• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - fairya

#2801


นายบรรณ เกษมทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด ดูแลธุรกิจ SCG HOME Retail & Distribution Business ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี เปิดเผยว่า SCG HOME เล็งเห็นถึงความสำคัญของผู้ประกอบการขนาดเล็กมีส่วนในการเสริมสร้างเศรษฐกิจชุมชนท้องถิ่นให้เข้มแข็ง และเป็นรากฐานที่ผลักดันเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต จึงมุ่งมั่นสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่มีอยู่เกือบหนึ่งแสนรายทั่วประเทศ ยังต้องการการเข้าถึงโอกาสและช่องทางในการพัฒนาศักยภาพ พร้อมทั้งต้องการเครื่องมือการตลาดแนวใหม่ เพื่อยกระดับการเป็นผู้ประกอบการมืออาชีพ

โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ SCG HOME ได้จับมือร่วมกับกองส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน กรมส่งเสริมการเกษตร จัดอบรมสัมมนาออนไลน์ภายใต้หัวข้อ 'ติดอาวุธพัฒนาสินค้า บริการ ตอบโจทย์ลูกค้ายุคดิจิทัล' จุดประกายความคิดให้แก่ผู้ประกอบการรายเล็ก และนำองค์ความรู้ไปพัฒนาศักยภาพด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ด้านการพัฒนาสินค้าและบริการ รวมถึงการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการเพิ่มช่องทางตลาดออนไลน์ และแนวทางการสื่อสารรูปแบบใหม่ไปยังผู้บริโภค ตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคและวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) เพื่อที่ผู้ประกอบการรายย่อยจะสามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่ เพิ่มทางเลือกสินค้าให้มีความหลากหลายกับผู้บริโภค

รวมทั้งเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ขยายฐานของกลุ่มลูกค้าออกไปในวงกว้างมากขึ้น และผลักดันการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อเสริมศักยภาพรูปแบบการจัดจำหน่ายผ่านทางออนไลน์ที่จะเป็นช่องทางหลักในการจำหน่ายสินค้าในอนาคต ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการยังสามารถพัฒนาศักยภาพด้านการบริหารธุรกิจ และองค์ความรู้ในการพัฒนาสินค้าและปรับเปลี่ยนการทำงานให้เป็นระบบมากขึ้น และนอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการรายย่อยด้วยกันเอง แบ่งปันองค์ความรู้ นำไปต่อยอดเป็นธุรกิจ และพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ มากยิ่งขึ้น

สำหรับผู้ประกอบการรายเล็กไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มธุรกิจประเภทใด ก็สามารถนำองค์ความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้ในการพัฒนาศักยภาพของตนให้เข้มแข็งได้ ดังเช่น วิสาหกิจชุมชน ดังนี้

วิสาหกิจชุมชนหัตถกรรมไทบุราณศิลป์ ผู้ผลิตและจำหน่ายชุดบูชา พานตั้งโต๊ะ และพวงมาลัยคริสตัล นำโดย นางขนิษฐา อุทิศวรรณกุล กล่าวว่า ถึงแม้ว่าทางกลุ่มฯ เพิ่งเข้าร่วมอบรมสัมมนาออนไลน์กับทาง SCG HOME เป็นครั้งแรก แต่ได้รับประโยชน์มาก สามารถนำองค์ความรู้กลับมาพัฒนาศักยภาพได้จริง เช่น การพัฒนาต่อยอดสินค้าใหม่ ๆ โดยนำเศษผ้าไหมที่เหลือทิ้งมาสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงการเพิ่มช่องทางจำหน่ายผ่านออนไลน์ให้มากขึ้น เนื่องจากช่วงโควิด – 19 แพร่ระบาด ทำให้ไม่สามารถออกบูธจำหน่ายสินค้า และขายผ่านหน้าร้านตามปกติได้ เนื่องจากจำเป็นต้องปิดร้านที่สนามหลวง 2 ไปชั่วคราว และหาช่องทางการจำหน่ายช่องทางออนไลน์แทน อาทิ อี-มาร์เก็ตเพลส ช่องทางโซเชียล เน็ตเวิร์คต่าง ๆ

วิสาหกิจชุมชนภูมิปัญญาไทยบ้านโพธิ์ ผู้ผลิตและจำหน่ายไข่เค็มชาร์โคล น้ำยาล้างจาน น้ำยาล้างเครื่องประดับ และสบู่นมแพะ จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นำโดย นางปรียาพร เทียนหล่อ เปิดเผยว่า ทางกลุ่มฯ มีความเชี่ยวชาญในการนำสมุนไพรไทยมาใช้ให้เกิดประโยชน์และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้าน หลังจากได้เข้าร่วมอบรมกับทาง SCG HOME ช่วยให้มีกระบวนการคิดและบริหารธุรกิจอย่างเป็นระบบมากขึ้น เช่น ในสถานการณ์โควิด-19 การจะลงทุนทำอะไรเพิ่มต้องคิดและวิเคราะห์มากขึ้น ทั้งสามารถต่อยอดและพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ เช่น การนำกากของผลมะกรูดที่เหลือจากการผลิตสบู่ มาต้มต่อและผลิตเป็นน้ำยาล้างจาน แทนที่จะทิ้งให้สูญเปล่า รวมทั้ง ยังได้รับเทคนิคในการสื่อสารประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อใหม่ ๆ อาทิ การสร้างเพจ การโพสต์รูปสินค้า และยังได้กลุ่มเพื่อนใหม่จากการเข้าร่วมอบรม มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กันและบอกต่อผลิตภัณฑ์ไปยังกลุ่มค้าใหม่ๆ

วิสาหกิจชุมชนกลิ่นเอมนาโน กลุ่มผู้ผลิตเวชสำอางค์ ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงจากสารสกัดออร์แกนิคธรรมชาติ 100% ซึ่งล้วนเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบในประเทศไทยทั้งสิ้น ที่มีสมาชิกกลุ่มตั้งแต่เกษตรกรต้นน้ำ ไปจนถึงนักวิชาการ และโรงงานผลิต โดยนางสุวิภา เสริมบุญสร้าง มองว่า การจัดสัมมนาออนไลน์ของทาง SCG HOME เป็นสิ่งที่ให้ประโยชน์อย่างมาก ซึ่งที่ผ่านมาทางกลุ่มได้รับผลกระทบจากปัญหาโควิด-19 แพร่ระบาด ไม่สามารถไปออกบูธขายสินค้าได้เหมือนแต่ก่อน จนมามองเห็นโอกาสในการขยายตลาดผ่านช่องทางดิจิทัล ได้ความรู้และทักษะในการขายของบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ทำให้จากเดิมที่ลูกค้าห่างหายไป หลังจากเพิ่มช่องทางจำหน่ายทางออนไลน์ ลูกค้าที่เคยซื้อกลับมาซื้อซ้ำและยังได้กลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่ม

วิสาหกิจชุมชนกาแฟรัษฎาและแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร จากจังหวัดตรัง ผู้ผลิตและจำหน่ายเมล็ดกาแฟคั่วแบบดั้งเดิม สบู่กาแฟ และชาดอกกาแฟ ซึ่ง นางกนกวรรณ คำเนตร ให้ความเห็นว่า โครงการส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดเล็ก ของ SCG HOME เป็นโครงการที่เห็นความสำคัญของชุมชน และช่วยเหลือชุมชนโดยตรง ทั้งยังให้โอกาสกับกิจการขนาดเล็กของชุมชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมและเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ ซึ่งถือว่าให้ประโยชน์อย่างมากแก่ผู้ประกอบการ เช่น ด้านการขยายช่องทางออนไลน์ ทำให้ตอนนี้ทางกลุ่มฯ สามารถขยายช่องทางออนไลน์ไปในหลายแพลตฟอร์ม ตอบรับกับในขณะนี้ไม่สามารถเปิดหน้าร้านจำหน่ายสินค้าไม่ได้ก็ต้องอาศัยช่องทางออนไลน์ และในอนาคตก็หวังว่าอยากให้มีสัดส่วนขายออนไลน์เพิ่มมากขึ้น

นายบรรณ เกษมทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า SCG HOME รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการรายเล็ก ให้สามารถนำความรู้ที่ได้รับจากการเข้าร่วมอบรมสัมมนาไปใช้ได้จริง และจะเดินหน้าโครงการที่เป็นประโยชน์แก่สังคมและชุมชนนี้ไปอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่เพียงมีส่วนช่วยประคับประคองธุรกิจขนาดเล็กในช่วงที่ภาวะตลาดยังมีความผันผวนเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่จะเป็นภูมิคุ้มกันและเสริมรากฐานช่วยสร้างความเข้มแข็งให้แก่ธุรกิจรายย่อยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคตอีกด้วย.
#2803


กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ รวบรวมความคืบหน้า ทั้งการสมัคร จ่ายเงินสมทบ รวมถึงไทม์ไลน์การจ่ายเงิน "เยียวยาประกันสังคม" 5,000 บาทสำหรับผู้ประกันตน 40 และ มาตรา 39 รวมถึงความคืบหน้าของกลุ่มผู้ประกันตนมาตรา 33 รวมถึงรายละเอียดเพื่อไขข้อข้อใจว่าการเป็น "ผู้ประกันตนมาตรา 40" จะได้ประโยชน์อะไร แล้วจะเสียโอกาสใน "บัตรทอง" และ "บัตรคนจน" หรือไม่

ซึ่งในเรื่องนี้ สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ชี้แจงถึงกรณีที่ผู้ถือบัตรทอง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรคนจน หรือสวัสดิการแห่งรัฐต่าง ๆ เมื่อสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 แล้ว ยืนยัน ไม่มีผลกระทบ และใช้สิทธิการรักษาพยาบาลร่วมกับบัตรทอง และสวัสดิการแห่งรัฐต่างๆ ที่เคยได้รับได้เหมือนเดิม แต่สิ่งที่ได้เพิ่ม เช่น มีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย หรือสิทธิประโยชน์กรณีเสียชีวิต ได้รับค่าทำศพ 50,000 บาท จากสำนักงานประกันสังคมเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย


ทั้งนี้ ใน 10 จังหวัดแรก ปิดให้ลงทะเบียนเพื่อรับเงินเยียวยาแล้ว

แต่สำหรับ 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา หากยังไม่ได้สมัคร หรือสมัครแล้วยังไม่ได้จ่ายเงินสมทบ ยังสามารถทำได้จนถึงวันที่ 24 ส.ค.64 (และจะไปได้เงินพร้อมกับ 16 จังหวัดที่ประกาศรอบล่าสุด) 

โดยผู้ประกันตนทั้งตามมาตรา 39 และ มาตรา 40 ใน 19 จังหวัด ที่ยังไม่ได้สมัครเป็นผู้ประกันตน หรือสมัครแล้วยังไม่ได้จ่ายเงินสมทบ ซึ่งประกันสังคมขยายเวลาให้จ่ายเงินได้ถึงวันที่ 24 ส.ค.64 นั้น ในกลุ่มนี้ จะต้องรออัพเดทการโอนเงินอีกครั้งหนึ่ง

สำหรับผู้ที่สนใจสมัครเป็น "ผู้ประกันตนตามมาตรา 40" 

- ใช้บัตรประชาชนใบเดียว

- สมัครง่าย ๆ ด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์ www.sso.go.th 

- สมัครผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส (7-11)

- เคาน์เตอร์ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)

- เคาน์เตอร์บิ๊กซี (Big C)

เมื่อสมัครแล้วสามารถจ่ายเงินสมทบได้ทันที หรือสมัครผ่านผู้แทนเครือข่ายประกันสังคม สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1506 ให้บริการไม่เว้นวันหยุดราชการตลอด 24 ชั่วโมง 

ไทม์ไลน์จ่ายเงินเยียวยาผู้ประกันตนกลุ่มต่างๆ ดังนี้  


ผู้ประกันตน ม.33 

16 จังหวัดหลัง ใน 9 กลุ่มอาชีพ โอนเงิน 20 ส.ค. 64 จำนวน 2,500

ผู้ประกันตน ม.39

10 จังหวัดแรก+3 จังหวัด โอนเงิน 23 ส.ค. 64 จำนวน 5,000

ผู้ประกันตน ม.40 

10 จังหวัดแรก+3 จังหวัด โอนเงิน 24 ส.ค. 64 จำนวน 5,000

ผู้ประกันตน ม.39-40 

16 จังหวัดหลัง โอนเงิน 24 ส.ค. 64 จำนวน 5,000
#2804


นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมบัญชีกลางเปิดเผยว่า ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ยังมีแนวโน้มไม่ลดลงและยังมีการระบาดในวงกว้าง ซึ่งคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้มีมติให้ปรับเพิ่มมาตรการและการจัดการขององค์กร โดยกำหนดมาตรการองค์กรสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ให้เน้นการทำงานนอกสถานที่ (Work from home) อย่างต่อเนื่อง หากจำเป็นต้องมาปฏิบัติงานให้มีการคัดกรองด้วยชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ทุกสัปดาห์ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ของส่วนราชการในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดที่จำเป็นต้องมาปฏิบัติงาน ต้องมีการตรวจคัดกรองด้วยชุดตรวจ ATK ก่อนเข้ามาปฏิบัติงานที่ส่วนราชการ ตามมาตรการที่คณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กำหนด

กรมบัญชีกลางจึงขอซ้อมความเข้าใจว่า การเบิกจ่ายค่าชุดตรวจ ATK สำหรับเจ้าหน้าที่ของส่วนราชการในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดดังกล่าว เป็นการเบิกจ่ายค่าวัสดุตามนัยระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของส่วนราชการ พ.ศ. 2553 ข้อ 17 ซึ่งหัวหน้าส่วนราชการสามารถพิจารณาอนุมัติให้เบิกจ่ายค่าชุดตรวจและน้ำยาที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยการติดเชื้อ SARS-CoV-2 (เชื้อก่อโรค COVID-19) แบบตรวจหาแอนติเจนด้วยตนเอง (COVID-19 Antigen test self-test kits) ได้เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น เหมาะสม ประหยัด และเพื่อประโยชน์ของทางราชการ

ทั้งนี้ ขอให้ส่วนราชการดำเนินการควบคุมให้มีการเบิกจ่ายค่าชุดตรวจ ATK ให้สอดคล้องกับจำนวนเจ้าหน้าที่ที่เข้าปฏิบัติงานตามจริงด้วย

สำหรับการจัดซื้อจัดจ้างชุดตรวจ ATK สำหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคโควิด-19 คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวจ) 0405.2/ว 115 ลงวันที่ 27 มีนาคม 2563 เรื่อง การดำเนินการกรณีจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาหรืออุปกรณ์การแพทย์ หรือการจัดจ้างเพื่อให้ได้มาซึ่งพัสดุสำหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID – 19)) การจัดซื้อจัดจ้างพัสดุสำหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคโควิด-19 ในแต่ละครั้งทุกวงเงิน ถือเป็นกรณีจำเป็นเร่งด่วน จึงยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวงกำหนดวงเงินการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุ​โดยวิธีเฉพาะเจาะจง วงเงินการจัดซื้อจัดจ้างที่ไม่ทำข้อตกลงเป็นหนังสือ และวงเงินการจัดซื้อจัดจ้างในการแต่งตั้งผู้ตรวจรับพัสดุ พ.ศ. 2560 และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ที่เกี่ยวข้อง โดยให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการโดยวิธีเฉพาะเจาะจง ตามข้อ 79 วรรคสอง แห่งระเบียบฯ และให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ที่รับผิดชอบในการปฏิบัติงานนั้นดำเนินการไปก่อนแล้วรีบรายงานขอความเห็นชอบต่อหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ และเมื่อหัวหน้าหน่วยงานของรัฐให้ความเห็นชอบแล้วให้ถือว่ารายงานดังกล่าวเป็นหลักฐานการตรวจรับโดยอนุโลม และการดำเนินการดังกล่าว หากมีความจำเป็นจะต้องจ่ายเงินค่าพัสดุล่วงหน้าให้แก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้าง ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบฯ ข้อ 89 (4) โดยให้จ่ายได้ตามเงื่อนไขที่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างกำหนด และยกเว้นการวางหลักประกันการรับเงินล่วงหน้าตามระเบียบฯ ข้อ 91 วรรคสอง ดังนั้น หน่วยงานของรัฐสามารถดำเนินการตามหนังสือเวียนฉบับดังกล่าวได้ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง หมายเลข 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ
#2805


ผศ.ดร.เอกก์ ภทรธนกุล กรรมการบริหารทุน วว. และ กรรมการ ปณท. เป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือ ระหว่าง ศ. (วิจัย) ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และ ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท.) มุ่งศึกษา วิจัย พัฒนา นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ เพื่อใช้ในการขนส่งสินค้าทุกรูปแบบ ผ่านช่องทางของไปรษณีย์ไทย ให้มีความแข็งแรง ทนทาน ได้มาตรฐาน ป้องกันความเสียหายของสินค้า ช่วยลดต้นทุนและสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้รับสินค้า พร้อมรองรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งเป็นการเสริมแกร่ง เพิ่มช่องทางจัดจำหน่าย / ขนส่งสินค้า ให้แก่ผู้ประกอบการ OTOP วิสาหกิจชุมชน SMEs ให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ในสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 อย่างเข้มแข็ง ด้วยองค์ความรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม โดยมีระยะเวลาดำเนินงาน 2 ปี โอกาสนี้ ดร.พัชรา มณีสินธุ์ รองผู้ว่าการบริการอุตสาหกรรม วว. และ ดร.อาภากร สุปัญญา รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์และจัดการนวัตกรรม วว. ร่วมเป็นเกียรติด้วย ในวันที่ 18 สิงหาคม 2564 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ออนไลน์

ศ. (วิจัย) ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า วว. มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนา บริการวิเคราะห์ทดสอบ ด้านวิทยาศาสตร์และถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อยกระดับมาตรฐานสู่สากล รวมทั้งสร้างนวัตกรรมการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน จากสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ในปัจจุบัน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มีบทบาทสำคัญยิ่ง ในการเข้าไปตอบโจทย์แก้ปัญหา รวมทั้งสร้างโอกาสผู้ประกอบการให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคง สอดคล้องกับบริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป จึงเป็นที่มาของความร่วมมือกับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท.) ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ดำเนินงานร่วมกับ วว. มาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ความร่วมมือทั้งสองหน่วยงานมุ่งพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อใช้ขนส่งผ่านช่องทางไปรษณีย์ ดังนี้ 1.บรรจุภัณฑ์ที่มีความแข็งแรง ได้มาตรฐาน ช่วยป้องกันความเสียหายของสินค้า และมีต้นทุนการผลิตที่เหมาะสม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในการตลาดยุคอีคอมเมิร์ซ 2.บรรจุผลิตภัณฑ์ที่เสื่อมสภาพได้ง่าย หรือต้องการดูแลเป็นพิเศษ เช่น ไม้ดอกไม้ประดับ ยา เวชภัณฑ์ และปลาสวยงาม เป็นต้น ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องการจัดส่งในรูปแบบที่แตกต่างจากเดิม และ 3.การพัฒนามาตรฐานการใช้งานบรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่งผลิตภัณฑ์ ผ่านช่องทางไปรษณีย์ในประเทศ

นอกจากนี้จะมีการใช้ศักยภาพของหน่วยงานในการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายหรือขนส่งสินค้านวัตกรรม การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์/บรรจุภัณฑ์ ให้กับผู้ประกอบการ OTOP วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการ SMEs ในเครือข่ายของทั้งสองหน่วยงาน ตลอดจนการส่งเสริมและสนับสนุนสินค้าที่ ปณท วว. หน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานอื่นที่เป็นพันธมิตรของทั้งสองหน่วยงาน เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้า และอำนวยความสะดวกในการให้บริการ รวมทั้งการประชาสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อการประกอบกิจการและการขยายกิจการของธุรกิจไทยด้วย

"วว. และ ปณท. จะดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือนี้ 2 ปี โดยมุ่งผลิตผลงานให้สำเร็จเป็นรูปธรรม ช่วยเสริมแกร่งให้ผู้ประกอบไทย ทั้งนี้ วว. โดย ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย เป็นหน่วยงานกลางของชาติด้านการพัฒนาบรรจุภัณฑ์มาตรฐาน ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลระดับนานาชาติ เพื่อช่วยรักษาคุณภาพสินค้า ลดความสูญเสียของสินค้าจากการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน และพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งออก ตลอดจนส่งเสริมให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีการบรรจุภัณฑ์ให้แก่ประชาชนและผู้สนใจทั่วไป เพื่อยกระดับมาตรฐานการบรรจุหีบห่อของประเทศ วว. พัฒนาบรรจุภัณฑ์ซึ่งมีบทบาทในตลาดอีคอมเมิร์ซ และจะช่วยเสริมให้การดำเนินงานร่วมกันของ 2 หน่วยงานเข้มแข็งยิ่งขึ้น อาทิ กล่องขนส่งมะม่วงสำหรับจำหน่ายออนไลน์ขนาดบรรจุกล่องละ 5 กิโลกรัม กล่องเก็บกลิ่นทุเรียนล็อคกลิ่นได้ 100% กล่องบรรจุต้นไม้ ขนาด 20 x 20 x 50 ซม. เป็นต้น ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตร สร้างความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการไทย พร้อมตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคนิวนอร์มอล" ผู้ว่าการ วว. กล่าว

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท.) กล่าวถึงภารกิจหลักของไปรษณีย์ไทย ในการให้บริการด้านการขนส่งที่มีความเชี่ยวชาญในการนำส่งพัสดุ สิ่งของ สินค้าต่างๆ ให้ถึงมือผู้รับครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วไทยมาอย่างยาวนาน นอกจากศักยภาพด้านการขนส่ง ไปรษณีย์ไทยยังให้ความสำคัญเรื่องของบรรจุภัณฑ์มาโดยตลอด ได้มีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะกับสินค้าแต่ละประเภท เช่น บรรจุภัณฑ์สำหรับขนส่งต้นไม้ ผลไม้ตามฤดูกาล หรือปลาสวยงาม เป็นต้น เพื่อรองรับการขนส่งให้มีความปลอดภัย ลดความเสี่ยงในการเกิดความเสื่อมสภาพของสิ่งของที่บรรจุอยู่ภายใน ด้วยราคาคุ้มค่า คุ้มต้นทุน ช่วยให้ธุรกิจของผู้ประกอบการ SMEs ร้านค้าออนไลน์ ได้เติบโตขึ้น


ครั้งนี้ ไปรษณีย์ไทยได้จับมือกับหน่วยงานที่แข็งแกร่งในด้านงานวิจัยและการพัฒนา ด้านวิทยาศาสตร์และถ่ายทอดเทคโนโลยี อย่าง สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย เพื่อพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อใช้ในการขนส่งสินค้าที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ เช่น ไม้ดอก ไม้ประดับ หรือ ยา เวชภัณฑ์ต่างๆ ที่มีความจำเป็นและมีปริมาณการส่งจำนวนมากขึ้นในช่วงสถานการณ์ของการแพร่ระบาดโควิด-19 ในขณะนี้ โดยเราคำนึงถึงความต้องการของผู้ใช้บริการเป็นหลัก จึงได้มุ่งเน้นที่จะออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ตอบโจทย์กับการใช้งานให้มากที่สุด เพื่อช่วยคงสภาพสิ่งของในระหว่างการนำส่งให้มีความปลอดภัย รวมทั้งลดต้นทุนของผู้ส่งซึ่งส่วนใหญ่
#2806


นายศรุต สุทธิอารมณ์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช เปิดเผยว่า จากแนวทางนโยบายประเทศไทย 4.0 ที่เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ด้วยการนำนวัตกรรม/เทคโนโลยีในภาคเกษตรกรรมของประเทศและของโลก มาถ่ายทอดให้เกษตรกรและผู้ที่สนใจเพื่อนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งการผลิตและการต่อยอดงานวิจัย กรมวิชาการเกษตร จึงได้ร่วมกับสมาคมการค้านวัตกรรมเพื่อการเกษตรไทย และ ครอปไลฟ์ เอเชีย จัดการฝึกอบรมหลักสูตร "การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี อากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน ทางการเกษตร (UAV) และ การประมวลผลภาพ (Image processing)" ขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจในกฎระเบียบของเทคโนโลยี UAV ทางการเกษตรในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีอย่างถูกต้องและปลอดภัยในระดับสากล โดยหลักสูตรการฝึกอบรมให้ความรู้แก่ผู้เข้ารับการฝึกอบรมใน 4 หัวข้อหลัก ได้แก่

- การศึกษาข้อบังคับและกฎหมายของการใช้โดรน ผู้ใช้โดรนจะได้ทราบขั้นตอนและวิธีการขึ้นทะเบียนโดรนเกษตร การขออนุญาตใช้คลื่นความถี่สำหรับอากาศยานไร้คนขับ และพ.ร.บ.วัตถุอันตรายทางการเกษตร

- การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Image Processing กับงานด้านอารักขาพืช เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพืชด้วยการใช้โดรนทางการเกษตร กรณีการศึกษาการเข้าทำลายของไรแดงแอฟริกันในทุเรียน ที่ถูกยกเป็นกรณีศึกษาให้ผู้เข้าอบรม

- การใช้งานและการประยุกต์ใช้ UAV ทางการเกษตร โดยการวางกฎระเบียบการใช้ โดรนด้านการเกษตร แลกเปลี่ยนมุมมองภาคอุตสาหกรรมต่อการพัฒนาโดรน และการปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยจากประสบการณ์จริง

- การศึกษาเทคนิคการพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชด้วยโดรนการเกษตร เพื่อเป็นอาวุธลับให้เกษตรกรและผู้ใช้โดรน สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการทำเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย



อากาศยานไร้คนขับ หรือ UAV เข้ามามีบทบาททางการเกษตรในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น เป็นเครื่องมือที่เกษตรกร หรือนักวิจัย ใช้ในกระบวนการการผลิตและวิจัย เพื่อรองรับการขับเคลื่อนภาคการเกษตรของประเทศไทย ในยุคที่เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเข้ามาสร้างตลาดและมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตร กรมวิชาการเกษตรพยายามขับเคลื่อนนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาภาคการเกษตร อาทิการใช้เซนเซอร์ชนิดต่างๆ เช่น กล้อง RGB กล้อง MULTISPECTRAL เซนเซอร์ตรวจวัดสภาพแวดล้อม ตรวจวัดดิน/น้ำ พร้อมทั้งปรับรูปแบบของการบันทึกและการจัดเก็บข้อมูล ให้อยู่ในรูปแบบของ Digital Data บน Platform เดียวกัน เพื่อการเชื่อมโยงงานด้านการเกษตรเข้ากับงานด้านไอที และเครื่องจักรกลการเกษตร นำไปสู่การประมวลผลและสั่งการการทำงานของอุปกรณ์/เครื่องจักรกลการเกษตร ซึ่งการอบรมครั้งนี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของ Digital Transformation จากภาคการเกษตร สำหรับการเตรียมความพร้อมของนักวิจัย เกษตรกร ผู้ประกอบการ ในการเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนภาคการเกษตรไทยให้มีศักยภาพแข่งขันในตลาดโลก นายศรุต กล่าวสรุป



ด้าน นาย เจอริโก เบอนาบี แกสกอน นายกสมาคมการค้านวัตกรรมเพื่อการเกษตรไทย กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ เป็นที่ทำกินของคนในประเทศ และเป็นหัวใจหรือหลอดเลือดของเกษตรกร จากอดีตจนถึงปัจจุบันเกษตรกรมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากมาย มีการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เป็นตัวช่วยให้การทำงานรวดเร็ว และสะดวกสบายมากยิ่ง จวบจนปัจจุบัน "โดรน" หรือ อากาศยานไร้คนขับ เป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความนิยมในภาคอุตสาหกรรมเกษตร มีบทบาทสำคัญที่ทำให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาผสมกับโลกการผลิตให้เป็นจริงในระดับประเทศ ในยุคของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดรนกลายเป็นกุญแจสำคัญที่สามารถนำประโยชน์มาสู่เกษตรกรอย่างมากมาย เช่น การประหยัดแรงงาน ลดการสัมผัสของผู้ปฏิบัติงาน ลดต้นทุนของเกษตรกร มีความคุ้มทุน คล่องตัว รวดเร็ว ประหยัดเวลา รวมทั้งมีความแม่นยำและลดความสูญเสียได้มากยิ่งขึ้น ตลอดจนทำให้ผลผลิตของเกษตรกรมีคุณภาพ สามารถสร้างรายได้ให้ผู้ใช้โดรนอีกด้วย และในอนาคต "โดรน" อาจเป็นหนึ่งในตัวช่วยสำคัญของเกษตรกรไทย ที่ทำให้ทุกคนให้มั่นใจว่าเทคโนโลยีนี้จะใช้งานได้อย่างมีความรับผิดชอบและมีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ เป้าหมายในการฝึกอบรมดังกล่าว คือ ทำให้ทุกคนได้เรียนรู้เกี่ยวกับกฎระเบียบและการขึ้นทะเบียน ความปลอดภัย ตลอดจนการนำเทคโนโลยี และภาควิชาการของโดรนทางการเกษตรไปใช้ในทุกแง่มุม จำเป็นต้องเกิดจากความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ครอปไลฟ์ เอเชีย กำลังผนึกกำลังกับรัฐบาลทั่วเอเชีย ในการเพิ่มความรู้และความเข้าใจในเทคโนโลยีทางการเกษตร ขณะเดียวกันยังมุ่งมั่นในการสานต่อความร่วมมือกับรัฐบาลไทยและผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งมอบเทคโนโลยีโดรนให้กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เกษตรกร รวมทั้งนักศึกษาหรือผู้ว่างงานได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สามารถเสริมสร้างอาชีพ เกิดรายได้ พร้อมก้าวเข้าสู่การเป็น "เกษตรอัจฉริยะ (Smart Agriculture)" อย่างมีประสิทธิภาพได้ในวงกว้าง นาย เจอริโก กล่าวทิ้งท้าย



สำหรับผู้สนใจหลักสูตร "การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี อากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรนทางการเกษตร (UAV)" รวมถึงการขอข้อมูลเกี่ยวกับโดรนทางการเกษตรในงานด้านอารักขาพืช สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มงานวิจัยการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช กลุ่มกีฏและสัตววิทยา สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร โทร 02-579-4115, 02-579-1061 ต่อ 162 หรือ ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ https:// web.facebook.com/PATRS.DOA/ และสมาคมการค้านวัตกรรมเพื่อการเกษตรไทย ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ https:// www.facebook.com/taitacroplifethailand
#2807


ททท.สนับสนุนผู้ประกอบการโรงแรมไทยฝ่าวิกฤตโควิด-19 เปิดโครงการ "Unseen New Series" อัดโปรโมชั่น "น้ำใจไทยช่วยไทย" ซื้อก่อนเที่ยวทีหลัง ช่วยเสริมสภาพคล่องธุรกิจ มอบส่วนลดโรงแรม-รีสอร์ตกว่า 50 แห่งทั่วไทยในราคาสุดอันซีน

พร้อมเตรียมเปิดตัว 25 แหล่งท่องเที่ยวใหม่ "Unseen New series" หลังรัฐบาลประกาศยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ หวังปลุกกระแสเที่ยวไทยฟื้นอีกครั้ง

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีการชะลอตัว โดยเฉพาะภาคธุรกิจโรงแรมของไทยอัตราการเข้าพักมีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยครึ่งปีแรก มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเพียง 12.20% เท่านั้น ส่งผลธุรกิจโรงแรมส่วนใหญ่ประสบกับปัญหาการขาดสภาพคล่องอย่างหนัก ด้วยเหตุนี้ ททท.จึงได้มีนโยบายสนับสนุนผู้ประกอบการโรงแรมไทยฝ่าวิกฤตโควิด-19 ผ่านแคมเปญ "Unseen New series" โดยแบ่งรูปแบบการส่งเสริมการท่องเที่ยวออกเป็น 2 ระยะ

โดยในระยะแรก ททท. ได้รวบรวมโรงแรม รีสอร์ตกว่า 50 แห่งทั่วประเทศในการจัดทำโปรโมชั่นพิเศษในโครงการ "Unseen New Series : น้ำใจไทยช่วยไทย" ในรูปแบบ "ซื้อก่อน เที่ยวทีหลัง" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยผู้ประกอบการในการเสริมสภาพคล่องธุรกิจ โดยททท. จะทำหน้าที่เสมือน Market Place ในการเป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายในการประชาสัมพันธ์ ช่วยกระตุ้นการส่งเสริมการขายผ่าน Facebook Fan page : Amazing ไทยแลนด์ โดยผู้ที่สนใจสามารถจองได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ตุลาคม 2564  และสามารถเข้าพักได้ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2564 ถึง 31 มีนาคม 2565 ทั้งนี้ รายละเอียดการจองและการเข้าพักเป็นไปตามเงื่อนไขที่แต่ละโรงแรมกำหนด

ยกตัวอย่างเช่น อนันตรา หัวหิน รีสอร์ท ราคาเริ่มต้นที่ 2,564 บาท/คืน อนันตรา บ่อผุด เกาะ สมุย รีสอร์ท ราคาเริ่มต้นที่ 3,000 บาท/คืน อวานี พลัส ไม้ขาว ภูเก็ต สวีทส์ แอนด์ วิลล่าส์ ห้องสวีทส์ 1 ห้องนอน ราคาเริ่มต้นที่ 1,999 บาท/คืน แคนทารี ฮิลส์ เชียงใหม่ ราคาเริ่มต้นที่ 2,400 บาท เดอะ เฮเว่น เขาหลัก ราคาเริ่มต้นที่ 1,990 บาท/คืน พิเศษพัก 2 คืน รับเครดิตมูลค่า 500 บาทสำหรับอาหารเครื่องดื่มที่ห้องอาหารของโรงแรม โรงแรมทอแสง เฮอริเทจ โขงเจียม ราคา 2,250 บาท จากปกติ 4,500 บาท รอยัล ริเวอร์แคว รีสอร์ท แอนด์ สปา ราคาเริ่มต้นที่ 1,550 บาท เป็นต้น

นอกจากนี้ ททท.ยังจับมือกับ 3 พันธมิตร ประกอบด้วย สายการบินไทยสมายล์ รถเช่า Avis และ Agoda ในการจัดโปรโมชั่นพิเศษ ได้แก่ สายการบินไทยสมายล์มอบส่วนลดบัตรโดยสาร 200 บาท ทุกเส้นทาง ซื้อก่อนวันนี้ใช้ได้ถึงสิ้นปี 2564 *จำกัด 1,000 สิทธิ์เท่านั้น (ระยะเวลาในการจอง 16 สิงหาคม - 31 ตุลาคม 2564 เดินทางได้ตั้งแต่ 1 กันยายน – 31 ธันวาคม 2564) รถเช่า AVIS มอบส่วนลดสุดพิเศษราคาเริ่มต้นเพียง 590 บาททั่วไทย *ซื้อก่อนวันนี้ใช้ได้ถึงสิ้นปี 2564 *จำกัด 1,000 สิทธิ์เท่านั้น (ระยะเวลาในการจอง 16 สิงหาคม - 31 ตุลาคม 2564 เดินทางได้ตั้งแต่ 16 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2564) และ Agoda มอบส่วนลดโรงแรมที่พักทั่วไทยกว่า 50% (ระยะเวลาในการจอง 1 กันยายน - 31 ตุลาคม 2564 เข้าพักได้ตั้งแต่ 1 กันยายน – 31 มีนาคม 2565)

สำหรับในส่วนของระยะที่ 2 เมื่อสถานการณ์เริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น หลังรัฐบาลประกาศยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์  ททท. ได้ดำเนินการสำรวจแหล่งท่องเที่ยวใหม่ทั่วประเทศไทย เพื่อเตรียมเปิดตัว 25 แหล่งท่องเที่ยวใหม่ "Unseen New Series" เพื่อปลุกกระแสการเดินทางภายในประเทศให้นักท่องเที่ยวได้ออกเดินทางครั้งใหม่ ในมุมมองที่ Amazing ยิ่งกว่าเดิม โดยใช้แหล่งท่องเที่ยวนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวใหม่/มุมมองใหม่ หรือแหล่งท่องเที่ยว Unseen เป็น Hotspot ให้เกิดการกระจายตัวการเดินทางท่องเที่ยว และเชื่อมไปยังแหล่งท่องเที่ยวหรือกิจกรรมท่องเที่ยวอื่นๆ อาทิ ชุมชน อาหารถิ่น ฯลฯ พร้อมทั้งสอดแทรกแนวคิดการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบต่อสังคม (Responsible Tourism) เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และให้ทุกภาคส่วนได้รับประโยชน์จากการเดินทางท่องเที่ยวอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม รวมทั้งมาตรการด้านสาธารณสุขเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19

"ปัจจุบันนักท่องเที่ยวชาวไทยมีแนวโน้มพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป แต่ยังคงมีความต้องการเดินทาง ท่องเที่ยวเพื่อผ่อนคลายภาวะความตึงเครียดจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รูปแบบการท่องเที่ยววิถีใหม่ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการจัดทำมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย Amazing Thailand Safety and Health Administration (SHA) เพื่อกระตุ้นและส่งเสริมให้สถานประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวร่วมกันยกระดับสินค้าและบริการตามมาตรฐาน SHA การรักษาระยะห่างทาง สังคม (Social Distancing) การเดินทางท่องเที่ยวในระยะใกล้ขึ้น การเดินทางโดยพาหนะส่วนตัว การใช้จ่าย ผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น หรือแม้กระทั่งการมองหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่ยังไม่มีความหนาแน่น ของนักท่องเที่ยว (Unseen Destination) รวมทั้งการให้ความสำคัญในเรื่องการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ ต่อสังคมมากยิ่งขึ้น"
#2808


ท็อตแนม ฮอทสเปอร์ ประเดิมสนามรายการใหม่ ยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก นัดแรกด้วยการบุกไปแพ้ ปากอส เดอ เฟร์เรย์ร่า จากโปรตุเกส 0-1 เมื่อคืนวันที่ 19 สิงหาคม ที่ผ่านมา

ฟุต.รายการใหม่ ยูฟ่า ยูโรป้า คอนเฟอเรนซ์ ลีก รอบเพลย์ออฟ ท็อตแนม ฮอทสเปอร์ ตัวแทนจาก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ลงสนามไปเยือน ปากอส เดอ เฟร์เรย์ร่า เจ้าบ้านแห่งลีกโปรตุเกส

เกมนี้ สเปอร์ส ของ นูโน่ เอสปิริโต ซานโต เน้นส่งนักเตะสำรองเป็นหลักมี โจวานนี โล เซลโซ, ไรอัน เซสเซญอง กับ แแมตต์ โดเฮอร์ตี เป็นตัวหลักของทีมชุดนี้

อย่างไรก็ตาม ชัยชนะกลับเป็นของเจ้าบ้าน จากประตูโทนนาที 44 จังหวะที่ นูโน่ ซานโตส แทงทะลุให้ ลูคัส ซิลวา สปีดขึ้นไปหลุดเดี่ยวแล้วยิงตุงตาข่าย 1-0

แม้ครึ่งหลัง สเปอร์ส จะพยายามทวงคืนแต่ก็ทำไม่สำเร็จ จบเกม ปากอส คว้าชัยไปก่อนเกมแรก ส่วน "ไก่เดือยทอง" รอกลับไปแก้ตัวในเกมสองที่บ้านตัวเอง วันที่ 26 สิงหาคมนี้
#2809


กระแสการพัฒนาเมืองในวิถีใหม่ กำลังเป็นอีกโจทย์ท้าทายที่ถูกพูดถึงในเวลานี้ แต่ในขณะที่ทุกคนต่างมุ่งเป้าไปที่ "สมาร์ทซิตี้" หรือเมืองอัจฉริยะ ว่าจะเป็นคำตอบของการพัฒนาเมืองที่ตอบโจทย์โลกในศตวรรษใหม่

อีกฟากมุมมองจากนักพัฒนา กลับเริ่มที่จะหันมาให้ความสำคัญถึงกระแสการพัฒนา "เมืองแห่งการเรียนรู้" หรือ "Learning City"มากขึ้นเช่นกัน นั่นเพราะทุกคนต่างหมายมั่นว่า Learning City อาจเป็นภาพฝันของเมืองคุณภาพในอนาคตที่แท้จริง

จาก Lifelong Learning สู่ Learning City

ผศ.ดร.นิรมล เสรีสกุล ผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC-CEUS) เล่าถึงเหตุผลว่า ทำไมเราจึงต้องขับเคลื่อน "เมืองแห่งการเรียนรู้" ผ่านการนำเสนอสาธารณะ ภายใต้ประเด็น "ฟื้นเมืองบนฐานความรู้" (Knowledge-based City Development) ซึ่งจัดโดย UddC ภายใต้ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านยุทธศาสตร์เมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) บริษัทป่าสาละ The Urbanis และองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (Thai PBS) โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ การนำเสนอผลการศึกษาโครงการเมืองกับบทบาทและศักยภาพของประเทศไทย ตลอดจนการร่วมมองหาทิศทาง "เมืองแห่งการเรียนรู้" ในไทย ว่าจะมีความเป็นไปได้เพียงใด

ผศ.ดร.นิรมลเอ่ยว่า เพราะปัจจุบันเรากำลังอยู่ในมรสุมของความเปลี่ยนแปลงในโลกยุคใหม่ ที่กำลังสร้างความท้าทายใหม่ๆ และเริ่มทำให้ทุกคนตระหนักมากขึ้นว่า การเรียนรู้เฉพาะการศึกษาในระบบอาจไม่เพียงพออีกต่อไป


ดังนั้น แต่ละชุมชนจำเป็นต้องมี "พื้นที่" สำหรับการเรียนรู้นอกระบบโรงเรียนที่สามารถทำให้ "ทุกคน" ในสังคมได้มีโอกาสเรียนรู้ เพื่อพัฒนาศักยภาพ และสมรรถนะของความเป็นพลเมืองเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

"คำว่าสมาร์ทซิตี้อาจไม่ได้จำกัดแค่เรื่องเทคโนโลยีที่มาทำให้เราสะดวกสบายเท่านั้น แต่ยังเป็นเมืองแบบไหนที่จะสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ของคนในเมืองด้วย"

ดังนั้น เพื่อสร้างบรรยากาศให้คนเรียนรู้ได้เอง เราต้องสร้างนิเวศน์ จัดการให้เมืองแห่งการเรียนรู้ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้

 

สำหรับกระแส Learning City เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น หลังจากองค์การยูเนสโกเล็งเห็นว่า หากโลกจะเดินไปสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goal:SDGs) จำเป็นต้องสร้างสังคม "การเรียนรู้ตลอดชีวิต" ให้เกิดขึ้น

"เมือง" หรือชุมชน จึงเป็นผู้รับบทบาทโดยตรงในการทำหน้าที่นิเวศน์ของการเรียนรู้ ในทุกที่ทุกเวลา 

ซึ่ง ผศ.ดร.นิรมล ยังยกตัวอย่างของเมืองแห่งการเรียนรู้หลายแห่งทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในยุโรปและเอเชียโดยเฉพาะ "ญี่ปุ่น" สามารถยกระดับสังคมเรียนรู้ กลายเป็นฐานขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบยั่งยืนให้แก่ชุมชนจริงมาแล้ว

"เมืองเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชุมชนที่มีวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ และยังมีการส่งต่อข้อมูลหรือความรู้ในท้องถิ่นจากรุ่นสู่รุ่น เช่น ในญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมการอ่านที่เข้มแข็งมาตั้งแต่สมัยเอโดะ คนญี่ปุ่นอ่านตลอดเวลาเพราะหนังสือมีราคาถูก ทุกคนเข้าถึงได้ และยังมีวัฒนธรรมการจดบันทึกที่ยาวนาน นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังใช้สถานศึกษาเป็นพื้นที่แกนกลางในการจัดทำเมืองการเรียนรู้ แบ่งปันความรู้ กลั่นความรู้มาสร้างอาชีพสร้างเศรษฐกิจ สร้างภูมิปัญญาในชุมชน"

ตัวอย่างความสำเร็จหนึ่งที่เกิดจากการพัฒนาดังกล่าว คือการต่อยอดแนวคิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือสินค้าเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่น ที่เรียกว่าหนึ่งผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบล ซึ่งประเทศไทยเราได้นำเอาแบบอย่างมาใช้นั่นเอง

สำหรับลักษณะของเมืองแห่งการเรียนรู้ ผศ.ดร.นิรมล ได้สรุปว่าควรมีคุณสมบัติ 5 ประการ ได้แก่

1. การมีวัฒนธรรมการเรียนรู้และการอ่านที่เข้มแข็ง

2. การเป็นเมืองมีอำนาจในการตัดสินใจและจัดการตนเอง

3. การมีโครงสร้างการปกครองที่มีการกระจายอำนาจให้เมือง

4. การมีชุมชนและภาคประชาสังคมที่เข้มแข็ง

5.การมีลักษณะความเป็นเมืองสอดคล้องกับความเป็นมนุษย์หรือ Human scale/walkable

Learning City แค่ผังเมืองไม่พอ?

เมืองแห่งการเรียนรู้แบบไหนที่เราควรสนับสนุนให้เกิดในประเทศไทยบ้าง?

จากการศึกษาการจัดการผังเมืองของ UddC พบว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยมุ่งเน้นการจัดการเมืองในเชิงพื้นที่ เป็นหลัก เช่นการจัดวางผังโรงเรียนให้สามารถเดินเข้าถึงได้ การพัฒนาสถานศึกษาให้เกิดความสมดุล เป็นต้น โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือต้องการให้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบการศึกษา ซึ่งฟังดูก็น่าจะเป็นการจัดการที่เหมาะสม ทว่าปัจจุบันเพียงแค่มี "การศึกษา" ทั่วถึงอาจไม่เพียงพอ

"โลกกำลังต้องการคนที่มีทักษะความสามารถมากกว่าที่ระบบการศึกษาผลิตออกมา นั่นคือคนที่สามารถวิเคราะห์ แก้ปัญหา และมีความยืดหยุ่นเป็นต้น เหล่านี้คือทักษะอันพึงประสงค์ที่โลกศตวรรษใหม่ต้องการ ความรู้ที่ใช้ในปัจจุบันแตกต่างกับความรู้ในอดีตที่ผ่านมา พลเมืองยุคใหม่ต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต เราจึงต้องสร้างสังคมที่ส่งเสริมเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลาและสามารถก้าวทันความเปลี่ยนแปลงโลกแบบDigitalization" ผศ.ดร.นิรมล กล่าว

"หากถามว่าเมืองแบบไหนที่จะส่งเสริมการเรียนรู้ ถ้าเรานำกรอบ Learning City ของยูเนสโกมาเป็นแนวทางการพัฒนาเมือง จะพบว่าทิศทางการพัฒนาเมืองวิถีใหม่นี้จะขยับห่างออกจากการพัฒนาเชิงกายภาพทันที"

เพราะการพัฒนาเมืองแห่งการเรียนรู้ไม่ใช่การพัฒนาเฉพาะทางกายภาพ  ดังนั้นนอกจากศาสตร์การวางผังเมือง จำเป็นต้องใช้ศาสตร์หลากหลายในการจัดการชุมชน รวมถึงการพัฒนาศักยภาพ "คน" ที่อยู่ในเมืองนั้น ให้เป็นพลเมืองตื่นการเรียนรู้ไปด้วย

"การลงทุนเมืองแห่งการเรียนรู้ ไม่ใช่การลงทุนการศึกษาในระบบหรือสถานศึกษาเท่านั้น เราสามารถจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ หรือปรับปรุง Learning Facility ให้เชื่อมโยงกับในระบบการศึกษาเดิมได้ ไม่จำเป็นต้องสร้างใหม่เสมอไป" ผศ.ดร.นิรมลให้ข้อมูล

ฟื้นกรุงเทพฯ-ปากน้ำโพ บนฐานการเรียนรู้

แต่ก่อนที่ประเทศไทยจะตั้งเป้าหมายเดินหน้าขับเคลื่อนไปสู่เมืองแห่งการเรียนรู้ การบ้านข้อแรกที่เราอาจต้องทำความเข้าใจคือ การเสาะหาโอกาสและข้อจำกัดของตนเอง ว่ามีอะไรบ้างที่ทำให้เกิดช่องว่าง และการพัฒนาสู่การเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ ตลอดจนโอกาส อุปสรรค

ที่สำคัญการเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้จะช่วยพัฒนาปิดช่องโหว่ได้จริงหรือไม่

ซึ่งทาง UddC เองได้มีการลงพื้นที่ศึกษาเมืองต้นแบบ 2 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ตัวแทนเมืองศูนย์กลางที่พร้อมที่สุดในประเทศ แต่แม้จะดูมีความพร้อมในฐานะเมืองหลวง กลับพบว่า กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ที่มีระดับความหลากหลายของของ "ย่าน" หรือชุมชนที่ซับซ้อนและยังมีโครงสร้างทางกายภาพที่ไม่เอื้อต่อการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ ทั้งยังขาดความเชื่อมโยงในหลายมิติ

คณะทำงานได้ทำการเลือกพื้นที่ย่านปทุมวัน บางรัก และธนบุรี เนื่องจากมองว่าเป็นพื้นที่ที่มีความพร้อมที่สุดด้วยมีแหล่งชุมชนและสถานศึกษา เพราะมีทั้งระดับมัธยมศึกษาและมหาวิทยาลัย

ส่วนเมืองต้นแบบแห่งที่สอง คือเมืองปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ ถือเป็นเมืองรองที่ผลิตคน มีฐานการศึกษาระดับมัธยมที่เข้มแข็ง สามารถป้อนคนเข้าสู่ตลาดงานระดับประเทศ แต่ขณะเดียวกัน ในการพัฒนาท้องถิ่น กลับเป็นเมืองที่มีการเติบโตแบบถดถอย

บทสรุปที่ได้จากการวิจัยนี้ คือย้ำให้เห็นว่า "การเรียนรู้" กับ "การศึกษา" นั้นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน อย่างไรก็ดี แม้จะมีความแตกต่างกัน แต่ก็มีการส่งเสริม เชื่อมโยงกันและกันไปในตัว

"เราพบว่าอุปสรรคสำคัญคือ ประเทศไทยมีลักษณะของเมืองที่เป็นแบบแยกส่วน แต่รวมศูนย์ ที่สำคัญข้อมูลก็ถูกรวมศูนย์ไปอยู่กับส่วนกลาง อาจทำให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่นำไปสู่องค์ความรู้เกิดขึ้นได้ยากจึงควรมีการถ่ายเทอำนาจการจัดการจากภาคนโยบายมาสู่ท้องถิ่น รวมถึงคืนข้อมูลสู่ชุมชน"

นอกจากนี้ การบริหารภายใต้ระบบราชการไทย ยังมีลักษณะการทำงานเป็นแบบ Project Based คือ การทำงานแยกส่วน หรือแยกกันทำตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน แต่ขาดการเชื่อมโยงกัน ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถตอบสนองแนวทางเมืองบนฐานแห่งความรู้ได้

ปัญหาดังกล่าวยังเกิดขึ้นแม้กระทั่งโครงการพัฒนา ผศ.ดร.นิรมล ยอมรับว่า แม้แต่โครงการอาร์ตอินซอยที่ทาง UddC ดำเนินการเอง ถึงจะประสบความสำเร็จในแง่เป้าหมายโครงการ แต่ไม่ได้ประสบความสำเร็จในด้านการช่วยส่งเสริมพัฒนาเมืองแห่งการเรียนรู้ได้

ดังนั้น ในข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองบนฐานความรู้ ผศ.ดร.นิรมล เอ่ยว่า ควรประกอบด้วย 3 ยุทธศาสตร์

"หนึ่งคือการสร้างเครือข่ายของเครือข่ายและกรอบการพัฒนาสู่เมืองฐานความรู้ สอง ควรมีแพลตฟอร์มที่รวบรวมความรู้ย่านในทุกมิติ และสาม คือการผลักดันให้เกิดการสร้างพลเมือง/อาสาสมัครย่านด้านความรู้และข้อมูลในเมือง"

ผศ. คมกริช ธนะเพทย์ ประธานหลักสูตรสถาปัตยกรรมผังเมือง ภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าถึงกรณีศึกษาของเมืองปากน้ำโพ นครสวรรค์ว่า จากการลงพื้นที่พบปัญหาเชิงโครงสร้าง 5 ประเด็น ได้แก่การยึดติดอยู่กับเมืองการศึกษา การต้องการการนำเข้าความรู้เพื่อการพัฒนาอีกมาก การมีต้นทุนความรู้ที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ การเชื่อมโยงความรู้ที่จนมีกับการพัฒนาที่ควรจะเป็น ยังไม่ลงตัว และการกระจายความรู้ที่เป็นประโยชน์สีด้านยังไม่ถึงคนทุกกลุ่ม

ซึ่งปัญหาเชิงโครงสร้างที่ปากน้ำโพเผชิญ อาจคือภาพสะท้อนความเป็นเมืองทั่วประเทศไทย ที่ถูกพัฒนาภายใต้ความเคยชิน ในการเดินตามสิ่งที่รัฐ หรือภาคนโยบายเป็นผู้เลือกหรือนำเสนอให้มาโดยตลอดไมนด์เซ็ตใหม่จึงควรพัฒนาระบบนิเวศการเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรม

"อาจเพราะที่ผ่านมาการศึกษาในระบบมุ่งเน้นให้คนเป็นลูกจ้างในตลาดแรงงานใหญ่ทั้งระบบ แต่เมืองท้องถิ่นแบบปากน้ำโพเองกลับขาดการจ้างงานที่ใช้ทักษะสูง ทำให้ไม่มีแรงขับเคลื่อนในการที่จะพัฒนาความรู้เพื่อพัฒนาทักษะด้านอื่น ๆ และเริ่มละทิ้งงานที่ใช้ทักษะเฉพาะทางหรือทักษะเฉพาะพื้นที่ ปากน้ำโพจึงขาดบรรยากาศสาธารณะที่การเรียนรู้ที่กระจายตัวอย่างทั่วถึง"ผศ. คมกริช เอ่ย

อีกสิ่งที่ ผศ.คมกริชมองว่า อันตรายที่สุดของการพัฒนาเมืองปากน้ำโพ คือภาวะ "ความเป็นพลเมืองหดลง"

"การที่คนอยู่ไม่รู้สึกถึงความเป็นพลเมืองและมีชีวิตอยู่เพียงแค่รักษาตึกแถวแล้วหน้าบ้านเอาไว้เพื่อตนเองก็พอ เป็นสิ่งที่น่ากังวล ดังนั้น หากนครสวรรค์จะเปลี่ยนเมืองฐานการศึกษาให้เป็นเมืองฐานความรู้ควรเริ่มด้วยกันรับฟังและต่อยอดความรู้ภายในและภายนอกอย่างเป็นระบบและเข้าถึงได้" ซึ่งผศ.คมกริชเสนอแนะว่า ควรใช้ยุทธศาสตร์การพัฒนาเมือง 3 ยุทธศาสตร์ ตามที่ผศ.ดร.นิรมล เอ่ยบรรจุไว้ในแผนพัฒนาเมืองด้วย

เป็นเมืองเรียนรู้ ต้องมีข้อมูลให้รู้

"เรามักมีมายาคติว่าเมืองเราไม่มีข้อมูล แต่ผมเชื่อว่าทุกเมืองมีข้อมูล แต่อาจจะเป็นในรูปแบบของเศษกระดาษ เอกสาร องค์ความรู้ ภูมิปัญญาต่างๆ หรือแม้แต่ความทรงจำ แต่ปัญหาที่ผ่านมาคือ มันไม่เกิดกระบวนการถ่ายโอน หรือถ่ายทอดข้อมูลในสังคมเมือง" อดิศักดิ์ กันทะเมืองลี้ รองผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC-CEUS) ฝ่าย Urban Intelligence เอ่ย

โดยกล่าวว่าปัญหาส่วนหนึ่ง เกิดจากสิ่งที่เรียกว่า "ระบบผูกขาดข้อมูล" กับ "การโจรกรรมข้อมูลเมือง" คือการที่ข้อมูลถูกไม่นำมาคืนกลับสู่ท้องถิ่นหรือชุมชน

อดิศักดิ์ กล่าวว่าข้อมูลประกอบด้วยข้อมูลพื้นที่โครงสร้างเมือง ข้อมูลคน/พลเมือง และข้อมูลพฤติกรรมปฏิสัมพันธ์ ซึ่งอาจเป็นข้อมูลอะไรก็ได้ แม้แต่ข้อมูลสุขภาพ

 "อาจเริ่มมีการพูดถึงดาต้าเซ็นเตอร์ในภาครัฐมากขึ้น แต่หากไม่มีนำมาใช้ประโยชน์ให้เกิดการแลกเปลี่ยน จึงอาจไม่ใช่คำตอบในการสร้างฐานข้อมูลเมือง ข้อมูลท้องถิ่น เมืองควรเป็นผู้จัดเก็บและนำมาใช้งานได้เองในท้องถิ่น เพื่อที่จะสามารถเอาข้อมูลนั้นมาสร้างให้เกิดประโยชน์หรือเกิดนวัตกรรม ต่อยอดการพัฒนาต่าง ๆ เพราะหากเราปราศจากข้อมูลก็ยากที่จะมีความรู้ และหากปราศจากความรู้และข้อมูลก็ยากที่จะขับเคลื่อนเมืองการเรียนรู้ได้ จึงจำเป็นต้องมีการจัดสรรและจัดวางกลไกต่างๆ ภายในชุมชนเมือง ไม่ใช่แค่ระบบท็อปดาวอย่างเดียว"

รศ.ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ กลุ่ม .ter Bangkok ให้อีกมุมมองว่าในการสร้างสังคมของการเรียนรู้ หรือเมืองบนฐานความรู้ต้องมีแรงจูงใจ (incentive) ของการเรียนรู้

"ผมว่าหัวใจแห่งการเรียนรู้ คือการสร้าง Incentive ให้เขาเห็นว่า หากเขาได้เรียนรู้แล้วจะได้อะไร มันส่งผลดีกับชีวิต หรือทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นอย่างไร"

ซึ่งปัจจัยที่จะสร้างแรงจูงใจของการเรียนรู้ รศ. ดร.ชัชชาติ มองว่าต้องเริ่มด้วย Passion, Self interest และ Public interest

"ที่ผ่านมาการเรียนรู้ไม่เกิดเนื่องจากระบบอุปถัมภ์ การผูกขาดผลประโยชน์ให้กับรายใหญ่ ทำให้คนตัวเล็กเข้าไม่ถึงทรัพยากร จนมองว่าไม่มีประโยชน์ในการจะเรียนรู้สิ่งใหม่ ซึ่งเห็นด้วยว่าภาพประชาสังคมและภาคเอกชนจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเพื่อให้ประชาชน" รศ.ดร.ชัชชาติ กล่าว


อีกโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการพัฒนาเมืองด้วยฐานความรู้ นั่นคือ การที่พลเมืองสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลและความรู้ เพื่อเป็นรากฐานสำคัญในการส่งเสริมการตระหนักรู้ ตลอดจนมีความตื่นตัวในการดูแลสุขภาวะของตนเองได้ ในเรื่องนี้ ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ รักษาการผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส. กล่าวถึงเหตุผลที่ สสส. สนับสนุนกระบวนการศึกษาและกระบวนการมีส่วนร่วมที่เกี่ยวกับการพัฒนาเมืองสุขภาวะ ด้วยการส่งเสริมกิจกรรมทางกายเพื่อรองรับความเป็นเมือง (Urbanization) ว่า เป็นการสร้างต้นแบบพื้นที่สุขภาวะที่เอื้อต่อการมีกิจกรรมทางกาย ซึ่งผลจากการสนับสนุนดังกล่าว ยังนำไปสู่การเกิดนโยบายสาธารณะด้านสุขภาพทั้งระดับท้องถิ่น และระดับชาติ สำหรับการผลักดันนโยบายเมืองแห่งการเรียนรู้ (Learning City) และแนวคิดการพัฒนาบนฐานความรู้ (knowledge based development) ผ่านการออกแบบกิจกรรมสร้างเมืองผ่านการร่วมเรียนรู้ ฟื้นกรุงเทพฯ บนฐานความรู้" และ ฟื้นนครสวรรค์บนฐานความรู้" มองว่าจะช่วยตอบโจทย์ในการเพิ่มปัจจัยแวดล้อม/พื้นที่สุขภาวะ (Built Environment/Healthy Space) ทั้งยังเป็นการใช้ประโยชน์พื้นที่ทั้งในพื้นที่สาธารณะ พื้นที่เอกชน รวมไปถึงสถานที่ทางธรรมชาติ ภายใต้การออกแบบ หรือการจัดการเพื่อพัฒนาให้เป็นปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อกิจกรรมทางกายและสุขภาวะอย่างเท่าเทียม
#2810


วันนี้ (19 ส.ค.2564) สมาชิกเครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน (Labour Network for People Rights) และตัวแทนครอบครัวแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งเป็นเครือข่ายที่รวมตัวกันของแรงงานจากหลายจังหวัดหลายภาคธุรกิจทั้งจากพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ และพื้นที่จังหวัดปทุมธานี

นำโดยนางสาวศรีไพร นนทรี ผู้แทนกลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง นางสาวธนพร วิจันทร์ ผู้ประสานงานเครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน นายจเด็ด เชาวิไล มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล และผู้แทนเครือข่ายฯจากพื้นที่สมุทรปราการ สระบุรี รังสิต และปทุมธานี จำนวน 10 คน ขอเข้าพบ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะกำกับดูแลงานด้านนโยบายคุณภาพชีวิตแรงงาน เพื่อยื่นหนังสือข้อเรียกร้อง


เปิดหนังสือข้อเรียกร้อง 'หญิงตั้งครรภ์' ทำงานที่บ้าน
รายละเอียดหนังสือข้อเรียกร้อง มีดังนี้

1) สนับสนุนให้บริษัทมีการตรวจคัดกรองเชิงรุกให้กับคนงาน เพื่อคัดกรองคนงานที่ติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง

ADVERTISEMENT


2) มีมาตรการให้บริษัทจัดหาสถานที่สำหรับคนงานที่ต้องแยกกักตัว รักษา (Community Isolation) ทั้งในส่วนพื้นที่ของบริษัทหรือการประสานชุมชนในการจัดหาสถานที่

3) มีมาตรการในการดูแลกลุ่มเปราะบาง เช่น กลุ่มคนงานหญิงตั้งครรภ์ โดยจัดสถานที่ทำงานใหม่ให้เหมาะสมกับหญิงตั้งครรภ์ให้มีความปลอดภัย

4) ต้องเร่งจัดหาวัคซีนเพื่อคนงานอย่างเร่งด่วน

5) มีมาตรการชัดเจนในการเยียวยาตามสิทธิของลูกจ้างที่มีอยู่ และสิทธิในการเยียวยาเพิ่มเติมตามมาตรการของภาครัฐ ทั้งกลุ่มเปราะบาง กลุ่มคนงานหญิงตั้งครรภ์ กลุ่มครอบครัวคนงานที่เสียชีวิตจากโควิด-19

นายสุชาติ กล่าวว่า สำหรับข้อเรียกร้องดังกล่าวนั้น ปัจจุบันกระทรวงแรงงานได้ดำเนินการอยู่แล้ว ทั้งการตรวจคัดกรองโควิดเชิงรุก ในสถานประกอบการ การส่งเสริมให้สถานประกอบการดำเนินการตามโครงการ Factory Sandbox การฉีดวัคซีนโควิดแก่ ผู้ประกันตน และการเยียวยาแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ส่วนมาตรการดูแลกลุ่มเปราะบาง เช่น กลุ่มคนงานหญิงตั้งครรภ์

โดยจัดสถานที่ทำงานใหม่ให้เหมาะสมกับหญิงตั้งครรภ์ให้มีความปลอดภัยนั้น พร้อมให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เร่งออกร่างประกาศกระทรวงโดยเร็วที่สุด และเร่งประชาสัมพันธ์ออกไป เพื่อขอความร่วมมือไปยังสถานประกอบการให้สตรีที่มีผลตรวจว่าตั้งครรภ์ ควรกำหนดให้มีการทำงานที่บ้าน (Work from Home) โดยให้จ่ายค่าแรงเต็มจำนวน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด-19

น.ส.ศรีไพร นนทรี ผู้แทนกลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง กล่าวว่า ขอบคุณท่าน รมว.แรงงาน ที่ท่านได้รับเรื่อง รับลูก และแจ้งให้เราทราบในทันทีว่าจะออกประกาศกระทรวง เพื่อแยกคนท้องออกจากพื้นที่เสี่ยงโควิด ให้สามารถทำงานที่บ้านได้ และได้รับค่าจ้างเต็มจำนวน ซึ่งทางเราที่มาในวันนี้รู้สึกหายห่วงที่อย่างน้อยสิ่งที่ได้มาเข้าพบท่าน ได้รับการดูแลและดำเนินการโดยทันที เพื่อให้เครือข่ายแรงงานได้มีความปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่จากมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลดูแล
#2811


นายนนท์ กลินทะ ประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณความต้องการการเดินทาง รวมทั้งปรับตารางบินให้เป็นไปตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 บริษัทฯ ให้บริการเที่ยวบินขนส่งผู้โดยสารในประเทศ และระหว่างประเทศ ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม 2564 โดยมีรายละเอียดดังนี้

เส้นทางในประเทศ

1.เส้นทาง กรุงเทพฯ-ภูเก็ต ทำการบินสัปดาห์ละ 2 เที่ยวบิน ได้แก่

-เที่ยวบินที่ ทีจี 922 ออกจากกรุงเทพฯ ทุกวันพฤหัสบดี
-เที่ยวบินที่ ทีจี 916 ออกจากกรุงเทพฯ ทุกวันศุกร์

หมายเหตุ : เริ่มทำการบินตั้งแต่เดือนกันยายน-ตุลาคม 2564 ทั้งนี้ เป็นไปตามประกาศของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.)

เส้นทางสนับสนุนโครงการภูเก็ตแซนด์บ๊อกซ์

1.เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-ภูเก็ต-แฟรงก์เฟิร์ต ทำการบินสัปดาห์ละ 1 เที่ยวบิน โดยออกจากกรุงเทพฯ ทุกวันพฤหัสบดี
2.เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-ภูเก็ต-ลอนดอน ทำการบินสัปดาห์ละ 1 เที่ยวบิน โดยออกจากกรุงเทพฯ ทุกวันศุกร์
3.เส้นทาง กรุงเทพฯ-ปารีส-ภูเก็ต-กรุงเทพฯ ทำการบินสัปดาห์ละ 1 เที่ยวบิน โดยออก จากกรุงเทพฯ ทุกวันพฤหัสบดี
4.เส้นทาง กรุงเทพฯ-ซูริก-ภูเก็ต-กรุงเทพฯ ทำการบินสัปดาห์ละ 1 เที่ยวบิน โดยออกจากกรุงเทพฯ ทุกวันศุกร์


เส้นทางยุโรปและออสเตรเลีย

1.เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-ลอนดอน ทำการบินสัปดาห์ละ 2 เที่ยวบิน โดยออกจากกรุงเทพฯ ทุกวันพุธ และอาทิตย์
2.เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-แฟรงก์เฟิร์ต ทำการบินสัปดาห์ละ 2 เที่ยวบิน โดยออกจากกรุงเทพฯ ทุกวันเสาร์ และอาทิตย์
3.เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-โคเปนเฮเกน ทำการบินสัปดาห์ละ 2 เที่ยวบิน โดยออกจากกรุงเทพฯ ทุกวันอังคาร และเสาร์ (หมายเหตุ : เดือนกันยายนทำการบินเฉพาะวันเสาร์)
4.เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-ซิดนีย์ ทำการบินสัปดาห์ละ 2 เที่ยวบิน โดยออกจากกรุงเทพฯ ทุกวันพุธ และอาทิตย์

เส้นทางเอเชีย

1.เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-สิงคโปร์ ทำการบินสัปดาห์ละ 1 เที่ยวบิน โดยออกจากกรุงเทพฯ ทุกวันพุธ (หมายเหตุ : ให้บริการในเดือนตุลาคม 2564)
2.เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-โอซากา ทำการบินสัปดาห์ละ 2 เที่ยวบิน โดยออกจากกรุงเทพฯ ทุกพฤหัสบดี และเสาร์
3.เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-โตเกียว (นาริตะ) ทำการบินสัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน โดยออกจากกรุงเทพฯ ทุกวันอังคาร พฤหัสบดี และเสาร์
4.เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-โตเกียว (ฮาเนดะ) ทำการบินสัปดาห์ละ 2 เที่ยวบิน โดยออกจากกรุงเทพฯ ทุกวันอังคาร และเสาร์
5.เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-นาโกยา ทำการบินสัปดาห์ละ 2 เที่ยวบิน โดยออกจากกรุงเทพฯ ทุกวันพฤหัสบดี และอาทิตย์
6.เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-โซล ทำการบินสัปดาห์ละ 2 เที่ยวบิน โดยออกจากกรุงเทพฯ ทุกวันพฤหัสบดี และอาทิตย์
7.เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-ไทเป ทำการบินสัปดาห์ละ 2 เที่ยวบิน โดยออกจากกรุงเทพฯ ทุกวันพุธ และศุกร์
8.เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-จาการ์ตา ทำการบินสัปดาห์ละ 1 เที่ยวบิน โดยออกจากกรุงเทพฯ ทุกวันพุธ

ตลาดแร่โลหะ ณ ตลาดลอนดอน (19 ส.ค. 64)
'วันสารทจีน 2564' วันประตูนรกเปิด แนะวิธีทำบุญและบอกสิ่งห้ามทำ โดย อาจารย์ 'คฑา ชินบัญชร'
'หญิงตั้งครรภ์'ติดโควิด19โอกาสเข้าไอซียูสูงกว่า 2-3เท่า
ผู้โดยสารสามารถตรวจสอบข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติม รายละเอียดตารางบิน พร้อมสำรองที่นั่ง และออกบัตรโดยสารได้ที่เว็บไซต์ thaiairways.com และสำนักงานขายการบินไทย หรือ THAI Contact Center โทร. 0-2356-1111 ทุกวัน (ตลอด 24 ชั่วโมง) สำหรับผู้โดยสารที่จะเดินทางเข้าประเทศไทย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากสำนักงานสาขาที่ออกบัตรโดยสารในแต่ละท้องถิ่น
#2812


ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (ฉบับย่อ) ครั้งที่ 5/2564 ซึ่งเป็นการประชุมเมื่อวันที่ 4 ส.ค.2564 โดยมีกรรมการที่เข้าร่วมประชุม ได้แก่ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ (ประธาน) นายเมธี สุภาพงษ์ (รองประธาน) นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน นายรพี สุจริตกุล นายสมชัย จิตสุชน และ นายสุภัค ศิวะรักษ์ ส่วนนายคณิศ แสงสุพรรณ ลาประชุม

ภาวะเศรษฐกิจโลกและภาวะตลาดการเงิน

เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่การฟื้นตัวของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมหลักและกลุ่มประเทศเอเชียแตกต่างกันมากขึ้น กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมหลักมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องตามการกระจายวัคชีนที่คืบหน้าไปมาก ขณะที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศเอเชียถูกกระทบจากการระบาดและการกลายพันธุ์ของโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้นในหลายประเทศ

ทั้งนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไปยังมีความไม่แน่นอนสูงจากการระบาดที่อาจรุนแรงขึ้นจากการกลายพันธุ์ของไวรัส โดยเฉพาะประเทศที่กระจายวัคซีนล่าช้าและมีข้อจำกัดในการเข้าถึงวัคชีนที่มีประสิทธิภาพ

ตลาดการเงินโลกมีความกังวลเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่กลับมารุนแรงในหลายประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets: EMs) ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนในระดับต่ำ ส่งผลให้นักลงทุนปรับลดความเสี่ยงจากการลงทุน (Risk-off sentiment) โดยลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง เช่น ตราสารทุน และเพิ่มการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาล

ADVERTISEMENT


ทั้งนี้ ตลาดการเงินไทยเคลื่อนไหวสอดคล้องกับภูมิภาค โดยดัชนีหลักทรัพย์ไทยและอัตราผลตอบพันธ์บัตรรัฐบาลปรับลดลง สำหรับเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. และดัชนีค่าเงินบาท (Nominal Effective Exchange Rate: NEER) อ่อนค่าลงจากการประชุมครั้งก่อน โดยเงินบาทอ่อนค่ามากกว่าสกุลเงินภูมิภาคจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในประเทศที่รุนแรง และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ล่าช้า

มองไปข้างหน้า ตลาดการเงินโลกมีแนวโน้มผันผวนสูง และอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังตลาดการเงินไทยได้ โดยมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่มีความไม่แน่นอนสูงและอาจรุนแรงขึ้นในหลายประเทศ รวมถึงแนวโน้มการดำเนินนโยบายการคลังและการเงินของสหรัฐฯ โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจยังฟื้นตัวดีและอัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้นต่อเนื่องจนทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดการผ่อนคลายนโยบายการเงินเร็วกว่าที่นักลงทุนคาดไว้

ภาวะเศรษฐกิจและเสถียรภาพระบบการเงินไทย

เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอลงมากจากมาตรการควบคุมการระบาดโควิด-19 ที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศษฐกิจและอุปสงค์ในประเทศ คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 0.7 และ 3.7 ในปี 2564 และ 2565 ตามลำดับ ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากประมาณการในเดือน มิ.ย.2564 ตามการบริโภคภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบมากในปีนี้และแนวโน้มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ปรับลดลงมากในปีหน้า

ขณะที่ตลาดแรงงานมีแนวโน้มเปราะบางขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกจ้างในภาคบริการและผู้ประกอบอาชีพอิสระที่มีรายได้ลดลง อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยยังมีแรงขับเคลื่อนสำคัญจาก (1) แนวโน้มการใช้จ่ายภาครัฐที่สูงขึ้นจาก พ.ร.ก. กู้เงินฉบับใหม่วงเงิน 5 แสนล้านบาท ซึ่งจะช่วยพยุงกำลังซื้อของครัวเรือนและลดทอนผลกระทบของการระบาดระลอกล่สุดได้ส่วนหนึ่ง และ (2) การส่งออกสินค้าที่ขยายตัวดีตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ประเทศคู่ค้า

แม้ภาคการผลิตและภาคส่งออกบางส่วนจะเผชิญกับข้อจำกัดด้านอุปทาน เช่น ภาคการผลิตถูกกระทบจากจำนวนชั่วโมงทำงานที่ปรับลดลงหลังภาครัฐออกมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวดขึ้น รวมถึงการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และการขาดแคลนวัตถุดิบทั่วโลก โดยเฉพาะชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มใกล้เคียงเดิม อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ในระดับต่ำตามอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอ ขณะที่การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลางยังคงยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย

เศษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าเผชิญกับความเสี่ยงด้านต่ำอย่างมีนัยสำคัญ จาก (1) สถานการณ์การระบาดทั้งในและต่างประเทศที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะการกลายพันธุ์ของไวรัสที่ลดทอนประสิทธิภาพของวัคซีน รวมถึงความล่าช้าในการกระจายวัคซีน ซึ่งอาจทำให้ปัญหาสาธารณสุขยืดเยื้อและรุนแรงขึ้น (2) ฐานะทางการเงินของธุรกิจ โดยเฉพาะภาคบริการที่เปราะบางมากขึ้นอีก ซึ่งอาจนำไปสู่การปิดกิจการและเลิกจ้างแรงงานจำนวนมาก

และ (3) ปัญหาข้อจำกัดด้านอุปทาน โดยเฉพาะผลกระทบจากการระบาดในโรงงานและการขาดแคลนวัตถุดิบชั่วคราวที่คาดว่าจะคลี่คลายภายในครึ่งแรกของปี 2565 อาจรุนแรงยืดเยื้อและส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกของไทยมากกว่าที่คาด

เสถียรภาพระบบการเงินมีแนวโน้มเปราะบางขึ้น โดยการระบาดระลอกล่าสุดช้ำเติมให้รายได้และฐานะทางการเงินของลูกหนี้ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่เปราะบางอยู่เดิมให้แย่ลง ส่งผลให้จำนวนลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงในการชำระหนี้ (Debt at Risk) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ธนาคารพาณิชย์ยังมีฐานะการเงินที่มั่นคงสามารถรองรับคุณภาพสินเชื่อที่อาจด้อยลงในอนาคต จึงทำให้ความเสี่ยงดังกล่าวต่อเสถียรภาพระบบการเงินในภาพรวมยังมีจำกัด

สำหรับประเด็นสำคัญที่คณะกรรมฯ เช่น การลดอัตราดอกเบี้ย คณะกรรมการฯ อภิปรายอย่างกว้างขวางถึงประสิทธิภาพการส่งผ่านนโยบายการเงินในสถานการณ์ปัจจุบัน ผลประโยชน์สุทธิต่อเศรษฐกิจจากการลดดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงทางเลือกต่างๆ ของการดำเนินนโยบายในครั้งนี้ โดยเห็นพ้องกันว่าการใช้มาตรการทางการเงินจะสามารถช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ได้ตรงจุดมากกว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

โดยคณะกรรมการฯ เห็นว่า (1) โจทย์สำคัญของการดำเนินนโยบายในปัจจุบันคือการกระจายสภาพคล่องในระบบธนาคารที่อยู่ในระดับสูงไปสู่ธุรกิจและครัวเรือนที่ มีความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) (2) กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชะลอลงเป็นผลจากมาตรการควบคุมการระบาด ทั้งนี้ ภาวะการเงินโดยรวมยังคงผ่อนคลาย เอื้อให้สถาบันการเงินสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านมาตรการทางการเงินต่างๆ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการต่อเนื่อง และ (3) มาตรการทางการเงิน โดยเฉพาะมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูที่ช่วยบรรเทาปัญหาขาดแคลนสภาพคล่องของผู้ได้รับผลกระทบ

รวมทั้งการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เพื่อช่วยแก้ปัญหาหนี้ที่อยู่ในระดับสูง เป็นการดำเนินการที่มีประสิทธิผลและตรงจุดมากกว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ไม่มีเป้าเฉพาะเจาะจง ที่แม้จะส่งผลในวงกว้างแต่ช่วยลดภาระหนี้ของกลุ่มเปราะบางได้น้อย อย่างไรก็ตาม กรรมการฯ ส่วนหนึ่งเห็นว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้จะเป็นการดำเนินนโยบายเพื่อรองรับการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า (Pre-emptive)

โดยประเมินว่ามาตรการทางการเงินและการคลังที่ได้ดำเนินการในช่วงที่ผ่านมาอาจยังมีข้อจำกัดและไม่เพียงพอ ขณะที่นโยบายการเงินต้องใช้เวลาส่งผ่านไปยังเศรษฐกิจ จึงควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้เพื่อช่วยรองรับความเสี่ยงของเศรษฐกิจที่อาจสูงขึ้นในระยะข้างหน้า แม้อัตราดอกเบี้ยจะเป็นเครื่องมือที่ตรงจุดและมีประสิทธิผลน้อยกว่ามาตรการการเงินและการคลังอื่นๆ
#2813


นายเกียรติศักดิ์ สิริรัตนกิจ รักษาการ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการและประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ขอชี้แจงผลการดำเนินงาน สำหรับงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2564 โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 432.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 329.88 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 321.17 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าซึ่งมีกำไรสุทธิ 102.71 ล้านบาท


และเนื่องจากผลการดำเนินงานตามงบกำไรขาดทุนดังกล่าวแสดงผลกำไรสุทธิซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ 20 บริษัทฯ จึงใคร่ขอชี้แจงสาเหตุการเปลี่ยนแปลงในส่วนที่มีสาระสำคัญดังนี้

1. รายได้ค่านายหน้าเพิ่มขึ้น 260.43 ล้านบาท จาก 627.66 ล้านบาท เป็น 888.09 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 41.49 เนื่องจาก

- รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 272.69 ล้านบาท จาก 511.69 ล้านบาท เป็น 784.38 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 53.29 ซึ่งเป็นไปตามมูลค่าการซื้อขายของลูกค้าของบริษัทฯ ในงวด 6 เดือน ปี 2564 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 44.39 จากงวดเดียวกันของปี 2563

- รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าลดลง 12.27 ล้านบาท จาก 115.98 ล้านบาท เป็น 103.71 ล้านบาท หรือลดลงร้อยล: 10.58 ซึ่งเป็นไปตามปริมาณการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของลูกค้าของบริษัทฯ ในงวด 6 เดือน ปี 2564 ที่ลดลงร้อยละ 25. 76 จากงวดเดียวกันของปี 2563

2. รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้น 59.82 ล้านบาท จาก 88.64 ล้านบาท เป็น 148.46 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 67.49 เนื่องมาจากการรายได้จากการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินเพิ่มขึ้น 14.63 ล้านบาท รายได้จากการเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 20.67 ล้านบาท และรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 27.52 อย่างไรก็ตามรายได้จากการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ลดลง 2.99 ล้านบาท

3. รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 64.15 ล้านบาท จาก 198.97 ล้านบาท เป็น 263.13 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.24

4. กำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงินเพิ่มขึ้น 319.65 ล้านบาท จาก 147.58 ล้านบาท เป็น 467.23 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 216.59 เนื่องมาจากกำไรจากเงินลงทุนเพิ่มขึ้น 872.13 ล้านบาท ในขณะที่กำไรจากอนุพันธ์ลดลง 544.28 ล้านบาท และรายได้เงินปันผลลดลง 8.19 ล้านบาท

5. ค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้น 278.88 ล้านบาท จาก 951.95 ล้านบาท เป็น 1,230.84 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.30 ซึ่งค่าใช้จ่ายหลักที่เพิ่มขึ้นได้แก่ ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานเพิ่มขึ้น 195.97 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมและบริการจ่ายเพิ่มขึ้น 62.36 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอื่นเพิ่มขึ้น 30.76 ล้านบาท ในขณะที่ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง 9.86 ล้านบาท

6. ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้น 96.60 ล้านบาท จาก 13.69 ล้านบาท เป็น 110.29 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 705.75 เนื่องมาจากกำไรก่อนภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น 426.48 ล้านบาท จาก 116.40 ล้านบาท เป็น 542.88 ล้านบาท

ดังนั้น จึงมีผลทำให้ผลการดำเนินงานสำหรับงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 เพิ่มขึ้นจากผลการดำเนินงานของงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า ร้อยละ 321.17
#2814


นายคงศักดิ์ หาญแสวงสิน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันที่โรคโควิด -19 กำลังแพร่ระบาด บริษัทฯ เข้าใจในปัญหาสภาพคล่องของประชาชน จึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถยนต์เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคมีทางเลือกตามความพร้อมด้านการเงินของตนเอง โดยได้ออกแคมเปญ "ประกันภัยรถยนต์ ธนชาต 2+จัดเต็ม สุดในรุ่น" ที่ให้ความคุ้มครอง รถชน รถหาย รถไฟไหม้ และให้เพิ่มความคุ้มครองถึงภายหลังอุบัติเหตุรถชนด้วย

จึงจัดเต็มในเรื่องชดเชย ฉุกเฉิน เดินทาง โดยจะมีเงินชดเชยรายได้ให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารทุกคนระหว่างการพักรักษาตัวในโรงพยาบาล 1,000 บาท/วัน ไม่เกิน 30 วัน สูงสุด 7 คน และให้บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งยังมีเงินชดเชยค่าเดินทางให้ลูกค้าในกรณีที่ส่งรถเข้าซ่อม 1,000 บาท/ครั้ง ได้ถึง 3 ครั้ง/ปี ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผิดหรือฝ่ายถูก เป็นการอัพเกรดความคุ้มครอง ซึ่งคุ้มค่าที่สุดในอุตสาหกรรมประกันภัยรถยนต์ของประเทศไทย

แคมเปญนี้จึงเหมาะกับคนที่ใช้รถน้อยเพราะต้องทำงานอยู่ที่บ้าน (Work from Home) และคนที่ต้องการรักษาสภาพคล่องทางการเงิน โดยค่าเบี้ยประกันภัยเริ่มต้น 7,999 บาท สามารถผ่อนชำระค่าเบี้ยได้ 0% นาน10 เดือน ผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ เฉลี่ยเดือนละ 799 บาทเท่านั้น พร้อมรับโปรโมชั่น 2 ต่อ เมื่อซื้อผ่านธนาคารทหารไทยธนชาตทุกสาขา ต่อที่ 1 รับฟรี e-coupon ร้าน Dunkin Donuts มูลค่า 79 บาท ต่อที่ 2 เมื่อซื้อคู่กับประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล, ประกันภัยโรคมะเร็ง หรือประกันภัยโรคร้ายแรง (CI) และมีค่าเบี้ยประกันภัยรวมกัน 15,000 บาทขึ้นไป จะได้รับฟรี e-coupon เติมน้ำมัน PT มูลค่า 300 บาทด้วย

ทั้งนี้ จากการที่บริษัทพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมาสนองตอบผู้บริโภคได้อย่างตรงจุดและให้ความคุ้มครองที่คุ้มค่า จึงทำให้ "ประกันภัยรถยนต์ ธนชาต 2+จัดเต็ม" ของธนชาตประกันภัย ได้รับรางวัลผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมแห่งปี (Product of the year 2020 ) จากมหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับนิตยสาร Business+

นอกจากนี้ ยังได้รับรางวัลด้านการจัดการเคลมยอดเยี่ยม "Best Claims Management" จัดโดย นิตยสาร International Finance Magazine (IFM) จากประเทศอังกฤษ ถึง 2 ปี ซ้อน คือ ปี 2019 - 2020 ซึ่งมาจากนโยบายของบริษัทที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาการให้บริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ด้วยการนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาเชื่อมต่อกับทุกมิติของระบบงานให้มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล ภายใต้แนวคิด "ธนชาตประกันภัย ดูแลไว ตรงใจคุณ"
#2815


นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มทรงตัวจากอุปสงค์ที่ยังไม่ฟื้นตัวเนื่องจากตลาดยังคงกังวลกับแรงกดดันจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ที่ขยายวงกว้างทั่วโลก ส่งผลทำให้ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันในบางประเทศปรับตัวลดลง โดยญี่ปุ่นได้ประกาศภาวะฉุกเฉินในหลายจังหวัดครอบคลุมกว่า 70% ของประชากร ขณะที่จีนประกาศมาตรการจำกัดการเดินทางและยกเลิกเที่ยวบินแม้ว่าจะมีแรงหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นหลังวุฒิสภาสหรัฐฯ ลงมติผ่านร่างกฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน 1 ล้านล้านเหรียญ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงความต้องการน้ำมันจากอินเดียที่เพิ่มขึ้นหลังโควิด-19คลี่คลาย

ทั้งนี้ราคาน้ำมันตลาดโลก (วันที่ 9 – 15 สิงหาคม 2564) ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์เท็กซัส เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 69.79 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และ 68.31 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว 1.39 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และ 1.16 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ซึ่งนักลงทุนวิตกว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา จะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน โดยโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ในช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายน 2564 ความต้องการใช้น้ำมันยังถูกกดดันจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ซึ่งส่งผลให้ปริมาณน้ำมันดิบในตลาดลดลงจากระดับ 2.3 ล้านบาร์เรล/วัน ไปอยู่ที่ระดับ 1 ล้านบาร์เรล/วัน และยังคาดการณ์ว่าความต้องการใช้น้ำมันจะฟื้นตัวขึ้นตามอัตราการฉีดวัคซีนที่สูงขึ้น อีกทั้ง สหรัฐฯ เรียกร้องให้กลุ่มโอเปกพลัสผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นในระยะยาว เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและเพื่อควบคุมราคาน้ำมันเบนซินในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ กลุ่มผู้ผลิตจะมีการประชุมอีกครั้งในวันที่ 1 กันยายน 2564

ราคากลางน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดภูมิภาคเอเชีย ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และ 91 (Non-Oxy) เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 82.49 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล 80.17 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และ 81.16 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว 1.32 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล 1.52 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และ 1.51 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (10 PPM) เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 76.64 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว 1.78 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากอุปทานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ความต้องการใช้ในภูมิภาคชะลอตัวลงตามฤดูกาล

นอกจากนี้ สนพ.ได้ติดตามสถานการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติเหลว ในตลาดจร หรือ Spot LNG ช่วงระหว่างวันที่ 2 – 6 สิงหาคม 2564 พบว่าในสัปดาห์นี้เฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 1.127 เหรียญสหรัฐฯ/ล้านบีทียู อยู่ที่ระดับ 16.316 เหรียญสหรัฐฯ/ล้านบีทียู จากผู้ซื้อรายใหญ่จากภูมิภาคเอเชียเหนือ มีความต้องการจัดหาเที่ยวเรือ Spot LNG เร่งด่วน (Prompt Spot cargo) จากความต้องการใช้ก๊าซในประเทศที่สูงขึ้น เช่น ประเทศจีนได้ออกประมูลจัดหาเที่ยวเรือ Spot LNG เร่งด่วนสำหรับส่งมอบเดือนสิงหาคม และผู้ซื้อจากประเทศเกาหลีใต้ได้ออกจัดหาเที่ยวเรือ Spot เช่นกันแต่เป็นสำหรับการส่งมอบในเดือนกันยายน เป็นต้น
#2816


กัมพล นิสิตสุขเจริญ ผู้ก่อตั้ง เวอร์ชวล โซลูชั่น กล่าวว่า ข้อจำกัดจากผลกระทบโควิดเป็นที่มาของการจัดงาน "เวอร์ชวล พร็อพเพอร์ตี้ เอ็กซ์โป 2021" เป็นช่องทางทำตลาดที่ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายมาพบปะเจรจาธุรกิจ สร้างโอกาส ดึงกระแสเงินสดเข้าบริษัท ประคองธุรกิจให้รอดพ้นวิกฤติ

"การจัดงานแสดงสินค้า หรือ เทรดแฟร์ เป็นเครื่องมือการตลาดที่ทรงพลัง!! คุ้มค่ากับการลงทุนหากเปรียบเทียบกับการทำตลาดในรูปแบบอื่น ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมามีการจัดงานแสดงสินค้าเกี่ยวกับอสังหาฯ ทั้งในศูนย์ประชุม ศูนย์แสดงสินค้า ในศูนย์การค้า สามารถดึงวอลุ่มการขายของโครงการต่างๆ ได้เป็นอย่างดี จากการเป็นแหล่งผู้ซื้อผู้ขายจำนวนมากมาเจอกัน"

ทว่าหลังวิกฤติโควิดธุรกิจงานแสดงสินค้า ถูกยกเลิกงาน หรือ เปิดบ้าง-ปิดบ้าง สลับกัน กระทบต่อตลาดและการวางแผนธุรกิจ ฉะนั้น "เวอร์ชวล เทรด แฟร์" ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์จะเข้ามาตอบโจทย์และแก้อุปสรรคในการทำตลาด

"เวอร์ชวล พร็อพเพอร์ตี้ เอ็กซ์โป 2021" ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายมีโอกาสมาพบปะเจรจาซื้อขายกันบนออนไลน์ โดยมีฟังก์ชั่นการแสดงสินค้าเสมือนได้เดินชมบูธโครงการอสังหาฯ แต่ละแบรนด์ และใช้วีดีโอคอลในการเจรจาธุรกิจ ต่อรองราคา และโปรโมชั่น

"เวอร์ชวล พร็อพเพอร์ตี้เอ็กซ์โป จัดช่วงปลายปีจะสามารถรวบรวมดีมานด์ที่มีอยู่ทั้งเพื่ออยู่อาศัยจริง หรือซื้อเพื่อลงทุนกว่า 580,000 ราย จากทั่วประเทศ จะช่วยกระตุ้นยอดขายให้กับผู้ประกอบการอสังหาฯ ให้เกิดมูลค่าการขายที่เป็นวอลุ่มใหญ่ขึ้นได้"

ดีเวลลอปเปอร์ที่เข้าร่วมงานจะได้รับผลตอบแทนการลงทุน ( ROI) ที่มีประสิทธิภาพ และสูงกว่าการไปทำตลาดเอง อย่าง โซเชียลมีเดีย หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่ใช้งบประมาณสูงกว่าและเป็นการทำตลาดที่กระจัดกระจาย ซึ่งบริษัทมีแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่เก็บรวบรวมข้อมูล (บิ๊กดาต้า) เป็นประโยชน์ต่อดีเวลลอปเปอร์ใช้ทำการตลาดต่อไปในอนาคต

ธนพล ทรัพย์สมบูรณ์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง กล่าวเสริมว่า ช่วงวิกฤติโควิดระลอกนี้มีการเสิร์ชค้นหา บ้าน และ คอนโดมิเนียม ผ่าน กูเกิล น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นการทำการตลาดในช่วงนี้จึงต้องระมัดระวัง มุ่งการตลาดแบบเฉพาะเจาะจง (Precision Marketing) เน้นกลุ่มคนที่ยังมีกำลังซื้อ กลุ่มนักลงทุน และกลุ่มคนที่มีความต้องการจะซื้อบ้านและ คอนโดมิเนียม จริงๆ เท่านั้น

"มีเดีย แชนแนล ที่ทำตลาดแบบเฉพาะเจาะจงได้ดี หนีไม่พ้น กูเกิล เฟซบุ๊ก ทำให้ทุกแบรนด์กระโดดเข้ามาแข่งขัน ค่าโฆษณาถีบตัวสูงขึ้น สวนทางดีมานด์ของตลาดที่ลดลง นอกจากนี้การเดินทางไปดูโครงการอสังหาฯ มีความยากลำบาก ผู้ซื้อกังวลเรื่องโควิด เจ้าของโครงการจำเป็นต้องทำออนไลน์แพลตฟอร์มให้เยี่ยมชมโครงการได้ง่ายขึ้น ในรูปแบบ เวอร์ชวล หรือ วีดีโอคอนเฟอเรนซ์ ให้ทีมขายคุยกับลูกค้าได้"

เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) มองว่า การจัดงานในรูปแบบเวอร์ชวล เอ็กซ์โป ไม่แตกต่างจากงานจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโดปกติจัดปีละ 2 ครั้ง ซึ่งดีเวลลอปเปอร์จะนำเสนอสินค้าราคา "ดี" ออกมาให้ลูกค้าได้เปรียบเทียบ แม้ว่าช่วงนี้ "ดีมานด์" อาจไม่มากเท่าช่วงเวลาปกติ แต่รูปแบบเวอร์ชวลทำให้คนเข้าไปเยี่ยมชมโครงการได้

"ปกติการทำออนไลน์ของอสังหาฯ ไม่เกิดการซื้อจริง เป็นแค่การตัดรอบในการดูจากปกติอาจจะใช้เวลา 3 รอบ โดยรอบแรกไปดูเอง รอบ 2 พาแม่ไป รอบ 3 ค่อยตัดสินใจซื้อ การมีเวอร์ชวล ทำให้รอบแรกไม่จำเป็นต้องไปดูผ่านออนไลน์แทนเหลือแค่ 2 รอบ จาก 10 ที่ในออนไลน์เหลือ 3 ที่ จากนั้นค่อยพาแม่ไปดูก่อนซื้อแต่สุดท้ายแล้วอสังหาฯ เป็นสินค้าที่ต้องการสร้างประสบการณ์ สัมผัสจริงมากกว่าในเวอร์ชวล"
#2817


โครงการนำสายไฟลงดินของกองทัพเรือโผล่อีก 400 กว่าล้านบาท หลังยอมถอดถอนงบเรือดำน้ำจากกระแสคัดค้านของประชาชน ขณะที่โครงการจัดจ้างหลายหน่วยงานของภาครัฐยังคงยื่นประมูลช่วงชิงงบกลางฝุ่นตลบ สำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจในต่างประเทศ คาดปีนี้โตติดลบ และหากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้เศรษฐกิจปีหน้าหมดหวังฟื้นตัว

หลังจากที่ก่อนหน้านี้กองทัพเรือได้ถูกคัดค้านจากสังคม ในการซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน วงเงิน 900 ล้านบาทที่ต้องจ่ายในปีงบประมาณ 2565 จนในที่สุดก็ต้องขอถอนออกไป

รายงานล่าข่าวระบุว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้กองทัพเรือได้จัดทำโครงการนำสายไฟลงดินเพื่อส่งเสริมสภาพพื้นที่สำหรับเมืองการบินภาคตะวันออก และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 ก.ค.2564 มีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพิ่มเติม งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 451.36 ล้านบาท ให้กองทัพเรือ (ทร.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการนำสายไฟลงใต้ดินเพื่อส่งเสริมสภาพพื้นที่สำหรับเมืองการบินภาคตะวันออก (โครงการฯ) ในส่วนของงานจ้างนำสายไฟลงใต้ดิน จำนวน 3 เส้นทาง ตามที่กระทรวงกลาโหม (กห.) เสนอ ประกอบด้วย1. ปากทางเข้าสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา

2. แยกวงเวียนอู่ตะเภา

3. แยกอู่ราชนาวีมหิดล รวมระยะทางทั้งสิ้น 5.2 กิโลเมตร

โดยงบดังกล่าวอยู่ภายใต้การบริหารของนายกรัฐมนตรี ในปี 2564 ที่จัดสรรไว้ถึง 6 แสนล้าน มีวัตถุประสงค์เพื่อไว้ใช้ในกรณีที่วิกฤติฉุกเฉิน หรือจำเป็นเท่านั้น เช่นกรณีสถานการณ์โควิด- 19 ในขณะนี้

ก่อนหน้านี้รัฐบาลออกมาเปิดเผยว่า มีเงินหน้าตักใช้เพื่อแก้สถานการณ์โควิดไม่มาก และในทางการเมืองก็เรียกร้องให้มีการพิจารณาจัดสรรงบประมาณใหม่ โดยเฉพาะงบกลาง ซึ่งจากการตรวจสอบ ณ สิ้น ก.ค. งบกลางยังคงเหลืออยู่ราว 2 แสนล้านบาทเท่านั้น

แต่ปรากฎว่ามีโครงการจัดซื้อจัดจ้าง โดยเฉพาะงานก่อสร้างหลาย ๆ ของหน่วยงานภาครัฐยื่นขอประมูลเข้ามาเป็นจำนวนมาก และหนึ่งในนั้นก็คือ โครงการนำสายไฟลงดินของกองทัพเรือที่ครม.อนุมัติไป หลายฝ่ายจึงมองว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนมากน้อยเพียงใด ท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมืองลำบากเช่นนี้

ขณะที่สำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจในต่างประเทศ ได้คาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2564 ของประเทศไทยน่าจะต่ำกว่า 0 % หรือติดลบ และหากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็ไม่มีความหวังว่าปีหน้า เศรษฐกิจจะฟื้นตัวโดยเร็ว

ข้อมูลอ้างอิง : http://www.phuketlocal.go.th/files/com_news_law/2019-10_ea4372f6817c38e.pdf

https://govspending.data.go.th/dashboard/3

:: ศูนย์ข้อมูลจัดซื้อ จัดจ้าง สอบราคา ประกวดราคา :: (navy.mi.th)
#2818


เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล ประกาศแผนรุกธุรกิจหลังประสบความสำเร็จในการเพิ่มทุน พร้อมก้าวสู่กลุ่มธุรกิจการเงินและหลักทรัพย์ในฐานะผู้ให้บริการทางการเงินครบวงจร เชื่อมต่อโลกการเงินปัจจุบันสู่โลกดิจิทัลหรือ Digital Financial Service มั่นใจรายได้และกำไรปีนี้แตะ 3 หลักในตัวเลขที่สูงกว่าปีที่ผ่านมาอย่างมีนัยสำคัญ เชื่อมั่นรายได้จะเติบโตก้าวกระโดดในปี 2565 พร้อมเดินหน้าธุรกิจ ICO ต่อเนื่อง เร่งขอไลน์เซนส์เพิ่มอีก4ใบ

นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานกรรมการ บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (XPG) เปิดเผยว่า ปีนี้นับเป็นก้าวสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเอ็กซ์สปริง ทั้งการเปลี่ยนชื่อเป็น "บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)" และการได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุน จนสามารถเพิ่มทุนได้สูงถึง 7,111 ล้านบาท ภายในเวลาไม่นาน รวมถึงการร่วมลงทุนจากพันธมิตร เช่น บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เป็นต้น ใน Digital Financial Service โดยปัจจุบันเอ็กซ์สปริงประกอบด้วย 5 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจหลักทรัพย์ โดยบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด ธุรกิจจัดการกองทุน โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ โดยบริษัทบริหารสินทรัพย์ เอ็กซ์สปริง เอ เอ็ม ซี จำกัด ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล โดยบริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด และธุรกิจจัดการเงินลงทุน

"การเพิ่มทุนทำให้เอ็กซ์สปริงมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีสภาพคล่องทางการเงินสูง ด้วยเงินทุนจากสัดส่วนผู้ถือหุ้นเดิม 3,094 ล้านบาท และสัดส่วนการเพิ่มทุนอีก 7,111 ล้านบาท ทำให้เอ็กซ์สปริงมีเงินทุนในมือกว่า 10,000 ล้านบาท ที่จะนำไปพัฒนาธุรกิจใน 3 ด้าน อาทิ 1. ธุรกิจดิจิทัล: มุ่งพัฒนาแพลตฟอร์มการลงทุนรูปแบบดิจิทัล และสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจสำหรับบริการด้านการเงิน 2. ธุรกิจปัจจุบัน ในการขยายธุรกิจหลักทรัพย์และให้บริการโซลูชันทางการเงินแบบครบวงจรแก่ลูกค้า การสนับสนุนการลงทุนนอกตลาดหลักทรัพย์ (Private Equity) การขยายธุรกิจบริหารจัดการกองทุนและสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารความเสี่ยงและความสามารถด้านเทคโนโลยี 3. ชำระคืนเงินกู้และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน"

สำหรับผลประกอบการของเอ็กซ์สปริง แคปปิตอล ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ถือว่าน่าพอใจ โดยมีรายได้รวมส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลงทุนแล้ว 167 ล้านบาท สูงกว่ารายได้รวมส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลงทุนของทั้งปี 2563 ที่มีจำนวนรวม 141 ล้านบาท กำไรสุทธิฯ อยู่ที่ 65 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 791% ซึ่งนับเป็นสัญญาณบวก และทำให้เชื่อมั่นว่าแผนรุกธุรกิจที่แข็งแกร่งในช่วงต่อจากนี้ จะทยอยส่งผลให้รายได้และกำไรของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีรายได้เติบโตก้าวกระโดดได้ในปี 2565

นายระเฑียร กล่าวต่อว่า 3 จุดแข็งของเอ็กซ์สปริง ภายหลังการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คือ พันธมิตร – เงินทุนที่แข็งแกร่ง และการมี 17 Licenses ในมือ โดยมีเป้าหมายที่จะรุกธุรกิจให้เติบโต ในด้านการเป็นผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาด้านการลงทุน การใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางธุรกิจของเอ็กซ์สปริง เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทหลักทรัพย์ การมุ่งเน้นหุ้นขนาดกลาง (Mid-cap) เป็นหลัก การบริการครบวงจรสำหรับตลาดทุนและโซลูชันในการขายโทเคนดิจิทัล (ICO) การยกระดับความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อขยายธุรกิจ และการสร้างความแข็งแกร่งให้กับทุนมนุษย์ (Human Capital) นอกจากนี้เอ็กซ์สปริงจะพัฒนาต่อยอดในอนาคต ด้วยการพัฒนาประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์ (AM) และการลงทุนในบริษัทที่อยู่นอกตลาด (PE) เพื่อดึงดูดกลุ่มมั่งคั่งที่มีจำนวนมากขึ้น ตลอดจนลงทุนในแพลตฟอร์มดิจิทัลใหม่ๆ เพื่อเสนอขายสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบใหม่อีกด้วยโดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตทำธุรกิจเพิ่มเติมอีก 4 ไลน์เซนส์โดยคาดว่าจะได้ในปลายปีนี้หรือไม่เกินต้นปีหน้า ซึ่งจะช่วยทำให้การสร้างแพลตฟอร์มมีความสมบูรณ์มากขึ้น

ส่วนบริษัท บริหารสินทรัพย์ เอ็กซ์สปริง เอ เอ็ม ซี จำกัด "XSpring AMC" บริษัทย่อยของเอ็กซ์สปริง แคปปิตอล ได้ร่วมมือกับแสนสิริ "ร่วมลงทุนในกองสินทรัพย์" ที่ประกอบด้วยลูกหนี้สิทธิเรียกร้องตามสัญญาสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์และพักอาศัย และสัญญาหลักประกันซึ่งประกอบไปด้วยที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในกรุงเทพฯ และปริมณฑล (NPL) เพื่อนำมาบริหารสินทรัพย์ต่อยอดธุรกิจและสร้างรายได้เพิ่มในระยะยาว โดยได้เริ่มดำเนินการแล้วในไตรมาส2ที่ผ่านมา

ด้านธุรกิจ Digital Finance ผ่านเอ็กซ์สปริง ดิจิทัล ผู้ ให้บริการระบบได้เสนอขายโทเคนดิจิทัลในประเทศไทย (ICO Portal) ออก ICO 2 ตัวในปีนี้ คือ "โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนสิริฮับ" (SiriHub Investment Token) ซึ่งเป็น Real Estate-backed ICO ตัวแรกของไทยที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งจะเปิดขายในเดือนหน้า และ "Ready to use Utility Token" ที่เตรียมเปิดตัวเป็นครั้งแรกในวงการเอนเตอร์เทนเมนต์และ EV Charging Ecosystem ของประเทศไทย ซึ่งเป็นความร่วมมือกับ ชาร์จ แมเนจเม้นท์ (SHARGE) ผู้ให้บริการเบอร์หนึ่งด้านการให้บริการชาร์จรถ EV ครบวงจร รวมถึงการเปิดรับคริปโทในการซื้อที่อยู่อาศัยและชำระค่าส่วนกลางของแสนสิริทุกโครงการ ครั้งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย

"เอ็กซ์สปริง ยังมีแผนการเปิดตัวธุรกิจนายหน้าและผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital asset broker and dealer) ซึ่งรวมถึงแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล และการขอใบอนุญาต Digital asset fund manager ที่อยู่ในระหว่างดำเนินการ และ Open-architecture licenses เพื่อเพิ่มทางเลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนให้แก่ลูกค้า ตลอดจนการหาโอกาสการลงทุนในบริษัทเอกชนที่มีศักยภาพสูง เป็นต้น กลุ่มธุรกิจเอ็กซ์สปริง ขอขอบคุณผู้ถือหุ้นและนักลงทุนที่ให้ความไว้วางใจ และขอให้มั่นใจว่าบริษัทฯ จะใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่ยาวนานในธุรกิจการเงิน ขับเคลื่อนธุรกิจเต็มที่อย่างไม่หยุดยั้ง สร้างโอกาสการลงทุนที่หลากหลายและเหมาะสมเพื่อสร้างผลตอบแทนและความพึงพอใจให้กับนักลงทุนที่สนใจ ทั้งรายเล็กรายใหญ่รวมทั้งกลุ่ม Wealth อันจะส่งผลให้บริษัทฯ สามารถบรรลุเป้าหมายสู่ผู้นำบริการทางการเงินครบวงจรทั้งโลกการเงินปัจจุบันและโลกการเงินดิจิทัลได้ในที่สุด"
#2819
'airasia food' ประเดิมเปิดให้บริการ ในกรุงเทพฯ 4 พื้นที่

อแมนดา วู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แอร์เอเชีย ซูเปอร์แอป กล่าวว่า วิกฤติโควิด 19 ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวันของเราไปอย่างถาวร จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบริการฟู้ดเดลิเวอรี่และการซื้อกลับบ้านกลายเป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมการบริโภคของคนจำนวนมาก

"แอร์เอเชียพร้อมนำเสนอบริการซึ่งสามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบนิวนอร์มอลแก่คนกรุงเทพฯ และช่วยสนับสนุนคนไทย ทั้งร้านอาหารและคอมมิวนิตี้ต่างๆ ไปในเวลาเดียวกัน ความตั้งใจของพวกเราคือพัฒนา airasia super app ให้กลายเป็นไลฟสไตล์แอปพลิเคชันแบบครบวงจรสำหรับทุกคนและทุกความต้องการ"

อแมนดา กล่าวเสริมว่า airasia super app มุ่งมั่นที่จะเติบโตในฐานะแอปพลิเคชันที่ให้บริการครบวงจรสำหรับทุกคนและทุกความต้องการในอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นด้านการท่องเที่ยว บริการส่งอาหาร หรือโลจิสติกส์ ถือได้ว่าบริการฟู้ดเดลิเวอรี่เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติธุรกิจ และเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดตัวบริการส่งของ บริการส่งของกินของใช้ บริการเรียกรถโดยสาร และบริการความสวยความงาม

นายวรุฒ วุฒิพงศาธร กรรมการผู้จัดการใหญ่ แอร์เอเชีย ซูเปอร์แอป กล่าวว่า ด้วยการผนึกความรู้ที่ได้จากความสำเร็จของซูเปอร์แอปในมาเลเซียและสิงคโปร์ ความเชี่ยวชาญของทีมเทเลพอร์ต ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจด้านโลจิสติกส์ของเรา ความแข็งแกร่งของทีมแอร์เอเชียในเรื่องของธุรกิจท่องเที่ยว และความเข้าใจในตลาดของทีมงาน Gojek ประเทศไทย จึงมั่นใจว่า airasia food จะสามารถนำเสนอประสบการณ์ที่ตรงใจลูกค้าที่สุดและกลายเป็นทางเลือกที่ผู้คนในกรุงเทพฯ นิยมใช้อย่างแน่นอน 
"ภารกิจของ airasia food คือเป็นแพลตฟอร์มรวบรวมอาหารหลากหลายที่ตรงใจ ในราคาเข้าถึงได้ และมีประสบการณ์ที่ใช้งานง่าย รวมถึงช่วยสนับสนุนร้านค้าและผู้ขับขี่ในระบบนิเวศอย่างมีประสิทธิภาพและราคาที่ดีที่สุด สำหรับลูกค้า"



สำหรับร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบจากภาวะการระบาดในปัจจุบัน ในการเปิดตัวจะคิดว่าคอมมิชชั่นเพียง 5% ตั้งแต่วันนี้จนถึงสิ้นเดือนตุลาคม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนร้านค้ โดยจะเริ่มให้บริการใน 4 พื้นที่ในกรุงเทพฯ ได้แก่ ดินแดง จตุจักร ลาดพร้าว และห้วยขวาง

ก่อนขยายพื้นที่ให้บริการอีก 4 เขต คือ พญาไท ราชเทวี ปทุมวัน และวัฒนา โดยในแอปพลิเคชันมีร้านค้ามากมายหลากหลายให้เลือก ตั้งแต่แบรนด์ดังอย่างแม็คโดนัลด์ แฟลช คอฟฟี่ หรือคาเฟ่ อเมซอน ไปจนถึงร้านค้าเอสเอ็มอี และเปิดให้บริการตั้งแต่ 6.30 น. ถึง 19.00 น. ของทุกวัน พร้อมตั้งเป้าขยายสู่พื้นที่อื่นๆ อาทิ เชียงใหม่และภูเก็ตในอนาคตอันใกล้

ทั้งนี้ เพื่อฉลองการเปิดตัวในประเทศไทย airasia food มอบสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ สำหรับผู้ใช้ใหม่ภายใต้แคมเปญการเปิดตัว ทั้งแจกฟรี ส่งฟรี และอื่นๆ ได้แก่ แคมเปญฟรี 30,000 มื้อเป็นเวลา 30 วัน วันละ 1,000 มื้อ โดยร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำ อาทิ แม็คโดนัลด์ แฟลช คอฟฟี่ และคาเฟ่ อเมซอน เพื่อจัดเมนูยอดนิยมมามอบให้ฟรีวันละ 1 เมนู หมุนเวียนมาให้ลูกค้าได้สั่ง เพียงใส่โค้ด FREEMEALS จะได้รับเมนูประจำวันฟรีทุกวัน (จำกัดออเดอร์ต่อวัน / 1 ครั้งต่อผู้ใช้ตลอดแคมเปญ) ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม - 16 กันยายน 2564

รวมถึงจัดส่งฟรีสำหรับทุกออเดอร์ภายใน 6 กิโลเมตรแรก ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม - 30 กันยายน 2564
ส่วนลด 80 บาทสำหรับผู้ใช้ใหม่เมื่อสั่งขั้นต่ำ 100 บาท เพียงใส่โค้ด HELLO80 ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม - 30 กันยายน 2564 และมอบ BigPoint จำนวน 2,000 แต้มสำหรับสมาชิก 20,000 รายแรกที่ได้ลงทะเบียนใช้งานครั้งแรก ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม - 16 กันยายน 2564
#2820


ในยุคที่ผู้คนใช้เครื่องมือสื่อสารในชีวิตประจำวันจนคล้ายเป็นปัจจัยที่ 5 ของชีวิต เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า โลกออนไลน์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผู้คนทั่วโลกไปแล้ว ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนถึงเวลาเข้านอน โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่

สำหรับเจ้าของธุรกิจและผู้ประกอบการต่างได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด ในภาวะที่การเดินทางระหว่างประเทศก็เป็นไปได้ยาก บางรายอาจไม่ทราบวิธีการเข้าถึงข้อมูลด้านการค้า ซึ่งนับเป็นหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจในปัจจุบัน การมีข้อมูลที่มากกว่าจะช่วยให้เราสามารถวางแผน ตัดสินใจ และดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

DITP Overseas เป็นบริการของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) พร้อมจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ผู้ประกอบการ โดยรวบรวมข้อมูลความรู้ด้านการค้า และเทรนด์สินค้าใหม่ๆ จากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ 32 แห่ง ใน 6 ภูมิภาคซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง ได้แก่ ภูมิภาคอเมริกา ลาตินอเมริกา ภูมิภาคยุโรป และCIS ภูมิภาคแอฟริกา และตะวันออกกลาง

โดยข้อมูลของ DITP Overseas เหล่านี้ได้ถูกนำมาวิเคราะห์ ย่อย และนำเสนอให้เข้าถึงง่ายและสะดวกมากขึ้น ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งเอกสารข้อมูล ภาพ เสียง และโมชั่นกราฟฟิก เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำข้อมูลไปปรับใช้พิจารณาปัจจัยแวดล้อมของแต่ละตลาดสินค้าที่สนใจ สร้างโอกาสและต่อยอด เพื่อประโยชน์ด้านการค้าของตนเองต่อไป

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กำลังพัฒนาคู่มือการค้าของทั้ง 27 ประเทศเพื่อให้ผู้ประกอบการที่สนใจตลาดใน 6 ภูมิภาคนี้ ช่องทางในการค้นหาข้อมูลการค้าได้สะดวก โดยสามารถกรอกรายละเอียดเพื่อสมัครสมาชิก และรับข่าวสารกิจกรรมด้านการค้าและรับสิทธิในการสมัครเข้าร่วมกิจกรรมทางการค้าจาก กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และสำนักส่งเสริมการค้าในต่างประเทศทั้ง 32 แห่งได้ง่ายๆ ในรูปแบบกิจกรรมสัมมนาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญตลาดการค้าในแต่ละประเทศ หรือกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจทั้งออฟไลน์และออนไลน์

โดยระบบการจัดเก็บรายชื่อดังกล่าว ยังช่วยเอื้อประโยชน์ให้สำนักส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ สามารถเข้าถึงข้อมูลธุรกิจของผู้ประกอบการไทย และสามารถนำเสนอข้อมูลต่อไปยังผู้ซื้อในต่างประเทศที่สนใจได้โดยตรงอีกด้วย

ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลสำคัญด้านการค้าเหล่านี้ได้ ผ่านช่องทางออนไลน์หลายแพลตฟอร์มได้ทาง

FB: DitpOverseas https:// www.facebook.com/ditpoverseas
Youtube: DITP Overseas
Website: https:// ditp-overseas.com/