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าเกิดจากปี 2562-2563 มีน้ำให้เราไม่พอจึงต้องการหาความมั่นคงให้ผู้ประกอบการในภาคตะวันออก เราพยายามหาหลายที่จนมาเจอบริษัทนี้ อนาคตจะดูต่อไปหากน้ำมีเพียงพอที่จะซัพพลายให้ที่อื่น เชื่อว่านิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ร่วมกับเราคงสนใจ"

ส่วนแผนแก้ไขปัญหาภัยแล้ง กนอ.ประเมินว่า เมื่อบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ได้ยั่งยืนเพียงพอต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรมแล้ว การจัดเตรียมแหล่งน้ำเพื่อรองรับน้ำฝนให้มากขึ้นจะเป็นส่วนหนึ่งของการกักเก็บน้ำไว้ใช้ ดังนั้นการลงนามครั้งนี้จะแก้ปัญหาภัยแล้งได้ในระยะเวลา 5-10 ปี
#2762


วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน 2564 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมกับ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมมือดำเนินโครงการการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมไทยสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อยกระดับภาคธุรกิจ 5 คลัสเตอร์อุตสาหกรรม และสอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ BCG ในฐานะวาระแห่งชาติ

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า สภาอุตสาหกรรมฯ ได้ร่วมผลักดันและดำเนินงานตามนโยบาย BCG ของประเทศ ภายใต้ 3 กลยุทธ์ คือ 1) การพัฒนาโมเดล BCG และการขยายผล 2) การพัฒนาและถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์ และ 3) การพัฒนามาตรฐานและการสนับสนุนด้านนโยบาย โดยมีเป้าหมายให้เศรษฐกิจเติบโตและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีการใช้ทรัพยากรบริสุทธิ์น้อยลง และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เกิดเป็นรูปธรรม

โดยมีกิจกรรมสำคัญ อาทิ การส่งเสริม Smart Agriculture Industry การพัฒนา Platform การบริหารจัดการวัสดุที่ไม่ใช้แล้วหรือที่เรียกว่า "Circular Material Hub" การจัดทำข้อตกลงร่วมบรรจุภัณฑ์พลาสติก PET ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมการจัดขยะพลาสติกภายใต้การสนับสนุน AEPW การพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ รวมถึงโครงการการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมไทยสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ที่เป็นความร่วมมือระหว่างสภาอุตสาหกรรมฯ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


รศ.ดร.สิรี ชัยเสรี ผู้อำนวยการ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กล่าวว่า ในฐานะผู้ให้ทุนการสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ ได้เล็งเห็นถึงบทบาทภาคอุตสาหกรรม ที่เป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อน BCG ให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งโครงการฯ จะเน้นการศึกษาวิจัย BCG Model ในทางวิชาการและสร้างการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนแนวทางการดำเนินธุรกิจ BCG เพื่อนำไปสู่การปรับใช้ในทางธุรกิจให้เกิดขึ้นจริง หลังจากที่ผลการศึกษาเสร็จสิ้น บพข. และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องมีความพร้อมที่จะสนับสนุนผู้ประกอบการในโครงการ ด้วยนโยบายการสนับสนุนทางการเงิน ภาษี การลงุทน กฎระเบียบ การพัฒนาทรัพยากรบุคคล โครงสร้างพื้นฐาน การวิจัยและพัฒนาและการตลาด เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างประโยชน์จากผลการวิจัยโครงการฯ ให้เกิดขึ้นจริงกับธุรกิจ

ศ.ดร.จักรพันธ์ สุทธิรัตน์ รองอธิการบดี ด้านการวิจัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความสำคัญกับนโยบาย BCG เพื่อให้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2570 โดยความร่วมมือในโครงการนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะส่งเสริมและสนับสนุนในด้านวิชาการ ทั้งในเชิงองค์ความรู้เกี่ยวกับ Circular Economy และวิธีการวิจัยที่เป็นมาตรฐาน เพื่อใช้เป็นแนวทางการทำ Focus Group และจัดทำ Guidelines เพื่อให้ผู้ประกอบการในคลัสเตอร์อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง สามารนำแนวทางไปปรับใช้และพัฒนาธุรกิจ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า สายงานส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรม ส.อ.ท. ได้รับมอบหมายให้ดำเนินภารกิจดูแล 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 11 คลัสเตอร์อุตสาหกรรม ซึ่งเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อน BCG และร่วมผลักดันในการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้เกิดการพัฒนาต้นแบบโมเดลกลุ่มอุตสาหกรรมนำร่องระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดเป็นรูปธรรมและสัมฤทธิ์ผล เพื่อสร้างทางเลือกแผนธุรกิจที่มีศักยภาพสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมและร่วมจัดทำคู่มือบทเรียนความสำเร็จของ CE Champion จาก 5 คลัสเตอร์อุตสาหกรรม อาทิ ปิโตรเคมี วัสดุก่อสร้าง อาหาร ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม ซึ่งถือเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย มีความเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการทุกขนาดโดยเฉพาะ SMEs รวมถึงเป็นอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยมีจุดแข็งและมีศักยภาพในการแข่งขัน ของประเทศ
#2763


แบงก์ไต้หวัน CTBC ซื้อหุ้นจากรายใหญ่ใน LHGF อีก 10 % มูลค่ารวม 4,200 ล้านบาท หลังแบงก์ชาติอนุมัติเข้าซื้อ ดันการถือหุ้นเพิ่มเป็น 45.62 %

นายวิเชียร อมรพูนชัย  รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เซียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ LHFG รายงานความคืบหน้าทางการไต้หวันและธนาคารแห่งประเทศไทย อนุญาตให้  CTBC Bank Ruay Company  Limited ซื้อหุ้นจากผู้ถือหุุ้น คือ  นางสาวเพียงใจ หาญพาณิชย์   และนายไพโรจน์    ไพศาลศรีสมสุข    รวมร้อยละ 10.99  ของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงและจา หน่ายได้แล้วท้ั้งหมดเป็นเงินประมาณ 4.2 พันล้านบาท

การซื้อหุ้นดังกล่าวจะดำเนินการเมื่่อได้รับอนุญาตจากทางการไต้หวันและธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น  บริษัทขอเรียนให้ทราบว่าธนาคารแห่งประเทศไทยและทางการไต้หวันได้อนุญาตการซื้อหุ้น ดังกล่าวแล้ว สำหรับขั้นตอนต่อไปจะเป็นการซื้อขายหุ้นและชำระราคา


ปัจจุบัน CTBC Bank Company  Limited  เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับ 1 สัดส่วน 35.62 % 
#2764


การแข่งขันกรีฑา "พาราลิมปิกเกมส์ 2020" ที่โอลิมปิก สเตเดี้ยม กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 1 กันยายน นักวีลแชร์เรซซิ่งไทยกรุยทางเข้ามาลุ้นเหรียญทอง 2 รายการ จากวีลแชร์เรซซิ่ง 100 เมตรชาย คลาส T 53 ได้แก่ "กร" พงศกร แปยอ และ "เชษฐ์" พิเชษฐ์ กรุงเกตุ ส่วนอีกประเภท วีลแชร์เรซซิ่ง 100 เมตรชาย คลาส T 54 จาก "ฟิว" อธิวัฒน์ แพงเหนือ

เริ่มที่วีลแชร์เรซซิ่ง 100 เมตรชาย คลาส T 53 พงศกร อยู่ในลู่ที่ 6 ส่วน พิเชษฐ์ กรุงเกตุ อยู่ในลู่ที่ 2 ปล่อยตัวออกมา พงศกร เร่งเครื่องเข้าเส้นชัยเป็นคนแรกทำสถิติ 14.20 วินาที เป็นสถิติที่ดีที่สุดของเจ้าตัว และยังทำลายสถิติพาราลิมปิกเกมส์ของตัวเองที่ทำไว้ในรอบคัดเลือกช่วงเช้า 14.30 วินาที พร้อมกับคว้าเหรียญทองที่สองให้กับตัวเอง และเหรียญที่สองของทัพนักกีฬาไทย ด้านเหรียญเงิน เป็นของ เบรนต์ ลากาตอส จากแคนาดา 14.55 วินาที เหรียญทองแดง อับดุลราห์มาน อัลคูราชี่ จากซาอุดิอาระเบีย 14.76 วินาที ส่วนพิเชษฐ์ กรุงเกตุ นักวีลแชร์เรซซิ่งไทยอีกคน จบอันดับ 6 ทำเวลา 15.43 วินาที

สำหรับ "กร" พงศกร แปยอ คว้าเหรียญทองที่ 2 ให้กับตัวเองหลังจากเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม คว้าไปแล้ว 1 ทองจากวีลแชร์เรซซิ่ง 400 เมตรชาย คลาส T 53 พร้อมทำลายสถิติโลก พงศกร เป็นเด็กหนุ่มจากจังหวัดขอนแก่นวัย 24 ปี เคยคว้า 2 เหรียญทองจากริโอ 2016 รายการ 400 เมตร คลาส T 53 และ 800 เมตร คลาส T 53 และยังเคยเป็นแชมป์โลก 400 เมตร คลาส T 53 เมื่อปี 2019 ที่นครดูไบ อีกด้วย พงศกร แปยอ เป็นโปลิโอขาทั้งสองข้างตั้งแต่กำเนิด และเริ่มเล่นกีฬาวีลแชร์เรซซิ่งตั้งแต่อายุได้ 13 ปี โดยมีอาจารย์ สากล ทัพสมบัติ ที่สนิทกันชักชวนให้ไปแข่งขันกีฬานักเรียนนักศึกษาแห่งชาติ ครั้งที่ 30 "นครสุโขทัยเกมส์" เมื่อปี 2009 และประเดิมด้วยการคว้าเหรียญทองแดงวีลแชร์เรซซิ่ง ประเภท 100 เมตร กับ 400 เมตร จุดเริ่มต้นบนเส้นทางทีมชาติของพงศกรนั้นคือ ประวัติ วะโฮรัมย์ และ เรวัฒน์ ต๋านะ 2 นักวีลแชร์ดีกรีทีมชาติไทยไปขอพ่อแม่ของพงศกร เพื่อมาดูแลสนับสนุนในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเล่นกีฬา ประวัติและเรวัฒน์ ได้มอบรถวีลแชร์ที่เคยใช้ และสภาพยังดีอยู่ให้พงศกรเพื่อเข้าแข่งขันรายการต่างๆ จนประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้

ส่วนประเภทวีลแชร์เรซซิ่ง 100 เมตรชาย คลาส T 54 นักวีลแชร์เรซซิ่งไทยทำเวลาผ่านเกณฑ์เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้รายเดียวจาก "ฟิว" อธิวัฒน์ แพงเหนือ ดาวรุ่งวัย 18 ปี ในลู่ที่ 4 ปล่อยตัวออกมา เจ้าฟิว ออกตัวไม่ดีแต่เร่งเครื่องเข้าเส้นชัยเป็นคนแรกทำเวลา 13.76 วินาที คว้าเหรียญทองไปครอง ส่วนเหรียญเงินเป็นของ ลีโอ เป็กก้า ทาห์ติ เจ้าของเหรียญทองพาราลิมปิก รายการนี้ มาแล้ว 4 สมัยติดต่อกัน จากฟินแลนด์ 13.85 วินาที เหรียญทองแดง เป็นของ ฮวน ปาโบล คาร์วานเตส การ์เซีย จากเม็กซิโก 13.87 วินาที

สำหรับ อธิวัฒน์ แพงเหนือ มีชื่อเล่นว่า "ฟิว" เกิดเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2545 เข้าร่วมแข่งขันพาราลิมปิกเกมส์เป็นครั้งแรก และเมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา อธิวัฒน์ แจ้งเกิดเต็มตัวเมื่อสามารถคว้าเหรียญเงิน วีลแชร์เรซซิ่ง 400 เมตรชาย คลาส T 54 มาครองโดยพ่ายคู่แข่งชาวสหรัฐฯ เพียงเสี้ยววินาที
#2765


คอนซาโดเล่ ซัปโปโร เปิดบ้านเฉือน เอฟซี โตเกียว 2-1 ในศึกลูวาน คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย เลกแรก แต่ข่าวไม่ค่อยสู้ดีนักคือ 'เจ' ชนาธิป สรงกระสินธ์ เพลย์เมกเกอร์ทีมชาติไทย โชคร้ายได้รับบาดเจ็บตอนวอร์ม ชวดลงสนาม ทั้งๆ มีชื่อออกสตาร์ทเป็นตัวจริง

ศึกฟุต.ถ้วย 'ลูวาน คัพ 2021' รอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดแรก ประจำวันพุธที่ 1 ก.ย.64 เจ้าบ้าน คอนซาโดเล่ ซัปโปโร อดีตรองแชมป์เมื่อปี 2019 เปิดบ้าน อัตสึเบสึ สเตเดี้ยม รับมือแชมป์เก่า เอฟซี โตเกียว และดีกรีแชมป์รายการนี้ 3 สมัยในปี 2004, 2009, 2020

นัดนี้ มิ. เปโตรวิช กุนซือเจ้าถิ่นใส่ชื่อ 'เจ' ชนาธิป สรงกระสินธ์ ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงแต่เจ้าตัวไปมีอาการบาดเจ็บตอนวอร์มทำให้เป็น เจย์ โบธรอยด์ ที่ได้ลงเล่นแทน และเมื่อผ่านมาถึง นาทีที่ 14 เอฟซี โตเกียว ได้ประตูขึ้นนำก่อน 1-0 จากจังหวะที่ ฮิโรตากะ มิตะ เปิดฟรีคิกให้ ทัตสึโยชิ วาตานาเบะ ขึ้นโหม่ง.ย้อยเสียบเสาไกลเข้าประตูไป

แต่ถัดมา นาทีที่ 21 คอนซาโดเล่ ไล่ตามตีเสมอได้ทันควัน ลูคัส เฟอร์นานเดส เปิด.ไปที่เสาไกลให้ ชุนตะ ทานากะ ขึ้นโหม่งเหน่งๆ ส่ง.ตุงตาข่าย จบครึ่งแรก คอนซาโดเล่ ซัปโปโร เสมอ เอฟซี โตเกียว 1-1

กลับมาหวดต่อในครึ่งหลัง จนกระทั่งนาทีที่ 81 คอนซาโดเล่ แซงขึ้นนำ 2-1 เจย์ โบธรอยด์ เบิ้ล.จังหวะเดียวย้อนมาให้ ทาคูมะ อาราโนะ วิ่งมาตะบันด้วยขวาตามน้ำ.เบียดเสาเข้าประตูไป จบเกม คอนซาโดเล่ ซัปโปโร เอาชนะ เอฟซี โตเกียว 2-1 ก่อนที่เลกที่สองจะกลับไปเล่นในบ้านของ เอฟซี โตเกียว ในวันที่ 5 กันยายนนี้

สรุปผลคู่อื่นๆ ที่ลงสนามในวันเดียวกัน
เซเรโซ่ โอซาก้า 0-1 กัมบะ โอซาก้า
ฮอกไกโด คอนซาโดเล่ ซัปโปโร 2-1 เอฟซี โตเกียว
นาโกย่า แกรมปัส 2-0 คาชิม่า แอนท์เลอร์ส
อูราวะ เรด ไดมอนส์ 1-1 คาวาซากิ ฟรอนตาเล่

โปรแกรมถ่ายทอดสด ศึก ลูวาน คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดสอง ในช่วงสุดสัปดาห์ ทาง SIAMSPORT YouTube Channel ในวันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน 2564 มีดังนี้

16.00 น. เอฟซี โตเกียว พบ คอนซาโดเล่ ซัปโปโร
16.00 น. กัมบะ โอซาก้า พบ เซเรโซ โอซาก้า
16.00 น. คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ พบ อูราวะ เรดส์ ไดมอนด์
16.00 น. คาชิม่า แอ๊นท์เลอร์ส พบ นาโงย่า แกรมปัส
#2766


โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ เผยเทรนด์ตลาดบ้านหลังที่สอง หรือฮอลิเดย์โฮม ในเมืองพัทยาดีมานด์ยังดี เนื่องจากระบุเทรนด์การทำงานที่บ้านยาวนานขึ้น ส่งผลผู้ซื้อมองหาที่พักระยะยาวเพื่อพักผ่อน และทำงานพร้อมๆ กัน แจงลูกค้าสนใจ "โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน-พัทยา" ซื้อขายต่อเนื่องในช่วงโควิด-19 พร้อมเปิด 2 มุมมองผู้ซื้อจริง "อยู่เอง" เพื่อการพักผ่อน และ "ลงทุน" เป็นสินทรัพย์ส่งต่อถึงรุ่นลูก เชื่อมั่นศักยภาพเมืองพัทยาจะฟื้นกลับมาได้ในอนาคต

ตลาดอสังหาริมทรัพย์เมืองพัทยายังคงเป็นที่น่าจับตามองแม้ในวิกฤตโควิด-19 ที่กำลังระบาด แม้ว่าโดยรวมจะพบว่าผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจ แต่ในขณะเดียวกัน มีกำลังซื้อบางส่วนที่ต้องการหาซื้อบ้านพักตากอากาศหรือบ้านพักหลังที่ 2 ยังมีแนวโน้มยอดขายเติบโตได้ ซึ่งหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สามารถคลี่คลายได้ภายในปีนี้ ตลาดก็มีแนวโน้มว่าสถานการณ์จะค่อยๆ ฟื้นตัว เริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติได้ในช่วงปี 65 เป็นต้นไป

อย่างไรก็ดี แม้ในสถานการณ์ของการระบาดโควิด-19 ความต้องการซื้ออสังหาฯ ในเมืองพัทยายังเติบโตได้ดี จากข้อมูลของคอลลิเออร์ส ประเทศไทย ระบุว่า ณ ครึ่งแรกปี 64 อัตราการขายเฉลี่ยในตลาดคอนโดมิเนียมพัทยาปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 69.20% เพิ่มขึ้นประมาณ 1.20% จากในช่วงครึ่งหลังของปี 63 ปัจจัยหลักๆ จากที่ยังไม่มีซัปพลายเติมเข้าสู่ตลาดมากนักจนไม่เกินภาวะล้นเกิน ศักยภาพของเมืองที่แข็งแกร่งจากการก่อสร้างโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานให้กับเมืองอยู่อย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา

ในขณะเดียวกัน ได้ส่งผลให้พฤติกรรมคนไทยเปลี่ยนไป ปรับสู่การทำงานที่บ้านมากขึ้น หรือ Work from Home และด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัยทำให้คนทำงานยุคใหม่ไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่ที่ใดที่หนึ่งโดยเฉพาะ แต่ปรับวิถีไปเป็น Work from Anywhere มากขึ้นเชื่อว่าจะเป็นเทรนด์ใหม่หลังยุคโควิด-19 ด้วยเหตุนี้ บ้านตากอากาศ หรือฮอลิเดย์โฮม จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนที่กำลังมองหาบ้านหลังที่สอง ทั้งเพื่อการพักผ่อน ทำงาน และสร้างมูลค่าจากการลงทุนในอนาคต เทรนด์ Work From Home ยาวขึ้น ส่งผลพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน



นายณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ปลายปี 63 จนถึงปัจจุบัน เทรนด์การทำงานจากที่บ้านที่ยาวนานขึ้น ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปและเริ่มมองหาชีวิตที่ยืดหยุ่นได้และมีพื้นที่พักผ่อนมากขึ้น รวมถึงการจำกัดพื้นที่และการเคลื่อนย้ายจากการประกาศล็อกดาวน์เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ในประเทศ สะท้อนทิศทางที่สอดรับสภาพความเป็นจริงของการขายและการตลาดฮอลิเดย์โฮมในพื้นที่พัทยา 

โดยเฉพาะโครงการของบริษัท "โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน-พัทยา" ได้รับความสนใจจากการซื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงโควิด-19 ที่กำลังซื้อส่วนใหญ่มาจากในประเทศ ที่จะมองว่าพัทยายังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยวและการพักผ่อนตากอากาศบ้านหลังที่ 2 บรรยากาศโดยรวมเอื้อต่อการท่องเที่ยว มีกิจกรรมเชิงไลฟ์สไตล์ให้ทุกคนในครอบครัวได้ทำร่วมกัน อีกทั้งใช้เวลาในการเดินทางจากกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงเพียง 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น

"จากแนวโน้มการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่หรือ New Normal ผู้ประกอบการอสังหาฯ กำลังเผชิญกับรสนิยมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปสำหรับชีวิตที่ยืดหยุ่นได้และมีพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจทำให้เริ่มมีการมองหาที่พักระยะยาว หรือบ้านหลังที่ 2 สำหรับพักผ่อนและทำงานไปพร้อมๆ กัน" นายณพงศ์ กล่าว
#2767


วันนี้ (31 ส.ค.) ที่อาคารสัปปายะสภาสถาน รัฐสภา กทม. นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา พร้อมด้วย นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวชี้แจงกรณีข้อสงสัยประสิทธิผลและความปลอดภัยวัคซีนซิโนแวค โดยนายแพทย์ไพศาล กล่าวว่า วัคซีนที่จะนำมาใช้ในประเทศต้องผ่านการอนุมัติและขึ้นทะเบียน โดย อย.ได้ขึ้นทะเบียนวัคซีนซิโนแวคเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 ใช้วิธีการอนุมัติในสถานการณ์ฉุกเฉิน ใช้เวลาในการพิจารณา 29 วันโดยคำนึงถึงความปลอดภัยคุณภาพ มาตรฐาน และประสิทธิผลวัคซีนซึ่งการพิจารณาได้ระดมบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญจากทั้งในและนอก อย. ร่วมกันประเมินเพื่อให้ได้วัคซีนที่มีคุณภาพและความปลอดภัย สำหรับข้อมูลประสิทธิผลวัคซีนซิโนแวคในบราซิลทดลองในบุคลากรทางการแพทย์ เนื่องจากมีโอกาสสัมผัสโรคสูงสามารถเกิดโรคได้ง่ายกว่าคนทั่วไป พบว่าสามารถป้องกันการป่วยเข้าโรงพยาบาลได้ 78% ลดการตายได้ 100% มีประสิทธิผลมากกว่า 50% หลังจาก อย.ได้ขึ้นทะเบียนแล้วองค์การอนามัยโลก ได้ให้การรับรอง และสั่งซื้อหลายร้อยล้านโดสมีการกระจายไปในหลายประเทศทั่วโลก

นายแพทย์ศุภกิจ กล่าวว่า วัคซีนที่นำเข้ามาทุกล็อต ต้องผ่านการรับรองรุ่นการผลิตจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งตรวจจากตัววัคซีนโดยตรง ไม่ใช่ตรวจเฉพาะเอกสารเท่านั้น โดยต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานทุกข้อ ก่อนส่งไปยังกรมควบคุมโรค สำหรับประสิทธิผลที่มีต่อการกลายพันธุ์ของไวรัส กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ทำการทดลองร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล โดยใช้เลือดจากอาสาสมัคร ที่ฉีดวัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม พบว่าสามารถกันสายพันธุ์เดลตาได้ แสดงให้เห็นว่าวัคซีนซิโนแวคที่ฉีดไปสองเข็มไม่เสียเปล่ามีประโยชน์ในการช่วยระบบสาธารณสุขของประเทศ หากตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา ไม่มีการฉีดวัคซีนซิโนแวคอาจมีผู้เสียชีวิตหลายเท่า ยืนยันว่าวัคซีนที่ดีที่สุดคือวัคซีนที่อยู่ในตัวแล้ว

ด้านนายแพทย์โอภาส กล่าวว่า กรมควบคุมโรคร่วมกับหน่วยงานด้านการแพทย์และสาธารณสุข ประเมินผลและประสิทธิภาพการฉีดวัคซีนซิโนแวค เช่น ที่ จ.ภูเก็ต พบว่าสามารถป้องกันป่วยหนักและเสียชีวิตได้ 90.6% ส่วนที่สมุทรสาคร พบว่าป้องกันโรคได้ 90% และเมื่อมีการระบาดในบุคลากรสาธารณสุข จ.เชียงราย มีประสิทธิผลป้องกันโรคได้ 82% นอกจากนี้กองระบาดวิทยาได้สรุปผลการฉีดวัคซีนภาพรวมตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึงกรกฎาคม 2564 พบว่าสามารถป้องกันโรค 75% ป้องกันป่วยหนักเสียชีวิตได้มากกว่า 80% ยืนยันว่าซิโนแวคมีประสิทธิภาพทั้งการใช้จริงและในห้องทดลอง รวมทั้งสายพันธุ์เดลตาได้ทำการประเมินประสิทธิผลวัคซีนต่อเนื่องพบว่าการฉีดวัคซีนสูตรไขว้ซิโนแวคตามด้วยแอสตร้าเซนเนก้า ได้ผลดีขึ้นกว่าเดิม 3 เท่า

"ขอยืนยันว่าไม่มีการปกปิดตัวเลข สามารถสอบสอบได้จากตัวเลขผู้ป่วยที่เข้ารักษาที่โรงพยาบาลลดลงชัดเจน เช่น โรงพยาบาลสนามบุษราคัม จากที่เคยมีมากกว่า 3,500 คน เหลือ 1,500 คน โรงพยาบาลทุกแห่ง คนไข้ลดลง ต่างจังหวัดก็ลด หรือที่ศูนย์นิมิบุตร จากเดิมมีคนไข้รอส่งต่อหลายร้อยคน เหลือไม่ถึง 70 คน" นายแพทย์โอภาสกล่าว
 
#2768


นายประพัฒน์  ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคในสุกร  ว่า สภาเกษตรกรแห่งชาติได้จัดการประชุมหารือเพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหาให้แก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคในสุกร

 เช่น โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ที่มีการตรวจพบว่ากลายพันธุ์แพร่กระจายในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ซึ่งต่างไปจากที่เคยตรวจพบในทวีปยุโรปและเอเชียมาก่อนหน้านี้ , โรคกลุ่มอาการระบบสืบพันธุ์และทางเดินหายใจในสุกร(PRRS) เป็นต้น

ซึ่งล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างร้ายแรง เกษตรกรต้องสูญเสียสุกรที่ป่วยตายจากโรคถึง 30% และไม่สามารถเลี้ยงสุกรต่อไปได้ เนื่องจากเชื้อโรคยังสะสมอยู่ในพื้นที่และทำให้เกิดโรคซ้ำในคอกหรือฟาร์มจนเกษตรกรรายย่อยหมดตัวไปแล้วก็มี และในอนาคตอาจถึงขั้นต้องสูญเสียอาชีพการเลี้ยงสุกรไปในที่สุด


รวมทั้งยังกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ อาทิ โรงงานอาหารสัตว์ โรงฆ่าสัตว์ โรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์สุกร ธุรกิจการค้าเวชภัณฑ์สัตว์ รวมถึงเกษตรกรผู้เพาะปลูกพืชที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ ได้แก่ ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ถั่วเหลือง มูลค่าความเสียหายโดยรวมไม่ต่ำกว่า 150,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังต้องมีภาระค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูอาชีพให้กับเกษตรกร ซึ่งต้องใช้เงินงบประมาณเป็นจำนวนมากและใช้เวลานานในการฟื้นฟู และจะก่อให้เกิดภาวะขาดแคลนเนื้อสุกรในการบริโภคอย่างรุนแรง กระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชนและความมั่นคงทางอาหารของประเทศอีกด้วย หมายรวมว่าประเทศไทยต้องสูญเสียโอกาสในการส่งออกสุกรมีชีวิต เนื้อสุกรแช่แข็งและผลิตภัณฑ์สุกรไปจำหน่ายในต่างประเทศ ซึ่งมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 22,000 ล้านบาทต่อปี 

 
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นคงด้านอาชีพแก่เกษตรกรและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอาหารของประเทศไทย เพิ่มความเข้มแข็งและอำนาจในการต่อรองของเกษตรกร และสามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจหากสามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคในประเทศได้ สภาเกษตรกรแห่งชาติในนามคณะทำงานแก้ไขปัญหาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคในสุกร สภาเกษตรกรแห่งชาติ ซึ่งคณะทำงานประกอบด้วยผู้แทนจากกรมปศุสัตว์ ผู้แทนผู้เลี้ยงสุกรทุกภูมิภาค และเอกชนผู้ประกอบการการเลี้ยงสุกร

จึงจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบาย "โครงการฟื้นฟูเยียวยาและปรับโครงสร้างการเลี้ยงสุกรของเกษตรกรรายกลางถึงรายย่อยทั้งประเทศเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันแบบยั่งยืน" โดยเตรียมเสนอแนวทางในการดำเนินงาน แบ่งเป็น มาตรการเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการทันที ได้แก่ การเร่งดำเนินการจ่ายเงินเยียวยาเพื่อชดเชยความเสียหายจากโรคระบาดกับเกษตรกร รายกลาง รายเล็ก รายย่อย ที่ทำลายซากสุกรไปแล้ว

 รัฐบาลควรจัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำหรือปลอดดอกเบี้ย เพื่อฟื้นฟูอาชีพเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้เพื่อให้เกษตรกรรายย่อยและรายกลาง ปรับปรุงโรงเรือน สถานที่ และระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ เพื่อเป็นระบบ GFM ของกรมปศุสัตว์ และผู้ประกอบการโรงฆ่าสุกร โรงงานแปรรูป ปรับปรุงโรงเรือนและกระบวนการผลิตเข้าสู่ระบบมาตรฐาน GMP , HACCP หรือระบบของกรมปศุสัตว์ ,

ให้นำระบบ Zoning และCompartment มาใช้ในการควบคุมและป้องกันโรคระบาดสัตว์ , ขึ้นทะเบียนคนกลางรับซื้อสุกร( broker) ทุกรายทุกขนาด , เร่งทำงานวิจัยเรื่องผลกระทบของกฎหมาย ประกาศกระทรวงต่างๆ และระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อพัฒนาวงการสุกรโดยเฉพาะรายกลาง - รายย่อย  เพื่อแก้ไขและปรับปรุงโดยด่วน , สนับสนุนให้การจัดตั้งกองทุนสุกร ให้เป็นรูปธรรม , นำระบบเศรษฐกิจใหม่ BCG Model มาใช้ในวงการปศุสัตว์

 

  มาตรการระยะปานกลาง ภายใน 3 ปี ได้แก่  การเร่งรัดให้กรมปศุสัตว์ เพิ่มศักยภาพในการตรวจวินิจฉัย ชันสูตรโรค ที่ได้มาตรฐาน ทั้งกำลังคนและเครื่องมือ หรือสร้างเครือข่ายการชันสูตรโรคกับมหาวิทยาลัยต่างๆในภูมิภาค เพื่อให้บริการแก่เกษตรกรอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ในการเคลื่อนย้ายและควบคุมโรค , สนับสนุนให้มีการวิจัย และพัฒนาการเลี้ยงสุกรเข้าสู่ ระบบ Precision agriculture ที่เหมาะสมกับเกษตรกรแต่ละระดับรวมถึงการวิจัยวัคซีน และชีวภัณฑ์ต่างๆเพื่อลดการใช้ยาปฏิชีวนะ

โดยสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศร่วมกับกรมปศุสัตว์ และ มาตรการระยะยาว ภายใน 5 ปี ได้แก่  การกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ ให้ประเทศไทยปลอดจากโรคปากและเท้าเปื่อย หรือควบคุมโรคได้ด้วยวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ , สนับสนุนให้ภาคเอกชน หรือกลุ่มเกษตรกร ตั้งโรงงานผลิตวัคซีนสำหรับสัตว์ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อใช้ในประเทศและจำหน่ายในกลุ่มอาเซียนโดยอาจอยู่ในรูป 4 P (Public , Private , Professional , People Partnership)

มาตรการทั้งหมดจะส่งถึงนายกรัฐมนตรี ,  นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการป้องกัน ควบคุม และกำจัดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรแห่งชาติ ,  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ,  ประธานคณะกรรมการนโยบายพัฒนาสุกรและผลิตภัณฑ์ (Pig Board)  ต่อไป

 

                อย่างไรก็ตาม สภาเกษตรกรแห่งชาติได้เล็งเห็นความสำคัญในการทำประกันภัยสุกร เพื่อเป็นการประกันความเสี่ยงให้กับเกษตรกรในการเลี้ยงสุกรจากสภาวะปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบในการเลี้ยงสุกรดังกล่าว จึงได้เชิญสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และสมาคมประกันวินาศภัยไทย มาให้หลักเกณฑ์และแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกร จากการประชุมหารือพบว่าการประกันภัยสุกรนั้นยังมีค่าเบี้ยประกันที่สูงอยู่ และในระยะเริ่มต้นเห็นควรเสนอให้รัฐบาลเข้ามาสนับสนุนงบประมาณในบางส่วนระยะเวลาหนึ่งก่อนเพื่อให้เกษตรกรได้ปรับตัวและมีความเข้มแข็ง

 

โดยให้สมาคมประกันวินาศภัยไทยไปปรับหลักเกณฑ์ที่สามารถเอื้อให้กับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคสุกรอีกครั้ง แล้วค่อยนำกลับมาหารือกันใหม่ในอีก 1 เดือน                
#2769


รอยเตอร์ – ออสเตรเลียจะได้รับวัคซีนไฟเซอร์ 500,000 โดสจากสิงคโปร์ในสัปดาห์นี้เป็นข้อตกลงยืมวัคซีนที่ทำร่วมกับสิงคโปร์เพื่อเพิ่มจำนวนประชากรที่ได้รับวัคซีนในแดนจิงโจ้

รอยเตอร์รายงานวันนี้(31 ส.ค)ว่า นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย สกอตต์ มอร์ริสสัน แถลงวันอังคาร(31)ว่า ได้ทำข้อตกลงยืมวัคซีนไฟเซอร์ร่วมกับสิงคโปร์ก่อนหน้า และภายในสัปดาห์นี้จะมีการส่งวัคซีนไฟเซอร์จำนวน 500,000 โดสจากสิงคโปร์มายังออสเตรเลีย

ภายใต้ข้อตกลงแคนเบอร์ราจะส่งคืนวัคซีนจำนวน 500,000 โดสที่เท่ากันกลับไปให้กับสิงคโปร์ในเดือนธันวาคม เป็นข้อตกลงยืมวัคซีนที่จะเปิดโอกาสเร่งโครงการแจกวัคซีนโควิด-1 หลังจากที่เคสเพิ่มขึ้นสูงขึ้น

"จะมีวัคซีนเพิ่มขึ้นอีก 500,000 โดสที่จะเกิดขึ้นในเดือนกันยายนมิเช่นนั้นแล้วจะต้องรออีกไม่กี่เดือนจากนี้ เป็นการเร่งโครงการแจกวัคซีนของพวกเราในช่วงเวลาสำคัญนี้ที่เรากำลังเดินหน้าไปสู่เป้าหมาย 70% และ 80% พวกนี้" มอร์ริสสันกล่าวผ่านแถลงการณ์กับนักข่าวในกรุงแคนเบอร์รา

ออสเตรเลียประสบความสำเร็จในการควบคุมโควิด-19จากการล็อกดาวน์และมาตรการกักกันโรคอย่างเข้มงวด แต่ทว่าโครงการแจกวัคซีนที่มีความล่าช้าได้ทำให้ประเทศตกอยู่ในความเสี่ยงต่อการระบาดของไวรัสเดลตาที่แพร่ระบาดง่าย

ทั้งนี้ผู้ได้รับวัคซีนโควิด-19ครบโดสในประเทศออสเตรเลียมีแค่เพียง 28% เท่านั้นในเวลานี้เทียบกับจำนวน 80% ของการได้รับวัคซีน 2 เข็มครบโดสของสิงคโปร์ที่ประสบความสำเร็จสามารถให้ภูมิคุ้มกันกับประชากรได้

ในวันอังคาร(31)กรุงแคนเบอร์ราขยายการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดออกไปอีก 2 สัปดาห์และที่รัฐวิกตอเรียซึ่งถือเป็นรัฐที่มีประชากรหนาแน่นเป็นอันดับ 2 คาดว่าจะทำตามอย่างหลังจากนั้น

ที่ผ่านมากรุงแคนเบอร์ราอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์นาน 3 สัปดาห์หลังเกิดเคสใหม่ที่เชื่อว่าจะมาจากรัฐนิวเซาท์เวลส์ซึ่งเป็นศูนย์กลางระบาดของโรคโควิด-19ในออสเตรเลีย

"เรากำลังทำให้เคิร์ฟต่ำลงและกำลังจะถึงจุดสุดยอดของการระบาด อย่างไรก็ตามกระบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างล่าช้าและมันต้องใช้เวลา" มุขมนตรีเขตปกครองกรุงแคนเบอร์รา แอนดรูว์ บาร์( Andrew Barr) แถลง

ด้านนายกรัฐมนตรีรัฐวิกตอเรีย แดน แอนดรูว์ส( Dan Andrews) แสดงความเห็นว่า ยังมีคนเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการแจกวัคซีนโควิด-19 ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการผ่อนคลายมาตรการ แต่ทางรัฐจะวางกรอบในวันพุธ(1 ส.ค)เพื่อลดจำกัดเนื่องมาจากมีจำนวนผู้รับวัคซีนเพิ่มขึ้น
#2770


ขณะที่โลกกำลังต่อสู้เพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 ให้ได้ ตัวไวรัสเองก็กลายพันธุ์ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในหมูประชากรที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ขณะนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขทั่วโลกกำลังกังวลเรื่อง โควิดสายพันธุ์ใหม่ C.1.2 พบครั้งแรกในแอฟริกาใต้เมื่อเดือน พ.ค.

เว็บไซต์ biospace.com รายงานว่า ที่น่ากังวลเพราะสายพันธุ์นี้ดูเหมือนติดเชื้อได้ง่ายกว่า และต้านทานวัคซีนได้มากกว่าสายพันธุ์อื่น ถึงขณะนี้โควิดสายพันธุ์ C.1.2 พบในแอฟริกาใต้ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก มอริเชียส จีน นิวซีแลนด์ อังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ และโปรตุเกส

อัตราการกลายพันธุ์ดูแล้วสูงกว่าปกติและกลายพันธุ์ได้มากกว่าสายพันธุ์ที่น่ากังวล (วีโอซี) และสายพันธุ์ที่น่าสนใจ (วีโอไอ) อื่นๆ


คณะนักวิจัยจากสถาบันโรคติดต่อแห่งชาติแอฟริกาใต้ และ  KwaZulu-Natal Research Innovation and Sequencing Platform พบว่า C.1.2 มีอัตราการกลายพันธุ์ ปีละราว 41.8 ครั้ง เกือบสองเท่าของอัตราการกลายพันธุ์ทั่วโลกของสายพันธุ์ที่น่ากังวลในปัจจุบัน

รายงานที่ตีพิมพ์ในวารสารเนเจอร์ คณะผู้ตรวจสอบระบุว่า พบโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่มีการกลายพันธุ์บริเวณหนามหลายครั้ง เป็นไปได้ว่าปรากฏขึ้นในเขตเมืองใหญ่แห่งหนึ่งในแอฟริกาใต้หลังระบาดระลอกแรก จากนั้นแพร่ไปหลายๆ ทำเล ภายในสองจังหวัดที่อยู่ติดกัน และกระจายไปอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นสายพันธุ์หลักใน 3 จังหวัด
แม้นัยสำคัญของการกลายพันธุ์ยังไม่ชัดเจน แต่ข้อมูลด้านพันธุกรรมและระบาดวิทยาชี้ว่า สายพันธุ์นี้มีความได้เปรียบตั้งแต่ติดต่อได้ง่ายขึ้น หลบภูมิคุ้มกันได้มากขึ้น หรือทั้งสองอย่าง

ก่อนหน้านี้ในเดือน ส.ค. กระทรวงสาธารณสุขอังกฤษรายงานว่า C.1.2 เป็นหนึ่งในสิบสายพันธุ์ที่กำลังถูกจับตาในสหราชอาณาจักร

นักวิจัยคนหนึ่งที่ร่วมศึกษา กล่าวว่า เมื่อเปรียบเทียบกับสายพันธุ์ C.1 สายพันธุ์ใหม่กลายพันธุ์ไปมาก ทั้งยังกลายพันธุ์จากสายพันธุ์เดิมที่พบในอู่ฮั่นมากกว่าวีโอซีและวีโอไออื่นๆ ที่พบทั่วโลกนับถึงขณะนี้
#2771


นายสุรพงษ์ ปัตถนานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นเนอร์จี แม็คซ์ จำกัด (EMAX) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT เปิดเผยว่า บริษัทในฐานะตัวแทนคู่สัญญากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในการติดตั้งโครงการมิเตอร์อัจฉริยะ หรือสมาร์ทมิเตอร์ในเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี จำนวน 1.1 แสนครัวเรือน ล่าสุดบริษัทได้ติดตั้งมิเตอร์ใหม่ หรือสมาร์ทมิเตอร์ (Smart Meter) ให้ครัวเรือนต่างๆ ครบตามสัญญาและส่งมอบงานให้ กฟภ.เรียบร้อยแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

"โครงการนี้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือน ก.ค.2561 มีมูลค่าเงินลงทุนประมาณ 700 ล้านบาท "โครงการสมาร์ทมิเตอร์ จะเพิ่มศักยภาพในการให้บริการแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เหตุการณ์กระแสไฟฟ้าตกหรือไฟฟ้าดับ กฟภ. จะได้รับการแจ้งเตือนจากระบบทันที ไม่ต้องรอให้ผู้ใช้แจ้ง"

นอกจากนี้ สมาร์ทมิเตอร์จะรายงานข้อมูลการใช้ไฟฟ้าเกือบเรียลไทม์ ผ่านแอพพลิเคชั่นมือถือของผู้ใช้ไฟฟ้า จะทำให้เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าให้ประหยัดขึ้น และยังมีจุดเด่นในเรื่องการรับ - ส่งข้อมูล 2 ทางระหว่าง กฟภ. กับผู้บริโภค ทำให้ได้รายละเอียดการใช้ไฟฟ้าแต่ละครัวเรือนมายังส่วนกลางของกฟภ. ทำให้ กฟภ. มีฐานข้อมูลขนาดใหญ่ในการนำไปใช้ปรับปรุงการให้บริการต่อไป รวมถึง ยังช่วยลดปัญหาการลักลอบใช้ไฟฟ้าที่มีจำนวนมาก เพราะสมาร์ทมิเตอร์มีระบบป้องกัน และยังมีหลักฐานที่นำไปใช้ฟ้องร้องการลักลอบใช้ไฟฟ้าในศาลได้

ทั้งนี้ บริษัทฯ เป็นรายแรกที่ติดตั้งระบบ Smart Grid ในไทย โดยบริษัทฯ ร่วมมือกับ บริษัท ไอทรอน (ITRON) พันธมิตรจากประเทศสหรัฐ ซึ่งเบื้องต้นจะมีรายได้จากค่าสมาร์ทมิเตอร์ และซอฟท์แวร์ หลังจากนั้นจะมีค่าบำรุงรักษาตลอดระยะเวลา 3 ปี

ด้านนางสาวชนินทร ธรรมาภรณ์พิลาศ ผู้จัดการโครงการ Smart Grid บริษัทเอ็นเนอร์จี แม็คซ์ จำกัด กล่าวเสริมว่าหลังจากนี้ทางกฟภ.จะนำเสนอระบบ Customer Portal ซึ่งเป็นระบบงานที่สามารถใช้งานผ่านมือถือ

 
#2772
ข้าวกล้องปลอดสารตัวช่วยคุณแม่ตั้งครรภ์
ข้าวกล้องอินทรีย์ตัวช่วยของคุณแม่ตั้งครรภ์ข้าวหอมมะลิแท้สุรินทร์   ข้าวอินทรีย์กรมการข้าวส่งทั่วไทย การรับประทาน "#ข้าวกล้อง" (ปลูกข้าวออแกนิค) นอกจาก  ปลูกข้าวกล้องหอมมะลินิลออแกนิค จะส่งผลดีโดยตรงต่อคุณแม่ตั้งครรภ์แล้วยังส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์อีกด้วย ข้าวกล้องออแกนิคถือเป็นหนึ่งในอาหารกลุ่มให้พลังงานต่อร่างกายในการใช้พลังงานต่อวันของเรา คุณแม่ตั้งครรภ์ยังมีความต้องการสารอาหารจาก ข้าวหอมมะลิorganicที่มากกว่าคนปกติ เพราะต้องน้ำสารอาหารที่จำเป็นหลายๆส่วนไปใช้ในการสร้างพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์   ข้าวกล้องหอมมะลิเกษตรอินทรีย์สุรินทร์ถือเป็นตัวช่วยที่ดีมากๆ อีกตัวช่วยหนึ่ง เนื่องจาก ข้าวกล้องเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี จึงยังคงไว้ด้วยคุณค่าสารอาหารมากกว่าขาวที่ถูกขัดสี มีจมูกข้าว มีเยื่อหุ้มข้าว มีกาบา ซึ่งมีและสารอาหารต่างๆครบ ทั้งโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ ซึ่งมีอะไรบ้างมาดูกัน..




1. ปัญหาหลักของคุณแม่ตั้งครรภ์ คือ ภาวะท้องผูก ข้าวกล้องมีเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในเรื่องของอาการท้องผูกและมะเร็งลำไส้ได้เป็นอย่างดี
ปัญหาต่อมา คุณแม่ตั้งครรภ์ชอบเป็นตะคริว เมื่อคุณแม่รับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันการเกิดปากนกกระจอก เนื่องจากมีวิตามินบี 2 บรรเทาอาการอ่อนเพลีย อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ
2. นอกจากคุณแม่จะทานยาที่คุณหมอให้สริมธาตุเหล็กมา ข้าวกล้องยังมีธาตุเหล็กมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง จาก  ข้าวปะกาอำปึลออแกนิค
3. ในข้าวกล้อง  ข้าวกล้องมะลินิลออแกนิค มีฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน และเส้นผมของลูกและคุณแม่ที่ผมร่วงบ่อย
4. ใน  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิแดง มีแคลเซียมจำเป็นที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง และยังช่วยป้องกันการเกิดตะคริว ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์กว่า 90% ต้องเผชิญ ป้องการให้คุณแม่ไม่เป็นโรคกระดูกพรุนเมื่ออายุมากขึ้นอีกด้วย
5. ในข้าวกล้องมีไขมันที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ในข้าวกล้องเป็นไขมันดีที่ไม่มีคอเลสเตอรอล (Cholesterol)
6. ในข้าวกล้องมีเกลือแร่ และวิตามินรวมกันกว่า 20ชนิด ซึ่งช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
7. ใน   ข้าวกล้องหอมมะลินิลเกษตรอินทรีย์   มีโปรตีนมากกว่า 20-30% ช่วยเสริมสร้างร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ
8. ในข้าวกล้องแป้งมีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน ส่วนคนที่ผอมก็แข็งแรงยิ่งขึ้น เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น มีผลทำให้สุขภาพจิตใจของคุณแม่ตั้งครรภ์ดีขึ้น เพราะสุขภาพร่างกายแข็งแรง สดชื่น แจ่มใส

เห็นไหมว่าข้าวกล้อง เช่น  ข้าวไรซ์เบอรี่เพื่อสุขภาพ   มีคุณค่าและสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายคุณแม่และคุณลูกมากแค่ใหน เวลาเลือกซื้อข้าวกล้อง อย่าลืมเลือกซื้อข้าวกล้องอินทรีย์ เพราะทุกกระบวนการผลิตไม่มีการใช้สารเคมีดีต่อสุขภาพคุณแม่และคุณลูกอย่างปลอดภัย

เพื่อความมั่นใจถึงความเป็นข้าวออร์แกนิค   ข้าวกล้องไรซ์เบอรี่ออแกนิค  ที่แท้จริงของเรา
ข้าวฮอร์ (HOR)   การผลิตข้าวอินทรีย์
ได้รับมาตรฐาน
1. ใบรับรองมาตรฐานข้าวอินทรีย์ ( Organic Thailand)
2. ใบรับรองเครื่องหมาย "ข้าวพันธุ์แท้" จากกรมการข้าว จาก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในประเภทของ
2.1 ข้าวขาวดอกมะลิ 105 (ข้าวขาว)
2.2 ข้าวขาวดอกมะลิ105 (ข้าวกล้อง)
2.3 ข้าวมะลินิลสุรินทร์

ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์   กลุ่มข้าวอินทรีย์สุรินทร์   ส่งออกข้าวอินทรีย์
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website :  ข้าวกล้องออแกนิค
Facebook : เกษตรกรจังหวัดสุรินทร์ปลูกข้าวออร์แกนิค
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique เกษตรกรจังหวัดสุรินทร์ปลูกข้าวออร์แกนิค  เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ1.  ข้าวหอมมะลิออร์แกนิค
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิปลอดสารพิษ
3. ข้าวปะกาอำปึลปลอดสารพิษ (#ข้าวพื้นถิ่นสุรินทร์)
4.ข้าวผสมห้าสายพันธุ์อินทรีย์
5. กลุ่มข้าวหอมมะลิแดงอินทรีย์
6.  ข้าวมะลินิลออร์แกนิค
7. ข้าวไรซ์เบอร์รี่ออแกนิคคือ

ข้าว Hor พร้อมขายแล้วที่ Shopee & Lazada
https://shopee.co.th/hor.boutique
https://www.lazada.co.th/shop/horboutique/

#ข้าวกล้องอินทรีย์ตัวช่วยของคุณแม่ตั้งครรภ์ #ข้าวกล้องสำหรับคนท้อง #ข้าวกล้องสำหรับคุณแม่ตั้งครภ์ #คนท้อง #ตั้งครรภ์ #ตั้งท้อง

 

 
 
#2773


วันนี้ (30 ส.ค.) นายชัยโรจน์ ทิวัตถ์มั่นเจริญ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส หน่วยงาน International บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า ตามที่บริษัท ซีพี ออลล์ (กัมพูชา) จำกัด หรือ CP ALL (Cambodia) Co., Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยทางอ้อมของซีพี ออลล์ ได้เข้าทำสัญญาแฟรนไชส์หลักสำหรับการดำเนินการร้านเซเว่น อีเลฟเว่นในประเทศกัมพูชากับ 7-Eleven Inc. เมื่อปีที่แล้ว ล่าสุดวันนี้ (30 ส.ค. 2564) ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ในกัมพูชาได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว โดยร้านสาขา Chroy Changvar (30001) ซึ่งเป็นสาขาแรก ตั้งอยู่ในกรุงพนมเปญ เมืองหลวงของประเทศ ได้ทำพิธีเปิดอย่างเรียบง่ายสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันไปเมื่อช่วงเช้า เวลา 09.19 น. ทั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก โลกจุมเตียวโต ปิลา ผู้แทนจากกระทรวงพาณิชย์ ราชอาณาจักรกัมพูชา นายจิรวุฒิ สุวรรณอาจ อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายพาณิชย์ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ และนายสุภชัย วีระภุชงค์ อุปนายกสมาคมมิตรภาพไทย – กัมพูชา ร่วมเปิดงาน

"การเปิดร้านเซเว่น อีเลฟเว่น สาขาแรกในกัมพูชาวันนี้ ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่แสดงถึงมิตรภาพ และความสัมพันธ์อันดีของ 2 ประเทศ ทั้งในระดับรัฐบาล และประชาชน อีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นของซีพี ออลล์ ในการเข้าไปยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องในกัมพูชาด้วยการส่งมอบสินค้า และบริการที่มีคุณภาพ" นายชัยโรจน์ กล่าว

นายชัยโรจน์ ทิวัตถ์มั่นเจริญ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส หน่วยงาน International บริษัท   ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ 
นายชัยโรจน์ ทิวัตถ์มั่นเจริญ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส หน่วยงาน International บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่

นอกจากนี้ ภายใต้ค่านิยม 3 ประโยชน์ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ซึ่งประกอบด้วย การสร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประชาชน และองค์กร ซีพี ออลล์ โดยซีพี ออลล์ (กัมพูชา) ได้วางนโยบายในการดำเนินธุรกิจโดยมุ่งเน้นการสร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศ และสร้างคุณค่าให้กับสังคม ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสมาชิกของสังคมกัมพูชา

"สิ่งสำคัญที่ได้เน้นย้ำคือ การเคารพกฎหมาย และข้อปฏิบัติของสังคมที่เราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง ขณะเดียวกัน เราได้นำแนวทางเดียวกับประเทศไทย นอกเหนือจากคุณภาพของสินค้าและบริการแล้ว เราจะพยายามมีส่วนร่วมในการส่งมอบคุณค่าไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อย และการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับเศรษฐกิจของกัมพูชา ซึ่งหวังว่าจะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากประชาชนชาวกัมพูชา" นายชัยโรจน์ เน้นย้ำ



ทั้งนี้ ซีพี ออลล์ (กัมพูชา) ยังมีแผนจะดำเนินการเปิดร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ในอีกหลายพื้นที่ภายในปีนี้เพื่อให้ครอบคลุมตามความเหมาะสมของปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา โดยเบื้องต้น ที่ร้านสาขา Chroy Changvar นั้น ได้คัดสรรสินค้าคุณภาพกว่า 2,000 รายการ รวมทั้งเครื่องดื่มอัดลมแช่แข็งที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะอย่างสเลอปี้ (Slurpee) ตลอดจนเครื่องดื่มชงสดภายใต้แบรนด์ออลล์ คาเฟ่ (ALL Café) มาเป็นตัวเลือกให้ผู้บริโภค และในอนาคตจะมีการศึกษา และพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้สอดรับพฤติกรรม และตอบโจทย์ความนิยมของชาวกัมพูชาเพื่อให้นำมาซึ่งความพอใจสูงสุดของลูกค้าอยู่เสมอ
#2774


วันนี้ (30 ส.ค.) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงข่าวประสิทธิผลของวัคซีนโควิด 19 ในการลดป่วยรุนแรงและเสียชีวิต ว่า การฉีดวัคซีนโควิด 19 เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ฉีดได้ 275,188 โดส สะสม 30,954,477 โดส เป็นเข็มแรก 23,018,371 ราย ครอบคลุม 32% ของประชากร และครบ 2 เข็ม 7,350,348 ราย ครอบคลุม 10.2% ของประชากร สำหรับการฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอาการรุนแรงและเสียชีวิตสูง พบว่า เมื่อฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมมากขึ้น แนวโน้มการเสียชีวิตลดลงชัดเจน จากสัปดาห์ที่ 22 ฉีดวัคซีนครอบคลุมร้อยละ 0.8 เมื่อถึงสัปดาห์ที่ 34 ฉีดได้ครอบคลุมร้อยละ 41 อัตราเสียชีวิตที่เคยสูงสุดถึงร้อยละ 18.34 ในสัปดาห์ที่ 25 ลดลงครึ่งหนึ่ง เหลือเพียงร้อยละ 9.27 ในสัปดาห์ที่ 30 และอัตราการป่วยรุนแรง/ ปอดอักเสบลดลงด้วยเช่นกัน

นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวต่อว่า สำหรับแผนการจัดหาวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่กันยายน-ธันวาคม 2564 จะมีวัคซีนซิโนแวค 12 ล้านโดสในเดือนกันยายน-ตุลาคม เพื่อฉีดเป็นเข็ม 1 ในสูตรวัคซีนไขว้ ส่วนแอสตร้าเซนเนก้า จะส่งมอบให้ครบ 61 ล้านโดสในปีนี้ โดยกันยายนส่งมอบ 7.3 ล้านโดส และตุลาคม-ธันวาคม เดือนละ 10 ล้านโดส ส่วนไฟเซอร์ 30 ล้านโดส จะส่งมอบกันยายน 2 ล้านโดส ตุลาคม 8 ล้านโดส และพฤศจิกายน-ธันวาคมเดือนละ 10 ล้านโดส รวมวัคซีนที่จัดหาได้ในปี 2564 ทั้งสิ้น 124 ล้านโดส เมื่อรวมกับวัคซีนซิโนฟาร์มและโมเดอร์นาทำให้ไทยมีวัคซีน 140 ล้านโดส

ในการกระจายวัคซีนฉีดให้กลุ่มต่าง ๆ จะมีคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญและคณะกรรมการวิชาการให้ความเห็น โดยมีแผนฉีดวัคซีนเข็มแรกในกลุ่มเสี่ยง 608 ให้ได้ 70% ในพื้นที่ 12 จังหวัดภายในเดือนสิงหาคม และทุกจังหวัดในเดือนกันยายน และจะฉีดวัคซีนเข็ม 2 ในกลุ่มเสี่ยง 608 ให้มากกว่า 70% ในเดือนตุลาคม สำหรับประชาชนกลุ่มอื่นๆ จะฉีดเข็มแรกครอบคลุม 50% ทั้งประเทศในเดือนตุลาคม และครอบคลุม 70% ในเดือนพฤศจิกายน ทั้งนี้ ภายในธันวาคมทุกพื้นที่ต้องฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มให้ได้ 70% อย่างไรก็ตาม การลดจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิต นอกจากการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรแล้ว ยังต้องอาศัยความร่วมมือของประชาชนในการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองขั้นสูงสุดตลอดเวลา รวมถึงองค์กรต่าง ๆ ต้องเข้มมาตรการป้องกันภายในองค์กรด้วย
#2775


นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK เปิดเผยว่า บริษัทฯ เริ่มดำเนินธุรกิจในปี 2556 โดยเล็งเห็นถึงการเติบโตของธุรกิจที่ปรึกษาด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีในประเทศไทย จึงได้นำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของทีมผู้บริหารและบุคลากร ที่เคยร่วมงานกับบริษัทคอนซัลต์ชั้นนำระดับโลก เพื่อให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ให้เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันรองรับการเติบโตแบบไร้ขีดจำกัดและตอบสนองความต้องการของลูกค้าในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ด้วยความเข้าใจในบริบทของการดำเนินธุรกิจในระดับภูมิภาค  

ADVERTISING

ปัจจุบันบริษัทฯ มีลูกค้าเป็นบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมต่างๆ จาก 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจการเงิน ประกันภัย เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และธุรกิจอื่นๆ อาทิ พลังงานและสาธารณูปโภค อาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น ทั้งที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม SET 50 และ SET 100 และบริษัทจำกัด โดยมี 5 บริการหลักตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย ได้แก่  

1. บริการให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์และการจัดการ (Management Consulting) โดยทำหน้าที่ค้นหาปัจจัยความสำเร็จทางธุรกิจให้แก่ลูกค้า กำหนดทิศทางกลยุทธ์ด้านต่างๆ วิเคราะห์ผลกระทบและโอกาสเชิงเศรษฐศาสตร์จากการนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้กับธุรกิจ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและเติบโตอย่างก้าวกระโดด (Exponential Growth) 

2. บริการที่ปรึกษาการบริหารจัดการโครงการเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic PMO) โดยทำหน้าที่บริหารโครงการขนาดใหญ่ ที่มีความซับซ้อนสูงให้กับองค์กรขนาดใหญ่ และเข้าไปวางโครงสร้างระบบไอทีภายในองค์กร   

3. บริการพัฒนาระบบดิจิทัลและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี (Digital Excellence and Delivery) โดยทำหน้าที่         ให้คำปรึกษาเชิงลึกด้านดิจิทัลครบวงจรและพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับแต่ละองค์กร  

4. บริการที่ปรึกษาด้านการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงด้วยปัญญาประดิษฐ์ (Big Data & Advanced Analytics) โดยทำหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ด้วย AI และให้คำแนะนำการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล เพื่อสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม   

5. บริการด้านทรัพยากรบุคคลชั่วคราวที่มีความเชี่ยวชาญด้านไอที (IT Staff Augmentation) โดยจัดหาพนักงานที่เชี่ยวชาญด้านไอที อาทิ โปรแกรมเมอร์ และนักพัฒนาซอฟต์แวร์ เพื่อปฏิบัติงานตามกำหนดระยะเวลาจนจบโครงการ 

ทั้งนี้ ประเมินว่าในปี 2564 ภาพรวมตลาดดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในประเทศไทยจะมีมูลค่ารวม 280,000 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 442,000 ล้านบาท ในปี 2568 ซึ่งจะมีผลต่อการเติบโตของ GDP เฉลี่ยปีละ 0.4% (อ้างอิงจากข้อมูลของไมโครซอฟท์และไอดีซี เอเชียแปซิฟิก) สอดคล้องกับทิศทางการขยายตัวของตลาดโลก ซึ่งในปี 2563 มีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 469,800 ล้านเหรียญสหรัฐ และจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,009,800 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2568 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 16.5% ต่อปี (ข้อมูลจาก MarketsandMarkets) เนื่องจากบริษัทต่างๆ เห็นถึงความจำเป็นในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานสู่ดิจิทัล ส่งผลให้การใช้งานระบบเชื่อมต่อข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต (Internet of Things : IoT)  บิ๊กดาต้า และเทคโนโลยีคลาวด์  มีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้น โดยมี COVID-19 เป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในองค์กรเพื่อรับมือกับกระแสดิสรัปชันในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) 

บริษัทฯ จึงวางแผนขยายธุรกิจเพื่อการเติบโต เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายเป็นบริษัทคอนซัลต์ด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันชั้นนำแบบครบวงจร ได้แก่ 1. การเพิ่มบุคลากรและพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยี ตลอดจนวางแผนพัฒนาศูนย์การพัฒนาทักษะ (Learning Academy Center) 2. พัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลเพื่อให้บริการซอฟต์แวร์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (Software as a Service หรือ SaaS) รวมถึงจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Research and Development Center) 3. เสริมศักยภาพการบริหารจัดการภายใน ผ่านการยกระดับระบบซอฟต์แวร์เพื่อรองรับการเติบโตขององค์กร 4. ขยายพื้นที่สำนักงานรองรับการเพิ่มบุคลากร 5. ลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องและมีศักยภาพเพื่อสร้างการเติบโตและรับมือความผันผวนของตลาด และ 6. เสริมศักยภาพด้านเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน  

'นอกจากการให้บริการที่ครบวงจร บริษัทฯ ยังเดินหน้าขยายความร่วมมือกับองค์กรชั้นนำในการนำเทคโนโลยีมาช่วย ทรานส์ฟอร์มองค์กร โดยล่าสุดได้ร่วมมือกับบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR จัดตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อ บริษัท ออร์บิท ดิจิทัล จำกัด (ORBIT) เพื่อเติมเต็มนวัตกรรมและศักยภาพด้านดิจิทัลสู่การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ซึ่งมีการเพิ่มทุนจดทะเบียนของ ORBIT เป็น 50 ล้านบาท เพื่อยกระดับขีดความสามารถขององค์กรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม สู่การเพิ่มมูลค่าและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ให้กับ OR ในอนาคต รวมถึงยกระดับเป็นผู้นำด้านดิจิทัลในอุตสาหกรรมค้าปลีก' นายพชร กล่าว 


นางสาวศรีแพร ธนฐิติพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK กล่าวว่า บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานปี 2561 – 2563 เติบโตก้าวกระโดด โดยมีรายได้จากการขายและบริการ 132.76 ล้านบาท 184.94 ล้านบาท และ 200.53 ล้านบาทตามลำดับ เติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 22.90% และมีกำไรสุทธิ 19.22 ล้านบาท 31.71 ล้านบาท และ 44.29 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 51.8% เนื่องจากได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าที่ต้องการทรานส์ฟอร์มธุรกิจสู่ดิจิทัลเพิ่มขึ้น  

ขณะที่ผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกปีนี้ มีรายได้จากการขายและบริการ 126.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิ 30.06 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราส่วนกำไรสุทธิที่ 23.67% โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากการเติบโตของธุรกิจบริการที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบดิจิทัลและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี (Digital Excellence and Delivery) ธุรกิจบริการที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และการจัดการ (Management Consulting) และธุรกิจที่ปรึกษาด้านการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงด้วยปัญญาประดิษฐ์ (Big Data & Advanced Analytics)  


ด้าน นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า บมจ.บลูบิค กรุ๊ป ถือเป็นหุ้นคอนซัลต์ด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันตัวแรกในไทย ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากการทรานส์ฟอร์มองค์กรด้วยเทคโนโลยี  มีจุดเด่นด้านผลการดำเนินงานย้อนหลังที่เติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งรายได้และผลกำไร   มีพอร์ตลูกค้าที่แข็งแกร่งซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำ มีคณะกรรมการบริษัทฯ ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ ทีมผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์จากบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลก รวมถึงมีโอกาสขยายตัวอีกมากจากเมกะเทรนด์ จึงส่งผลให้ BBIK เป็นหุ้นอีกตัวที่มีศักยภาพเติบโตสูงและน่าจับตามอง  

ทั้งนี้ หลังจาก บมจ.บลูบิค กรุ๊ป ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 25 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ ปัจจุบันแบบ คำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ได้รับการอนุมัติจากสำนักงาน ก.ล.ต.แล้ว หลังจากนี้จะร่วมกันกำหนดวันที่เหมาะสมในการเสนอขาย IPO และคาดว่าจะนำ บมจ.บลูบิค กรุ๊ป เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ภายในเดือนกันยายนนี้ 
#2776


แม็กซ์ เวอร์สแตพเพน ของทีมเรดบูลล์ เรซซิ่ง ผงาดคว้าชัยที่สปา หลังฝนเทลงมาอย่างหนัก วิ่งไปได้แค่ 2 รอบ ก่อนถูกตัดจบ ขณะที่ จอร์จ รัสเซลล์ ได้อันดับ 2 ขึ้นโพเดียมครั้งแรกในชีวิต ด้าน ลูอิส แฮมิลตัน คว้าอัที่ 3 แต่ยังเป็นผู้นำในตารางคะแนนสะสมแชมป์โลก

ศึกรถสูตรหนึ่งชิงแชมป์โลก ฟอร์มูล่า วัน สนามที่ 12 'เบลเยียม กรังด์ปรีซ์' ที่สนาม สปา-ฟรองโคชองป์ส ประเทศเบลเยียม ระยะทางรวม 7.004 กิโลเมตร โดยวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นการชิงชัยในรอบเรซเดย์ แข่งขันกันทั้งหมด 44 รอบสนาม

ปรากฎว่าก่อนเรซจะเริ่มมีฝนเทลงมาอย่างหนักทำให้การแข่งขันมีอันต้องดีเลย์ออกไปราว 3 ชั่วโมง โดยมีความพยายามที่จะเริ่มต้นการแข่งขันถึง 2 ครั้ง แต่ไม่สามารถทำได้

ก่อนที่ฝ่ายจัดการแข่งขันจะตัดสินใจให้นักแข่งทั้งหมดลงไปทำการแข่งขัน และเมื่อออกสตาร์ทไปเพียงแค่ 2 รอบ โดยผู้นำ ณ ตอนนั้นเป็นของ แม็กซ์ เวอร์สแตพเพน เรซก็มีอันต้องหยุดชะงักอีกครั้ง เมื่อเซฟตี้คาร์ต้องลงไปในสนาม และต้องโบกธงแดง หลังเซฟตี้คาร์วิ่งไปได้ 2 รอบครึ่ง

สุดท้ายฝ่ายจัดการแข่งขันสั่งยุติการแข่งขัน ทำให้ แม็กซ์ เวอร์สแตพเพน นักขับชาวดัตช์ สังกัดเรดบูลล์ เรซซิ่ง ที่เป็นผู้นำอยู่ คว้าชัยชนะเรซนี้ไปครองในทันที ส่วนอันดับสอง เป็นของ จอร์จ รัสเซลล์ สังกัดทีมวิลเลียมส์ และอันดับสาม เป็นของ ลูอิส แฮมิลตัน จากทีมเมอร์เซเดส

ทั้งนี้ถือเป็นการขึ้นโพเดียมครั้งแรกในชีวิตของ จอร์จ รัสเซลล์ นักขับอังกฤษ จากทีมวิลเลียมส์ อีกด้วย

สำหรับการแข่งขันในเรซนี้ผู้ที่เข้าเส้นชัยอันดับ 1-10 จะได้รับคะแนนสะสมไปเพียงครึ่งเดียว โดย ลูอิส แฮมิลตัน แชมป์โลก 7 สมัยจากทีมเมอร์เซเดส มีเพิ่ม 7.5 คะแนน รวมเป็น 202.5 แต้ม ครองตำแหน่งผู้นำในตารางคะแนนรวมแชมป์โลก ส่วน แม็กซ์ เวอร์สแตพเพน จากเรดบูลล์ เรซซิ่ง ได้เพิ่ม 12.5 คะแนน มีเป็น 199.5 คะแนน และอันดับ 3 เป็นของ แลนโด นอร์ริส สังกัดทีมแม็คลาเรน มี 113 แต้ม

ขณะที่ตารางคะแนนของทีมผู้ผลิต อันดับ 1 ยังเป็นของ เมอร์เซเดส มี 303 คะแนน ส่วนอันดับ 2 เป็นของ เรดบูลล์ เรซซิ่ง มี 291 คะแนน และอันดับ 3 เป็นของ เฟอร์รารี มี 163 แต้ม
#2777


แม้ว่าปัจจุบัน "อินเดีย" จะสามารถควบคุมโรคโควิด-19 ได้ดีขึ้นมาก จากเคยมียอดผู้ติดเชื้อใหม่ระลอก 2 เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ทำนิวไฮสูงถึงระดับ 4 แสนคนต่อวัน ลดลงเหลือระดับ 2-4 หมื่นคนต่อวันแล้วก็ตาม

แต่ด้วย "การรับรู้" (Perception) ของคนไทยที่มีต่อการระบาดของโควิด-19 ในอินเดียยังค่อนข้างเป็นลบอยู่ ทั้งยังเป็นต้นกำเนิดของสายพันธุ์ "เดลตา" ที่กำลังแพร่ระบาดหนักทั่วไทย นับเป็นความท้าทายของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในการกู้ความเชื่อมั่นของเจ้าบ้านกลับคืน!

ชลดา สิทธิวรรณ ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานมุมไบ กล่าวว่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวอินเดียมีความต้องการมาท่องเที่ยวประเทศไทยมากขึ้น แต่เนื่องจากสถานการณ์โรคโควิด-19 ระบาดหนักในอินเดียเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ทำให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ของไทยหยุดการออกใบอนุญาตการเดินทางเข้าประเทศไทย (Certificate of Entry : COE) แก่นักท่องเที่ยวอินเดียมานานกว่า 4 เดือนแล้ว ตอนนี้อนุญาตให้เฉพาะชาวอินเดียที่เป็นนักธุรกิจที่มีถิ่นพำนัก มีใบอนุญาตทำงาน และมีครอบครัวในไทยเดินทางเข้ามาได้เท่านั้น

ขณะที่ข้อมูลล่าสุดระบุว่าชาวอินเดียได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้วจำนวนมาก ประกอบกับที่ผ่านมามีการติดเชื้อกันมากจนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ทำให้นักท่องเที่ยวอินเดียเริ่มมีดีมานด์ออกท่องเที่ยวต่างประเทศอีกครั้ง โดยปัจจุบันอินเดียมีการทำข้อตกลง "Air Bubble Agreement" กับอีก 28 ประเทศ เช่น สหรัฐ อังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ รัสเซีย มัลดีฟส์ ศรีลังกา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ให้มีเที่ยวบินเข้าออกอินเดียได้ และพบว่าจุดหมายที่นักท่องเที่ยวอินเดียนิยมไปมากที่สุดขณะนี้คือมัลดีฟส์ รองลงมาคือดูไบ

ระหว่างนี้ ททท.ต้องจับตาดูผลการเดินทางเข้าไทยของชาวอินเดียที่มีธุระจำเป็นในช่วง 2-3 สัปดาห์นับจากนี้ว่าเป็นอย่างไร พร้อมประเมิน "ความรู้สึก" (Sentiment) ของคนไทยไปด้วย เพราะจากการรับรู้ของคนไทยที่มีต่อการระบาดของโควิด-19 ในอินเดียช่วงที่ผ่านมา พบว่ายังไม่ค่อยมั่นใจนัก ทั้งยังเป็นที่มาของสายพันธุ์เดลตาที่กำลังระบาดหนักในไทย จึงต้องรอศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) พิจารณาอีกทีว่าจะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวอินเดียมาเที่ยวไทยได้เมื่อไร

"ถ้ามีสัญญาณดีจาก ศบค.อนุญาตให้นักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางเข้าไทย ทางเอเย่นต์ท่องเที่ยวก็พร้อมขายแพ็คเกจท่องเที่ยว โดยจากการสำรวจความเห็นของเอเย่นต์ท่องเที่ยว 300 กว่าราย ส่วนใหญ่ 94% ระบุว่ามีดีมานด์จากนักท่องเที่ยวอินเดียไปไทยแน่นอน ทั้งนี้คาดว่าจะใช้เวลาในการทำตลาดอีก 1 เดือนครึ่งหาก ศบค.ไฟเขียว เช่น จัดเตรียมเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (ชาร์เตอร์ไฟลต์) เริ่มจากเมืองหลัก เช่น นิวเดลี และมุมไบ เข้าประเทศไทย"

แต่ประเด็นคือนักท่องเที่ยวอินเดียยังต้องการมาเที่ยวไทยระยะสั้นแค่ 7 วันแบบไม่กักตัว และคาดหวังว่าจะสามารถขอ "วีซ่า ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง" (Visa on Arrival : VoA) ได้แบบเดิมเหมือนก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 ซึ่งทาง ททท.ต้องสื่อสารให้นักท่องเที่ยวอินเดียเข้าใจว่าการเดินทางมาเที่ยวไทยมีขั้นตอนมากขึ้นตามมาตรการใหม่ด้านสาธารณสุข และการเดินทางเข้าแต่ละพื้นที่นำร่องก็มีเงื่อนไขแตกต่างกันไป

วชิรชัย สิริสัมพันธ์ ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานนิวเดลี กล่าวเสริมว่า แม้ว่าประเทศไทยจะพบยอดผู้ติดเชื้อใหม่ระดับ 2 หมื่นคนต่อวัน แต่ในมุมมองหรือความรู้สึกของคนอินเดียแล้ว ไม่ได้มีผลหรือ "หวั่นไหว" นัก อาจเป็นเพราะส่วนหนึ่งชาวอินเดียผ่าน "จุดพีค" ของการระบาดมาแล้ว!

"ที่ประเทศอินเดียเริ่มมีการทยอยฉีดวัคซีนเมื่อกลางเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา และเร่งสปีดฉีดเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา หลังเผชิญการระบาดระลอก 2 เดือน เม.ย. ทำให้ตอนนี้มีคนอินเดียได้รับการฉีดวัคซีนรวมกว่า 600 ล้านโดสแล้ว โดยเข็มแรกอยู่ที่ 35% ของประชากรทั้งหมด 1.4 พันล้านคน ส่วนเข็มที่ 2 อยู่ที่ 10.3% และคาดว่าในเดือน ต.ค.นี้ประชากรที่เป็นผู้ใหญ่จะได้รับวัคซีนครบโดสอีกจำนวนมาก สร้างความพร้อมให้กับตลาดอินเดียในการเดินทางท่องเที่ยวนอกประเทศอีกครั้ง หลังจากเมื่อปี 2562 มีคนอินเดียเดินทางต่างประเทศจำนวน 26.92 ล้านคน เติบโต 2.3% เมื่อเทียบกับปี 2561"

ทั้งนี้ ททท.ได้ประมาณการนักท่องเที่ยวอินเดียมาไทยช่วงไตรมาส 4 ตั้งแต่ ต.ค.-ธ.ค.นี้ แบบไม่กักตัว ไว้ 2 กรณีด้วยกัน ได้แก่ ซีนาริโอที่ 1 เที่ยวบินพาณิชย์กลับมาบินใน 6 เมืองหลัก ได้แก่ นิวเดลี มุมไบ กัลกัตตา เชนไน ไฮเดอราบัด และบังกะลอร์ สัปดาห์ละ 1 เที่ยวบิน เที่ยวบินละ 250 ที่นั่ง รวม 14 สัปดาห์ เท่ากับ 21,000 ที่นั่ง
ประมาณการเดินทางเข้าไทยสัปดาห์ละไม่เกิน 1,500 คน รวม 14 สัปดาห์ ประมาณ 21,000 คน สร้างรายได้ 938,448,000 บาท

ส่วนซีนาริโอที่ 2 ไม่มีเที่ยวบินพาณิชย์ จัดชาร์เตอร์ไฟลต์สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ใน 2 เมืองหลัก ได้แก่ นิวเดลีและมุมไบ เที่ยวบินละ 150 ที่นั่ง รวม 14 สัปดาห์ เท่ากับ 2,100 ที่นั่ง ประมาณการณ์นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยสัปดาห์ละ 300 คน รวม 14 สัปดาห์ ประมาณ 4,200 คน สร้างรายได้ 187,689,600 บาท

ทั้งนี้เมื่อปี 2562 ตลาดอินเดียเที่ยวไทยสร้างรายได้ 80,039 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.96% เมื่อเทียบกับปี 2561 จากฐานนักท่องเที่ยวอินเดีย 1,961,069 คน เพิ่มขึ้น 25.48% กระโดดจากอันดับ 6 ของประเทศที่ส่งออกนักท่องเที่ยวมาเยือนไทยสูงสุดเมื่อปี 2561 ขึ้นมาครองอันดับ 3 เมื่อปี 2562 ก่อนยอดจะร่วงลงในปี 2563 เหมือนกับทุกๆ ตลาดเมื่อโรคโควิด-19 ระบาดหนักทั่วโลก ปิดยอดปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวอินเดียมาไทยเพียง 261,777 คนเท่านั้น ติดลบกว่า 80%
#2778


นายเชิ้ท คว้อนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บันยัน ไทยแลนด์ กรุ๊ป เปิดเผยว่า มูลค่าธุรกรรมของ บันยัน เรสซิเดนซ์ หัวหิน วิลล่าระดับไฮเอนด์ มีมูลค่าเกิน 125 ล้านบาทในปี 2564 มากกว่าปี 2563 และครึ่งหลังของปี 2562 รวมกัน ซึ่งเป็นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยกลุ่มผู้ซื้อมากกว่า 1 ใน 4ส่วนใหญ่เป็นคนกรุงเทพฯ ที่ต้องการเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ และต้องการมี บ้านตากอากาศ หรือ บ้านหลังที่สองเพื่อหลีกหนีจากเมืองและการระบาดโควิด-19 ลักษณะเด่นประการหนึ่งของผู้ซื้อชาวไทยที่เปลี่ยนไป คือความต้องการอยู่อาศัยในเมืองรีสอร์ตที่เต็มไปด้วยคุณภาพชีวิตที่ดี และมีพื้นที่กลางแจ้ง เพื่อสามารถเพลิดเพลินกับวิถีชีวิตที่มีสุขภาพแข็งแรง และกระฉับกระเฉงมากขึ้น นอกจากนั้น การพัฒนาอย่างรวดเร็วของหัวหิน อาทิ โรงเรียนนานาชาติ ความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ และโครงสร้างพื้นฐาน เหล่านี้ยังมีส่วนทำให้อุปสงค์ต่อที่อยู่อาศัยในหัวหินเพิ่มขึ้นอีกด้วย

นอกจากนี้ ภายใน "บันยัน ไทยแลนด์" ยังมีโครงการ "บันยัน วิลเลจ" ซึ่งเป็นวิลล่าให้เช่าแบบ 2 ห้องนอน จำนวน 41 หลัง ซึ่งมีผู้เช่าถึง 90% ตั้งแต่เดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา โดยเกือบทั้งหมดเป็นคนกรุงเทพฯ

"การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ทั่วโลกทำให้เกิดปัจจัยหลายประการที่ส่งผลต่อความต้องการที่อยู่อาศัยในหัวหินที่เพิ่มขึ้น การพิจารณาเรื่องสุขภาพส่วนบุคคลทำให้คนกรุงเทพฯ หลายคนตั้งคำถามถึงผลกระทบระยะยาวของการใช้ชีวิตในเมืองหลวง และความคิดที่จะกลับไปอยู่ในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ โดยเฉพาะสำหรับครอบครัวที่มีเด็กนั้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างมาก รวมถึงสถานการณ์ปัจจุบันยังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในวัฒนธรรมการทำงานทางไกล (Work from home) บ้านได้กลายเป็นสถานที่สำหรับทำงาน ออกกำลังกาย เรียนรู้ สังสรรค์ และผ่อนคลาย ซึ่ง "บันยัน เรสซิเดนซ์" และ "บันยัน วิลเลจ" นับเป็นหนึ่งโครงการในหัวหินที่สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่มีคุณภาพได้อย่างครบถ้วน" นายเชิ้ทกล่าว


จากผลการสำรวจของ "ฟาสวาส" (FazWaz) และ "ลาซูดี" (Lazudi) ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย พบว่า ราคาอสังหาริมทรัพย์โดยเฉลี่ยในหัวหินเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากอุปสงค์จากผู้ซื้อในต่างประเทศที่ลดลง แต่ยังได้รับการชดเชยด้วยการเพิ่มขึ้นของราคาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศที่น่าสนใจ โดยเฉพาะวิลล่าระดับลักชัวรี่


นายเบรนแนน แคมป์เบล ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฟาสวาส กล่าวว่า จากข้อมูลเชิงลึกของหัวหิน 64% ของธุรกรรมมาจากตลาดในประเทศ การระบาดใหญ่จะส่งผลถาวรต่อสิ่งที่ผลักดันให้คนไทยซื้ออสังหาริมทรัพย์ ในยุคสมัยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้ซื้อชาวไทยกำลังเคลื่อนตัวออกจากเมืองด้วยความเร็วที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน


ด้าน นายคอสต้า ชาฟวา ผู้บริหารลาซูดี ให้ความเห็นว่า วิลล่าในหัวหินตอบโจทย์ความคุ้มค่าด้านพื้นที่ ความเป็นส่วนตัว และสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น สระว่ายน้ำส่วนตัว และสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลาง ภายในบริเวณที่มีรั้วรอบขอบชิด เมื่อเปรียบเทียบราคาอสังหาริมทรัพย์โดยเฉลี่ยในภูมิภาคหลักที่พัฒนาแล้วอื่น ๆ ของประเทศไทย เช่น กรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต และสมุย ซึ่งทำให้ราคาที่คุ้มค่าในหัวหินเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สร้างความแตกต่างที่สำคัญ


ทั้งนี้ "บันยัน ไทยแลนด์" จะประกอบด้วย "บันยัน เรสซิเดนซ์" โครงการที่อยู่อาศัยระดับลักซัวรี่ เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาบ้านหลังที่สอง หรือการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่แข็งแกร่งในไทย "บันยัน วิลเลจ" วิลล่าแบบให้เช่า ขนาด 2 ห้องนอน พร้อมสระว่ายน้ำสระตัวและสระลากูนขนาดใหญ่ล้อมรอบ "บันยัน กอล์ฟคลับ หัวหิน" สนามกอล์ฟ 18 หลุม บนพื้นที่ 500 ไร่ และเป็นสถานศึกษากอล์ฟ โดยโปรกอล์ฟระดับโลก นอกจากนั้น ยังมี Be Well Medical Center คลินิกประจำบ้านที่ตั้งอยู่ภายในโครงการฯ พร้อมระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง และความปลอดภัยด้านสุขภาพและสุขอนามัย ลูกบ้านและผู้เข้าพักที่ บันยัน ไทยแลนด์ ยังได้รับสิทธิประโยชน์จากโปรแกรม "บันยัน พริวิเลจ คลับ" อาทิ ส่วนลดร้านอาหาร บีชคลับ สวนน้ำ ศูนย์กีฬา สปา ศูนย์การแพทย์ชั้นนำ
#2779


วันที่ 25 สิงหาคม 2564 กระทรวงพลังงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานด้านพลังงานชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ ร่วมเป็นเจ้าภาพการจัดงาน  "Future Energy Asia 2021" (FEA 2021) นิทรรศการและการประชุมด้านพลังงาน ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ภายใต้แนวคิด "ASEAN Region's Energy Transition post COVID and towards net zero" โดยมีนายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีเปิดและร่วมบรรยายพิเศษ

แผนพลังงานลดมลพิษ
นายกุลิศ บรรยายพิเศษในหัวข้อ "ประเทศไทย 4.0 กับการฟื้นตัวกิจการพลังงานและนวัตกรรมในยุคโควิด" (Thailand 4.0 & Energy Resilience and Innovation Amidst the COVID Era) ตอนหนึ่งว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีทิศทางนโยบายพลังงานหรือ National Energy Plan (NEP 2022) ซึ่งได้รับอนุมัติโดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน


NEP 2022 นี้จะมุ่งเน้นขับเคลื่อนให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่พลังงานสีเขียวและพลังงานสะอาด มีแผนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ในปี 2065-2070 โดยผลักดันให้ภาคพลังงานลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยการลงทุนในพลังงานสะอาด เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนของโรงไฟฟ้าใหม่ ไม่ต่ำกว่า 50% พร้อมๆ ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานให้รองรับการกระจายศูนย์ของระบบ microgrid ทั่วประเทศ ขณะเดียวกันจะแก้ไขข้อจำกัดกฎการซื้อขายไฟฟ้าและข้อกำหนดที่เป็นอุปสรรค

"เราจะเปลี่ยนผ่านการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในภาคขนส่งให้ใช้พลังงานไฟฟ้า ในปี 2030 จะมีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศเป็นสัดส่วน 30% ซึ่งนโยบายนี้ไม่เพียงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแต่ยังช่วยลดปัญหา pm2.5 อย่างไรก็ตาม ต้องมีการจัดการให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างราบรื่น มีนโยบายที่ก่อให้เกิดการสมดุลระหว่างการใช้รถยนต์เชื้อเพลิงและรถยนต์ไฟฟ้าความพยายามการปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ ในช่วง 2065-2070 จะสำเร็จได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี การสนับสนุนด้านการเงิน และความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผมเชื่อว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด"

กฟผ. ดันโปรเจคพลังงานสะอาด

ด้านนายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการ กฟผ. ร่วมบรรยายพิเศษในหัวข้อ "การผลักดันการบูรณาการพลังงานหมุนเวียนในสัดส่วนการใช้พลังงาน" (Accelerating the Integration of Renewables into the Energy Mix) ระบุว่า ขณะนี้หลายประเทศทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญการบรรลุเป้าหมายการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ พลังงานหมุนเวียนมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น โดย กฟผ. พร้อมผลักดันให้การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเป็นไปอย่างคล่องตัว ส่งเสริมการเติบโตของพลังงานสีเขียว ซึ่งได้ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าไฮบริดซึ่งผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ลอยน้ำร่วมกับพลังน้ำที่เขื่อนสิรินธร ขนาด 45 เมกะวัตต์ (MW) ถือเป็นโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำแบบไฮบริดที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยนำระบบบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management System) มาใช้ควบคุมและบริหารจัดการ ช่วยเพิ่มเสถียรภาพให้แก่พลังงานหมุนเวียน โดยมีแผนดำเนินการใน 9 เขื่อนของ กฟผ. ทั่วประเทศ รวม 2,725 MW ภายในปี 2580 รวมถึงโครงการ Wind Hydrogen Hybrid ซึ่งเป็นระบบกับเก็บพลังงานด้วยเซลล์เชื้อเพลิงร่วมกับพลังงานลมในรูปแบบก๊าซไฮโดรเจน โดยไฟฟ้าที่ได้จะถูกนำไปใช้ที่ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. ลำตะคอง จ. นครราชสีมา



ระบบโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อความมั่นคง
นายบุญญนิตย์  กล่าวเพิ่มเติมว่า การเผชิญกับความท้าทายในยุคเปลี่ยนผ่านนี้จำเป็นต้องพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศให้มีความมั่นคง ยืดหยุ่น และมีราคาที่เหมาะสม ดังนั้น กฟผ. จึงพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศให้มีความทันสมัย (Grid Modernization) รองรับพลังงานหมุนเวียน โดยนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาประยุกต์ใช้ เช่น สถานีส่งไฟฟ้าดิจิทัล การจัดตั้งศูนย์พยากรณ์พลังงานหมุนเวียน (RE Forecast Center) รวมถึงพัฒนาการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าในภูมิภาค เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันไทยมีการขายไฟฟ้าในรูปแบบทวิภาคีและพหุพาคี กับ สปป. ลาว และมาเลเซีย กฟผ. มุ่งหวังที่จะสร้างระบบโครงข่ายไฟฟ้าแห่งอนาคตเพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย ดังแนวคิด "EGAT for All"


สำหรับการจัดงาน  "Future Energy Asia 2021" (FEA 2021) เป็นงานนิทรรศการและการประชุมสุดที่มุ่งเน้นจุดสนใจไปที่แผนการเปลี่ยนถ่ายพลังงานของภูมิภาคในยุคหลังโควิด และการสร้างกรอบการพัฒนา หรือ Road map เพื่อมุ่งไปสู่ยุคของการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net zero  ซึ่งผู้กำหนดนโยบายระดับกระทรวง ผู้นำด้านพลังงานของโลก ผู้พัฒนาโครงการ และผู้ลงทุน จะมาร่วมปรึกษาหารือและวางแนวทางของแผนยุทธศาสตร์สำหรับการพัฒนาการใช้พลังงานแบบผสมผสานของภูมิภาคไปสู่เส้นทางของพลังงานที่สะอาดและยั่งยืนต่อไป 
#2780


ใครที่เป็นสาย 'แซ่บ' ห้ามพลาดร้านนี้ "ระฆังทอง น้ำปลาหวาน" ของขึ้นชื่อตลาดโต้รุ่งนครปฐม ที่ต่อคิวยาวรอซื้อกันเลยทีเดียว และพลาดไม่ได้กับสถานที่เช็คอิน กิน เที่ยว ถ่ายรูป ใน จ.นครปฐม ที่มาถึงแล้วไม่ควรพลาด คลายล็อกดาวน์เมื่อไหร่ต้องไปในทันที



อีกหนึ่งเมนูขึ้นชื่อที่ใครมา จ.นครปฐม ต้องไปซื้อทานให้ได้ต้องร้านนี้ "ระฆังทอง น้ำปลาหวาน" เจ้าของ คือ คุณมยุรฉัตร แพร่อ่ำภา (คุณยุ) เล่าถึงธุรกิจร้านน้ำปลาหวานว่า ตนเริ่มจากร้านขายฝรั่ง และมะม่วงน้ำปลาหวานเพื่อหารายได้ระหว่างเรียน ซึ่งสูตรน้ำปลาหวานได้มาจากทางครอบครัวของสามี ตั้งโต๊ะเล็กๆ ขาย จนมะม่วงน้ำปลาหวานเริ่มขายดีจึงหันมาขายแต่มะม่วงน้ำปลาหวานอย่างเดียว และพัฒนามาเป็นรถ food truck จนปัจจุบันขายมาแล้วกว่า 10 ปี

มยุรฉัตร แพร่อ่ำภา
มยุรฉัตร แพร่อ่ำภา

ถามว่า "ระฆังทอง น้ำปลาหวาน" มีความพิเศษโดดเด่นอย่างไร คุณยุ บอกว่า เครื่องแน่น หอมแดงซอยจัดเต็ม กุ้งทั้งเล็ก-ใหญ่เต็มกระปุก กับรสชาติหวานเค็มเผ็ดที่ลงตัว นอกจากเมนูน้ำปลาหวานแล้ว ยังมี กะปิน้ำ กะปิแห้ง ให้เลือกทานแบบหลากหลาย ในส่วนของมะม่วง เลือกมะม่วงที่รสชาติดี ไม่เปรี้ยวมาก ได้แก่ มะม่วงพันธุ์แก้วขมิ้น เดือน 9 และมะม่วงน้ำดอกไม้ที่แก่จัด ซึ่งการเลือกมะม่วงมาขายจะต้องคัดสรรเป็นอย่างดีให้ความสำคัญพอๆ กับการทำน้ำปลาหวาน



โดยราคาจำหน่ายน้ำปลาหวานเริ่มต้นที่ 30 – 70 - 100 บาท ส่วนเซ็ตน้ำปลาหวานพร้อมมะม่วง ราคา 50 บาท เมนูเด็ดยอดนิยมที่ลูกค้ารอต่อคิวซื้อ คือ น้ำปลาหวาน กะปิหวาน ยอดขายไม่ต่ำกว่า 150 กระปุกต่อวัน นอกจากนี้ยังมีจำหน่ายแบบออนไลน์ส่งทั่วประเทศ (facebook : ระฆังทองมะม่วงน้ำปลาหวาน) ซึ่งน้ำปลาหวาน กะปิหวาน สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นานถึง 15 วัน

ใครที่สนใจหรือมีโอกาสได้เดินทางไปเที่ยว จ.นครปฐม สามารถแวะไปลองทานได้ที่ ตลาดโต้รุ่ง โซนตลาดร้านค้าภาคกลางคืน เปิดขายตั้งแต่ 17.00 – 21.00 น. facebook : ระฆังทองมะม่วงน้ำปลาหวาน หรือ โทร.08-5999-9021



มานครปฐมทั้งทีกินของแซ่บแล้ว พลาดไม่ได้ต้องแวะเที่ยวรอบเมืองด้วย โดยสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ไม่ไกลจากตลาดโต้รุ่ง คือ "วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร" ที่คนส่วนใหญ่นิยมมานมัสการ องค์พระปฐมเจดีย์ ขนาดใหญ่ รูประฆังคว่ำ เป็นที่เคารพสักการบูชาของบรรดาพุทธศาสนิกชนทั่วโลก และอีกหนึ่งวัดที่ต้องมาคือ "วัดไร่ขิงพระอารามหลวง" กราบสักการะ หลวงพ่อวัดไร่ขิง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนครปฐม และยังสามารถเดินเที่ยวช้อปของกินของฝากละลานตาถูกใจที่ "ตลาดน้ำดอนหวาย"

อีกหนึ่งตลาดน้ำที่ขาเที่ยวต้องมาย่ำคือ "ตลาดน้ำทุ่งบัวแดง" ตลาดแนวพักผ่อนเชิงธรรมชาติ สามารถมาชมบัวแดงได้ตลอดทั้งปี ที่สำคัญ ดอกบัวของทุ่งบัวแดง ณ บางเลน แห่งนี้ ไม่ว่าจะมาเที่ยวในเวลาไหนก็จะเห็นบัวบานได้ตลอดทั้งวัน ภายในตลาดน้ำมีร้านค้าขายอาหารทั้งคาวหวานให้ได้เลือกซื้อหามากมาย พร้อมบริการนั่งเรือชมทุ่งบัวแดงแบบใกล้ๆ อีกทั้งมีมุมน่ารักๆ ให้เลือกถ่ายรูปมากมายอีกด้วย



ส่วนใครที่มองหาร้านอาหารติดริมน้ำในบรรยากาศอบอุ่น แนะนำ "มีน้ำคาเฟ่@เพาะฟาร์มรัก" ที่นี่มีอาหารเรียกน้ำย่อยให้เลือกทานหลากหลายไม่ว่าจะเป็น สเต็ก สปาเก็ตตี้ สลัดผัก กาแฟสด น้ำผสมไม้ เล้งแซ่บ ยำบก กุ้งทอดพริกเกลือ เป็นต้น เหมาะแก่การนั่งชิลทานอาหารกับบรรยากาศลมพัดเย็นสบายริมน้ำ หากยังไม่จุใจแนะนำ "ครัวระเบียงโรงนา" ร้านอาหารไทยสไตล์รีสอร์ท ติดริมน้ำ บรรยากาศดี มีความเป็นธรรมชาติ ร่มรื่น ร้านอาหารไทยสไตล์รีสอร์ท เมนูอาหารส่วนใหญ่เน้นไปทางอาหารไทย ใครชอบทานอาหารไทยจะไม่ผิดหวังกับร้านนี้แน่นอน

นครปฐมยังมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตรและแหล่งเรียนรู้สำหรับคนรักกล้วยไม้ ในชื่อ "แอร์ ออร์คิดส์ แอนด์ แล็บ ซุปเปอร์มาร์เก็ต กล้วยไม้" ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 250 ไร่ ภายใต้โรงเรือนและระบบการเพาะเลี้ยงกล้วยไม้นานาพันธุ์ เป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับคนรักกล้วยไม้ตัวยง ที่นี่ยังมี The Flask Cafe by Air Orchids คาเฟ่ที่ให้บริการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มสำหรับผู้ที่มาเยี่ยมชมอีกด้วย นอกจากนี้ "ดูบัว คาเฟ่ ฟาร์ม" สถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อีกหนึ่งที่ที่ต้องติดใจ ล้อมรอบด้วยบึงบัวกว้างใหญ่ ที่นี่มีคาเฟ่ ร้านอาหาร ฟาร์มสัตว์ บริการจักรยานและเรือถีบให้ปั่นเล่น รวมถึงมุมให้นั่งชิล ถ่ายรูปสวย ๆ มากมาย เรียกได้ว่ามาที่เดียวเที่ยวคุ้มกันเลยทีเดียว



ส่วนใครที่มองหาที่พัก "ชวาลัน รีสอร์ท" อีกหนึ่งสถานที่ที่อยากแนะนำ ด้วยบรรยากาศบ้านพักริมทะเลสาบตกแต่งด้วยสวนและไม้นานาพรรณ อีกทั้งมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และกิจกรรมต่าง ๆ ให้เลือกทำภายในรีสอร์ทรับรองไม่มีเบื่ออย่างแน่นอน   เรียกน้ำย่อยขนาดนี้ มีโอกาสแวะมานครปฐมต้องไล่เที่ยวให้ครบ จังหวัดนครปฐม ห่างจากกรุงเทพฯ ไม่ไกลใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น แล้วคุณจะพบที่เที่ยวครบรสในบรรยากาศที่หลากหลาย