• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Panitsupa

#5476


สเตฟานอส ซิตซิปาส นักเทนนิสหนุ่มมือ 3 ของโลกจากกรีซ ออกมาชี้แจงต่อสื่อหลังโดนเพื่อนร่วมอาชีพและคนดูส่งเสียงไม่พอใจ จากการเข้าห้องน้ำระหว่างพักแมตช์นานกว่าปกติ

กลายเป็นประเด็นร้อนในศึก แกรนด์ สแลม ยูเอส โอเพน ที่สหรัฐอเมริกา หลัง ซิตซิปาส ถูกวิจารณ์เรื่องการขอพักเบรคเข้าห้องน้ำ ที่หายตัวไปนานจนทำให้คู่แข่งและคนดูรู้สึกไม่พอใจ

ก่อนนี้ แอนดี เมอร์เรย์ มือหวดจอมเก๋าจากสกอต ที่เผชิญหน้ากันในรอบแรก วิจารณ์รุ่นน้องว่าหายตัวไปนาน 7 นาทีเพื่อเข้าห้องน้ำ ขณะที่รอบสอง เอาชนะ เอเดรียน มานนาริโน 3-2 เซต ก็หายไปเข้าห้องน้ำถึง 8 นาที เล่นเอาคนที่ตีตั๋วมาดูส่งเสียงโห่

ร้อนถึงหวดวัย 23 ปี ออกมาแก้ต่างว่ามันจำเป็น 'อย่างแรกเลยเมื่อเหงื่อคุณออก เสื้อผ้าก็จะหนักขึ้น พอเข้าไปเปลี่ยนเสื้อก็จะสดชื่นขึ้น ไม่มีเหงื่อมารบกวน การพักเบรคสำหรับผมแล้วมันสำคัญ แม้คนอื่นจะมองว่าไม่ และทุกคนก็มีเวลาของตัวเองให้บริหาร ผมพยายามแล้วที่จะมาให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่บางทีมันก็ต้องใช้เวลานานกว่านั้น'

'ถ้าผมทำผิดกฏ หรือไม่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง แน่นอนว่าผมจะยอมรับผิด แต่ถ้ามันยังอยู่ในกฏระเบียบ แล้วมันมีปัญหายังไงหรือ? ไม่เข้าใจเลย' ซิตซิปาส ระบุ
#5478


ทุกๆ วัน มีคนตาย ทั้งจากโรคภัยไข้เจ็บ อุบัติเหตุ การฆ่าตัวตาย ตลอดจนการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่เพิ่มอัตราการตายของคนไทยหลักร้อยรายต่อวัน ธุรกิจบริการหลังความตายจึงเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ถูกจับตามองว่าโตฝ่าทุกกระแสเสมอมา โดยเฉพาะในห้วงวิกฤตโรคระบาดที่คร่าชีวิตผู้คนเป็นจำนวนมาก

ตามสถิติของศูนย์ข้อมูลโควิด-19 รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมของประเทศไทยข้อมูล ณ วันที่ 2 ก.ย. 2564 พบจํานวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ เพิ่มขึ้น 14,956 ราย ผู้เสียชีวิตเพิ่ม 262 คน ทั้งนี้ มีผู้ติดเชื้อสะสมนับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดเมื่อต้นปี 2563 มีจำนวน 1,234,487 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสม 12,103 คน ประเทศไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ในอันดับที่ 29 ของโลก

เสียงสะท้อนจาก  "สุริยาหีบศพ"  ผู้ดำเนินธุรกิจความตายครบวงจรอันดับต้นๆ ประเทศไทย เผยว่าหลังประเทศไทยเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระบุว่า ยอดขายโลงพุ่งสูงขึ้น 3 เท่า จากเดิมยอดสั่งซื้อประมาณ 100 โลงต่อเดือน ปัจจุบันเพิ่มขึ้นกว่า 300 โลงต่อเดือน ราคาโลงศพขายดียู่ที่ 1,500 บาท ถึง 2,000 บาท ฟังแล้วเหมือนทำธุรกิจหลังความตายฟันกำไรฝ่าวิกฤตโควิด แต่ในความเป็นจริงแม้สั่งซื้อโลงศพจะเพิ่มมากขึ้นแต่ว่ารายรับน้อยลง

สืบเนื่องมาจากผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ไม่ว่าจะรวยหรือจนหากเป็นศพติดเชื้อโควิด-19 จะไม่สามารถตั้งศพดำเนินการตามประเพณี ไม่มีการตั้งศพสวดพระอภิธรรมที่วัดจะทำการเผาเลยในวันนั้น ทำให้ไม่มีการดำเนินการตามประเพณีต่างๆ เช่น การตั้งดอกไม้หน้าศพ การสั่งซื้อสิ่งของเกี่ยวกับพิธีศพ ฯลฯ ซึ่งรายได้ที่หายไปในส่วนนี้คิดเป็นเงินจำนวนไม่น้อย แม้จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการสั่งซื้อโลงศพก็ตาม

ทั้งนี้ ธุรกิจหลังความตายครบวงจรของสุริยาหีบศพ โกยสร้างรายได้ 100 ล้านต่อปี ในส่วนของโลงศพมีรูปแบบให้เลือกหลากหลาย แบ่งเป็น 4 ประเภทใหญ่ ราคาตั้งแต่หลักไปไต่ระดับไปจนถึงหลักแสน 1. แบบธรรมดา หีบไม้พาร์ติเกิล 2. แบบปานกลาง หีบไม้ MDF 3. หีบราคาสูง หีบไม้สัก คุณภาพสูง 4. หีบสั่งทำพิเศษ

 นางริญญารัตน์ สุริยเสนีย์  กรรมการผู้จัดการสุริยาหีบศพ เปิดเผยว่าเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19พรากชีวิตคนไทยไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ยอดจำหน่ายโลงศพทุกสาขาของสุริยาหีบศ เพิ่มขึ้น

"รายได้จากหีบเพิ่มขึ้น แต่ว่ามากมั้ยก็ไม่ได้มากไป ส่วนใหญ่เฉลี่ยหีบก็ไม่ได้เป็นราคาที่สูงค่ะ ถ้าเป็นเคสโควิด สตาร์ทเริ่มต้นเป็นหีบไม่มีลวดลาย มีลายนิดนึง ไปจนถึงฐาน 2 ชั้น ที่จะสามารถเข้าเตาได้เลย แต่ถ้าญาติบางเคส อยากจะได้หีบที่สวยขึ้น โลงนึงก็ประมาณพันกว่าบาทถึงหลักหมื่นก็มีค่ะ แล้วแต่ความสวยงามของหีบ ถ้าญาติพอมีกำลังซื้อ เขาก็จะซื้อในส่วนของที่ไม่แพงมาก เป็นเพราะพิษเศรษฐกิจ พอประหยัดอะไรได้ก็ประหยัด

"...กำลังทรัพย์ของญาติบางคนก็บอกว่าเขาตกงาน ไม่มีเงินที่พอจะช่วยได้ เราก็พูดตรงๆ ถ้าไม่มีเลยเราสามารถช่วยให้ได้หมด จนกระทั่งหาวัดเผาให้ฟรีได้ โควิดบางเคสเราก็บริจาคให้นะคะ เคสไหนไม่มี เราก็ช่วยทั้งหมด เรื่องหีบศพ เรื่องรถบริการ อุปกรณ์ต่างๆ แล้วเราก็ติดต่อที่วัดให้ ก็จะมีบางวัดที่เขาเผาให้ฟรีได้ ญาติก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลย" นางริญญารัตน์ สุริยเสนีย์ กรรมการผู้จัดการสุริยาหีบศพ เปิดเผย

กล่าวได้ว่าธุรกิจบริการหลังความตายได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน แต่อาจไม่มากเท่าธุรกิจอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม งานศพในยุคโควิด-19 ดำเนินไปตามวิถี New Normal จำเป็นต้องมีการเว้นระยะห่างทางสังคม สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดข้อจำกัดเรื่องการเดินทางไปแสดงความอาลัยผู้เสียชีวิตเป็นครั้งสุดท้ายด้วยตัวเอง ยิ่งไปว่านั้นเคสเสียชีวิตจากติดเชื้อโควิด-19 วัดงดสวดพระอภิธรรมส่งศพขึ้นเมรุเผาทันที ส่วนผู้เสียชีวิตจากสาเหตุอื่นๆ ยังมีการจัดพิธีกรรมธรรมเนียมไทยแบบกระชับขึ้น

ธุรกิจพวงหรีดเป็นอีกหนึ่งบริการหลังความตายที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ เพราะการส่งพวงหรีดกลายเป็นสัญลักษณ์แสดงความอาลัย กล่าวได้ว่าที่ใดมีงานศพที่นั่นต้องมีพวงหรีด

สำหรับรูปแบบของพวงหรีดมีความแตกจากไปจากเดิม จากนิยมส่งพวงหรีดดอกไม้สดก็มีปรับเปลี่ยนตามยุคสมัยเป็นทางเลือกใหม่ๆ ต่อยอดพวงหรีดไอเดียใหม่ๆ พวงหรีดพัดลม พวงหรีดผ้าห่ม พวงหรีดโต๊ะ-เก้าอี้ พวงหรีดนาฬิกา พวงหรีดจักรยาน พวงหรีดต้นไม้ หรือ ล่าสุด พวงหรีดหน้ากากอนามัย พวงหรีด ATK ฯลฯ

เรียกได้ว่าธุรกิจพวงหรีดมีการต่อยอดไอเดียตลอดเวลา ที่นิยมตลอดกาลคือพวงหลีกดอกไม้ราคาหลักร้อยไต่ระดับไปจนถึงหลักหมื่น ซึ่งในปัจจุบันพวงหรีดรูปแบบใหม่ๆ ได้รับความสนใจในการแสดงความอาลัยมากขึ้นเรื่อยๆ

อาทิ พวงหรีดกระดาษรีไซเคิล by Carenation พวงหรีดกระดาษสะพานบุญ จุดขายชูทางเลือกที่มอบสิ่งดีๆ คืนให้สังคม ทั้งการเลือกใช้วัสดุที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และจากบริจาคเงินแก่องค์กรการกุศล โดยพวงหรีดแต่ละราคาจะกำหนดยอดหักเงินนำไปบริจาคไว้แล้ว อาทิ 1,500 บาท บริจาค 300 (20%), 2,000.00 บริจาค 500 (25%), 2,500.00 บริจาค 750 (30%), 3,000.00 บริจาค 1,050 (35%), ลฤก (ระลึก) พวงหรีดเสื่อผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 100% สำหรับไว้อาลัยต่อผู้ล่วงลับ ช่วยสร้างบุญ พร้อมลดขยะในงานศพเพื่อเป็นการระลึกถึงคนที่จากไป เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อวัดสวดอภิธรรมศพน้อยลง ปฏิเสธไม้ได้ว่าธุรกิจพววงหรีดได้รับผลกระทบกันอย่างถ้วนทั่ว

อัตราการเสียชีวิตของคนไทยที่เพิ่มมากขึ้น แม้ดูจะเป็นโอกาสทางธุรกิจของกลุ่มธุรกิจบริการหลังตาย แต่ในความเป็นจริงอาจไม่เช่นนั้น

ภาพประกอบจาก สุริยาหีบศพ 2499 – พรานนก
#5479


นายสมชาย เมฆะสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอแอนด์ไอ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)  หรือ IIG  รายงานมติอนุมัติการเข้าทำรายการซื้อหุ้น สามัญของ บริษัท ดิจิเนทีฟ จำกัด ("Diginative") ซึ่งมิใช่บุคคลที่เกี่ยวโยงกัน ซึ่งในวันที่คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติมีความไม่แน่นอนในการเข้าทำรายการซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจา

ทั้งนี้จึงขอแจ้งให้ทราบว่าในวันที่ 1 กันยายน 2564 บริษัทฯ ได้เข้าทำรายการ เรียบร้อยแล้ว โดยได้เข้าซื้อหุ้นสามัญของ Diginative จำนวน 6,000 หุ้น หรือ คิดเป็นร้อยละ 60 ของหุ้นสามัญทั้งหมดของ Diginative มูลค่าเงินลงทุน 39,000,000 บาท มาจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท  ส่งผลให้ Diginative มีสภาพเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ

บริษัทดังกล่าวประกอบธุรกิจให้คำปรึกษาและจัดแผนงานกลยุทธ์ด้านต่าง ๆ อาทิ การตลาด,โฆษณา และ ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง  มีทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 10,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ100 บาท
#5480


ตามที่กระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องการขออนุญาตให้ออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย และที่แก้ไขเพิ่มเติม นั้น

กระทรวงการคลังขอเรียนว่า การพิจารณาให้นิติบุคคลต่างประเทศสามารถออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทยในแต่ละครั้ง กระทรวงการคลังได้พิจารณาถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อตลาดการเงินและตลาดตราสารหนี้ไทยในภาพรวม อาทิ
1.ด้านเสถียรภาพของตลาดการเงินในประเทศ
2.ด้านผลกระทบต่อการออกหุ้นกู้ของภาคเอกชนไทย
3.ด้านการส่งเสริมให้นักลงทุนในประเทศมีตราสารหนี้ที่มีคุณภาพให้ลงทุน
4.ด้านการพัฒนาตลาดพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาท


ในรอบการพิจารณาอนุญาตให้นิติบุคคลต่างประเทศออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย รอบที่ 3/2564 ระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2564 – 31 พฤษภาคม 2565 กระทรวงการคลังได้อนุญาตให้นิติบุคคลต่างประเทศ จำนวน 1 ราย ได้แก่ กระทรวงการเงินแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (Ministry of Finance of the Lao People's Democratic Republic: Ruay MOFL) ออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทยได้ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 โดยมีเงื่อนไขให้ใช้เงินที่ได้รับจากการออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทได้ตามที่กระทรวงการคลังกำหนด

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังขอสงวนสิทธิ์ในการระงับการออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย ในกรณีที่สถานภาพ สถานะการเงิน หรือการอื่นใดที่เกี่ยวข้องของผู้ได้รับอนุญาตมีการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินอย่างมีนัยสำคัญ หรือเมื่อผู้ได้รับอนุญาตมีการดำเนินการไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาต

กระทรวงการคลังขอขอบคุณผู้ยื่นคำขออนุญาตทุกรายที่ให้ความสนใจในการออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย สำหรับผู้มีความประสงค์จะขออนุญาตในรอบถัดไปสามารถยื่นหนังสือแสดงความจำนงได้ปีละ 3 ครั้ง ในเดือนมีนาคม กรกฎาคม และพฤศจิกายน ของทุกปี
#5482


ราคาน้ำมันขยับขึ้นมากกว่า 1 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันพฤหัสบดี (2 ก.ย.) ได้แรงหนุนจากข้อมูลคลังปิโตรเลียมสำรองของสหรัฐฯ ปัจจัยทางพลังงานและมุมมองแง่บวกต่อเศรษฐกิจดันวอลล์สตรีทปิดบวกเช่นกัน ขณะที่ทองคำปรับลด 2 วันติด

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 1.40 ดอลลาร์ ปิดที่ 69.99 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 1.44 ดอลลาร์ ปิดที่ 73.03 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานแห่งสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวันพุธ (1 ก.ย.) ว่า คลังน้ำมันดิบสำรองของประเทศลดลงถึง 7.2 ล้านบาร์เรล บ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่แข็งแกร่งเกินคาด

ในข้อมูลเดียวกัน คลังน้ำมันกลั่น ซึ่งประกอบด้วยดีเซลและน้ำมันทำความร้อนลดลง 1.7 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดหมายไว้ ส่วนสต๊อกเบนซิน เพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่คาดหมายว่าจะลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในวันพฤหัสบดี (2 ก.ย.) ปิดบวก เอสแอนด์พี 500 และแนสแดค แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานและข้อมูลภาคแรงงานของอเมริกา

ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 131.29 จุด (0.37 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 35,443.82 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 12.86 จุด (0.28 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,536.95 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 21.80 จุด (0.14 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 15,331.18 จุด

กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานว่า จำนวนผู้เข้ารับสวิสดิการคนว่างงานรายใหม่ลดลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากการเลิกจ้างในเดือนสิงหาคม ลดลงต่ำสุดในรอบกว่า 24 ปี บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานกำลังฟื้นตัว แม้ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดรอบใหม่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ความเคลื่อนไหวของตลาดทุน ส่งผลให้ราคาทองคำ ในฐานะสินทรัพย์เสี่ยงต่ำปิดลบเป็นวันที่ 2 ติดต่อกันในวันพฤหัสบดี (2 ก.ย.) โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 4.50 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,811.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์

(ที่มา : รอยเตอร์)
#5483


นายศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ ประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท แอ็ดวานซ์อินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AIT เปิดเผย แนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องหลังครึ่งปีแรกของปี 2564 บริษัทมีรายได้รวมกว่า 3,905 ล้านบาท ปัจจุบัน AIT มีมูลค่างานในมือ (Backlog) ณ วันที่ 23 สิงหาคม 2564 อยู่ที่ 7,800 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยส่งมอบอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังมีงานที่อยู่ระหว่างรอคำสั่งซื้อจากลูกค้า (Huay Waiting for P/O) อีกประมาณ 480 ล้านบาท โดยยังคงมุ่งเน้นเข้าร่วมประมูลงานทางด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ตามนโยบายรัฐที่เร่งขับเคลื่อนออกมา ส่งผลดีต่อภาพรวมทั้งปีคาดว่าทำรายได้แตะ6,500 ล้านบาทได้ตามเป้าหมาย

 

ทั้งนี้ AITได้ปรับตัวและพัฒนารูปแบบการให้บริการใหม่ๆที่รองรับกับกระแสดิจิทัลมากขึ้น อาทิ อุปกรณ์ใน Data Center และระบบ Cloud เพื่อขยายขอบเขตการให้บริการต่อยอดจากฐานลูกค้าเดิม และการเตรียมพร้อมรองรับการเติบโตตามการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ICTซึ่งภาครัฐได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาเป็นอย่างยิ่งรวมถึงรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าประจำที่มียาวนาน โดยบริษัทฯ ยังเน้นงานวางระบบเนื่องจากมีความเชี่ยวชาญสูง โดยเริ่มตั้งแต่กระบวนการให้คำปรึกษา การวางแผนงานโครงการ การออกแบบระบบ การดำเนินการติดตั้ง การฝึกอบรม และการซ่อมบำรุงรักษาแบบครบวงจร ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของ AIT
#5485


เมื่อวันที่ 1 ก.ย. รถไฟฟ้าบีทีเอสได้ออกประกาศ เรื่อง สิ้นสุดการจำหน่ายโปรโมชั่นเที่ยวเดินทาง 30 วัน ระบุว่า บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ขอแจ้งให้ทราบว่าจะสิ้นสุดการจำหน่ายโปรโมชั่นเที่ยวเดินทาง 30 วัน ทุกประเภท ผู้โดยสารสามารถซื้อ หรือเติมเที่ยวเดินทางได้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 เป็นวันสุดท้าย ทั้งนี้ บัตรโดยสารที่มีเที่ยวเดินทางคงเหลือ สามารถใช้เดินทางได้จนกว่าเที่ยวเดินทางจะหมด หรือเที่ยวเดินทางหมดอายุการใช้งานอย่างใดอย่างหนึ่ง

นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ชี้แจงว่า ปัจจุบันพฤติกรรมการเดินทางของผู้โดยสารเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม มีรูปแบบการเดินทางที่หลากหลายมากขึ้น ประกอบกับความไม่แน่นอนเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้โดยสารไม่สามารถวางแผนการเดินทางล่วงหน้าได้นานแบบเมื่อก่อน อีกทั้งเรื่องการชำระค่าโดยสารล่วงหน้าดูจะเป็นทางเลือกที่ไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป บริษัทฯ ได้พิจารณาเห็นว่า โปรโมชั่นเที่ยวเดินทาง 30 วัน สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ค่อนข้างจำกัด จึงจะยุติการทำโปรโมชั่นดังกล่าว

สำหรับอัตราค่าโดยสารที่เรียกเก็บในเส้นทางสัมปทาน 23.5 กิโลเมตร จากสถานีหมอชิตไป สถานีอ่อนนุช และจากสถานีสนามกีฬาแห่งชาติไปสถานีสะพานตากสิน รวมส่วนต่อขยายจากสถานีสะพานตากสิน ถึงสถานีวงเวียนใหญ่ ยังคงอยู่ในอัตรา 16 - 44 บาท ตามเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ผู้โดยสารสามารถใช้บัตรโดยสารใบเดิมเพื่อเติมเงิน และใช้เดินทางได้ตามปกติ ทั้งบัตรสำหรับบุคคลทั่วไป และบัตรสำหรับนักเรียน นักศึกษา นอกจากนั้นในส่วนของบัตรสำหรับผู้สูงอายุ ยังคงได้รับโปรโมชั่นส่วนลดครึ่งราคาจากอัตราค่าโดยสารที่เรียกเก็บในอัตราเดิม


รายงานข่าวระบุว่า เรื่องดังกล่าวทำให้ผู้ใช้บริการแสดงความไม่พอใจ โพสต์ความเห็นไปยังเฟซบุ๊กเพจ "รถไฟฟ้าบีทีเอส" จำนวนมากกว่า 1,200 ความคิดเห็น อาทิ

"ราคาก็แพง ราคาแบบปกติแต่ละเที่ยวก็แพงอยู่แล้ว ถึงที่ผ่านมามีราคาแบบเหมาก็จริง แต่มากำหนดใช้ภายใน 30 วัน พ้นปุ๊บ ตัดปั๊บ เริ่มซื้อนับใหม่ ถ้าไม่ปรับราคาให้ถูกลงก็ควรจะปรับปรุงให้ไม่หมดอายุมากกว่า ในเมื่อผู้โดยสารก็ซื้อแบบเหมาอยู่แล้ว ลองกลับไปพิจารณาเงื่อนไขใหม่หน่อยนะคะ คนอาจแห่ไปซื้อรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ หัดไปคุ้นเคยกับการขึ้นรถเมล์กันเยอะขึ้นแน่ แล้วการบวกเพิ่มส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าก็ยิ่งทำให้รู้สึกเอาเปรียบขึ้นไปอีก ค่าเดินทางสวนทางกับแรงงานขั้นต่ำประเทศมาก แทนที่ประชาชนทุกคนจะได้ใช้บริการระบบขนส่ง กลับกลายเป็นบางส่วนแทบไม่มีโอกาสได้ใช้เลย"

"บ้าหรือเปล่า ไม่คิดว่า เหตุผลนี้จะออกมาจากผู้บริหารนะ ถ้าสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ คนที่เขาใช้อยู่ตลอดอยู่แล้ว ก็ต้องเติมเที่ยว 30 วันอยู่ดี สถานการณ์เปลี่ยนบ้าอะไร ให้คนที่จะใช้เขาคิดคำนวณการใช้เองสิ มาคิดแทนได้ไง แล้วเล่นยกเลิก 30 วันแล้วไง ราคาเที่ยวปกติก็ไม่ได้ปรับลดนี่ ถ้าจะยกเลิกซื้อล่วงหน้า 30 วัน แน่จริงก็ปรับลดราคาเที่ยวปกติลงมาด้วยสิ ทุกวันนี้ที่คนเขาไม่ได้เติมเที่ยว 30 วันกัน เพราะตอนนี้เขาเวิร์คฟอร์มโฮมไง ถ้าถึงวันที่ต้องกลับมาใช้ชีวิตปกติไปทำงานกันทุกวัน มันก็ต้องจำเป็นอยู่แล้วป่ะ"

"ระบบผูกขาด คนใช้งานไม่มีทางเลือกอื่น แต่กลับเปลี่ยนราคาซึ่งเเพงมากเมื่อเทียบกับรายได้ประชาชน ขอให้กลับไปพิจารณาใหม่ว่าสมเหตุผลหรือไม่ ลูกค้าจะลดลงทันที"

"เป็นนโยบายที่เห็นแก่ตัวและเอาเปรียบผู้บริโภคที่สุด คุณไม่สามารถทวงหนี้จากรัฐบาลได้ จึงมาใช้วิธีสกปรกเอาเปรียบประชาชนแบบนี้หรอคะ ประชาชนหาเช้ากินค่ำ ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาทแต่ต้องเสียค่าเดินทางไปกลับวันละ 118 บาท ทำงานแทบไม่ต้องคิดถึงเงินเก็บ มีเงินให้เหลือพอใช้ไปวันๆ นี่ก็บุญแล้ว คุณอ้างถึงการไม่วางแผนของประชาชน คุณจะมาคิดแทนประชาชนทำไมคะ เราซื้อด้วยเงินของเรา ทำไมถึงมาคิดว่าเราจะไม่วางแผน อย่ามาซ้ำเติมประชาชนตาดำๆ ในสถานการณ์ที่มันแย่อยู่แล้วแบบนี้เลยค่ะ"

"แบบนี้เขาเรียกหาเหตุผลมาเอาเปรียบนะคะ​ เศรษฐกิจ​แบบนี้​ คนใช้บีทีเอสประจำ​ เพราะมีตั๋ว 30 วัน​ คนใช้เขารู้ว่าเขาจะใช้แบบไหน​ คำนวณได้​ อย่างนี้เขาเรียกซ้ำเติมกันมากกว่า"

"ผมใช้ BTS เพราะมีแบบ 30 วัน คำนวนแล้วมันถูกกว่า ถ้ายกเลิกแบบนี้ ผมคงไปใช้ MRT แทน เพราะนั่งยาวทีเดียวถึงที่ทำงานเลย ไม่ต้องเปลี่ยนขบวนให้ยุ่งยากด้วย จาก 26-28 บาทต่อเที่ยว กลายเป็น 59 บาทต่อเที่ยว แต่ใช้ MRT จ่ายแค่ 42 บาท ถ้าไม่คิดโปรมาทดแทน ระวังลูกค้าหายหมดนะครับ เพราะตัวเลือกอื่นมันก็มีอยู่นะครับ"

"ไม่ตอบโจทย์ตรงไหนคะ ปกติผู้โดยสารก็เลือกได้อยู่แล้วว่าจะเติมเที่ยวหรือเติมเงิน เติมเที่ยวก็มีให้เลือกหลายแบบตามความจำเป็นที่ต้องใช้อยู่แล้ว ทำไมต้องงดเติมเที่ยวล่ะ เที่ยวใช้ไม่หมดก็ตัดทิ้งไม่ทบไปเดือนอื่น คุณมีแต่ได้กับได้ ถ้าคนในประเทศไม่ช่วยเหลือกันเอาตัวรอดเพียงคนเดียวหรือพวกพ้องของตนเอง แบบนี้ไม่ต้องมาอยู่ประเทศเดียวกันหรอกค่ะ อย่าหวังแต่จะกอบโกยสิคะ ถ้าไม่มีผู้บริโภคอย่างเราคุณจะได้เงินจากไหน โปรดพิจารณาใหม่นะคะ #คนไทยเหมือนกัน"

"เข้าใจค่ะว่าแบกหนี้เยอะ รัฐไม่ยอมจ่าย แต่อย่าผลักภาระให้ประชาชนค่ะ ส่วนต่อขยายต้องเพิ่มอีก 15 บาท เท่ากับว่าต้องจ่ายจริง 44 บวก 15 เท่ากับ 59 ไป-กลับ 118 บาท ประทานโทษนะคะบ้านไม่ได้อยู่ติดบีทีเอสค่ะ กรุณาเหลือเงินให้ต่อรถต่อเรือต่อวินด้วยค่ะ"

"ขายแบบเดิมแหละดีแล้ว แล้วก็ประกาศไปเลยว่าถ้ามีการล็อคดาวน์อีกจะไม่มีการคืนเงินหรือขยายเวลาสำหรับคนที่ซื้อแบบเหมาเที่ยว ให้ผู้โดยสารแบกรับความเสี่ยงเอง ถ้าแบบไหนมันคุ้มกว่าเดี๋ยวผู้โดยสารเค้าเลือกเอง ไม่ใช่ไม่มีตัวเลือกให้เค้า"

"ค่าแรงขั้นต่ำคนในประเทศ 300 เป็นค่าเดินทางไปแล้ว 100 ทุเรศ"

"หากใครใช้คนละครึ่งก็พอบรรเทาไปได้บ้างครับ ในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม หวังว่าต้นปีหน้าถ้าทุกอย่างลงตัว โควิดไม่หนักก็ขอให้เอาตั๋ว 30 วันกลับมาเถอะครับ หรือ จะทำแบบซื้อเหมาจำนวนเที่ยวแต่ไม่จำกัดวัน ต่อให้ราคาต่อเที่ยวจะแพงกว่าแบบ 30 วันหน่อยคนก็พร้อมจ่ายครับ"

"เหมือนผลักภาระมาให้ผู้โดยสารแถมยังเอาผู้โดยสารมาอ้าง ผู้โดยสารเขาวางแผนการเดินทางอยู่แล้ว ทำแบบนี้จากที่ผู้โดยสารลดลง มันจะยิ่งลดลง ลงไปอีก"

"หนูเป็นเด็กนักศึกษาปี 1 ธรรมดาๆ ที่ไปทำงานแบ่งเบาภาระครอบครัว ไปทำร้านกาแฟออกบูธที่สยามค่ะ และวางแผนจะทำงานหนึ่งเดือน แล้วต้องไปกลับด้วยรถไฟฟ้า เลยตัดสินใจซื้อบัตรแบบ 50 เที่ยว เพราะถูกกว่าเยอะมาก พอมาเกิดการล็อกดาวน์ของรัฐที่มาประกาศตอนล็อกดาวน์กลางคืน และจะมีผลในอีกไม่กี่วัน หนูทำงานได้แค่ 9 วันค่ะ ซื้อบัตรรถไฟฟ้าพึ่งใช้ได้ 2-3 วันเหลืออีกประมาณ 40 กว่าเที่ยว หมดค่าบัตรไป 950 บาท หนูเที่ยวไปติดต่อว่าจะมีอะไรช่วยเหลือหรือคืนเงินตรงนี้ไหม เขาบอกรอประกาศทางเพจ และพนักงานที่ตอบบอกคิดว่าจะมีส่วนลดให้เที่ยวต่อไปที่เราใช้ คือไม่มีอะไรแน่นอนเลยค่ะ หมดความมั่นใจมากว่าจะได้ชดเชย จนตอนนี้หนูก็ไม่มั่นใจว่าจะได้เงินคืนหรือส่วนลดในส่วนนี้จริงๆไหม กับเหตุการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ งานเราก็ไม่ได้ทำ ไม่มีรายได้ เสียค่าเที่ยวบัตรแพงๆ ไปแต่ไม่ได้ใช้ และความรับผิดชอบต่อลูกค้าของทางรถไฟฟ้าบีทีเอส"

"กลุ่มลูกค้าของคุณมีทุกเพศทุกวัยนะคะ ตั้งแต่เด็กเล็ก นักศึกษา วัยทำงาน ผู้สูงอายุ ทุกคนไม่ได้เงินเดือนห้าหมื่นนะคะ นี่ประเทศไทยเงินเดือนขั้นต่ำคือหมื่นห้า บางจังหวัดหรือบางหน่วยงานได้ไม่ถึงด้วยซ้ำ ทำไมถึงเอาเปรียบประชาชนขนาดนี้คะ เป็นถึงขนส่งสาธารณะ ไม่ควรผลักภาระให้ผู้ใช้บริการค่ะ ควรจะเอื้อประโยชน์ด้วยซ้ำ และที่ทุกคนวางแผนการเดินทางตอนนี้ไม่ได้ เพราะการล็อคดาวน์ประเทศค่ะ เมื่อสถานการณ์กลับมาดีขึ้น ทุกคนยังต้องเดินทางและออกไปใช้ชีวิตตามปกตินะคะ"

"เขามีแต่จะลดราคาระบบขนส่งมวลชน เผื่อให้คนมาใช้งาน นี้เล่นยกเลิกแล้วผลักภาระในคนใช้บริการ คิดง่ายๆ ครับคนทำงาน สีลม สุขุมวิท อยู่ปลายๆ สายเผื่อประหยัดค่าที่พัก เดิมเหมาจ่าย 20 กว่าบาท กลายเป็น 44 บาท นี้ยังไม่รวมค่าส่วนต่อขยายนะครับ ถามว่าจะให้ย้ายไปใกล้ที่ทำงาน ค่าที่พักก็คูณ 2-3 เท่าตัวไป จะอ้างว่าพฤติกรรมคนใช้บริการเปลี่ยนเพราะโควิดมันก็ต้องแน่นอนแหละครับ เพราะคนยังกลับไปทำงานที่บริษัทไม่ได้ทั้งหมด คนก็เลยไม่เติมเที่ยวกัน ถ้าโควิดหายเดี๋ยวคนก็กลับไปเติมกันเองแหละครับ ตรรกะแค่นี้คิดกันไม่ได้เลยหรือยังไง?"



อนึ่ง สำหรับเที่ยวเดินทาง 30 วัน ก่อนหน้านี้ เป็นการเติมโปรโมชันลงในบัตรแรบบิท ทั้งแบบบุคคลทั่วไป และนักเรียน-นักศึกษา ใช้เดินทางได้ตามจำนวนเที่ยวที่เลือกตามโปรโมชั่น โดยไม่จำกัดระยะทาง เฉพาะสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส 25 สถานีเดิม ยกเว้น สถานีส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท (ตั้งแต่สถานีบางจาก ถึงสถานีเคหะ) และสีลม (ตั้งแต่สถานีโพธิ์นิมิตร ถึงสถานีบางหว้า) ต้องจ่ายเพิ่ม 10-15 บาท ราคาสำหรับบุคคลทั่วไป 15 เที่ยว 465 บาท เฉลี่ย 31 บาทต่อเที่ยว, 25 เที่ยว 725 บาท เฉลี่ย 29 บาทต่อเที่ยว, 40 เที่ยว 1,080 บาท เฉลี่ย 27 บาทต่อเที่ยว, 50 เที่ยว 1,300 บาท เฉลี่ย 26 บาทต่อเที่ยว ราคาสำหรับนักเรียน นักศึกษา 15 เที่ยว 360 บาท เฉลี่ย 24 บาทต่อเที่ยว, 25 เที่ยว 550 บาท เฉลี่ย 22 บาทต่อเที่ยว, 40 เที่ยว 800 บาท เฉลี่ย 20 บาทต่อเที่ยว และ 50 เที่ยว 950 บาท เฉลี่ย 19 บาทต่อเที่ยว

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะทำให้ผู้โดยสารต้องเสียค่าโดยสารตามอัตราปกติ โดยสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส 25 สถานีเดิม คิดค่าโดยสารไปสถานีที่ 1 ราคา 16 บาท, สถานีที่ 2 ราคา 23 บาท, สถานีที่ 3 ราคา 26 บาท, สถานีที่ 4 ราคา 30 บาท, สถานีที่ 5 ราคา 33 บาท, สถานีที่ 6 ราคา 37 บาท, สถานีที่ 7 ราคา 40 บาท, สถานีที่ 8 เป็นต้นไป ราคา 44 บาท แต่ถ้าเข้าสถานีส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท ตั้งแต่สถานีบางจาก ถึงสถานีแบริ่ง และส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีลม ตั้งแต่สถานีโพธินิมิตร ถึงสถานีบางหว้า จะคิดค่าโดยสารเพิ่มอีก 15 บาท เป็น 59 บาท (นักเรียน-นักศึกษาเพิ่มอีก 10 บาท เป็น 54 บาท) ส่วนรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ยังคงไม่เก็บค่าโดยสาร เนื่องจากอยู่ระหว่างการเตรียมขออนุมัติสัญญาสัมปทานกับคณะรัฐมนตรี (ครม.)
#5486

นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท เจเคเอ็น โกล. มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKNแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ได้มีมติอนุมัติให้ บริษัทย่อยคือ บริษัท เจเคเอ็น เบสท์ ไลฟ์ จำกัด (JKN Best Huay Life)เข้าลงทุนในบริษัท ไฮ ช็อปปิ้ง จำกัด (HS) ซึ่งประกอบธุรกิจให้บริการผลิตรายการโทรทัศน์ พัฒนาระบบและบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจบริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ เพื่อการแนะนำและขายสินค้าผ่านสื่อกลางหลากหลายช่องทาง ได้แก่ (1)ช่องนำสัญญานผ่านระบบดาวเทียม (2) ระบบเคเบิ้ล (3) ระบบดิจิตอล (4) ระบบเครือข่ายโทรคมนาคมอื่น ๆ

โดย HS มีบริษัทย่อยที่ถือหุ้นร้อยละ 100 ของหุ้นทั้งหมด คือ บริษัท ไฮ ช็อปปิ้ง ทีวี จำกัด ("HSTV") ซึ่งประกอบธุรกิจหลักในการให้บริการกิจการโทรทัศน์ โดย HSTV เป็นผู้ถือใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ เพื่อให้บริการการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์สำหรับกิจการที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ผ่านช่องรายการ HIGH SHOPPING ในการนี้ JKN Best Life (ในฐานะผู้ซื้อ) ได้เข้าลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นที่เกี่ยวข้อง กับ บริษัท อินทัช มีเดีย จำกัด (ในฐานะผู้ขาย) และสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นปัจจุบัน กับ บริษัท ฮุนได โฮม ช็อปปิ้ง เน็ตเวิร์ก คอร์ปอเรชั่น เป็นที่เรียบร้อยแล้ววันที่1 กันยายน 2564


ทั้งนี้ JKN Best Lifeเข้าลงทุนใน HS มีดังต่อไปนี้
1. การเข้าซื้อหุ้นสามัญของ HS จำนวน 27,183,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ในราคาซื้อขายรวม 100 บาท จากผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท คือ บริษัท อินทัช มีเดีย จำกัด ภายหลังที่ HS ดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจำนวน 33,000,000 บาท จากทุนจดทะเบียนปัจจุบัน 500,000,000 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่533,000,000 บาท โดยภายหลังการเข้าลงทุนดังกล่าว JKN Best Life จะถือหุ้น จำนวน51 %ของหุ้นที่ออกและจeหน่ายแล้วทั้งหมดของ HS


2. ภายใน 31 ต.ค. 2564 หลังจากการเข้าทำธุรกรรมการซื้อหุ้นเดิมเสร็จสิ้น HS จะเพิ่มทุนจดทะเบียน จำนวนไม่เกิน 48,730,000 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 4,873,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท โดย JKN Best Life ในฐานะผู้ถือหุ้น จะเข้าจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ HS ตามสัดส่วนการถือหุ้นใน HS จำนวนไม่เกิน 2,490,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท คิดเป็น 51% ของหุ้นทั้งหมดภายหลังจากการเพิ่มทุน โดยมีมูลค่าการจองซื้อหุ้นในครั้งนี้ไม่เกิน 24,900,000 บาท ภายหลังการเข้าทำธุรกรรมการซื้อหุ้นเดิม และธุรกรรมการซื้อหุ้นเพิ่มทุนข้างต้น JKN Best Lifeจะถือหุ้นสามัญใน HS จำนวนทั้งสิ้นไม่เกิน 29,673,000 หุ้น หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 51 ของหุ้นทั้งหมด รวมเป็นมูลค่าการลงทุนใน HS ทั้งสิ้นไม่เกิน 24,900,100 บาท

สำหรับข้อกำหนดและเงื่อนไขที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการเข้าลงทุนใน HS ภายใต้สัญญาที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการเข้าลงทุนใน HS ดังกล่าว มีดังต่อไปนี้


1. ภายใน 30 วันนับแต่วันเข้าท าสัญญาซื้อขายหุ้นที่เกี่ยวข้อง ผู้ถือหุ้นปัจจุบันของ HS ได้แก่ บริษัท อินทัชมีเดีย จำกัด และ บริษัท ฮุนได โฮม ช็อปปิ้ง เน็ตเวิร์ก คอร์ปอเรชั่น จะดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียนของ HS จ านวน 33,000,000 บาท และจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนตามสัดส่วนการถือหุ้น โดยเพิ่มทุนจากทุนจดทะเบียนเดิม 500,000,000 บาท เป็นทุนจดทะเบียน ใหม่533,000,000 บาท


2. ภายใน 31 ตุลาคม 2564 หลังจากการเข้าท าธุรกรรมการซื้อหุ้นเดิมเสร็จสิ้น และ JKN Best Lifeเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใน HS จำนวนร้อยละ 51 ของหุ้นทั้งหมดแล้ว JKN Best Lifeจะดำเนินการเข้าทำธุรกรรมการซื้อหุ้นเพิ่มทุน และให้ HS กู้ยืมเงินเป็นจำนวน 10,000,000 บาท โดยการเข้าทำสัญญากู้ยืมเงินที่เกี่ยวข้อง


นอกจากนี้JKN Best Life ตกลงว่า ในกรณีที่ HS ต้องการเงินเพิ่มเติมในการประกอบกิจการของ HS JKN Best Life ตกลงจะให้ HS กู้เงินเพิ่มเติมในวงเงินไม่เกิน 15,000,000 บาท

HS เป็นบริษัทที่ประกอบกิจการผลิต และให้บริการผลิตรายการโทรทัศน์ พัฒนาระบบและบริหารจัดการที่ เกี่ยวข้องกับธุรกิจบริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ เพื่อการแนะนำและขายสินค้าผ่านสื่อกลางหลากหลายช่องทางได้แก่ (1) ช่องนำสัญญานผ่านระบบดาวเทียม (2) ระบบเคเบิ้ล (3) ระบบดิจิตอล (4) ระบบเครือข่ายโทรคมนาคมอื่น ๆ โดยมี HSTV (บริษัทย่อยที่ HS ถือหุ้นร้อยละ 100 ของหุ้นทั้งหมด) ซึ่งประกอบธุรกิจหลักในกำรประกอบกิจการโทรทัศน์ โดย HSTV เป็นผู้ ถือใบอนุญาตประกอบกิจการกระจำยเสียงหรือโทรทัศน์เพื่อให้บริการการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์สำหรับกิจการที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ผ่านช่องรายการ

ซึ่งการเข้าลงทุนในครั้งนี้จะเป็นช่องทางในการร่วมมือทางธุรกิจเพื่อพัฒนาศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจในด้านการโทรทัศน์ใน
ระดับประเทศ และภูมิภาค รวมถึงธุรกิจการขายสินค้ำอุปโภค และบริโภคของบริษัท และ JKN Best Life และสามารถส่งเสริม และเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจของบริษัท และ JKN Best Life ในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการลงทุนของบริษัท

นอกจากนี้KN Best Life เล็งเห็นว่า HS มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจโฮม ช็อปปิ้ง มีระบบคอลล์เซ็นเตอร์เต็มรูปแบบ มีฐานลูกค้าจำนวนมา สามารถสนับสนุนการดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้าของ JKN Best Life ซึ่งมีแนวทางในการดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้าในรูปแบบโฮม ช็อปปิ้ง เป็นหลัก ได้เป็นอย่างดีและสามารถดำเนินงาได้ทันทีJKN Best Life จึงให้ความช่วยเหลือทางการเงินในครั้งนี้ต่เพียงผู้เดียว เพื่อเป็นการเพิ่มสภาพคล่องและศักยภาพในการดำเนินงานของ HS ในปัจจุบันและในอนาคตภายหลังจากเข้าลงทุนในการพัฒนาและ ต่อยอดธุรกิจของ HS และ HSTV จึงเป็นการสมเหตุสมผลและไม่เป็นการเสียเปรียบในเชิงธุรกิจ
#5489


ชูลส์ คุนเด โดนใบแดงช่วงต้นครึ่งหลัง 'ตราไก่' ฝรั่งเศส ฟอร์มฝืด เปิดบ้านทำได้แค่เสมอกับ บอสเนียฯ 1-1 ยังรั้งจ่าฝูงของกลุ่ม ดี

ศึกฟุต.โลก 2022 รอบคัดเลือก โซนยุโรป วันพุธที่ 1 กันยายน 2564 เกมที่น่าสนใจ กลุ่ม ดี 'ตราไก่' ฝรั่งเศส เปิดบ้านที่ สต๊าด เดอ ลา เมนัว รับการมาเยือนของ บอสเนีย แอนด์ เฮอร์เซโกวิน่า

ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ เฮดโค้ชฝรั่งเศส วาง คาริน เบนเซมา, อองตวน กรีซมันน์ และคีเลียน เอ็มบัปเป้ เป็น 3 ประสานแนวรุก โดยมี พอล ป็อกบา คุมแดนกลาง ขณะที่ บอสเนียฯ นำทัพมาโดย เอดิน เชโก, มิราเล็ม ปานิช และเซอัด โคลาซินัช

ปรากฎว่าเกมนี้ บอสเนียฯ ได้ประตูออกนำก่อน 1-0 จาก เอดิน เชโก น.36 แต่ฝรั่งเศส ตีเสมอย่างรวดเร็ว 1-1 จาก อองตวน กรีซมันน์ น.40 และจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์นี้

ครึ่งหลังทัพ 'ตราไก่' ต้องเหลือผู้เล่น 10 นาที หลังจาก ชูลส์ คุนเด โดนใบแดงโดยตรงไล่ออกจากสนาม

สุดท้ายทั้งสองทีมไม่มีใครทำประตูกันได้ หมดเวลาการแข่งขัน 90 นาที ฝรั่งเศส เสมอ บอสเนียฯ 1-1 แบ่งกันไปทีมละ 1 คะแนน

จากผลเสมอดังกล่าวทำให้ ฝรั่งเศส มีเพิ่มเป็น 4 คะแนน ยังรั้งจ่าฝูงของกลุ่ม ดี มี 8 แต้ม จาก 4 นัด ส่วน บอสเนียฯ มี 3 แต้ม จาก 3 นัด รั้งอันดับ 4 ของกลุ่ม

รายชื่อ 11 ตัวจริงของทั้งสองทีม
ฝรั่งเศส : อูโก ญอริส (GK), จูลส์ คุนเด, ราฟาเอล วาราน, เพรสเนล คิมเพมเบ, ลูกา ดีญ, จอร์แดน เวเรตู, พอล ป็อกบา, โธมัส เลอมาร์, อองตวน กรีซมันน์, คาริม เบนเซมา, คีเลียน เอ็มบัปเป้

บอสเนียฯ : อิบราฮิม เซฮิช (GK), เดนนิส ฮัดซิกาดูนิช, อาเนล อาห์เมด์ฮอดซิช, ซินิซา ซานิคานิน, มาเตโอ ซูซิช, อาเมียร์ ฮัดซิอาห์เมโตวิช, มิราเล็ม ปานิช, โกจ์โค คิมิรอต, เซอัด โคลาซินัช, เอร์เมดิน เดมิโรวิช, เอดิน เชโก
#5490


นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID – 19) ทำให้มีการชะลอการรับซื้อของตลาดทั้งในและต่างประเทศ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จึงได้เร่งเข้าไปแก้ไขปัญหา ตามมาตรการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2564 ดังนี้ 

1. สนับสนุนการรับซื้อผ่านสัญญาข้อตกลงระหว่างกลุ่มเกษตรกรกับห้างค้าส่ง-ค้าปลีก 7 ราย ได้แก่ บิ๊กซี เดอะมอลล์ สยามแมคโคร โลตัส ท็อปมาร์เก็ต ตลาดกลางสินค้าเกษตร และ P80 2. รณรงค์บริโภคผลไม้ผ่านร้านธงฟ้า, รถโมบายผลไม้ จำหน่ายในเขตกรุงเทพและปริมณฑล จำนวน 30 คัน, สถานีบริการน้ำมัน 3 ราย ได้แก่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน), บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน), ผ่านห้างท้องถิ่น, ห้างค้าส่ง-ค้าปลีก และททบ.5 มากกว่า 24,000 ตัน และ 3. เข้าไปรับซื้อผลผลิตลำไยรูดร่วง 3,000 ตัน ในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก ซึ่งเกษตรกรประสบปัญหาไม่มีช่องทางการตลาด ส่งผลให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น



ในส่วนของกิจกรรมในวันนี้ กรมฯ ได้ผนึกกำลังร่วมกับสถานีบริการน้ำมัน 3 รายใหญ่ ประกอบด้วย บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน), บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปตท. น้ำมัน และการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) รับซื้อลำไยอบแห้งแล้วในปริมาณ 200 ตัน ซึ่งคิดเป็นลำไยสด 600 ตัน นำมามอบให้กับผู้ใช้บริการในสถานีให้บริการน้ำมัน ทั้งกรุงเทพ ปริมณฑลฯ และภาคอีสาน รวมกว่า 1,000 สาขา ในจำนวน 1,000,000 ถุง โดยกรมฯ ช่วยสนับสนุนค่าบริหารจัดการ และประชาสัมพันธ์โครงการ เพื่อส่งเสริมการบริโภคลำไยอบแห้ง ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกลำไยที่ไม่สามารถกระจายผลผลิตออกสู่แหล่งเพาะปลูกได้ ในห้วงเวลานี้

อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า กรมฯ มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าการเข้าไปช่วยเร่งกระจายผลผลิตลำไย สู่ผู้บริโภคโดยตรงจะสามารถกระตุ้นการบริโภคได้เป็นอย่างมาก และจะสามารถรักษาเสถียรภาพด้านราคาส่งผลให้สถานการณ์ราคาลำไยในภาคเหนือกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง อีกทั้งพี่น้องเกษตรกรก็จะมีรายได้ที่ดีขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน