• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Beer625

#6016


วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) เผยกลยุทธ์การขายปี 2564 เดินหน้าเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการทำงานสู่ระบบดิจิทัล (Digital Transformation) เพื่อมอบบริการบนเครือข่ายดิจิทัลที่สมบูรณ์แบบ (Digital Services) เปิดตัวศูนย์บริการลูกค้ารูปแบบใหม่ Customer Relations Center (CRC) สัมผัสการบริการแบบครบวงจรให้ความรู้สึกปลอดภัยตลอดการเดินทาง และ ยังคงให้ความสำคัญกับการยกระดับโชว์รูมบนมาตรฐาน Volvo Retail Experience (VRE) รวมถึงบริการซ่อมบำรุงระดับพรีเมียม Volvo Personal Service (VPS) สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมเปิดตัวรถยนต์พลังไฟฟ้าทั้งแบบ Plug-in Hybrid และ Pure Electric ตามแผนธุรกิจระยะ 10 ปีของวอลโว่ เพื่อมุ่งสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์พลังงานสะอาดระดับพรีเมียมของโลกภายในปี 2573

ตลอดปี 2563 ที่ผ่านมา วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย มียอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่ 1,824 คัน โดยเป็นลูกค้าองค์กร 26% ส่วนการจำหน่ายรถยนต์มือสองภายใต้มาตรฐาน Volvo Selekt Used Cars มีอัตราลดลงเพียง 10% สำหรับรถยนต์ที่ขายดีที่สุดในปีที่ผ่านมา ได้แก่รุ่น XC40 คิดเป็น 30% ของยอดจำหน่ายรวม อันดับสองคือรุ่น XC60 คิดเป็น 26% และอันดับสามคือรุ่น V60 คิดเป็น 16% โดยรุ่นที่น่าจับตามองคือรุ่น S60 ซึ่งเปิดตัวในช่วงการแพร่ระบาดอย่างหนักของโรคระบาดโควิด-19 แต่ยังสามารถจำหน่ายได้นับร้อยคันทันทีที่เปิดจอง



นายภัทรพงษ์ อชะปาละศิริ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด สรุปการดำเนินธุรกิจของวอลโว่ ประเทศไทยในปีที่ผ่านมาว่า "วิกฤติการณ์ในปี 2563 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก สำหรับวอลโว่ คาร์ ประเทศไทย เรามีการตั้งรับสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ด้วยการยกระดับช่องทางการสื่อสารออนไลน์และมาตรฐานด้านสุขอนามัยในศูนย์บริการทุกแห่งเพื่อเพิ่มความมั่นใจและความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้า ซึ่งทำให้เราสามารถจำหน่ายรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดระดับพรีเมียมได้เกือบ 2,000 คัน โดยลดลงจากปี 2562 เพียง 13% เท่านั้น ซึ่งเห็นได้ชัดว่าผู้บริโภครายย่อยยังคงเชื่อมั่นในประสิทธิภาพและความคุ้มค่าของรถยนต์วอลโว่อย่างมาก"

สำหรับการดำเนินงานด้านการยกระดับคุณภาพของศูนย์บริการในปี 2563 วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย สามารถขยายเครือข่ายโชว์รูมพันธมิตรเพิ่มอีก 3 แห่ง และยังสามารถขับเคลื่อนการดำเนินงานของโชว์รูมและศูนย์บริการพันธมิตรทุกสาขาให้สอดคล้องตามมาตรฐาน Volvo Retail Experience (VRE) ทุกขั้นตอน



การปรับกลยุทธ์การขายปี 2564

ภายใต้แนวคิด "Change Today for a .ter Future"

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และเป็นตัวกระตุ้นหลักที่ทำให้วอลโว่เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นในด้านผลิตภัณฑ์ การให้บริการของโชว์รูมและศูนย์ซ่อมบำรุง ไปจนถึงระบบสนับสนุนของศูนย์บริการลูกค้า Customer Relations Center (CRC) เพื่อให้ตอบรับสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งร่วมสร้างสรรค์อนาคตที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้คน ตามแนวคิด "Change Today for a .ter Future"

-การเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของแบรนด์

ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย ได้เปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสมบูรณ์แบบรุ่นแรก Volvo XC40 Recharge Pure Electric ซึ่งสร้างกระแสความตื่นตัวด้านรถยนต์พลังไฟฟ้าในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทยเป็นอย่างมาก ทั้งยังจับมือเป็นพันธมิตรกับ EA Anywhere ผู้ให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ระบบไฟฟ้าของเมืองไทย ซึ่งมีสถานีชาร์จไฟกว่า 1,000 จุดทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้ใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้เดินทางไกลได้อย่างไร้กังวลเรื่องการหาสถานีชาร์จไฟ และปูทางสู่อนาคตรถยนต์พลังไฟฟ้าที่ยั่งยืน



-ขยายเครือข่ายผู้จัดจำหน่าย และ ยกระดับศูนย์บริการซ่อมบำรุงต่อเนื่อง

นอกจากการขับเคลื่อนโชว์รูมทุกแห่งให้สามารถมอบบริการตามมาตรฐาน Volvo Retail Experience (VRE) ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย ได้เปิดตัวผู้จัดจำหน่ายรายใหม่อย่างเป็นทางการ จำนวน 3 ราย ได้แก่ 14 Auto Marque เขตจอมทอง, Newton Prestige Auto เขตตลิ่งชัน และ Phranakorn Swedish Car สาขาลาดพร้าว และอีก 1 ราย ล่าสุด GT Auto สาขาพัทยา เมื่อเร็วๆนี้ ต่อมาในเดือนกรกฎาคม ยังประกาศให้ ศูนย์บริการวอลโว่ของเอ็มดับบลิว มอเตอร์วัน ผ่านการรับรองมาตรฐาน Volvo Personal Service (VPS) อย่างเป็นทางการ โดยวอลโว่ คาร์ ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นยกระดับโชว์รูมและศูนย์บริการทุกแห่งอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่าจะได้รับบริการบนมาตรฐานระดับโลกจากศูนย์บริการรถยนต์วอลโว่ทุกสาขาในประเทศไทย

-ศูนย์บริการลูกค้า Customer Relations Center (CRC) เพื่อมอบ Digital Services เต็มรูปแบบ

ไม่เฉพาะการอัปเกรดผลิตภัณฑ์ วอลโว่ยังยกระดับประสิทธิภาพของศูนย์บริการลูกค้า สู่การเป็นศูนย์บริการลูกค้าระบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ ให้เป็นมากกว่าสายด่วนตอบข้อซักถามทั่วไป "Customer Relations Center (CRC)" ในรูปแบบศูนย์ข้อมูลกลาง และการประสานงานผ่านเครือข่ายดิจิทัล รองรับทั้งการจำหน่ายรถยนต์วอลโว่พลังงานไฟฟ้า (Pure Electric) ผ่านระบบออนไลน์แบบ Site To Store รวมถึงการทำธุรกรรมทั้งก่อนและหลังการขาย โดยมีฟีเจอร์หลักคือ การรับแจ้งเหตุฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่ง CRC จะทำงานร่วมกับเทคโนโลยีอัจริยะในรถยนต์วอลโว่เพื่อรับสัญญาณแจ้งเหตุอัตโนมัติพร้อมข้อมูลพิกัดรถยนต์ เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีในทุกสถานการณ์ CRC จึงทำหน้าที่เปรียบเหมือนผู้ช่วยดิจิทัลที่คอยดูแลลูกค้าวอลโว่ตลอดการเดินทาง



ช่องทางจำหน่ายที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์วันนี้

วอลโว่เพิ่มช่องทางการขายให้มีความหลากหลายเพื่อตอบรับกับมาตรการเว้นระยะห่างของผู้คนในปัจจุบัน โดยนำเสนอทั้งช่องทาง LINE Official Account และ การสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ www.volvocars.com/th โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้าซึ่งมีบริการ Site To Store โดดเด่นด้วยฟังก์ชันที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถออกแบบรถยนต์ไฟฟ้าในฝันได้โดยไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ หากพึงพอใจ สามารถสั่งซื้อและนัดหมายรับรถยนต์วอลโว่ที่ผู้จัดจำหน่ายสาขาใกล้บ้านได้อย่างรวดเร็ว โดย CRC จะคอยดูแลประสานงานเพื่อให้ธุรกรรมทุกขั้นตอนถูกต้อง เรียบร้อย และสะดวกรวดเร็วสำหรับลูกค้ามากที่สุด

เป้าหมายกลยุทธ์การขายในปี 2564

สถานการณ์โควิด-19 ยังคงส่อแววยืดเยื้ออีกเป็นเวลานานและจะทำให้ผู้บริโภคมีพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าและการทำธุรกรรมผ่านระบบออนไลน์เพิ่มมากขึ้น วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย จึงเชื่อมั่นว่ากลยุทธ์การดำเนินงานสู่ระบบดิจิทัลคือแนวทางที่ตอบโจทย์กับสถานการณ์ในปัจจุบันและจะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของแบรนด์ในอนาคต
นอกจากนี้ รถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ ที่บริษัทฯ มีแผนจะทยอยเปิดตัวในระยะเวลาอันใกล้นี้ จะช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์วอลโว่ในปี 2564 ได้อย่างมีนัยสำคัญ



แผนการดำเนินงาน 10 ปีสู่อนาคตแห่งพลังงานสะอาด

วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย กำหนดเป้าหมายให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของวอลโว่ คาร์ คอร์เปอร์เรชั่น นั่นคือภายในปี 2568 นั้น 50% ของยอดจำหน่ายรถยนต์วอลโว่ต้องมาจากรถยนต์พลังไฟฟ้า100% และภายในปี 2573 รถยนต์ทุกรุ่นที่วอลโว่จำหน่ายจะต้องเป็นรถยนต์พลังไฟฟ้า100% เท่านั้น

"จากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตของผู้คนอย่างมาก ทำให้เราตระหนักว่า การปรับปรุงผลิตภัณฑ์เพียงด้านเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกวันนี้ กลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการทำงานสู่ระบบดิจิทัลของวอลโว่จึงเป็นอีกหนึ่งก้าวของการพัฒนาครั้งสำคัญ เพื่อให้แบรนด์วอลโว่สามารถเชื่อมโยงและเข้าถึงลูกค้าได้อย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น ซึ่งไม่เฉพาะเพื่อรองรับการจำหน่ายเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการมอบความสะดวกสบายและดูแลความปลอดภัยให้กับลูกค้าผู้ใช้รถยนต์วอลโว่ตลอด 24 ชั่วโมง กล่าวได้ว่าทิศทางของวอลโว่ในปีนี้คือการใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมและบริการบนเครือข่ายดิจิทัล เพื่อให้เราเข้าใกล้และเข้าใจผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น สมกับปรัชญาหลักในการทำงานของเรา People are the Core of Everything We Do" นายภัทรพงษ์ อชะปาละศิริ กล่าว
#6017



เสียวหมี่ (Xiaomi) เปิดตัว 5 ผลิตภัณฑ์ AIoT ใหม่ ขยายอาณาจักรสมาร์ทลิฟวิ่งด้วยสินค้ากลุ่มความบันเทิงในบ้าน อุปกรณ์ทำอาหาร และสกู๊ตเตอร์สำหรับเดินทางในชีวิตประจำวัน วางเป้าหมายยกระดับการใช้ชีวิตอัจฉริยะสำหรับผู้บริโภคในทุกด้าน สินค้าเด่นคือ Mi Smart Air Fryer หม้อทอดไร้น้ำมันอัจฉริยะขนาด 3.5 ลิตร สั่งการด้วยเสียง

การเปิดตัวรอบนี้ถือเป็นก้าวล่าสุดของเสียวหมี่ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นในเดือนเมษายน 2010 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Main Board of the Hong Kong Stock Exchange ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2018 แม้จะระบุว่าเป็น "บริษัทอินเทอร์เน็ตที่มีสมาร์ทโฟนและสมาร์ทฮาร์ดแวร์อัจฉริยะที่เชื่อมต่อด้วยแพลตฟอร์ม Internet of Things (IoT) เป็นแกนหลัก" แต่หลักการของบริษัทคือไม่ลดละที่จะสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพในราคาที่เป็นจริง ทำให้สินค้าที่แหวกแนวหลายตัวของบริษัทได้รับความสนใจในวงกว้าง

ผลคือในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 เสียวหมี่กลายเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนอันดับที่ 2 ของโลก และได้สร้างแพลตฟอร์ม AIoT (AI+IoT) สำหรับลูกค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยสถิติล่าสุดย้ำว่าเสียวหมี่มีสมาร์ทดีไวซ์มากกว่า 324.8 ล้านผลิตภัณฑ์ ซึ่งไม่รวมสมาร์ทโฟนและแล็ปท็อป ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์เสียวหมี่วางจำหน่ายมากกว่า 100 ตลาดทั่วโลก

หม้อทอดสั่งด้วยเสียง

หม้อทอดไร้น้ำมันอัจฉริยะ Mi Smart Air Fryer ขนาด 3.5 ลิตร เป็นหม้อทอดที่เสียวหมี่เชื่อว่าจะทำให้ชีวิตของทุกคนที่ง่วนอยู่กับการจัดการชีวิต ไม่พลาดกับการมีสุขภาพที่ดี เนื่องจากการเข้าครัวจะเป็นเรื่องง่าย เพราะหม้อทอดนี้สามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชั่น Mi Home ได้ ผู้ใช้งานจึงควบคุมได้จากทุกที่ ซึ่งสามารถเซ็ตความร้อนได้ตั้งแต่ 40°C จนถึง 200°C ทำให้อาหารสุกพร้อมทานอย่างพอดี นอกจากนี้ในตัวแอปยังมีสูตรอาหารไอเดียใหม่ๆ กว่า 100 รายการที่ใช้กับ Mi Smart Air Fryer ขนาด 3.5 ลิตรนี้ได้ ทำให้การทำอาหารเป็นเรื่องง่ายดายและไม่จำเจ

สามารถใช้ Voice Command จาก Google Assistant หรือ Alexa จาก Amazon ที่จะช่วยเปิด ปิด หรือแจ้งว่าเหลือเวลาที่ตั้งไว้อีกกี่นาที 

สามารถใช้ Voice Command จาก Google Assistant หรือ Alexa จาก Amazon ที่จะช่วยเปิด ปิด หรือแจ้งว่าเหลือเวลาที่ตั้งไว้อีกกี่นาที

ผู้ใช้งาน Mi Smart Air Fryer ขนาด 3.5 ลิตร สามารถตั้งเวลาในการทำอาหารได้ล่วงหน้าถึง 24 ชั่วโมง นับว่าเป็นการเปิดประสบการณ์ทำอาหารในทุกแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นการหมักโยเกิร์ต การเอาน้ำออกจากอาหารสัตว์ และหากว่ามือไม่ว่าง ผู้ใช้งานก็ยังสามารถใช้ Voice Command จาก Google Assistant หรือ Alexa จาก Amazon ที่จะช่วยเปิด ปิด หรือแจ้งว่าเหลือเวลาที่ตั้งไว้อีกกี่นาที นอกจากนี้หน้าจอ OLED สุดคมชัดยังทำให้คุณชำเลืองมองเวลาและอุณหภูมิได้อย่างง่ายดาย ราคา 99 ยูโร (ราว 3,800 บาท)

เสียวหมี่ยังแจ้งเกิดผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ใช้ชีวิตนอกบ้านได้สนุกยิ่งขึ้น นั่นคือสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า Mi Electric Scooter 3 นวัตกรรมใหม่จากเสียวหมี่ที่มีจุดขายว่าสามารถยกระดับการใช้ชีวิตทั้งภายในและภายนอกบ้านได้

Mi Electric Scooter 3 ยานพาหนะที่มีฟีเจอร์และระบบความปลอดภัย
เสียวหมี่มองว่าตัวเองเป็นผู้นำในธุรกิจสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า เพราะมียอดขายกว่า 4,000,000 คันทั่วโลกแล้ว รอบนี้เป็นคิวของ Mi Electric Scooter 3 ยานพาหนะที่มีฟีเจอร์และระบบความปลอดภัยที่ได้รับการพัฒนาแล้ว โดยมีสองสีให้เลือกสรร ไม่ว่าจะเป็น Onyx Black หรือ Gravity Grey นอกจากนี้ ยังมีน้ำหนักที่เบาและอัปเกรดดีไซน์มาให้พับได้ถึงสามขั้น

Mi Electric Scooter 3 ราคาเท่าจอมอนิเตอร์

Mi Electric Scooter 3 สามารถทำความเร็วได้ถึง 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์สูงสุด 600W และไม่ว่าจะเจอเนินหรือหลุม Mi Electric Scooter 3 ก็สามารถเคลื่อนผ่านไปได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ความปลอดภัยใหม่ๆ ซึ่งรวมไปถึงระบบเบรค E-ABS regenerative anti-lock และดิสก์เบรคคู่ล้อหลัง ราคาเริ่ม 449 ยูโร (ประมาณ 17,000 บาท)

สำหรับสินค้ากลุ่มการเชื่อมต่อ เสียวหมี่เปิดตัว Mi Router AX9000 ในฐานะเราเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อบ้านในอนาคต สำหรับเป็นดิจิทัลฮับกระจายความบันเทิง

Mi Router AX9000

ความพิเศษของ Mi Router AX9000 คือการเป็นเราเตอร์รุ่นแรกของเสียวหมี่ที่รองรับ Tri-Band WI-FI 6 มาพร้อมกับขุมพลังชิปเซ็ตของ Qualcomm® Hexa-core processor เราเตอร์ระดับแฟลกชิปตัวนี้รองรับคลื่นความถี่ 4GHZ 1 ช่องและ 5GHZ ได้พร้อมกันถึง 2 ช่อง จึงสามารถยกระดับประสบการณ์การเล่นเกมได้อย่างไม่มีสะดุด แม้จะเชื่อมต่อกับหลายอุปกรณ์ในช่วงเวลาเดียวกัน

Mi Router AX9000 ทำความเร็วสูงสุด 8,354 Mbps ครองใจเหล่าเกมเมอร์ยุคใหม่ตลอดจนบ้านที่ต้องการเราเตอร์ระดับไฮเอนด์ ที่รองรับ high-bandwidth ไม่ว่าจะเล่นเกม ดาวน์โหลดไฟล์ หรือสตรีมหนังระดับ 4K มาพร้อมกับเสาสัญญาณ AIoT ที่ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อและจัดการเน็ตเวิร์คของอุปกรณ์ได้ ราคา 299 ยูโร (ราว 11,639 บาท)


นอกจากนี้ยังมี Mi 2K Gaming Monitor ขนาด 27 นิ้ว ความละเอียดคมชัดระดับ 2560 x 1440 QHD และมีอัตรารีเฟรชเรทสูง 165Hz ราคาเริ่ม 449 ยูโร (ประมาณ 17,000 บาท)

รวมถึงหูฟัง Redmi Buds 3 Pro หูฟังใหม่ล่าสุดที่มีระบบตัดเสียงรบกวนแบบ Hybrid ANC รวมถึงการรับเสียงจากภายนอกภายใต้ รองรับ Bluetooth 5.2 ซึ่งสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์พร้อมกันได้ถึง 2 เครื่องแบบไม่ต้องกลัวหลุด รับสายโทรเข้าได้ขณะที่กำลังดูวิดีโอจากแลปท็อปอยู่ สามารถใช้งานลำพังได้นานถึง 6 ชั่วโมง หรือทั้งหมด 28 ชั่วโมงเมื่อนำไปชาร์จเข้ากับตัวเคส และเพียงชาร์จแค่ 10 นาที หูฟังจะสามารถใช้ฟังเพลงได้นาน 3 ชั่วโมง ราคาเริ่ม 69.9 ยูโร (ราว 2,720 บาท).
#6019



นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยความคืบหน้าธุรกิจให้บริการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปว่า ขณะนี้ ยังไม่ได้ดำเนินการติดตั้ง เนื่องจากลูกค้าหลายรายที่เคยเจรจากันไว้ ขอชะลอแผนการลงทุนติดตั้ง

โซลาร์รูฟท็อปออกไปก่อน ซึ่งเป็นการตัดสินใจภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ โดยเฉพาะผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด-19

"ยอมรับว่าสถานการณ์ปัจจุบันลำบาก ไม่มีคนอยากจะลงทุน และหลายโรงงานก็ปิดตัวลง ทำให้ธุรกิจโซลาร์รูฟท็อปยังไม่คืบหน้า ตอนนี้ยังไม่ได้ตามเป้าหมาย แต่ในอนาคตยังเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตได้ และบริษัทยังไม่ล้มเลิกธุรกิจนี้แน่นอน เพียงแต่รอความพร้อมของลูกค้าที่ขอชะลอการติดตั้งออกไปก่อน"

สำหรับธุรกิจให้บริการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ก่อนหน้านี้ เอ็กโก กรุ๊ป ระบุว่า มีลูกค้าในมือแล้ว ประมาณ 40 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าหมายจะมีกำลังการผลิตในมือแตะระดับ 200 เมกะวัตต์ใน 5 ปี โดยจะมุ่งเน้นเจาะตลาดในกลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารพาณิชย์

อย่างไรก็ตาม บริษัท ยังคงเดินหน้าเร่งรัดขยายการลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพการเติบโตมากกว่าแทน โดยเฉพาะการลงทุนในพลังงานทดแทน ที่จะเป็นส่วนของสำคัญของการพลังงานสะอาดที่มีอนาคตเติบโตอีกมาก ซึ่ง บริษัท ก็ได้ปรับเป้าหมายจะมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นเป็นไม่น้อยกว่า 30% จากเดิม 25% ของกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม ภายในปี 2573 และอีก 75% จะเป็นกำลังการผลิตจากพลังงาน Conventional และธุรกิจใหม่ จากปัจจุบันสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนอยู่ที่ 22-23% ของกำลังการผลิตทั้งหมด

อีกทั้งยังมีโอกาสปรับเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทนให้มากกว่า 30% ได้ แต่ยังคงต้องรอดูความชัดเจนจากแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP 2022) เนื่องจากปริมาณสำรองไฟฟ้าของประเทศขณะนี้สูงถึง 40% การเติมพลังงานทดแทนช่วงดังกล่าวอาจยังไม่มีความจำเป็น เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนค่าไฟได้ ซึ่งปัจจุบัน เอ็กโก กรุ๊ป มีกำลังผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 6,016 เมกะวัตต์ 
#6020



สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เปิดหลักสูตรใหม่เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาเอสเอ็มอีไทย ด้วยการยกระดับความสามารถของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี สู่การเปลี่ยนแปลงธุรกิจด้วยฐานคิดนวัตกรรม ภายใต้แนวความคิด " The Transformation" ซึ่งเป็นหลักสูตรที่จะทำให้องค์กรเกิดการ "เปลี่ยนแปลง" ครั้งสำคัญ โดยมุ่งเน้นตั้งแต่การสร้าง การพัฒนา และการใช้นวัตกรรม เพื่อตอบสนองทิศทางธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ อีกทั้งยังเป็นการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจมีโอกาสเติบโตและเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นด้วยการเป็นองค์กรนวัตกรรม ทั้งนี้ ได้รับความสนใจจากผู้บริหารระดับสูงของบริษัทภาคเอกชนในหลากหลายธุรกิจเข้าร่วมการอบรมกว่า 80 ราย ระหว่างเดือน กรกฎาคม-กันยายน 2564

ดร. พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการ NIA กล่าวว่า "NIA เล็งเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาเอสเอ็มไทยให้ก้าวสู่การเป็น "Innovation Based Enterprise; IBE" ซึ่งหมายถึงการเป็นองค์กรธุรกิจที่เป็นองค์กรนวัตกรรม และสามารถสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมให้เกิดขึ้นในองค์กร รวมถึงการสร้างภาพลักษณ์ของผู้นำ/แบรนด์/องค์กร ที่สามารถให้บุคคลภายนอกรับรู้และยอมรับการเป็นองค์กรนวัตกรรมของเอสเอ็มอีไทยที่มิใช่แค่การเป็นองค์กรที่ขายสินค้านวัตกรรมเพียงด้านเดียว ซึ่งจะทำให้เอสเอ็มอีไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยแนวคิดนวัตกรรม เพราะฉะนั้น หลักสูตรนี้จะเน้นไปในเรื่องของการใช้เครื่องมือการเรียนรู้ในหลากหลายวิชาที่สามารถสร้างกระบวนการให้เกิดวัฒนธรรมนวัตกรรมองค์กรของผู้อบรมในที่สุด "



ดร. กริชผกา บุญเฟื่อง รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม NIA เปิดเผยว่า "หลักสูตร SMEs to IBE เป็นหลักสูตรใหม่ของสถาบันวิทยาการนวัตกรรม หรือ NIA Academy ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์การสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในระบบธุรกิจของประเทศ โดยมุ่งเป้าไปยังกลุ่มเอสเอ็มอีที่ดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว แต่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นเพื่อพัฒนาธุรกิจของตนเองด้วยวิธีคิดแบบการเป็นองค์กรนวัตกรรม ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีแรกท่ามกลางกระแสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 โดย NIA ได้คัดเลือกบริษัทที่จะเข้าร่วมในหลักสูตรนี้ทั้งสิ้น 42 บริษัท จำนวน 83 ราย จากกว่า 10 แขนงธุรกิจ เช่น ธุรกิจบริการ ธุรกิจระบบขนส่ง ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพ ธุรกิจเกี่ยวกับการค้าขาย และธุรกิจดิจิทัล เป็นต้น และคาดหวังว่า กระบวนการเรียนรู้ที่ได้เตรียมและจัดเป็นหลักสูตรในครั้งนี้ จะสามารถสร้างองค์กรธุรกิจที่มีแนวคิดนวัตกรรมและนำองค์ความรู้และเครือข่ายที่ได้กลับไปประยุกต์ต่อยอดการพัฒนาธุรกิจของตนเองได้สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมและวัดผลได้"


 
หลักสูตร SMEs to IBE เป็นหลักสูตรการเรียนรู้ที่เปิดรับสมัครเอสเอ็มอีไทยที่สนใจเข้าอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพธุรกิจของตนเอง โดยต้องผ่านกระบวนการคัดเลือกจากคณะกรรมการหลักสูตรและมีระยะเวลาการเข้าอบรม 10 สัปดาห์ ตลอดหลักสูตรมีวิทยากรที่มีประสบการณ์ชั้นแนวหน้ากว่า 20 คน รวมถึงกระบวนการเรียนรู้เครื่องมือที่จำเป็นต่อการสร้างวัฒนธรรมองค์กรนวัตกรรมที่แตกต่างจากหลักสูตรอื่นอย่างชัดเจน
#6021


เปิดเวทีสัมมนาออนไลน์ " Boost Social Media Marketing Conference" 20-22 ส.ค.นี้ นักการตลาดโซลเชียมีเดียไม่ควรพลาด 17 กูรูนักการตลาดดิจิทัล ตบเท้าพร้อมแชร์ประสบการณ์ใหม่ด้านการตลาดโซเชียลมีเดียในยุคโควิด-19 ที่ต้องฝ่าด่านธุรกิจรัดเข็มขัดอย่างไรให้ได้ผลคุ้มค่า พร้อมอัพเดทเทรนด์ และฟีเจอร์ใหม่ 5 แพลตฟอร์มยอดนิยม พร้อมกลยุทธ์การเข้าถึง DATA แบบไม่ผิดกฎหมาย

นายศิริพงศ์ เตียวพิพิธพร Facebook Marketer และอาจารย์ผู้ออกแบบหลักสูตร Mini MBA Digital Marketing Management ของหลักสูตรประกาศนียบัตรระยะสั้นโดยวิทยาลัยการจัดการมหาวิทยาลัยมหิดล (Neo Academy by CMMU ) เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่20-22 สิงหาคม 2564 จะมีการสัมมนาออนไลน์ " Boost Social Media Marketing Conference " ผ่าน 17 กูรูด้านการตลาดดิจิทัลมากประสบการณ์ที่จะรวบรวมความรู้ใหม่ๆด้านการตลาดโซเชียลมีเดียโดยเฉพาะกรณีศึกษาล่าสุดในยุคการแพร่ระบาดโควิด-19ที่ทำให้โลกโซเชียลหมุนเร็วมากขึ้น พร้อมกับไฮไลท์สำคัญคือการอัพเดทเทรนด์และฟีเจอร์ใหม่ใน 5 แพลตฟอร์มยอดนิยม ได้แก่ LINE OA, FACEBOOK, INSTRAGRAM, YOUTUBE, TIKTOK ด้วยกลยุทธ์ เทคนิค และตัวช่วยทางการตลาดหรือ MarTech


"เราต้องยอมรับว่าโลกการตลาดโซเชียลมีเดียหมุนเร็วมากจนตามไม่ทัน การปรับฟีเจอร์จากเจ้าของแพลตฟอร์มกระทบกับฐานลูกค้าและแผนงานแบบไม่ทันตั้งตัว ทุกครั้งที่เปิดแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียขึ้นมา นอกเหนือไปจากข่าวสารบ้านเมือง ทัศนะของเพื่อนและคนที่เราติดตาม เราหนีไม่พ้นที่จะต้องพบเจอกับโฆษณาสารพัดรูปแบบในช่วงล็อกดาวน์เช่นนี้ นักการตลาดไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขึ้นมาอยู่บนโลกออนไลน์ แต่เหนือสิ่งอื่นใดการได้ข้อมูลที่จำเป็นมาต้องไม่ผิดกฎหมายด้วย"

ทั้งนี้ในปี 2564 (ค.ศ.2021) คำว่าฐานข้อมูลหรือ Data ในโลกการตลาดดิจิทัลจะเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นหลังการมาของพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 หรือ PDPA ที่มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายทั้งฉบับ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 รวมถึงระบบปฏิบัติการ iOS 14.5 ที่ถามความสมัครใจของผู้ใช้งาน iPhone ว่าจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้แอปพลิเคชันที่กำลังใช้งาน สามารถติดตามกิจกรรมต่างๆ ของผู้ใช้งานได้หรือไม่ทำให้เป็นความท้าทายในการได้ข้อมูลมามากขึ้นเพราะต้องได้มาแบบไม่ผิดกฎหมายด้วย


นอกจากนี้ เทรนด์ของปี 2021 อีกเรื่องคือ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มีรูปแบบการสนทนาและการสร้างปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้งานในชุมชนผ่าน 'เสียง' เป็นหลักอย่างClubhouse ที่ได้รับความนิยมอย่างมากและตามมาด้วย ฟีเจอร์สนทนาเสียงบนแพลตฟอร์ม Space ใน Twitter, Spotify Greenroom และ Audio & Video Room ใน Facebook โดยมี Podcast เป็นกระแสมาก่อนหน้านี้ ในการสื่อสารที่ผุดขึ้นมาไม่รู้จบ เป็นโจทย์สำคัญที่ต้องนำมาขบคิดหาวิธีการสร้างสรรค์การสื่อสารให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด

"พฤติกรรมของคนหนึ่งคนแสดงออกต่างบุคลิกกันไปในต่างแพลตฟอร์ม นักการตลาดโซเชียลมีเดียหากมีพลังจะเข้าถึงทุกช่องทางก็ไม่มีใครว่าแต่เรื่องความคุ้มค่ายิ่งต้องพิจารณาในช่วงโรคระบาดของโควิด 19 เข้ามา ทุกธุรกิจยิ่งใส่ใจการใช้เงินมากขึ้น ดังนั้นนักการตลาดโซเชียลมีเดียต้องมีพลวัตหรือ Dynamic ก้าวไปกับโซเชียลมีเดียได้เรื่อย ๆ และอนาคต การเรียนการสอนด้านการตลาดจะมุ่งไปในรูปแบบของ Self-Study เป็นหลัก เปิดโอกาสให้ทั้งคนทำงานหรือนักเรียนนักศึกษาก็สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง หลายคนเรียนรู้ ฝึกฝนด้วยตัวเองจนเชี่ยวชาญนำไปใช้ทำงานได้จริงแม้ไม่ได้ผ่านสถาบันการศึกษาก็ตาม เวทีสัมมนาครั้งนี้จะตอบโจทย์ทั้งหมดให้กับนักการตลาดโซเชียลมีเดียและผู้ที่สนใจโดยหากต้องการข้อเพิ่มเติมและซื้อบัตร Early Bird ได้ที่ https:// www.boostconference.co"
#6023



นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กระจายอย่างรวดเร็วและส่งผลกระทบรุนแรงทั่วประเทศ ธนาคารออมสินมีความห่วงใยต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกค้า จึงขอแนะนำลูกค้าพยายามอยู่ในที่พักอาศัย ลดการเดินทาง และแนะนำให้ทำธุรกรรมทางการเงินผ่านแอปพลิเคชัน MyMo ของธนาคารออมสิน โดยล่าสุด ธนาคารฯ ได้อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่มีบัตรเดบิต สามารถเปิดใช้บริการแอป MyMo ได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องเดินทางไปเปิดใช้แอปที่สาขาอีกต่อไป ซึ่งนอกจากเป็นการลดความเสี่ยงการติดเชื้อในช่วงนี้ ลูกค้าที่ต้องการขอสินเชื่อหรือขอพักชำระหนี้ และต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน ก็จะได้รับความสะดวกจากการใช้บริการผ่านแอป MyMo ด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ลูกค้าบัตรเดบิตที่ยังไม่มีแอป MyMo สามารถดาวน์โหลดแอป MyMo ด้วยสมาร์ทโฟน ซึ่งรองรับได้ทั้งระบบปฏิบัติการ iOS / Android และ HUAWEI จากนั้นเปิดใช้บริการแอป MyMo ด้วยข้อมูลบัตรเดบิตใน 3 ขั้นตอนง่าย ๆ คือ (1) กรอกหมายเลขบัตรเดบิต (2) กรอก PIN บัตรเดบิต และ (3) กรอก OTP เพื่อยืนยันการเปิดใช้บริการ MyMo โดยสามารถดูรายละเอียดคำแนะนำขั้นตอนการดาวน์โหลดและเปิดใช้งานแอป MyMo ด้วยตนเองได้ที่เว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร.1115 กด 1
#6024


๐ แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับที่ 14 ของจีน ตั้งเป้าหมายจะเป็นประเทศปลอดคาร์บอนให้ได้ในอีก 4 ทศวรรษข้างหน้า อย่างไรก็ตาม กิจกรรมทางเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวหลังผ่านวิกฤตโควิด-19 กลับทำให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของจีนเร่งตัวสูงขึ้นอย่างมาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า จีนยังต้องใช้เวลาในการบรรลุเป้าหมาย โดยอุตสาหกรรมจีนที่เป็นมูลเหตุในการก่อก๊าซคาร์บอนจะยังอยู่ในการควบคุมของทางการจีนต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมา อาทิ ถ่านหิน เหล็กและเหล็กกล้า ซีเมนต์ การผลิตพลังงานความร้อน เคมีภัณฑ์ และยานยนต์ โดยการส่งออกของไทยที่เกี่ยวข้องในกลุ่มสินค้าพลังงานและแร่มีเพียงร้อยละ 2 ของการส่งออกของไทยไปจีน หรือคิดเป็นมูลค่าเพียง 693 ล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2563

๐ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แผนลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนของจีนโดยการปรับกระบวนการผลิตจากที่พึ่งพาพลังงานฟอสซิลมาเป็นพลังงานสะอาดคงต้องใช้เวลาเปลี่ยนผ่านอย่างน้อย 10 ปี โดยมีผลกระทบต่อไทยทั้งผลทางตรงเอื้อให้สินค้าไทยสำหรับนำไปผลิตพลังงานสะอาดมีโอกาสทำตลาดได้มากขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่ใช้วัตถุดิบจากไทยมีทิศทางสดใสต่อเนื่องจากที่การส่งออกในช่วง 5 เดือนแรกปี 2564 เติบโตแรงถึงร้อยละ 70.7 ขณะที่สินค้าโซลาร์เซลล์และส่วนประกอบยานยนต์ไฟฟ้าก็น่าจะได้ประโยชน์เช่นกัน แต่สินค้ากลุ่มนี้ล้วนพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศโดยเฉพาะนักลงทุนจีนที่เริ่มเข้ามาขยายการลงทุนแล้วบางส่วน สำหรับผลทางอ้อมจะเกิดกับการผลิตและส่งออกสินค้าอื่นๆ ของไทยที่ต้องเตรียมความพร้อมปรับกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับหลักการปล่อยคาร์บอนของสากล อันจะช่วยให้สินค้าไทยมีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดของจีนในอนาคต

กิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนเริ่มกลับมาดำเนินงานหลังผ่านจุดวิกฤตโควิด-19 ในปีที่ผ่านมา การฟื้นตัวของภาคการผลิตก็มาพร้อมกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยสู่บรรยากาศโลกเร่งตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์แตะ 12 พันล้านตัน ขยายตัวร้อยละ 5 (YoY) (เมษายน 2563-มีนาคม 2564) อีกทั้ง ปริมาณการปล่อยคาร์บอนของจีนยังคงครองอันดับ 1 ของโลก ด้วยสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 28 ของปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยออกมาทั่วโลก แซงหน้าสหรัฐฯ มาตั้งแต่ปี 2562 ทำให้สถานการณ์ดังกล่าวยังเป็นความท้าทายเป้าหมายในการลดการปล่อยคาร์บอนของจีน โดยมีประเด็น ดังนี้

•จีนประกาศวิสัยทัศน์สู่การเป็นประเทศที่ปราศจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอีก 40 ปีข้างหน้า นับเป็นความท้าทายครั้งสำคัญของจีนในการแก้ปัญหาเรื้อรังที่มาคู่กับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ทางการจีนได้ให้ความสำคัญมาตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจ ฉบับที่ 12 (ปี 2554-2558) จนกระทั่งมาถึงแผนฯ ฉบับที่ 14 (ปี 2564-2568) ได้กำหนด 4 แนวทางหลักเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนจนกระทั่งเหลือศูนย์ (Net zero CO2) และมุ่งไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ก่อนปี 2603 ประกอบด้วย 1) ลดความเข้มข้นของคาร์บอน (Carbon Intensity) ต่อหน่วยของ GDP ลงร้อยละ 18 2) เพิ่มการใช้พลังงานที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงฟอสซิล (Non-fossil energy) ให้ได้ร้อยละ 20 ของการใช้พลังงานโดยรวม จากปี 2563 ที่มีการใช้อยู่ราวร้อยละ 15.9 3) ลดความเข้มข้นของการใช้พลังงาน (Energy Intensity) ต่อหน่วยของ GDP ลงร้อยละ 13.5 และ 4) เพิ่มยอดขายรถยนต์ EV (Electric Vehicle) ให้ได้ร้อยละ 20 ของยอดขายรถยนต์ทุกประเภท 

ด้วยแผนงานเหล่านี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า อุตสาหกรรมที่พึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลคงต้องปรับตัวมากไม่ว่าจะเป็นเหมืองถ่านหิน เหล็กและเหล็กกล้า ซีเมนต์ การผลิตพลังงานความร้อน เคมีภัณฑ์ และรถยนต์ ซึ่งคาดว่าอาจได้รับแรงกดดันทั้งฝั่งของนโยบายทางด้านภาษีและราคา การจูงใจให้ปิดโรงงานถ่านหินเพิ่มเติม และเพิ่มการลงทุนในเทคโนโลยีที่สร้างพลังงานสะอาด โดยธุรกิจไทยที่มีความเกี่ยวข้องคงต้องติดตามความเคลื่อนไหวของทางการจีนอย่างใกล้ชิด ซึ่งในเบื้องต้นการส่งออกของไทยในสินค้าพลังงานและสินค้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงมีค่อนข้างน้อยเพียงร้อยละ 2 ของการส่งออกของไทยไปจีน หรือคิดเป็นมูลค่าเพียง 693 ล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2563



• ความต้องการสินค้าเกี่ยวเนื่องกับพลังงานสะอาดของจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่อานิสงส์ที่ตกแก่ไทยหลักๆ อยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ขณะที่สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มอย่างโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) กลับเอื้อประโยชน์แก่นักทุนจากต่างชาติเป็นหลัก ซึ่งในปัจจุบันไทยส่งออกสินค้าเหล่านี้ไปจีนรวมคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 8.4 ของการส่งออกไทยไปจีน โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2564 การส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังมีมูลค่า 1,210 ล้านดอลลาร์ฯ ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 71.7 (YoY) และโซลาร์เซลล์ 44 ล้านดอลลาร์ฯ ขยายตัวร้อยละ 60.3 (YoY) และถ้าหากมองในภาพรวมสินค้ากลุ่มนี้คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 48 ของการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ไปยังตลาดโลก

นับได้ว่าตลาดจีนมีบทบาทช่วยขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าพลังงานสะอาด โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของไทยเป็นกลุ่มที่ไทยได้ประโยชน์สูงสุด ซึ่งจีนใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตอาหารสัตว์ และการผลิตเอทานอลได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าการใช้ข้าวโพดที่ผลิตในจีน ยิ่งสนับสนุนความต้องการมันสำปะหลังของไทยมากขึ้นอีกจากปัจจุบันไทยเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 1 ของจีนและครองสัดส่วนถึงร้อยละ 80 ของการนำเข้ามันสำปะหลังของจีน

นอกจากนี้ สินค้าไทยอย่างอื่นก็มีโอกาสที่กำลังการผลิตและส่งออกจะเร่งตัวช่วยขับเคลื่อนการส่งออกของไทยไปจีนในภาพรวม แต่เป็นสินค้าที่พึ่งพาเม็ดเงินทุนจากจีนที่เข้ามาขยายฐานการผลิตในไทยทำให้ห่วงโซ่การผลิตเกื้อหนุนกันและกันยิ่งขึ้น อาทิ โซลาร์เซลล์ของไทยส่งไปจีนคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.0 ของการส่งออกโซลาร์เซลล์ของไทย รวมทั้งยานยนต์และส่วนประกอบของยานยนต์ไฟฟ้า(EV) ที่เริ่มมีนักลงทุนจีนส่งสัญญาณขยายการผลิตในไทย

• การผลิตสินค้าอุตสาหกรรม การขนส่ง ตลอดจนภาคเกษตรกรรมของไทยควรเตรียมรับมือกับนโยบายของจีนในอนาคต อันจะมีผลต่อกระบวนการผลิตของภาคธุรกิจในระยะต่อไป เนื่องจากในปัจจุบันการผลิตในภาคอุตสาหกรรมของจีนปล่อยคาร์บอนคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 28 การขนส่งคิดเป็นร้อยละ 10 และภาคเกษตรกรรมคิดเป็นร้อยละ 2 ของการปล่อยคาร์บอนของจีน (ปี 2562) ซึ่งมีสัดส่วนไม่สูงเมื่อเทียบกับการผลิตพลังงาน แต่ในท้ายที่สุดอุตสาหกรรมเหล่านี้ก็ต้องลดการปล่อยคาร์บอนด้วยเช่นกัน มีความเป็นไปได้ที่ทางการจีนจะใช้มาตรฐานด้านคาร์บอนดังเช่นมาตรการในประเทศยุโรปและสหรัฐฯ อาทิ การติดฉลากคาร์บอนหรือ Carbon Footprint เพื่อแสดงปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอน โดยอาจมีผลต่อความต้องการสินค้านำเข้าเพื่อการบริโภคและการผลิตจากไทย ซึ่งผู้ประกอบการไทยคงต้องเตรียมความพร้อมตลอดกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของจีนในอนาคต

โดยสรุป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การลดก๊าซคาร์บอนของจีนต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนผ่านอย่างน้อย 10 ปี จึงจะสามารถเปลี่ยนกระบวนผลิตที่พึ่งพาพลังงานฟอสซิลไปเป็นพลังงานสะอาด ดังนั้น ผลกระทบทางตรงที่เกิดกับไทยจะทยอยเกิดขึ้นตามมาตรการเฉพาะหน้าที่ทางการจีนประกาศใช้ในการจำกัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในแต่และภาคส่วน ซึ่งส่งผลต่อการส่งออกของไทยในสินค้าที่เกี่ยวข้องค่อนข้างน้อย 

ขณะเดียวกันการสนับสนุนธุรกิจพลังงานสะอาดของจีนก็เอื้อให้การส่งออกของไทยไปจีนเร่งตัวในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะวัตถุดิบทางการเกษตรเพื่อผลิตเอทานอล โซลาร์เซลล์ และส่วนประกอบยานยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งสินค้ากลุ่มนี้อาจมีส่วนช่วยขับเคลื่อนการส่งออกในภาพรวมของไทยได้ทางหนึ่ง ในระยะกลางถึงยาว ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อาจปรับตัวลดลงตามการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคที่หันไปใช้พลังงานทางเลือกเพิ่มขึ้น รวมถึงนโยบายของทางการจีนในอนาคตที่น่าจะลงลึกในรายละเอียดการลดก๊าซคาร์บอนตลอดกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งผู้ประกอบการไทยต้องติดตามและปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวทางของจีนที่เป็นไปตามกระแสของโลก
#6025


ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์รายงานดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 2 ปี2564 มีค่าดัชนีเท่ากับ 332.8 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY)แต่ก็เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง หากดูค่าเฉลี่ยอัตราขยายตัวย้อนหลังไป 5 ปี ตั้งแต่ปี 2559 ถึงปี 2563 พบว่าดัชนีราคาที่ดินเปล่าในแต่ละไตรมาสเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 17.7ต่อไตรมาสเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY)

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่าจากการจัดทำรายงานดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาและติดตามความเคลื่อนไหวของราคามาอย่างต่อเนื่องศูนย์ข้อมูลฯมีข้อสังเกตว่าแม้ว่าราคาที่ดินยังเพิ่มขึ้นแต่เป็นอัตราการขยายตัวของดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีของอัตราการขยายตัวของดัชนีราคาที่ดิน ซึ่งต่อเนื่องกันรวม 3 ไตรมาสแล้วนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2563 ที่มีการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19ต่อเนื่องมาจนถึงไตรมาส 2 ปี 2564 โดยเห็นได้ว่าราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลยังคงเพิ่มขึ้นแบบชะลอตัวลงแสดงให้เห็นถึงเจ้าของที่ดินส่วนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบน้อยจากการระบาดของไวรัส COVID-19 อาจมีการถือครองที่ดินต่อไปเพื่อรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นและอาจมีเจ้าของที่ดินอีกส่วนหนึ่งที่ได้ขายที่ดินในช่วงนี้ประกอบกับความต้องการซื้อที่ดินอาจน้อยลงด้วยจึงทำให้ราคาที่ดินปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากนัก อย่างไรก็ตามในระยะต่อไปหากเจ้าของที่ดินมีความต้องการระบายที่ดินมากขึ้นก็อาจส่งผลให้อัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ที่จะยังคงชะลอตัวลงต่อเนื่องในระยะเวลาต่อไป

 

ทั้งนี้ จากรายงานพบว่าในไตรมาส 2 ปี 2564ราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในทำเลที่มีเส้นทางรถไฟฟ้าผ่าน 5 อันดับแรกที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุด คือ อันดับ 1 ได้แก่ สายสีน้ำเงิน (บางแค-พุทธมณฑล สาย 4)

 

ซึ่งเป็นโครงการที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคตโดยเป็นที่ดินโซนตะวันตกของกรุงเทพมหานครมีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.4เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่าราคาที่ดินที่รถไฟฟ้าผ่านในเขตหนองแขม และบางแคเป็นบริเวณที่ราคาเพิ่มขึ้นมาก โดยที่ดินในบริเวณนี้มีราคาเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 1 ติดต่อกันมา 3 ไตรมาสแล้ว

 

ทั้งนี้ราคาที่ดินที่เปลี่ยนเปลงในพื้นที่ดังกล่าวเป็นผลต่อเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินในบริเวณแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (หัวลำโพง-บางแค)ที่เปิดให้บริการแล้ว

 

อันดับ 2 ได้แก่ สายสีทอง (ธนบุรี-ประชาธิปก) และ สายสีน้ำเงิน (หัวลำโพง-บางแค) ซึ่งเป็นโครงการรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการแล้วส่วน รวมถึง สายสีส้ม(ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี) เป็นโครงการที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และ สายสีส้ม(ตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม) เป็นโครงการที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคต โดยทั้ง 4 โครงการมีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า ราคาที่ดินที่รถไฟฟ้าผ่านในเขตบางกอกใหญ่ คลองสาน พระนคร ห้วยขวางและบางกะปิ เป็นบริเวณที่ราคาเพิ่มขึ้นมาก ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่า ที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าสายสีทอง (ธนบุรี-ประชาธิปก)ที่เพิ่งเปิดให้บริการไปเมื่อปลายปี 2563 มีการปรับเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 2 ติดต่อกันมา 2 ไตรมาสแล้ว

 

อันดับ 3 ได้แก่ MRT ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดให้บริการแล้วมีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.1เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า ราคาที่ดินที่รถไฟฟ้าผ่านในเขตบางซื่อ และจตุจักรเป็นบริเวณที่ราคาเพิ่มขึ้นมากมาอย่างต่อเนื่อง

 

อันดับ 4 ได้แก่ สายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-หัวลำโพง)ซึ่งเป็นโครงการที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคต มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.0เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า ราคาที่ดินที่รถไฟฟ้าผ่านในเขตป้อมปราบศัตรูพ่ายเป็นบริเวณที่ราคาเพิ่มขึ้นมากมาอย่างต่อเนื่องและ อันดับ 5 ได้แก่ BTS สายสุขุมวิท ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดให้บริการแล้วมีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.0เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า ราคาที่ดินที่รถไฟฟ้าผ่านในเขตคลองเตย บางนา และพระโขนงเป็นบริเวณที่ราคาเพิ่มขึ้นมากมาอย่างต่อเนื่อง
#6027
น้ำมันว่านเครือเขาหลง ใส่ตะกรุดนะมหานิยม ทุกขวด
สายพุทธคุณ คุณพระ คุณว่าน ไม่เข้าตัว ไม่มีข้อห้าม ใช้ด้วยศรัทธา สำเร็จทุกราย


 
เครือเขาหลงจัดอยู่ในของขลังธรรมชาติ เป็นของเสน่ห์ ของเสน่ห์แรงๆ หมอเสน่ห์เขมร หมอเสน่ห์ไทยนิยมใช้กันมาก และจัดได้ว่าเป็นของเสน่ห์ที่แรงที่สุด
 
คุณของน้ำมัน
เพิ่มเสน่ห์ เพิ่มเมตตา นำพาโชคลาภ เรียกจิต เรียกใจ ประสานสัมพันธ์ ค้าขายร่ำรวย
 
คาถามหาหลง
โอม หลง หลง มหาหลง สารพัดที่จะหลง หลงทั้งต้น หลงทั้งกิ่ง หลงทั้งก้าน หลงทั้งราก หลงทั้งใบ หลงทั้งดอก คนเห็นน้ำตาตก นกเห็นน้ำตาไหล ไผผู้ใดเห็นหน้ากู อยู่มิได้ร้องไห้หากู หลงทั้งหน้า หลงทั้งหลัง หลงทั้งซ้าย หลงทั้งขวา หลงทั้งต่ำ หลงทั้งสูง หลงทั้งกลางวัน หลงทั้งกลางคืน หลงทั้ง


 
วิธีใช้
เพิ่มเสน่ห์ เมตตา โชคลาภ ค้าขาย ประสานสัมพันธ์ สวดคาถาแล้วนำน้ำมันว่านแตะที่หน้าผาก นึกถึงสิ่งที่ต้องการด้วยใจมุ่งมั่น แน่วแน่ศรัทธา เป็นไปดังว่า สมปรารถนา
 
เรียกจิต เรียกใจ ให้ท่องคาถา ใช้แต้มแตะทา ลงบนวัตถุ รูปภาพหามา ของคนต้องการ เพ่งพลังจิต ลงไปแน่วแน่ ให้เกิดเป็นภาพ เคียงคู่กายา ทำได้ดังนี้นั้นหนา บอกคำว่า ได้ตามนั้นเลย
สนใจติดต่อโทร. 0846623662
id line : teerapat999

แฟนเพจ https://web.facebook.com/porntaywa
เวปไซด์ http://porntaywa99.lnwshop.com/p/12

lazada  https://www.lazada.co.th/products/-i1863368460-s5737984707.html?spm=a2o4m.seller.list.19.751ebb9eN8X8vA&mp=1&freeshipping=1  
#6030
 
น้ำมันว่านเครือเขาหลง ใส่ตะกรุดนะมหานิยม ทุกขวด
สายพุทธคุณ คุณพระ คุณว่าน ไม่เข้าตัว ไม่มีข้อห้าม ใช้ด้วยศรัทธา สำเร็จทุกราย


 
เครือเขาหลงจัดอยู่ในของขลังธรรมชาติ เป็นของเสน่ห์ ของเสน่ห์แรงๆ หมอเสน่ห์เขมร หมอเสน่ห์ไทยนิยมใช้กันมาก และจัดได้ว่าเป็นของเสน่ห์ที่แรงที่สุด
 
คุณของน้ำมัน
เพิ่มเสน่ห์ เพิ่มเมตตา นำพาโชคลาภ เรียกจิต เรียกใจ ประสานสัมพันธ์ ค้าขายร่ำรวย
 
คาถามหาหลง
โอม หลง หลง มหาหลง สารพัดที่จะหลง หลงทั้งต้น หลงทั้งกิ่ง หลงทั้งก้าน หลงทั้งราก หลงทั้งใบ หลงทั้งดอก คนเห็นน้ำตาตก นกเห็นน้ำตาไหล ไผผู้ใดเห็นหน้ากู อยู่มิได้ร้องไห้หากู หลงทั้งหน้า หลงทั้งหลัง หลงทั้งซ้าย หลงทั้งขวา หลงทั้งต่ำ หลงทั้งสูง หลงทั้งกลางวัน หลงทั้งกลางคืน หลงทั้ง


 
วิธีใช้
เพิ่มเสน่ห์ เมตตา โชคลาภ ค้าขาย ประสานสัมพันธ์ สวดคาถาแล้วนำน้ำมันว่านแตะที่หน้าผาก นึกถึงสิ่งที่ต้องการด้วยใจมุ่งมั่น แน่วแน่ศรัทธา เป็นไปดังว่า สมปรารถนา
 
เรียกจิต เรียกใจ ให้ท่องคาถา ใช้แต้มแตะทา ลงบนวัตถุ รูปภาพหามา ของคนต้องการ เพ่งพลังจิต ลงไปแน่วแน่ ให้เกิดเป็นภาพ เคียงคู่กายา ทำได้ดังนี้นั้นหนา บอกคำว่า ได้ตามนั้นเลย
สนใจติดต่อโทร. 0846623662
id line : teerapat999

แฟนเพจ https://web.facebook.com/porntaywa
เวปไซด์ http://porntaywa99.lnwshop.com/p/12

lazada  https://www.lazada.co.th/products/-i1863368460-s5737984707.html?spm=a2o4m.seller.list.19.751ebb9eN8X8vA&mp=1&freeshipping=1