• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Jessicas

#2801


จะดีแค่ไหน ?หากประเทศไทยมี Open Data แพลตฟอร์มสาธารณะด้านข้อมูล ซึ่งในวันนี้เนคเทค สวทช.ดัน 'Open-D' ขึ้นหลังจากก่อนหน้านี้ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม AIFORTHAI , NETPIE IoT Platform ,HandySense ไปแล้ว มาในวันนี้ได้ส่งมอบแพลตฟอร์มด้านข้อมูลเปิดแก่สาธารณะ

เพื่อที่จะช่วยภาครัฐมีเครื่องมือ หรือระบบที่สนับสนุนการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐหรือองค์กรให้กับประชาชนได้รับทราบ และเป็นการผลักดันให้นักพัฒนาระบบหรือผู้ประกอบการด้านธุรกิจสาสนเทศ สามารถนำไปต่อยอดให้บริการพัฒนาระบบเปิดเผยข้อมูลให้กับหน่วยงานต่างๆที่ไม่สามารถดำเนินการเองได้เพิ่มมากขึ้น และเป็นอีกหนึ่งสาธารณูปโภคที่สำคัญในการพัฒนาความเจริญทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศไทย


โดยตัวอย่างข้อมูลภาครัฐที่มีคุณค่าสูงหากนำมาเปิดเผยได้ซึ่งเป็นชุดข้อมูลที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม อีกทั้งเป็นชุดข้อมูลที่มีผู้สนใจนำไปใช้งาน อาทิ ภูมิอากาศ การใช้จ่ายของภาครัฐ


มาวันนี้กรุงเทพธุรกิจจะพาไปรู้จักกับแพลตฟอร์ม Open-D และลงลึกถึงทิศทางการวิจัยเทคโนโลยีด้าน Open Data ที่พร้อมเปิดให้ Download CKAN Open-D ซึ่งเป็นเครื่องมือในการจัดทำ Open Data แล้ววันนี้

แต่เหนือสิ่งอื่นใดจะต้องรู้ว่า "ข้อมูลเปิด (Open Data)" คือ ข้อมูลในแบบที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถประมวลผลได้ และเปิดให้นำไปใช้ประโยชน์ได้โดยไม่คิดมูลค่าซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการนำไปพัฒนาต่อยอดเพื่อสร้างนวัตกรรมได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และถือเป็นส่วนสำคัญหนึ่งของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาขับเคลื่อนและปรับรูปแบบการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น


ซึ่งในประเทศไทยมีเว็บไซต์ศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐ หรือ Data.go.th ที่ริเริ่มและดูแลโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (Digital Government Agency: DGA) ตั้งแต่ปี 2558


แต่กระนั้นภาครัฐก็ยังขาดซอฟต์แวร์สนับสนุนการดำเนินงานเปิดเผยข้อมูลอย่างครบวงจร ขาดโปรแกรมเครื่องมือสนับสนุนการใช้ประโยชน์ข้อมูลเปิด ตั้งแต่เรื่องของการนำเข้า การเปิดเผยข้อมูลที่เป็นอัตโนมัติ และสุดท้ายการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ยังมีไม่มาก

จากความสำคัญดังกล่าว ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทค สวทช. ได้วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีแพลตฟอร์มข้อมูลที่ชื่อ Open-D เพื่อรองรับความต้องการของทุกภาคส่วนที่ต้องการให้บริการข้อมูลเปิดของตัวเอง โดยมีเป้าหมายให้ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน สามารถจัดทำบัญชีข้อมูลของหน่วยงานและให้บริการข้อมูลเปิดที่เป็นไปตามมาตรฐานระบบบัญชีข้อมูลภาครัฐ

และสามารถเชื่อมโยงข้อมูลไปยัง Data.go.th ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยได้มีข้อมูลแบบเปิดที่เป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้ประโยชน์โดยนักพัฒนาโปรแกรม นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล ผู้วางแผนและกำกับนโยบาย และ ผู้ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เสาหลักสาธารณูปโภคด้านข้อมูลเปิด


"Open-D คือ เทคโนโลยีแพลตฟอร์มข้อมูลสำหรับข้อมูลแบบเปิดถูกพัฒนาขึ้นตามหลักการของความเป็นสากลด้าน Open Data เป็นผลงานการวิจัยของทีมวิจัยการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ กลุ่มวิจัยวิทยาการข้อมูลและการวิเคราะห์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค" มารุต บูรณรัช กลุ่มวิจัยวิทยาการข้อมูลและการวิเคราะห์ กล่าว

โดยในครั้งนี้ได้พัฒนาต่อยอดจากซอฟแวร์ CKAN (https://ckan.org/) ซึ่งเป็นซอฟแวร์ระบบจัดการข้อมูล (Data Management System) ชนิดโอเพนซอร์ส ที่ได้รับความนิยมในการนำไปให้บริการเว็บไซต์บัญชีข้อมูล สำหรับข้อมูลเปิดทั่วโลก ที่สำคัญได้แก่ เว็บไซต์ Data.gov, Data.gov.sg , Data.gov.au, Data.go.th เป็นต้น

ทั้งนี้ Open-D ได้ปรับปรุงเพิ่มความสามารถของ CKAN หลายฟังก์ชันได้แก่ Data Catalog สนับสนุนการจัดทำบัญชีข้อมูลที่สอดคล้องกับมาตรฐานภาครัฐ 2.Data playground สนับสนุนการใช้ข้อมูลเปิด เพื่อวิเคราะห์ จัดทำรายงานเชิงสรุปในรูปแบบตาราง แผนที่ กราฟ 3.Data Governance สนับสนุนการทำงานของบริกรข้อมูล ตามกรอบธรรมาภิบาลข้อมูลขององค์กร 4.Data Connect สนับสนุนการสร้างชุดข้อมูลเปิดจากแหล่งข้อมูลของหน่วยงานในแบบฐานข้อมูลหรือ API

ขณะที่ Open-D เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเสริมความสามารถของระบบ CKAN ให้มีความสอดคล้องกับบริบทของประเทศไทยทั้งในด้านความสอดคล้องกับมาตรฐานการจัดทำบัญชีข้อมูลที่กำหนดโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ และสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ การรองรับการสืบค้นข้อมูลภาษาไทย และเพิ่มประสิทธิภาพความสามารถในด้านต่างๆ ในด้านการจัดการข้อมูล

เช่น เครื่องมือสนับสนุนการวิเคราะห์ข้อมูลและสร้างกราฟชนิดต่างๆ เครื่องมือสนับสนุนการนำเข้าข้อมูลอย่างเป็นระบบ เป็นต้น โดยซอฟแวร์ Open-D ให้บริการทั้งในรูปแบบของส่วนขยายของ CKAN และซอฟแวร์ที่สามารถนำไปติดตั้งใช้งานในหน่วยงานได้

ทั้งนี้ Open-D จะช่วยให้หน่วยงานสามารถประหยัดเวลาในการพัฒนาเว็บไซต์ให้บริการเปิดเผยข้อมูล ให้มีความสอดคล้องกับมาตรฐานภาครัฐ รองรับการเชื่อมโยงบัญชีข้อมูล ตอบสนองการจัดการข้อมูลอย่างครบวงจร ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูล ที่มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการนำข้อมูลไปต่อยอดใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป

มารุต ยังเล่าต่อไปว่า แพลตฟอร์ม Open-D ปัจจุบันได้เปิดให้บริการแล้ว ส่วนทิศทางการวิจัยในอนาคตจะเป็นการเข้าไปสนับสนุนทั้งต้นน้ำ Data Catalog กลางน้ำ Data Governance และปลายน้ำ Open Data ซึ่งการพัฒนา Open-D เพื่อสนับสนุนในทุกขั้นตอนเพื่อที่เนคเทคจะขยับตัวเองมาเป็นผู้พัฒนา Software Platform เพื่อให้กลางน้ำและปลายน้ำคือ บริษัทซอฟแวร์เอกชนและหน่วยงานภาครัฐต่างๆ สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดด้วยตนเองให้มากที่สุด เมื่อหน่วยงานส่วนใหญ่ใช้มาตรฐานเครื่องมือเดียวกันการเชื่อมโยงจะง่ายมากขึ้นในอนาคต อีกทั้งมีทิศทางการดำเนินงานเพิ่มเติมคือการเพิ่มความชาญฉลาดในเรื่องของภาษาไทย การประมวลข้อมูลที่มีความไดนามิกให้สามารถรองรับการนำเข้าข้อมูลอย่างอัตโนมัติซึ่งจะเป็นการพัฒนาในลำดับต่อไป


"ข้อมูลเปิดที่ Open-D กับ Data.go.th อยู่คนละบทบาทกัน ทั้งนี้การใช้ Ckan จะมี learning curve ประมาณนึง และจะต้องมีทักษะของระบบโอเพนซอร์ส แต่ Open-D แฮกระบบยากๆให้แล้วเบื้องต้น ทั้งนี้ทางเนคเทคจะมีการจัดอบรมแบบเชิงลึก "NSTDA career for the future" โดยหลักสูตรจะมีการจัดในเดือนกันยายนนี้ผ่านช่องทางออนไลน์แก่ผู้ที่สนใจ"
#2802


นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า จากการที่กรมธนารักษ์ได้ได้ประกาศประมูลสิทธิการเช่าอาคารราชพัสดุ (วังค้างคาว) พร้อมที่ดินนอกที่ตั้งตัวอาคาร เมื่อวันที่ 23 ก.ค.2564 ซึ่งเป็นที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท.2723 (บางส่วน) โฉนดที่ดินเลขที่ 3249 แขวงคลองสาน เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ประมาณ 0-3-29 ไร่ มีกำหนดระยะเวลาการเช่า 30 ปี

สำหรับเงื่อนไขการประมูล มีรายละเอียด ดังนี้ 1. คุณสมบัติผู้เข้าประมูล 1.1 เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลตามกฎหมายไทย 1.2 จะต้องไม่เคยเป็นผู้ทิ้งงานก่อสร้างของทางราชการตามหนังสือแจ้งเวียนรายชื่อผู้ทิ้งงาน ของคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุกรมบัญชีกลางมาก่อนจึงจะมีสิทธิได้รับการพิจารณา

2.สถานที่ติดต่อขอซื้อเอกสารผังประมูลสามารถติดต่อขอซื้อเอกสารผังประมูล ในราคาชุดละ 1,500.- บาท ณ ส่วนรายได้ กองบริหารที่ราชพัสดุกรุงเทพมหานคร กรมธนารักษ์ ตั้งแต่วันที่ 2 ส.ค. 2564 ถึงวันที่ 31 ส.ค. 2564 ทุกวันในเวลา 09.00 – 15.00 น. เว้นวันหยุดราชการ

3.กำหนดวัน เวลารับฟังคำชี้แจงและดูสถานที่ประมูลสิทธิการเช่าอาคารราชพัสดุ ผู้เข้าประมูลสามารถรับฟังคำชี้แจงรายละเอียดการประมูล ในวันที่ 9 ก.ย.2564 โดยพร้อมกัน ณ กรมธนารักษ์ เวลา 10.00 น.

4. การเสนอเงินค่าธรรมเนียมการจัดให้เช่า ไม่ต่ำกว่า 9,475,200.- บาท

5. หลักประกันซอง ผู้เข้าประมูลจะต้องวางหลักประกันซอง เป็นเงิน 947,520.- บาท พร้อมกับการยื่นซองประมูล

6.กำหนดวัน เวลาเปิด-ปิดรับซองประมูล และเปิดซองประมูล ผู้เข้าประมูลต้องยื่นซองประมูลต่อคณะกรรมการ ณ ห้องประชุม 702 อาคารกรมธนารักษ์ ในวันที่ 23 ก.ย. 2564 ตั้งแต่เวลา 09.00 ถึง 10.00 น. และคณะกรรมการจะปิดรับซองประมูล ในเวลา 10.00 น. และจะเปิดซองประมูล เวลา 10.30 น. ในวันและสถานที่เดียวกัน


สำหรับประวัติความเป็นมาของวังค้างคาวนั้น อธิบดีกรมธนารักษ์ ได้กล่าวในรายละเอียดไว้ว่า บ้านพระประเสริฐวานิช (เจ้าสัวเขียว เหล่าประเสริฐ)เป็นอาคารเก่าริมแม่น้ำเจ้าพระยา เดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของพระประเสริฐวานิช ต่อมาบ้านและที่ดินตกเป็นของนายเว้น (บุตร) และได้บริจาคให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2464

อาคารนี้สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 มีลักษณะและรูปแบบเป็นกลุ่มอาคารเก๋งจีน 2 ชั้น ก่ออิฐถือปูน หลังคามุงกระเบื้อง หน้าจั่วปูนปั้น ประกอบด้วย อาคารสองหลังตั้งขนานกัน หันหน้าออกแม่น้ำ มีระเบียงเชื่อมถึงกัน ล้อมลานโล่ง ตรงกลางขนาดใหญ่ พื้นที่บริเวณใต้ถุนอาคารถูกแบ่งเป็นสัดส่วน

ทั้งสองฝั่งเพื่อใช้ประโยชน์เป็นที่เก็บสินค้า โดยในระหว่างปี พ.ศ. 2450-2460 บริษัท หลักสุงเฮงของนายเหียกวงเอี่ยม อดีตประธานหอการค้าไทย-จีน เช่าอาคารและพื้นที่เป็นสำนักงานและท่าเรือซึ่งดำเนินกิจการรับ-ส่งสินค้าทางเรือ จากนั้น ห้างฮั่วจั่วจั่นได้มาขอเช่าต่อ โดยใช้พื้นที่ใต้ตึกเป็นที่เก็บสินค้า

เมื่อเลิกเช่าตัวอาคารจึงถูกปิดร้างไม่ได้ใช้ประโยชน์มาหลายสิบปี ทำให้มีค้างคาวเข้ามาทำรังและอาศัยอยู่บริเวณใต้ตึกเป็นจำนวนมาก จึงอาจเป็นสาเหตุทำให้มีคนเรียกอาคารเก่าหลังนี้ว่า "วังค้างคาว" และในปี พ.ศ. 2561 กรมศิลปากรได้ประกาศรายชื่อโบราณสถานในเขตกรุงเทพมหานครตามนัยราชกิจจานุเบกษา เล่ม 135 ตอนพิเศษ 165 ง ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2561 โดยมีบ้านพระประเสริฐวานิช (เขียว) (วังค้างคาว) ในประกาศดังกล่าว
#2803


แหล่งข่าวกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงาน เตรียมนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในวันที่ 4 ส.ค.นี้ พิจารณา 2 วาระสำคัญ คือ แผนการเปิดแข่งขันเสรีในกิจการก๊าซธรรมชาติ ระยะที่ 2 และกรอบการจัดทำแผนพลังงานแห่งชาติ (National Energy Plan)

โดยในส่วนของแผนการเปิดแข่งขันเสรีในกิจการก๊าซธรรมชาติ ระยะที่ 2 กระทรวงพลังงาน จะรายงานผลการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งได้มีมติเห็นชอบกำหนดปริมาณการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ช่วงปี 2564 – 2566 เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาจับซื้อก๊าซฯมาไม่ใช้ก็ต้องจ่าย (Take or Pay) โดยแบ่งเป็นปี 2564 จะมีปริมาณนำเข้า อยู่ที่ 0.48 ล้านตันต่อปี ปี 2565 อยู่ที่ 1.74 ล้านตันต่อปี และปี2566 อยู่ที่ 3.02 ล้านตันต่อปี

ขณะที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ซึ่งได้รับมอบหมายจาก กพช. ให้เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์การนำเข้า LNG ตามโครงสร้างของกิจการก๊าซธรรมชาติในระยะที่ 2 คือ กลุ่มที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กกพ. จัดหา LNG เพื่อนำมาใช้กับภาคไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบ หรือ Regulated Market และ กลุ่มที่จัดหา LNG เพื่อใช้กับโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้ขายไฟฟ้าเข้าระบบ ภาคอุตสาหกรรมและกิจการของตนเอง หรือ Partially Regulated Market


ปัจจุบัน กกพ.ได้ให้ใบอนุญาตการเป็นผู้จัดหาและนำส่งก๊าซธรรมชาติ(Shipper) รายใหม่แล้ว 7 ราย และกำลังอยู่ระหว่างจัดสรรโควตานำเข้า LNG ที่เหมาะสมในปีนี้ ให้กับ Shipper แต่ละราย

โดย กกพ. เตรียมนำเสนอ กพช. ในครั้งนี้ ถึงแนวทางกำหนดหลักเกณฑ์โครงสร้างราคานำเข้า LNG ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 หลักเกณฑ์ คือ หลักเกณฑ์ราคานำเข้า LNG สำหรับ Shipper รายใหม่ และหลักเกณฑ์ราคานำเข้าก๊าซฯ ของ Shipper รายเดิม คือ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เพื่อให้การนำเข้า LNG มีราคาที่เหมาะสมและไม่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อค่าไฟฟ้าของประเทศต่อไป

"เบื้องต้น กกพ. รายงานว่า ขณะนี้รอ Shipper แต่ละรายแจ้งความประสงค์ในการนำเข้าLNG ในปีนี้ ซึ่งก็มีข้อกังวลว่า ราคา Spot LNG ที่แพงอาจกระทบต่อค่าไฟ โดยเฉพาะการนำเข้าของ กฟผ.ที่เป็นในส่วนของโรงไฟฟ้าเพื่อความมั่นคง แต่ในส่วนของเอกชน ที่จะนำเข้าก๊าซฯไปใช้ในโรงไฟฟ้าของตัวเองอาจจะมีผลกระทบน้อยกว่า จึงต้องกำหนดหลักเกณฑ์ให้รัดกุม"

ส่วนแผนพลังงานแห่งชาติ จะนำเสนอขอความเห็นชอบกรอบของแผนฯต่อ กพช. เท่านั้น แล้วนำกลับมาจัดทำรายละเอียดต่างๆต่อไป โดยเฉพาะแผนปฏิบัติการ 5 แผน ได้แก่ แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือ PDP 2022 ,แผนน้ำมันฯ ,แผนก๊าซธรรมชาติฯ,แผนอนุรักษ์พลังงาน และแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก คาดว่า แผน PDP 2022 อาจจะเสร็จในปี 2565 แทน จากเดิมคาดว่าจะเสร็จปีนี้ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 กระทบต่อกระบวนการดำเนินงาน

"แผนพลังงานแห่งชาติ จะเสนอ กพช.เคาะกำหนดปีเป้าหมายให้ชัดเจน ในการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutral) และการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net zero) ตามทิศทางของต่างประเทศ และเพื่อวางแนวนโยบายที่ชัดเจนของไทยในการไปเสนอต่อการประชุม COP26 ณ เมืองกลาสโกว์ ในช่วงเดือนพ.ย.นี้ด้วย"

สำหรับรายละเอียดในแผนพลังงานแห่งชาติ ก่อนหน้านี้ กระทรวงพลังงาน ได้วางเป้าหมายด้านไฟฟ้าจะกำหนดให้โรงไฟฟ้าที่จะก่อสร้างใหม่จากนี้ จะต้องเป็นเชื้อเพลิงสะอาดเท่านั้น รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ทั้งโรงไฟฟ้าชีวมวล ชีวภาพ โซลาร์ฟาร์ม ขยะ และการรับซื้อไฟฟ้าพลังน้ำจากลาว รวมถึงปรับให้สอดคล้องกับแผนส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า(อีวี) เป็นต้น
#2804


"บิลด์" สื่อดังในประเทศเยอรมนี รายงานว่า โฮเซ มูรินโญ กุนซือใหม่ของ โรมา ทีมดังในศึกกัลโช เซเรีย อา อิตาลี เตรียมเบนเป้าหันไปล่าตัว โธมัส เดอลานีย์ มิดฟิลด์ทีมชาติเดนมาร์กของโบรุสเซีย ดอร์ตมุนด์ ยักษ์ใหญ่แห่งศึกบุนเดสลีกา เยอรมนี ไปเสริมทัพ หลังแผนการคว้าตัว กรานิต ชากา กองกลางของ อาร์เซนอล ทีมในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ส่อแววคว้าน้ำเหลว

สื่อดังแห่งเมืองเบียร์ ระบุว่า เดิมที่ มูรินโญ พุ่งเป้าไปที่การคว้า ซากา มาเสริมทัพเป็นเป้าหมายแรก แต่มีอันต้องผิดหวังไม่อาจสู้ราคาค่าตัวที่ "ปืนใหญ่" ต้นสังกัดของดาวเตะทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ตั้งไว้ได้ ส่งผลให้นายใหญ่ "นางพญาหมาป่า" ต้องเบนเป้าหมายมาหา เดอลานีย์ โดยเวลานี้ ทีมดังจากแดนมะกะโรนี กำลังเฝ้าจับตาสถานการณ์เรื่องการต่อสัญญาใหม่ของมิดฟิลด์ทีมชาติเดนมาร์กกับ "เสือเหลือง" และพร้อมจะยื่นข้อเสนอทันที และคาดว่าทีมจากเมืองเบียร์ อาจจะพร้อมปล่อยดาวเตะรายนี้ออกไปด้วยค่าตัวราว 9 ล้านปอนด์เท่านั้น
#2805


"สรรพากร"เล็งแก้โครงสร้างภาษีใหม่ ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำประโยชน์คนรวย-เอื้อคนชั้นกลาง เล็งปรับปรุงค่าลดหย่อนภาษีและการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ขณะที่"สอท."เปิดผลสำรวจโควิดหนัก แรงงานขาด ฉุดกำลังผลิตส่งออกวูบ จี้รัฐเร่งฉีดวัคซีนแรงงาน ม.33

เมื่อวันที่ 2 ส.ค.64 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า แนวทางการปรับโครงสร้างภาษีที่เกี่ยวข้องกับกรมสรรพากรคือการปรับปรุงค่าลดหย่อนภาษีและการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยหลักการคือจะต้องดำเนินการเพื่อเอื้อให้คนชั้นกลางได้ผลประโยชน์มากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากค่าลดหย่อนทางภาษีเงินได้ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่คนที่ได้ประโยชน์คือ คนที่มีรายได้สูง ส่วนคนชั้นกลางที่อยู่ในฐานภาษีได้รับประโยชน์ที่น้อยกว่า ส่วนการปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น จะต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเห็นว่าหากจะปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะต้องลดให้กับคนชั้นกลางลงมาที่อยู่ในฐานภาษี อย่างไรก็ตามการปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากต้องแก้ไขประมวลกฎหมายของกรมฯ และมีความซับซ้อน เนื่องจากเป็นอัตราแบบขั้นบันใด ( Progressive Rate)

"ปัจจุบันค่าลดหย่อนทางภาษีที่กรมฯให้กับผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีมากเกือบ 20 รายการ คิดเป็นค่าลดหย่อนทางภาษีรวมกันทุกรายการมากกว่า 2 ล้านบาท เช่น ค่าลดหหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ 6 หมื่นบาท, ค่าลดหย่อนบุตร 3 หมื่นบาท, ค่าใช้จ่ายในการซื้อเบี้ยประกันชีวิตที่มีกรมธรรม์อายุ 10 ปีขึ้นไป หักลดหย่อนตามจริงแต่ไม่เกิน 1 แสนบาท นอกจากนี้ยังมีการลดหย่อนค่าใช้จ่ายในการซื้อหน่วยลงทุน RMF 15% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 5 แสนบาท และเงินสะสมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ไม่เกิน 15 % ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 5 แสนบาท เป็นต้น"

สำหรับบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งได้ปรับปรุงอัตราและขั้นบันใดของเงินได้ใหม่ และเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2560 ได้กำหนด 8 ขั้นบันใดของเงินได้ เริ่มตั้งแต่เงินได้ที่ไม่เกิน 150,000 บาท ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี, เงินได้ที่มากกว่า 150,000 แต่ไม่เกิน 3 แสนบาท เสียในอัตรา 5 % และขั้นบันใดสุดท้าย หรืออัตราสูงสุด คือ รายได้ที่มากกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไป จ่ายในอัตรา 35%
แหล่งข่าว กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา รายได้ของรัฐบาลไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้รัฐบาลต้องจัดทำงบประมาณขาดดุลมาโดยตลอด ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาได้มีการปรับปรุงโครงสร้างภาษีของประเทศ โดยการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลลงมา แต่ยังไม่สามารถปรับเพิ่มภาษีโดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจยังไม่เหมาะสม ยิ่งทำให้รายได้ของรัฐบาลลดต่ำลง

ทั้งนี้ ใน 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 ณ เดือนพ.ค.นี้ รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 1.441 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 1.98 แสนล้านบาท หรือ 12.1% ขณะที่ กรมสรรพากร ซึ่งเป็นกรมฯที่ทำรายได้มากที่สุดของรัฐบาล ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 จัดเก็บได้ 1.059 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 1.38 แสนล้านบาท หรือต่ำกว่าเป้าหมาย 11.5 % ส่วนในปีงบประมาณ 2563 รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้สุทธิ 2.394 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 3.36 แสนล้านบาท หรือ 12.3%

วันเดียวกัน นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 8 ในเดือนกรกฎาคม 2564 ภายใต้หัวข้อ "การจัดการปัญหาแรงงานในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19" พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่มองว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้ ส่งผลกระทบต่อแรงงานในภาคอุตสาหกรรมทั้งปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งปัญหาขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมที่มีการใช้แรงงานเข้มข้น จนส่งผลทำให้กำลังการผลิตลดลงและกระทบต่อการส่งออกของไทย ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์หลักที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 นี้ จึงเสนอให้ภาครัฐเร่งฉีดวัคซีนให้แก่แรงงาน ม.33 เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดโควิด-19 ในสถานประกอบการ รวมทั้งรักษาศักยภาพในการผลิตและการส่งออกของประเทศ

ทั้งนี้ จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 166 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 75 สภาอุตสาหกรรมจังหวัดพบว่า อัตราการจ้างงานในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดนั้น ส่วนใหญ่ภาคอุตสาหกรรมยังสามารถคงอัตราการจ้างงานเท่าเดิม คิดเป็นร้อยละ 53.6 มีการจ้างงานลดลง 10 - 20% คิดเป็นร้อยละ 31.3 มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 10 - 20% คิดเป็นร้อยละ 10.3 และมีการจ้างงานลดลงมากว่า 50% คิดเป็นร้อยละ 4.8

โดยในส่วนของผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนแรงงานที่เกิดขึ้นในขณะนี้พบว่า โรงงานอุตสาหกรรมบางส่วนได้รับผลกระทบทำให้ต้องลดกำลังการผลิตลง น้อยกว่า 30% คิดเป็นร้อยละ 45.2 โรงงานที่ไม่ได้รับผลกระทบ คิดเป็นร้อยละ 26.5 โรงงานที่กำลังการผลิตลดลง 30 - 50% คิดเป็นร้อยละ 20.5 และโรงงานที่กำลังการผลิตลดลงมากกว่า 50% คิดเป็นร้อยละ 7.8 เมื่อถามถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ แรงงานบางส่วนต้องเข้าสู่กระบวนการรักษาโรค หรือกักตัว รวมทั้ง การปิดโรงงานชั่วคราวตามข้อกำหนด คิดเป็นร้อยละ 51.8 รองลงมา สถานประกอบการไม่สามารถหาแรงงานสัญชาติไทยได้เพียงพอต่อความต้องการ คิดเป็นร้อยละ 49.4 และมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าออกพื้นที่ของแรงงานข้ามจังหวัด คิดเป็นร้อยละ 41.6

สำหรับมาตรการที่ภาครัฐควรนำมาดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การสนับสนุนเงินอุดหนุนในการจ้างแรงงานไทย และขยายโครงการจ้างงานเด็กจบใหม่ คิดเป็นร้อยละ 50.0 รองลงมา เป็นการส่งเสริมการใช้เครื่องจักรในภาคอุตสาหกรรมทดแทนการใช้แรงงาน คิดเป็นร้อยละ 48.8 และการอนุญาตให้นำเข้าแรงงานต่างด้าวภายใต้ MOU เฉพาะแรงงานที่ได้รับการฉีดวัคซีน 2 เข็มแล้ว มีการทำประกันสุขภาพ และต้องผ่านการกักตัว 14 วัน เข้ามาทำงาน คิดเป็นร้อยละ 45.8

ส่วนกรณีที่ภาครัฐจะมีการเปิดให้มีการนำเข้าแรงงานต่างด้าวตาม MOU ควรมีการเตรียมความพร้อมในเรื่องใดพบว่า 3 อันดับแรกได้แก่ การเตรียมความพร้อมระบบคัดกรอง ติดตาม และประเมินสถานประกอบการที่ใช้แรงงานต่างด้าว คิดเป็นร้อยละ 69.9 รองลงมา การจัดตั้งศูนย์ One Stop Service สำหรับนายจ้างที่ต้องการจ้างแรงงานต่างด้าว คิดเป็นร้อยละ 66.9 และการปรับลดขั้นตอน เอกสารที่ไม่จำเป็น และปรับมาดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ คิดเป็นร้อยละ 65.1

ทั้งนี้ FTI Poll ยังได้เจาะลึกถึงมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการปิดสถานประกอบการอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดโควิด-19 พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การเร่งจัดหาวัคซีนและเร่งฉีดให้กับแรงงาน ม.33 คิดเป็นร้อยละ 92.8 รองลงมา การสนับสนุนด้านการรักษาพยาบาลแรงงานที่ติดเชื้อ และสนับสนุนยา อาหาร และเวชภัณฑ์ให้แก่แรงงานที่ติดเชื้อในการรักษาตัวที่บ้าน (Home isolation) คิดเป็นร้อยละ 69.9 และการลดเงินสมทบประกันสังคม เหลือร้อยละ 1 ถึงสิ้นปี 2564 คิดเป็นร้อยละ 66.9

นอกจากนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. ยังมองว่ามาตรการที่ภาคเอกชนมีความพร้อมและสามารถที่จะดำเนินการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ในสถานประกอบการได้ พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การมีระบบคัดกรองแรงงานก่อนเข้าโรงงาน และการเฝ้าระวังผู้ปฏิบัติงานที่เป็นกลุ่มเสี่ยงตามมาตรการ Bubble & Seal คิดเป็นร้อยละ 83.1 รองลงมา การจัดหาวัคซีนทางเลือกให้แก่แรงงานในสถานประกอบการ คิดเป็นร้อยละ 68.1 และการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด (D-M-H-T-T-A) คิดเป็นร้อยละ 65.7
#2806


ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ประกาศเพิ่มพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด หรือพื้นที่สีแดงเข้ม จาก 13 จังหวัด เป็น 29 จังหวัด จังหวัดในกลุ่มนี้ มีมาตรการที่เกี่ยวโดยตรงเกี่ยวกับกิจกรรมกีฬา คือ ห้ามรวมกลุ่มมากกว่า 5 คน และปิดสนามกีฬา ซึ่งสำหรับวงการฟุต.ไทยนั้น เฉพาะในไทยลีก 1 มีถึง 11 สโมสร จากทั้งหมด 16 สโมสร ติดร่างแหอยู่ในพื้นที่สีแดงเข้ม ที่จะมีมาตรการถึงอย่างน้อยวันที่ 31 ส.ค. มีเพียง 5 สโมสร ที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่สีแดงเข้ม คือ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, สิงห์ เชียงราย และ 3 น้องใหม่ หนองบัว พิชญ, เชียงใหม่ ยูไนเต็ด และ ขอนแก่น ยูไนเต็ด

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บริษัท ไทยลีก จำกัด ได้ประชุมสโมสร และเลื่อนวันเปิดฤดูกาลจากกลางเดือน ส.ค. เป็นต้นเดือน ก.ย. และเตรียมทำแผนการจัดมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด เสนอให้ ศบค.อนุมัติ อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นการประชุมก่อนประกาศล่าสุดของ ศบค.


หลังการประกาศเพิ่มจังหวัดสีแดงเข้ม และขยายเวลามาตรการไปถึง 31 ส.ค. ผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์ นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บจก.ไทยลีก ได้ข้อมูลว่า ตอนนี้กำลังรอไปคุยกับศบค. คิดว่าจะได้คิวภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ ซึ่งมาตรการที่ออกมาเพิ่มเติม คิดว่าต่อให้เพิ่มจังหวัดล็อกดาวน์ หรือล็อกดาวน์ทั้งประเทศก็ไม่ได้มีผลอะไร เพราะอย่างไรก็ต้องทำแผนส่งอยู่แล้วแค่ต้องมาปรับแผนงานต่างๆ แล้วเอามาตรการนั้นไปเสนอกับศบค.หากได้อนุมัติ ก็ไปให้แต่ละสโมสร เอาแผนงานไปคุยกับทางจังหวัด

นายกรวีร์ กล่าวต่อไปว่า เรื่องนี้ หากเป็นกรณีเลวร้ายสุดคือไม่ได้รับอนุมัติแผนงาน ก็ต้องเลื่อนแข่งขันออกไปเรื่อยๆ ทั้งนี้โจทย์สำคัญคือทำอย่างไรให้ฟุต.กลับมาแข่งขันให้ได้ และยังเชื่อว่าศบค.คงไม่ถึงกับจะไม่ให้จัดแข่งขัน แต่อยู่ที่มาตรการว่ารัดกุมเพียงใด
#2807


วันที่ 1 สิงหาคม 2564 นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า ในภาวะวิกฤติการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 เช่นนี้ ที่มียอดผู้ป่วยโควิดในประเทศวันนี้ 18,027 ราย ยอดเสียชีวิตสูง 133 คน ซึ่งถือว่า คนไทยทุกคนได้รับผลกระทบอย่างหนัก เรื่องสุขภาพ ความเจ็บป่วย โดยเฉพาะการดำรงชีพ ปากท้องประชาชน ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้  และยังไม่อาจรู้ได้ว่า สถานการณ์แพร่ระบาดในเวฟล่าสุดนี้ จะคลี่คลายในระยะเวลายาวนานเพียงใด

"แต่ในวิกฤตเช่นนี้ เรายังได้เห็นน้ำใจของทุกภาคส่วน เราได้เห็นมูลนิธิ ภาคประชาชน สื่อมวลชน ศิลปินดารา ประชาชน ออกมาช่วยเหลือซึ่งกันและกันมาโดยตลอด ทั้งนี้ในส่วนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) มีความตั้งใจในการร่วมแรงคนละไม้คนละมือเพื่อก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน โดยจะจัดทำ 2 โครงการ คือ โครงการ "ครัวปันอิ่ม" แจกอาหาร 2 ล้านกล่องและโครงการ"ปลูกฟ้าทะลายโจร"100 ไร่ ผลิต 30 ล้านแคปซูลพร้อมแจกฟรีในอีก 100 วัน"

โครงการ "ครัวปันอิ่ม" ผนึกกำลังบริษัทในเครือและพันธมิตรทุกภาคส่วน ร่วมแจกอาหาร 2 ล้านกล่อง ใน 40 จุด ทั่วกรุงเทพฯ ตลอดช่วงเวลา 2 เดือน นับจากนี้ โดยแบ่งออกเป็น การซื้ออาหารจากร้านอาหารขนาดเล็กและขนาดกลาง จำนวน 1 ล้านกล่อง มาแจกจ่าย เพื่อเป็นการช่วยเหลือด้านรายได้ให้กับร้านอาหารรายย่อย และ อาหารของเครือซีพีสมทบอีก 1 ล้านกล่อง รวมเป็น 2 ล้านกล่อง โดยครัวปันอิ่มนี้เปิดกว้างสำหรับเพื่อนๆ ผู้มีจิตสาธารณะที่จะมาร่วมสมทบ เพิ่มเติม และยังต้องผนึกกำลังกับมูลนิธิ กลุ่มจิตอาสา ภาคประชาสังคม เพื่อระดมกำลังด้านการแจกจ่ายให้ถึงชุมชนที่มีความเดือดร้อน

ทั้งนี้ ต้องขอขอบคุณเพื่อนๆ ทุกภาคส่วน ที่ยินดีเข้ามาร่วมไม้ร่วมมือกัน ซึ่งโครงการครัวปันอิ่มนี้ จะมีการประสานไปยังร้านอาหารรายย่อยเพื่อจัดเตรียมอาหาร และควบคุมคุณภาพ โดยคำนึงถึงความสะอาด และความปลอดภัย ทั้งนี้คาดว่า จะพร้อมดำเนินการแจกจ่ายภายในสัปดาห์หน้า โดยจะเน้น 40 จุดที่ใกล้ชุมชน เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินทาง และลดโอกาสการแพร่เชื้อ

โครงการที่สอง คือ โครงการปลูกฟ้าทะลายโจรบนที่ดิน 100 ไร่ และผลิตเพื่อแจกฟรี 30 ล้านแคปซูล ซึ่งในสถานกาณ์ปัจจุบัน สิ่งสำคัญคือ การป้องกันโรค และ การควบคุมโรค การกักตัวอยู่บ้านเพื่อลดโอกาสการแพร่เชื้อ การดูแลตัวเองถือเป็นเรื่องที่สำคัญ โดยเฉพาะสมุนไพรไทยนั้น ถือได้ว่า มีคุณค่าอย่างมาก จะเห็นได้ว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ฟ้าทะลายโจรเริ่มขาดแคลน ทำให้คนไทยหลายส่วนไม่สามารถเข้าถึงได้ เครือซีพี จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมแก้ปัญหาดังกล่าว โดยจะริเริ่มโครงการปลูกฟ้าทะลายโจร ในพื้นที่ 100 ไร่ที่ จ.สระบุรี และใช้เวลา 100 วัน นับจากวันนี้จะพร้อมแจกจ่ายฟ้าทะลายโจร จำนวน 30 ล้านแคปซูล ฟรีให้กับพี่น้องประชาชนและชุมชน

โดยจะดำเนินการแบบปลอดสารพิษทั้งกระบวนการ และมีการใช้เทคโนโลยีเพื่อให้เกิดความปลอดภัยและมีคุณภาพ ซึ่งเครือซีพีจะนำความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการเกษตรมาช่วยในสถานการณ์นี้ ส่วนในด้านการแจกจ่าย จะดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่มีความรู้ด้านสมุนไพรและสาธารณสุข เพื่อให้การแจกจ่าย และการรับประทาน เป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม นอกจากนี้จะมีการส่งเสริมเกษตรกรให้ปลูกฟ้าทะลายโจร และ มีการจ้างงานเกษตรกรในการเพาะกล้าไม้ และส่งเสริมให้ขยายผลไปในชุมชน เพื่อให้เกิดความยั่งยืนต่อไป

"ในยามวิกฤตแบบนี้ กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สิ่งที่ช่วยสู้กับไวรัส จริงๆแล้วคือภูมิคุ้มกันของตัวเราเอง ซึ่งหากเรามีร่างกายและกำลังใจที่แข็งแกร่งแล้ว ย่อมผ่านวิกฤตนี้ไปได้ ขอชื่นชมทุกภาคส่วนที่ทำงานอย่างหนัก ขอบคุณคุณหมอ และบุคลากรทางการแพทย์ที่ยังคงไม่ย่อท้อ ขอบคุณทุกคนที่ออกมาเป็นต้นแบบ และแรงบันดาลใจในการช่วยเหลือสังคม สุดท้ายนี้เครือซีพีขอขอบคุณเพื่อนๆ พันธมิตรจิตอาสา ทุกภาคส่วนอีกครั้ง ที่มาร่วมกันร้อยเรียงความดีผ่านทั้ง 2 โครงการนี้ ผมเชื่อว่า เราจะก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปได้ด้วยกัน" นายธนินท์ กล่าว

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952316
#2808


"ทีมพี่เลี้ยง" 2 หัวหอกสหภาพแรงงานฯ แท็กทีมเครือข่ายเชิงพื้นที่ผนึก กสศ.ฉุดเยาวชนแรงงานสู้วัฎจักรเหลื่อมล้ำทางการศึกษาก้าวข้ามกับดักความยากจน

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ. เป็นองค์กรแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้กับรัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการศึกษาด้วยการนำเสนอ "โครงการนำร่อง" เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปการศึกษาและแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา เบื้องต้นมีหลักฐานบ่งชี้ว่าภาคประชาสังคม องค์กรพัฒนาเอกชน หรือ เอ็นจีโอ รวมถึงชุมชนสามารถเข้าถึง ค้นหาและสนับสนุนเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาได้ในฐานะเกาะติดในพื้นที่ จึงเกิดความร่วมมือระหว่าง กสศ. กับ โครงการพัฒนาครูและเด็กนอกระบบการศึกษา โดยเครือข่ายเชิงพื้นที่ : ภาคตะวันออก จังหวัดปราจีนบุรี

จังหวัดปราจีนบุรีเป็นหนึ่งในพื้นที่ทำงานที่ กสศ. ต้องการสนับสนุน "เยาวชนแรงงานนอกระบบการศึกษา" อายุระหว่าง 18 ถึง 25 ปี ในเขตนิคมอุตสาหกรรมให้สามารถฝ่าข้ามสถานการณ์เศรษฐกิจอันเปราะบางจากการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ โควิด – 19 อาจทำให้เกิดปัญหาว่างงานได้ในอนาคตและเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต เนื่องจากการศึกษาเชิงพื้นที่พบว่า วัฏจักรแห่งความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาจากรุ่นสู่รุ่น คือ "ติดกับดักค่าจ้าง" จากอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ , ค่าล่วงเวลา หรือ โอที ,โบนัสประจำปี และเบี้ยขยันขึ้นอยู่กับชั่วโมงการทำงานมากน้อยเพียงใด



ดังนั้นเพื่อความอยู่รอดทางเศรษฐกิจครอบครัว จำเป็นต้องงทำงานหนักอันเป็นผลพวงจากการศึกษาต่ำ จึงทำให้โอกาสในการเลือกประกอบอาชีพที่มีรายได้สูงย่อมแคบลง ประกอบกับปัญหาครอบครัวและหนี้สินสะสม จำเป็นต้องทนทำงานเป็นเวลายยาวนานเฉลี่ย 12 ถึง 14 ชั่วโมงต่อวันเป็นอย่างน้อย จึงส่งผลให้ไม่มีเวลาดูแลครอบครัวและบุตรสุ่มเสี่ยงหลุดนอกระบบการศึกษาได้โดยง่าย นอกจากนี้ยังไม่มีเวลาในการศึกษาหรือพัฒนาทักษะใหม่ และ ปัญหาสุขภาพจากการทำงานในระยะยาวต้องแบกต้นทุนการดูแลสุขภาพจากโรคเรื้อรังรุมเร้าในช่วงบั้นปลายชีวิต

ในการขับเคลื่อนงานเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเยาวชนแรงงานนอกระบบการศึกษา "ปัญญา ตลุกไธสง" ประธานสหภาพแรงงานฮิตาชิแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานกลุ่มสหภาพแรงงานจังหวัดปราจีนบุรี ถือเป็นหัวหอกคนสำคัญในการนำ "ทีมพี่เลี้ยง" จำนวน 20 คน ร่วมกับชุมชนทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายความร่วมมือในพื้นที่ โดยกลุ่มสหภาพแรงงานจังหวัดปราจีนบุรี มีบทบาทเป็นแหล่งค้นหากลุ่มเป้าหมาย ประชาสัมพันธ์และสื่อสารภายในสมาชิกสหภาพฯ ที่ทำงานในโรงงาน 9 แห่ง พร้อมเก็บข้อมูลเบื้องต้น ประสานครอบครัวและชุมชนให้มาเข้าร่วมกิจกรรม รวมถึงอำนวยความสะดวกสถานที่จัดกิจกรรม ทั้งยังผนึกความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายหน่วยงานรัฐ อาทิ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานปราจีนบุรี , สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานปราจีนบุรี และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขตปราจีนบุรี เข้ามาสนับสนุนองค์ความรู้ หลักสูตรและวิทยากร ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญมาร่วมจัดฝึกอบรมทักษะชีวิตและทักษะอาชีพ



ทั้งนี้ กสศ. ได้สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพ "ทีมพี่เลี้ยง" ให้เข้ามาช่วยดูแลเยาวชนแรงงานนอกระบบการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยเฉพาะแกนนำสหภาพแรงงานจังหวัดปราจีนบุรีที่แต่ละสหภาพฯมีความเชี่ยวชาญในสาขาอาชีพที่ตนเองถนัดตามศักยภาพเข้ามาร่วมจัดพื้นที่การเรียนรู้ใหม่ที่เหมาะสมกับเยาวชนแรงงานและสภาพพื้นที่ อาทิ เพิ่มทักษะอาชีพเสริม หรือ ต่อยอดอาชีพเดิม เช่น ตัดผมเสริมสวย อัดกรอบพระ เบเกอรี่อาหารเครื่องดื่ม หรือ สนับสนุนทุนและทักษะอาชีพแบบรายกลุ่มที่สอดคล้องกับสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของโรงงานที่เยาวชนแรงงานนอกระบบการศึกษาทำงานอยู่นำมาจัดจำหน่าย หรือ ให้บริการภายในชุมชน อาทิ "ฮิตาชิ" และ "ไฮเออร์" โรงงานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น ตู้แช่ ปั๊มน้ำ เครื่องทำน้ำอุ่น ฯลฯ สนับสนุนให้เกิดอาชีพบริการ "ช่างชุมชน" หารายได้เสริมระหว่างทำงานในโรงงานในช่วงวันหยุด

เช่นเดียวกับ "ธีระพงษ์ อุ่นฤดี" แกนนำสหภาพแรงงานซันโยแห่งประเทศไทย หรือ บริษัท ไฮเออร์ อีเล็คทริค (ประเทศไทย) จำกัด อีกหนึ่งแนวหน้าที่เข้ามาร่วมหนุนเสริม เพราะเห็นว่าโครงการฯ กสศ. สอดคล้องกับปัญหาและสถานการณ์เชิงพื้นที่ โดยเฉพาะสถานการณ์โควิด ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจครอบครัวผู้ใช้แรงงานอย่างมาก เนื่องจากรายได้หลักเกินครึ่งหนึ่งมาจากการทำงานล่วงเวลา หรือ โอที แต่พอเกิดสถานการณ์โควิด รายได้จากโอทีหดหาย ขณะเดียวกันผู้ประกอบการเริ่มใช้แรงงานต่างด้าวเข้ามาทดแทนแรงงานไทยมากขึ้น ดังนั้นแรงงานไทยต้องพัฒนาฝีมือแรงงานอยู่เสมอไม่เช่นนั้นตกงาน



ยิ่งซ้ำร้ายไปกว่านั้น เริ่มมีสัญญาณไม่ดี ลดค่าจ้าง ลดโอที หรือ บางแห่งถึงขั้นปิดโรงงานลอยลอยแพพนักงานจากวิกฤตโควิด จึงทำให้สถานะทางเศรษฐกิจครอบครัวของเยาวชนแรงงานนอกระบบการศึกษาเปราะบางมาก ดังนั้นการมีอาชีพเสริม หรือ อาชีพทางเลือกระหว่างทำงานประจำในโรงงาน จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงต่อเศรษฐกิจครอบครัว จึงกลายเป็นความร่วมมือระหว่าง กสศ.กับภาคีเครือข่ายในพื้นที่ท่ามกลางสถานการณ์โควิด

"แรงงานที่ติดโควิด ทั้งเพราะไม่รู้ตัว หรือรู้ตัวว่าติดแต่ก็ไม่กล้าบอกใคร เพราะกลัวถูกนายจ้างไล่ออกจากงาน เพราะงานที่ทำอยู่รายได้ก็ไม่พอกินอยู่แล้ว หากติดโควิดหรือต้องกักตัวก็ขาดรายได้แล้วจะอยู่ได้อย่างไร" แกนนำสหภาพซันโยฯ กล่าวถึงผลกระทบวิกฤตโควิดในกลุ่มผู้ใช้แรงงาน แนวทางการดำเนินการต่อไปที่ภาคีเครือข่ายในพื้นที่นำเสนอแนะว่า ควรเน้น "ขยายความร่วมมือ" เพิ่มกับโรงงานอุตสาหกรรมแห่งใหม่ในพื้นที่ มุ่งเน้น "เข้าถึงชุมชน" ในพื้นที่โดยรอบเขตนิคมอุตสาหกรรมให้มากขึ้น เนื่องจากเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของครอบครัวผู้ใช้แรงงานโดยดึงผู้นำชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมสำรวจ ค้นหาและสนับสนุนการพัฒนาทักษะอาชีพและทักษะชีวิตเยาวชนแรงงานนอกระบบการศึกษา พร้อมกับสนับสนุนควรจัดตั้ง "ศูนย์ประสานภาคีความร่วมมือการเรียนรู้ตลอดชีวิตโดยมีชุมชนเป็นฐาน" โดยยึดหลักไม่เน้นจัดตั้งเป็นองค์กร แต่เน้นสร้าง "ภาคีความร่วมมือ" และ "การมีส่วนร่วม" จากทุกภาคส่วนในพื้นที่มาทำงานหรือจัดกิจกรรมร่วมกับ กสศ. เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาอย่างยั่งยืนต่อไป

https:// m.mgronline.com/politics/detail/9640000075266
#2809


นายประกฤต ธัญวลัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด ("บล. Zcom") เปิดเผยว่า จากการสนับสนุนทางการเงินอย่างแข็งแกร่งจากบริษัทใหญ่ในประเทศญี่ปุ่นและสถาบันการเงินที่เป็นพันธมิตรทั้งหมดที่มีความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของตลาดมาร์จิ้นในไทย บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดของยอดลูกหนี้มาร์จิ้นได้อย่างต่อเนื่อง

 โดย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2564 บริษัทมียอดมูลหนี้จากการให้บริการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์มากกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 70% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นับเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญตามที่บริษัทตั้งเป้าหมายไว้ ภายในระยะเวลาเพียง 3 ปีกว่านับตั้งแต่บริษัทเริ่มเปิดให้บริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ครั้งแรกในไทยเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2560อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเดินหน้าในการปรับกลยุทธ์ในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่ม และก้าวสู่อันดับหนึ่งในการเป็นผู้ให้บริการด้านบัญชีมาร์จิ้นในธุรกิจหลักทรัพย์ของประเทศไทย

บริการด้านบัญชีมาร์จิ้นหรือบัญชีเครดิตบาลานซ์ ของ บล. Zcom เปิดให้บริการแก่นักลงทุนที่ต้องการกู้ยืมเงิน เพื่อเพิ่มอำนาจซื้อหลักทรัพย์ โดยนักลงทุนจำเป็นต้องนำหลักประกันมาวางไว้กับบริษัทฯ ตามอัตรามาร์จิ้นเริ่มต้น (Initial Margin) ของหลักทรัพย์ที่ต้องการลงทุน ซึ่งมีให้เลือกมากกว่า 600 หลักทรัพย์ ในอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำที่ 5.95% ต่อปี สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ 02-088-8111
#2810


ส.อ.ท.เปิดเผยผลสำรวจปัญหาแรงงานในช่วงวิกฤติโควิด-19 พบแรงงานติดเชื้อในโรงงานผสมกับภาวะการขาดแคลนแรงงานส่งผลให้กำลังการผลิตลดลงและเริ่มกระทบส่งออกไทย วอนรัฐเร่งฉีดวัคซีนให้แรงงานม.33 เร่งด่วน ขณะที่การจ้างงาน ลดลง 10 – 20% คิดเป็น 31.3% ส่วนการจ้างงานลดลงมากว่า 50% คิดเป็น 4.8 %

       นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 8 ในเดือนกรกฎาคม 2564 ภายใต้หัวข้อ "การจัดการปัญหาแรงงานในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19" พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ มองว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้ ส่งผลกระทบต่อแรงงานในภาคอุตสาหกรรมทั้งปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งปัญหาขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมที่มีการใช้แรงงานเข้มข้น จนส่งผลทำให้กำลังการผลิตลดลงและกระทบต่อการส่งออกของไทย ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์หลักที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 นี้ จึงเสนอให้ภาครัฐเร่งฉีดวัคซีนให้แก่แรงงาน ม.33 เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดโควิด-19 ในสถานประกอบการ รวมทั้ง รักษาศักยภาพในการผลิตและการส่งออกของประเทศ

จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 166 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 75 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด พบว่า อัตราการจ้างงานในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดนั้น ส่วนใหญ่ภาคอุตสาหกรรมยังสามารถคงอัตราการจ้างงานเท่าเดิม คิดเป็น 53.6% มีการจ้างงานลดลง 10 – 20% คิดเป็น 31.3% มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 10 – 20% คิดเป็น 10.3% และมีการจ้างงานลดลงมากว่า 50% คิดเป็น 4.8 %

ในส่วนของผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนแรงงานที่เกิดขึ้นในขณะนี้ พบว่า โรงงานอุตสาหกรรมบางส่วนได้รับผลกระทบทำให้ต้องลดกำลังการผลิตลง น้อยกว่า 30% คิดเป็น 45.2% โรงงานที่ไม่ได้รับผลกระทบ คิดเป็น 26.5% โรงงานที่กำลังการผลิตลดลง 30 – 50% คิดเป็น 20.5% และโรงงานที่กำลังการผลิตลดลงมากกว่า 50% คิดเป็น 7.8% เมื่อถามถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ แรงงานบางส่วนต้องเข้าสู่กระบวนการรักษาโรค หรือกักตัว รวมทั้ง การปิดโรงงานชั่วคราวตามข้อกำหนด คิดเป็น 51.8% รองลงมา สถานประกอบการไม่สามารถหาแรงงานสัญชาติไทยได้เพียงพอต่อความต้องการ คิดเป็น 49.4% และมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าออกพื้นที่ของแรงงานข้ามจังหวัด คิดเป็น 41.6%

สำหรับมาตรการที่ภาครัฐควรนำมาดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การสนับสนุนเงินอุดหนุนในการจ้างแรงงานไทย และขยายโครงการจ้างงานเด็กจบใหม่ คิดเป็น 50% รองลงมา เป็นการส่งเสริมการใช้เครื่องจักรในภาคอุตสาหกรรมทดแทนการใช้แรงงาน คิดเป็น 48.8% และการอนุญาตให้นำเข้าแรงงานต่างด้าวภายใต้ MOU เฉพาะแรงงานที่ได้รับการฉีดวัคซีน 2 เข็มแล้ว มีการทำประกันสุขภาพ และต้องผ่านการกักตัว 14 วัน เข้ามาทำงาน คิดเป็น45.8%

กรณีที่ภาครัฐจะมีการเปิดให้มีการนำเข้าแรงงานต่างด้าวตาม MOU ควรมีการเตรียมความพร้อมในเรื่องใด พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การเตรียมความพร้อมระบบคัดกรอง ติดตาม และประเมินสถานประกอบการที่ใช้แรงงานต่างด้าว คิดเป็น 69.9% รองลงมา การจัดตั้งศูนย์ One Stop Service สำหรับนายจ้างที่ต้องการจ้างแรงงานต่างด้าว คิดเป็น 66.9% และการปรับลดขั้นตอน เอกสารที่ไม่จำเป็น และปรับมาดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ คิดเป็น 65.1 %

ทั้งนี้ FTI Poll ยังได้เจาะลึกถึงมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการปิดสถานประกอบการอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดโควิด-19 พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การเร่งจัดหาวัคซีนและเร่งฉีดให้กับแรงงาน ม.33 คิดเป็น 92.8๔ รองลงมา การสนับสนุนด้านการรักษาพยาบาลแรงงานที่ติดเชื้อ และสนับสนุนยา อาหาร และเวชภัณฑ์ให้แก่แรงงานที่ติดเชื้อในการรักษาตัวที่บ้าน (Home isolation) คิดเป็น 69.9% และการลดเงินสมทบประกันสังคม เหลือ 1% ถึงสิ้นปี 2564 คิดเป็น 66.9 %

นอกจากนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. ยังมองว่ามาตรการที่ภาคเอกชนมีความพร้อมและสามารถที่จะดำเนินการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ในสถานประกอบการได้ พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การมีระบบคัดกรองแรงงานก่อนเข้าโรงงาน และการเฝ้าระวังผู้ปฏิบัติงานที่เป็นกลุ่มเสี่ยงตามมาตรการ Bubble & Seal คิดเป็น 83.1% รองลงมา การจัดหาวัคซีนทางเลือกให้แก่แรงงานในสถานประกอบการ คิดเป็น 68.1% และการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด (D-M-H-T-T-A) คิดเป็น 65.7%
#2811
ป้ายไฟวิ่ง LED ดิจิตอล 2 รูปแบบ กันน้ำ 100% - รับประกัน 1 ปี

**** Single color ****** ราคา 2,900 .- 

**** FULL color ****** ราคา 4,200 .-

- กันน้ำ 100% - รับประกัน 1 ปี










#2812



ครีมกันแดดเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่ว่าจะแดดแรงแค่ไหนหรือไม่มีแดดเลยก็ควรต้องทาเพื่อป้องกันไม่ให้ผิว หน้าโดนทำร้ายจากแสงและยังช่วยปกป้องผิวจากสัญญาณทั่วไป เช่น ผิวหมองคล้ำ จุดด่างดำ ริ้ว รอย ดังนั้นขั้นตอนการทาครีมกันแดดไม่อาจละเลยได้ ซึ่งครีมกันแดดนั้นไม่เหมือนกับผลิตภัณฑ์เสริมความงาม อื่น ๆ เช่น มอยส์เจอไรเซอร์ หรือ เซรั่ม ที่สามารถซึมเข้าสู่ผิวภายในไม่กี่วินาที หลายคนมีปัญหาทาครีมกันแดดทุกวันแต่ทำไมผิวหน้าแอบไหม้ นั้นแปลว่าคุณกำลังทาครีมกันแดดผิดวิธี

ถึงครีมบำรุงจะมีส่วนผสมของเอสพีเอฟ แต่ก็อย่าลืมที่จะทาครีมกันแดด ปัจจุบันแม้มีผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหรือเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของเอสพีเอฟมากมาย แต่ก็ให้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีเท่ากับครีมกันแดด ถ้าสาว ๆ เห็นผลิตภัณฑ์ตัวไหนที่มีส่วนผสมของเอสพีเอฟก็อย่าชะล่าใจให้นำมาใช้ควบคู่กับครีมกันแดดจะดีที่สุด โดยเกลี่ยครีมกันแดดให้ทั่วหน้าแล้วรอให้ซึมเข้าสู่ผิว การทาครีมกันแดดให้ทั่วหน้าเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่นใจว่า หน้าจะได้รับการป้องกัน อย่างเต็มที่ ทาครีมให้ทั่วใบหน้า คอ หู และริมฝีปากแล้วเกลี่ยให้ทั่วใบหน้าจากนั้นรอให้ครีมซึมเข้าสู่ผิวก่อนสัก 20 นาที หลังจากนั้นสามารถแต่งหน้าต่อได้เลย หรือในวันสบาย ๆ ไม่อยากแต่งหน้าก็แค่ทาครีมกันแดดแล้วรอสัก 20 นาที ก็พร้อมออกจากบ้านได้เลย


ทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2 ชั่วโมง เมื่อต้องอยู่กลางแจ้งทั้งวัน! สำหรับสาว ๆ คนไหนที่ต้องอยู่กลางแจ้งและโดนแสงแดดโดยตรง จำเป็นมากที่ต้องทาครีมกันแดดซ้ำ ทุก 2-3 ชั่วโมง แต่ก็มีไม่กี่คนหรอกที่จะทากันแดดระหว่างวันจริงมั้ย? เพราะจะไปทำลายเครื่องสำอางของเรา แต่มีตัวเลือกที่สามารถทาครีมกันแดดระหว่างวันได้โดยไม่ทำร้ายเครื่องสำอางคือ การใช้สเปรย์กันแดด หรือสาว ๆ คนไหนที่แต่งหน้าหนาก็ให้ใช้แป้งฝุ่น ที่มีส่วนผสมของเอสพีเอฟแทนก็ได้นะ เห็นอย่างนี้แล้วการทาครีมกันแดดก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพียงแค่ต้องใช้เวลาให้ครีมซึมเข้าสู่ผิวก่อน

ถ้าอยากมีผิวที่สวยก็ต้องใจเย็นกันนะคะสาว ๆ

https:// www.dailynews.co.th/news/112279/
#2813
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาด กนง.'คงดอกเบี้ย0.50%'ในการประชุม4ส.ค.64


"ศูนย์วิจัยกสิกรไทย"ประเมินว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 4 ส.ค. นี้ กนง. จะพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญความเสี่ยงอย่างมากจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่จำนวนผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลต้า ซึ่งส่งผลให้การแพร่ระบาดมีแนวโน้มควบคุมได้ยากขึ้น

ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ระบบสาธารณสุขของไทยเผชิญข้อจำกัดมากขึ้น คาดว่าภาครัฐจึงจำเป็นต้องต่ออายุมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและการจ้างงาน และมีผลกระทบต่อเนื่องไปยังกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้ทรุดตัวไปกว่าเดิม

ดังนั้น มาตรการทางการเงินแบบผ่อนคลายยังคงมีความจำเป็นในการช่วยประคับประคองเศรษฐกิจควบคู่ไปกับมาตรการทางการคลังที่ออกมาเพิ่มเติม ซึ่งในการประชุมกนง.ที่จะถึงนี้ คาดว่ากนง. น่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% เพื่อเก็บกระสุนไว้ใช้ในยามสถานการณ์เศรษฐกิจแย่ลงไปกว่านี้ ท่ามกลางความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (policy space) ที่มีจำกัด

ในขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะยังคงมุ่งเน้นการใช้มาตรการที่ตรงจุดเพื่อช่วยลดภาระหนี้สินของภาคธุรกิจและครัวเรือน โดยล่าสุดธปท. ร่วมกับสมาคมธนาคารไทยและสมาคมธนาคารนานาชาติได้เห็นร่วมกันออกมาตรการเร่งด่วนด้วยการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้ SMEs และ รายย่อย เป็นระยะเวลา 2 เดือนให้กับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ทั้งในพื้นที่ควบคุมฯ และนอกพื้นที่ควบคุมฯ ที่ต้องปิดกิจการจากมาตรการของทางการ

 อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์เศรษฐกิจแย่ลงกว่าที่คาด กนง. คงเผชิญแรงกดดันให้ออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมในระยะข้างหน้า โดยการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายยังคงเป็นทางเลือกหนึ่งที่กนง. อาจนำมาพิจารณา

ทั้งนี้ หากสถานการณ์การแพร่ระบาดยังคงมีความรุนแรงอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปลายไตรมาส 3ปี2564 และส่งผลให้ทางการยังจำเป็นต้องต่ออายุมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดต่อไปในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความเสี่ยงเชิงลบเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งทางภาครัฐคงจำเป็นต้องออกมาตรการทางการเงินและการคลังเพิ่มเติมเพื่อเยียวยาผลกระทบทางเศรษฐกิจ

โดยธปท. น่าจะยังคงมาตรการเฉพาะจุดที่ช่วยลดภาระหนี้สิน เช่น การพักชำระหนี้ ต่อไป ขณะที่ มีความเป็นไปได้ที่กนง. อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้าหากมีความจำเป็น เนื่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยลดภาระทางการเงินของครัวเรือนและภาคธุรกิจอย่างทั่วถึง

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อโลกขาขึ้น และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณถอนนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเร็วกว่าที่คาด อาจนำมาซึ่งความท้าทายในการดำเนินนโยบายทางการเงินของธปท. โดยนโยบายการเงินของเฟดที่เปลี่ยนไปในทิศทางเข้มงวดมากขึ้นจะส่งผลให้มีเงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets)ซึ่งการที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าประเทศ อื่นๆ อันส่งผลให้กนง. อาจจำเป็นจะต้องพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยนโยบายสวนทางกับธนาคารกลางอื่นๆ จะยิ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดเงินทุนไหลออกจากตลาดเงินไทย และอาจเป็นปัจจัยกดดันค่าเงินบาทในระยะข้างหน้า 
#2814



หลังจากที่ "น้องเทนนิส" พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ จอมเตะสาวไทยเบอร์ 1 ของโลกในรุ่น 49 กก.หญิง คว้าเหรียญทองประวัติศาสตร์เหรียญแรกให้กับทีมเทควันโดไทย และเหรียญแรกให้กับทัพนักกีฬาไทย ในการแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกเกมส์ โตเกียว 2020 ที่สนามมาคูฮาริ เมสเสะ ฮอลล์เอ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมานั้น

โดย "น้องเทนนิส" พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักเทควันโดฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิก 2020 เดินทางถึงประเทศไทย และอยู่ในช่วงกักตัวที่จังหวัดภูเก็ต


ล่าสุดเจ้าตัว เผยกับทีมงานข่าวสด ผ่านรายการ "ลุยโตเกียว สเปเชียล" ถึงที่มาของการใส่รองเท้าเตะสีชมพูดังกล่าวเข้าสนามทุกเกม โดยบางช่วงบางตอนรายนาทีที่ 10.55 น้องเทนนิส เผยถึงเรื่องนี้ว่า เป็นเพราะลืมเอารองเท้าผ้าใบไปเท่านั้น

"ลืมรองเท้าผ้าใบคะพี่ วันแข่งถือของพะรุงพะรัง มีอุปกรณ์เยอะ แล้วรอบนี้เราไปกันน้อย มีนักกีฬาแค่ 2 คน ก็ช่วยกันถือของทำให้ลืมรองเท้าผ้าใบ ก็ทำให้ต้องใส่รองเท้าแตะขึ้นรับเหรียญ ไม่ได้เป็นการถือเคล็ด หรือได้มาจากบุคคลสำคัญแต่อย่างใด"
#2815


ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวหรือผื่นจากการใส่มาสก์ เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสียดสีกับผิวหน้าขณะใส่ ความสกปรกภายในหน้ากากที่สะสมระหว่างวัน ความเครียด วัสดุจากหน้ากากมีการปนเปื้อน และโรคผิวหนังเดิมที่เคยเป็นอยู่
การเสียดสีของของหน้ากากอนามัยกับผิวหน้า ส่งผลให้เกิดการแพ้ ระคายเคืองได้ โดยเฉพาะผู้ที่ใส่หน้ากากหลายชั้น
หากพบว่ามีสิวขึ้นหรือมีผื่นแพ้ ในเบื้องต้นควรหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไร แล้วแก้ตามสาเหตุนั้น หากทำตามทุกวิธีแล้วยังมีสิวขึ้นหรือผื่นภูมิแพ้ ควรรีบมาปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนที่สิวหรือผื่นนั้นจะลุกลาม
ไลฟ์สไตล์ติดตาม

วิถีชีวิตใหม่แบบ New Normal ที่เกิดขึ้นในยุคที่มีการระบาดของไวรัสก่อโรค Covid-19 นั้น การสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการติดเชื้อคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องทำเสมอเวลาออกจากบ้าน แต่เมื่อต้องใส่เป็นประจำทุกวัน หลายคนมักเกิดปัญหาสิว ผดผื่นคัน บริเวณที่ใส่หน้ากากอนามัยตามมา จนเกิดอาการไม่อยากใส่ แต่ยังไงก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อต้องใส่ทุกวันและเกือบจะตลอดเวลาแล้วนั้นก็ทำให้เกิดปัญหาเรื้อรังตามมาได้

ใส่หน้ากากอนามัยแล้วเป็นสิว หรือผิวแพ้มาสก์ เกิดจากอะไร

การเสียดสีของของหน้ากากอนามัยกับผิวหน้า ส่งผลให้เกิดการแพ้ ระคายเคืองได้ โดยเฉพาะผู้ที่ใส่หน้ากากหลายชั้นหรือสวมหมวกกันน็อกทับเวลาขับขี่รถมอเตอร์ไซค์

ความสกปรกภายในมาสก์ เช่น ละอองน้ำลาย เหงื่อ น้ำมันจากผิวหน้า ร่องรอยเครื่องสำอาง ผสมกับความชื้นภายในหน้ากากโดยเฉพาะเวลาอากาศร้อนอบอ้าว แบคทีเรียก็จะมีการเพิ่มจำนวนและเติบโตขึ้นที่รูขุมขนมากขึ้น ทำให้เกิดสิวทั้งอุดตันและอักเสบตามมาได้ง่ายขึ้น

ปัจจัยภายใน เช่น ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งเสริมกับปัจจัยเรื่องการเสียดสี หรือความสกปรกภายในหน้ากาก

เกิดจากมลภาวะหรือ PM2.5 เนื่องจากสารตั้งต้นของ PM2.5 ก่อนจะรวมตัวกับไอน้ำ และฝุ่นควัน คือ ก๊าซพิษ ซึ่งทำตัวเสมือนสารก่อระคายเคืองผิว กระตุ้นการเกิดสิว และทำให้ผิวแพ้ง่าย เป็นที่ทราบกันดีว่า หน้ากากทั่วไปที่เราใส่ ไม่สามารถป้องกัน PM2.5 ได้ และมลภาวะสามารถเข้าทางด้านข้างของหน้ากากได้ด้วยเช่นกัน

หน้ากากอนามัยชนิดใช้แล้วทิ้งบางยี่ห้อที่ผสมสารป้องกันแบคทีเรียบางชนิดที่อาจระคายเคืองผิวได้ หรือเป็นที่ตัววัสดุเอง เช่น ผ้าสปันบอนด์ (spunbond) ซึ่งเป็นผ้าที่เกิดจากการอัดขึ้นรูปจากเส้นใยพลาสติกพวกพอลีโพรพิลีน (Polypropylene) มาประกอบเป็นหน้ากากชั้นนอกและชั้นในเพื่อป้องกันการซึมผ่านของน้ำและละอองฝอยต่างๆ

เกิดจากน้ำหอมจากผลิตภัณฑ์ซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ใช้ซักหน้ากากผ้า ทางที่ดี ควรซักล้างด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ หรือผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ไม่มีน้ำหอม

โรคผิวหนังเดิมที่เป็นอยู่ แต่ถูกกระตุ้นให้เป็นมากขึ้นในช่วงที่ใส่หน้ากาก เพราะความอบอ้าว ความชื้น โดย 2 โรคที่พบได้บ่อย เช่น

- โรคผิวหนังอักเสบโรซาเชีย (Rosacea) ซึ่งเป็นภาวะทางผิวหนังที่พบบ่อย โดยจะเกิดรอยแดงและมองเห็นเส้นเลือดบนใบหน้าได้ชัดเจน อาจเกิดตุ่มหนองคล้ายสิวหรือตุ่มสีแดงขนาดเล็ก และอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ตาแห้ง ตาบวมแดงและระคายเคือง เปลือกตาแดง รู้สึกแสบหรือชาที่ผิวหนัง ผิวแห้ง ผิวหยาบ และรูขุมขนกว้าง

- โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ (Atopic Dermatitis) เป็นอาการของผิวหนังอักเสบเรื้อรังจากปฏิกิริยาภูมิแพ้ ทำให้ผิวแห้ง แดง มีผื่นตามบริเวณต่างๆ และมีอาการคันอย่างต่อเนื่อง บางรายมีตุ่มพอง ซึ่งอาจแตกและมีของเหลวไหลออกมาได้เมื่อถูกเกา
8 วิธี ป้องกันสิวผิวแพ้มาสก์

1. ป้องกันการเสียดสีกับหน้ากาก โดยสามารถสอดแผ่นทิชชู่ที่นุ่มและสะอาดรองบริเวณที่มีการเสียดสีบ่อยๆ

2. หากอากาศร้อนมากๆ ร่างกายจะมีการสร้างเหงื่อและน้ำมันออกมาจากผิวมากขึ้น ความอับชื้นจึงตามมา เราสามารถซับเหงื่อและความมันระหว่างวันได้ก่อนใส่หน้ากากกลับไปที่เดิม

3. ขณะที่ใส่หน้ากากอนามัย หากจำเป็นต้องพูดคุย สามารถรองกระดาษทิชชู่ไว้ที่ปาก หากพูดเสร็จให้ทิ้งทิชชู่นั้น

4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียดจนเกินไป เพราะปัจจัยเหล่านี้ส่งเสริมการเกิดสิวได้

5. เมื่อกลับถึงบ้าน ควรรีบถอดหน้ากากแล้วล้างหน้าให้สะอาดทันที เพื่อลดการสะสมของสิ่งสกปรกตกค้าง รวมทั้งมลภาวะทางอากาศที่ผ่านเข้าหน้ากากจากด้านข้าง

6. หากมีอาการแพ้หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากชนิดที่ใช้ในการผ่าตัด (กรณีที่ไม่ใช่แพทย์และบุคลากรที่ผ่าตัด) สามารถเปลี่ยนมาใช้หน้ากากผ้า หรือหน้ากากชนิดอื่นๆ แทนได้

7. หากใช้หน้ากากผ้า ควรซักด้วยน้ำยาซักผ้าเด็กหรือน้ำสบู่อ่อน หรือซักด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ซักล้างและปรับผ้านุ่มที่ผสมน้ำหอม

8. หากทำตามทุกวิธีแล้วยังมีสิวขึ้นหรือผื่นภูมิแพ้ อาจเกิดจากโรคผิวหนังเดิมที่เป็นอยู่ ให้หยุดครีมบำรุงผิวทุกชนิดในช่วงแรก งดแต่งหน้า และรีบมาปรึกษาแพทย์ผิวหนังโดยเร็วที่สุด

บทความโดย : พญ. พีรธิดา รัตตกุล แพทย์ผู้ชำนาญสาขาตจวิทยา โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท
#2816



อาร์แซน เวนเกอร์ ตกเป็นข่าวอาจกลับมารับงานคุมทีมข้างสนามอีกครั้ง โดยอาจยกระดับก้าวขึ้นไปทำงานในระดับชาติเป็นครั้งแรก

กุนซือมาดนิ่งวัย 71 ปีชาวฝรั่งเศส ถึงแม้จะก้าวขึ้นไปทำงานเป็นผู้บริหารระดับสูงของฟีฟ่า ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายพัฒนาฟุตบอล หลังแยกทางจากอาร์เซนอลเมื่อปี 2018 แต่ก็ยังมีข่าวลือว่า หลายสโมสรชั้นนำของยุโรป ต่างพยายามตามจีบให้กลับมาคุมทีมอีกครั้ง

รวมถึงล่าสุด Blick สื่อชื่อดังแห่งแดนนาฬิการายงานว่า สมาคมฟุตบอลสวิตเซอร์แลนด์ เตรียมทาบทาม เวนเกอร์ ทำหน้าที่กุนซือทีมชาติคนใหม่ เพื่อแทนที่ของ วลาดิเมียร์ เพตโควิช ที่ตัดสินใจก้าวลงจากตำแหน่งหลังจบศึกฟุตบอลยูโร 2020 ก่อนย้ายไปรับงานคุมทีมบอร์กโดซ์ ในศึกลีก เอิง ของฝรั่งเศส

รายงานระบุว่า การทาบทามในครั้งนี้ อาจเป็นสัญญาระยะสั้นจนถึงฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้ายที่กาตาร์เท่านั้น และการเจรจารวมถึงแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ อาจมีขึ้นในเร็วๆ นี้ ก่อนที่เกมคัดบอลโลกรอบต่อไป จะมีขึ้นในช่วงเดือนกันยายนนี้

สำหรับ อาร์แซน เวนเกอร์ ถึงแม้จะยังไม่เคยคุมทีมในระดับชาติ แต่ก็ประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่องกับสโมสรชั้นนำของยุโรปทั้ง โมนาโก และ อาร์เซนอล ในช่วงก่อนหน้านี้.

https:// www.thairath.co.th/sport/eurofootball/otherleague/2153071
#2817



ผจญภัยไปกับ มาริโอ้ เมาเร่อ เฟรนด์ ออฟ ลองจินส์ ประเทศไทยกับเบื้องหลังการถ่ายทำวีดีโอ โปรโมท LonginesHydroConquest (ลองจินส์ไฮโดรคองเควสต์) คอลเลกชั่นนาฬิกาสปอร์ตที่มีดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์มาพร้อมกับสีสันใหม่เวอร์ชั่นทูโทนที่ออกแบบมาให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์หนุ่มนักกีฬาและผู้ชื่นชอบความท้าทายโดยเฉพาะโดยถ่ายทำที่จังหวัดกระบี่ซึ่งเป็นสวรรค์สำหรับนักดำน้ำ


โดยการถ่ายทำในครั้งนี้ 'หนุ่มโอ้' ปักหลักเริ่มต้นภารกิจกันที่โรงแรม พิมาลัย รีสอร์ท แอนด์ สปา จ.กระบี่ ก่อนเดินทางไปยังเกาะห้าเพื่อทำกิจกรรมสุดเอ็กซ์ตรีม ไม่ว่าจะเป็นขับเรือ Cruising Trimaran หรือ ดำน้ำ (Free Dive) เรียกว่าโชว์สกิลทางด้านกีฬาอย่างเต็มที่ แถมเพิ่มดีกรีความเป็นหนุ่มฮอตแข่งกับอุณหภูมิอันร้อนระอุท่ามกลางท้องทะเลด้วยไอเท็มนาฬิกาคอลเลกชั่น HydroConquest ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก โลกแห่งกีฬาทางน้ำ งานนี้เลยมีรูปมาฝากแฟนๆ กันเพียบ

นักแสดงหนุ่มได้บอกเล่าความรู้สึกของการถ่ายทำว่า "ช่วงที่ไปถ่ายทำวีดีโอนั้นสนุกมากครับ ได้ทำกิจกรรมที่ชอบ อย่างพวกกีฬาเอ็กซ์ตรีมต่างๆ ซึ่งโอ้ได้ Free Dive ด้วยก็ลุยแบบเต็มที่ นอกจากนี้โอ้ยังทึ่งกับประสิทธิภาพของนาฬิกา HydroConquest ซึ่งเป็นนาฬิการุ่นใหม่ล่าสุดจากลองจินส์ ที่สามารถกันน้ำได้ถึง 300 เมตร รับประกันนาฬิกา 5 ปี เหมาะกับกิจกรรม Free Dive มากๆ แถมตัวเรือนก็ดีไซน์แบบสปอร์ต ทันสมัยตอบโจทย์ทุกการผจญภัยจริงๆ ครับ แต่ช่วงนี้โอ้ก็อยากให้ทุกคนรักษาสุขภาพกันก่อน รอวันสถานการณ์ดีขึ้น เราคงได้กลับไปสนุกกับทุกกิจกรรมกันอีกครั้ง"



สามารถเป็นเจ้าของนาฬิกา ลองจินส์ (Longines) แบรนด์นาฬิการะดับโลกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป หรือทางออนไลน์ที่ Longines Official Store @Lazada และ @Shopee สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.facebook.com/LonginesTH และ Line official : @Longines_th
#2818
ไอดินไทย เครื่องประดับดินปั้น ด้วยอินสไปเรชั่นทำเครื่องประดับดินปั้นมาจากความชื่นชมที่มีต่อละครมนต์รักลูกทุ่งแล้วก็แฟชั่นการแต่งกายยุคนั้น





ทำให้คุณพัชร์ชิสา ไชยวีรวัฒน์ เกิดแนวคิดสำหรับในการทำเครื่องประดับร่วมกับการเล่าเรียนปั้นดินไทยของชุมชนระแหง จังหวัดตาก จนเกิดเป็นเครื่องประดับดินปั้นที่ดำเนินธุรกิจมาแล้วมากกว่า 10 ปี





ซึ่งตัววัสดุนั้นเป็นดินไทยที่ผสมกับดินท้องถิ่นของจังหวัดตาก มีความงดงามผสมความเป็นไทย สีสันสดใส ความเป็นธรรมชาติและยิ่งไปกว่านี้ทุกสินค้ามีรอยนิ้วมือจากการปั้น โดยไม่ใช้เครื่องจักร แสดงถึงงานฝีมืออย่างแท้จริง


#2819



นายธีระพงษ์ ลิมป์ประเสริฐ หัวหน้าสายงานจัดส่งสินค้าและบริหารค้าปลีก บริษัท เอบีพีโอ จำกัด ในเครือ บมจ.ทีวี ไดเร็ค (TVD) ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการจัดส่งสินค้าครบวงจร เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้สร้างผลกระทบต่อระบบขนส่งพัสดุของกลุ่มเอสเอ็มอี ผู้ค้าออนไลน์ หรือลูกค้าทั่วไป ให้มีความล่าช้าลง อันเนื่องจากผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุจำเป็นต้องชะลอการให้บริการบางสาขาลงชั่วคราว

บริษัทฯ เล็งเห็นความสำคัญของผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ด้วยประสบการณ์มากกว่า 20 ปี บริษัทฯ มีการเตรียมตัวรับกับสถานการณ์ไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดี บริษัทฯ จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถเดินหน้าต่อไปในวิกฤตินี้

ทั้งนี้บริษัทฯ ได้นำกลุ่มธุรกิจให้บริการจัดส่งสินค้าครบวงจร (Fulfillment Service) ร่วมช่วยเหลือการจัดส่งพัสดุของกลุ่มเอสเอ็มอี ผู้ค้าออนไลน์หรือลูกค้าทั่วไป ตั้งแต่สินค้าขนาดเล็กและขนาดใหญ่น้ำหนักไม่เกิน 30-150 กิโลกรัม โดยสามารถรองรับการขนส่งพัสดุสูงสุด 10,000 ชิ้นต่อวัน ซึ่งบริษัทฯ จะนำศูนย์กระจายสินค้าในทุกภูมิภาคของประเทศ อาทิ กรุงเทพฯ นนทบุรี เชียงใหม่ ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี ชลบุรี และระยอง ฯลฯ ให้บริการรับ-ส่งพัสดุทั่วประเทศ ทั้งจากผู้ค้าออนไลน์ กลุ่มเอสเอ็มอี และลูกค้าทั่วไป ด้วยอัตราค่าบริการที่เป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย รวมทั้งจัดเตรียมส่วนลดพิเศษสำหรับผู้ที่ส่งพัสดุจำนวนมาก 300 ชิ้นขึ้นไปต่อวัน (ตามข้อตกลง) โดยผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่เบอร์โทร 0-2793-2022 กด 3


สำหรับประเภทการจัดส่งสินค้า บริษัทฯ เปิดให้บริการฝากส่งสินค้าทุกประเภท เช่น อาหารสำเร็จรูป กล้าพันธุ์ไม้  เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องออกกำลังกาย เป็นต้น สามารถจัดส่งในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ภายใน 2 วัน ส่วนในต่างจังหวัดใช้ระยะเวลาโดยเฉลี่ยกว่า 3 วัน และกำลังอยู่ระหว่างพัฒนาบริการส่งพัสดุด่วน 1 วัน (SAME DAY)


ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังดำเนินมาตรการด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยลูกค้าที่เข้าใช้บริการโดยเจ้าหน้าที่จะสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาระหว่างให้บริการ ระบบการคัดกรองก่อนเข้าทำงาน และเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนคาดว่าจะครบทุกคนในเดือนกันยายนนี้ นอกจากนี้ยังพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อบนพัสดุทุกชิ้น เพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19


"ธุรกิจอีคอมเมิร์ซเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นช่องทางหลักที่สร้างรายได้ในสถานการณ์ที่เกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ให้กับกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก ผู้ค้าออนไลน์ และลูกค้าทั่วไป ซึ่งหลังจากประกาศล็อกดาวน์และเคอร์ฟิว อัตราการซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เติบโตเพิ่มขึ้น จากปกติอัตราขนส่งพัสดุในประเทศไทยโดยเฉลี่ย 4 ล้านชิ้นต่อวัน ดังนั้นทีวี ไดเร็คขอเป็นส่วนหนึ่งในการเชื่อมต่อโลกการช้อปปิ้งออนไลน์ให้สามารถเดินหน้าต่อไป ด้วยบริการจัดส่งพัสดุถึงมือลูกค้าได้อย่างมีคุณภาพและปลอดภัย โดยพร้อมยืนอยู่เคียงข้างและร่วมฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน"

สำหรับภาพรวมธุรกิจอีคอมเมิร์ซของทีวี ไดเร็ค บนเว็บไซต์ หลังจากประกาศล็อกดาวน์และเคอร์ฟิวเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม ส่งผลให้ยอดขายสินค้าในช่องทางดังกล่าวมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนรายได้จากลูกค้าอีคอมเมิร์ซเพิ่มจาก 10% เป็น 15% และจากการเพิ่มรายการสินค้าให้มีความหลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการ คาดว่าภายในสิ้นปีนี้สัดส่วนรายได้จากลูกค้าอีคอมเมิร์ซจะเพิ่มเป็น 20% ส่วนรายได้อีก 80% จะมาจากลูกค้าในช่องทางทีวีโฮมช้อปปิ้งและคอลล์เซ็นเตอร์
#2820


นายกิตติ พัวถาวรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ NCL เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้จัดการประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 3/2564 เมื่อวันที่ 23 ก.ค.2564 โดยมีมติอนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทอีกจำนวน 11,250,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 45,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท

จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 113,538,062 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่เป็นจำนวน 124,788,062 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ 499,152,248 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท


นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติอนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทพิจารณาอนุมัติการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท จำนวน 45,000,000 หุ้นเพื่อเสนอขายในคราวเดียวกันหรือต่างคราวกันให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 72/2558 เรื่อง การอนุญาตให้บริษัทจดทะเบียนเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อบุคคลในวงจำกัด ในราคาเสนอขายหุ้นละ 3.30 บาท คิดเป็นมูลค่าการเสนอขายรวม 148,500,000 บาท ได้แก่

- จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทจำนวน 15,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท เพื่อเสนอขายให้แก่ บริษัท ไท่เว่ ไบโอเทค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

- จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทจำนวน 18,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท เพื่อเสนอขายให้แก่ นางละออ ตั้งคารวคุณ

- จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทจำนวน 6,000,000 หุ้น มูลค่ที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท เพื่อเสนอขายให้แก่ นายวิชัย ด่านรัตน

- จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทจำนวน 6,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท เพื่อเสนอขายให้แก่ นางนธีรา บริรักษ์คูเจริญ

โดยวัตถุประสงค์ของการออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียน และเพื่อรองรับกับความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และรองรับการขยายกิจการในอนาคต โดยบริษัทมีแผนที่จะใช้เงินที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ในการขยายธุรกิจหลักของบริษัทและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่นตามแผนการลงทุนของบริษัท และเพื่อเสริมสภาพคล่องและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัท และบริษัทย่อย ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะใช้เงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนในไตรมาส 4 ของปี 2564 เป็นต้นไป

ในการนี้ ที่ประชุมมีมติอนุมัติกำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2564 ในวันที่ 13 ก.ย.2564 เวลา 10.00 - 12.00 น. ประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยถ่ายทอดสด ณ ห้องประชุม สำนักงานใหญ่ บริษัท เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) เลขที่ 56/9-10 ซอยสมเด็จพระเจ้าตากสิน 12/ ณนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน แขวงบุคคโล เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600 โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิเข้าร่วมการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2564 ในวันที่ 16 ส.ค.2564 (Record Date)