• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Chigaru

#2821


รอยเตอร์ - นครโฮจิมินห์ ศูนย์กลางทางธุรกิจของเวียดนามประกาศวันนี้ (20) ว่าจะสั่งห้ามประชาชนไม่ให้ออกจากบ้าน ความเคลื่อนไหวล่าสุดของเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศที่หันไปใช้มาตรการเข้มงวดเพื่อชะลออัตราการเสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

คำสั่งที่เข้มงวดที่สุดของเวียดนามเกิดขึ้นท่ามกลางจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น แม้จะประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์มาเป็นเวลาหลายสัปดาห์เพื่อจำกัดการเคลื่อนไหวในเมืองที่มีประชากรอาศัยอยู่ราว 9 ล้านคน และเป็นศูนย์กลางการระบาดของประเทศ

"เรากำลังขอให้ประชาชนอยู่ในที่ของพวกเขา ไม่ออกไปข้างนอก บ้านแต่ละหลัง บริษัทและโรงงานแต่ละแห่ง ควรเป็นป้อมปราการป้องกันไวรัส" ฝ่าม ดึ๊ก หาย รองหัวหน้าหน่วยงานด้านโควิด-19 ของเมือง กล่าว

ส่วนรายละเอียดของคำสั่ง ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันจันทร์ (20) ยังไม่มีประกาศให้ทราบ

ฝ่าม ดึ๊ก หาย กล่าวว่าการควบคุมการเคลื่อนไหวควรลดการติดเชื้อและเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่มุ่งให้ความสำคัญกับการรักษาผู้ป่วยหนัก

เวียดนามได้รับเสียงชื่นชมว่าสามารถควบคุมการระบาดได้ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในปลายเดือนเม.ย. โดยประเทศมีผู้เสียชีวิตเพียง 35 คน และมีผู้ป่วยติดเชื้อยืนยันสะสมไม่ถึง 3,000 คน ณ วันที่ 1 พ.ค.

แต่นับจากนั้น จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 312,000 คน และจำนวนผู้เสียชีวิตเป็น 7,150 คน โดยครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อและ 80% ของผู้เสียชีวิตอยู่ในนครโฮจิมินห์

ชาวโฮจิมินห์มากกว่าครึ่งหนึ่งได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้วอย่างน้อย 1 เข็ม แต่อัตราการฉีดวัคซีนของประเทศนับว่าต่ำที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย.
#2822


นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยในการเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจด้านความร่วมมือทางการค้าไทย-ไห่หนาน ระหว่างนายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กับนายเฉิน ซี อธิบดีกรมพาณิชย์ไห่หนาน ผ่านระบบทางไกล ที่กระทรวงพาณิชย์ ว่า ความร่วมมือที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็น Mini-FTA ฉบับแรกที่ไทยทำกับมณฑลในประเทศจีน ซึ่งเป็นนโยบายที่ให้ไว้กับกระทรวงพาณิชย์ว่าให้ทำความตกลงการค้าฉบับเล็ก หรือจะเรียกว่า Mini-FTA ก็ได้ โดยทำกับรัฐต่างๆ ที่บางรัฐมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าหรือมีจำนวนประชากรมากกว่าประเทศไทย โดยไห่หนานเป็นตัวอย่างแรกที่เกิดขึ้นกับประเทศจีน และยังมีแผนที่จะเดินหน้าทำกับมณฑลอื่นๆ ของจีนเพิ่มขึ้น เช่น มณฑลกานซู ที่มีชาวมุสลิมอยู่มาก เพื่อเป็นลู่ทางในการส่งเสริมการค้าสินค้าฮาลาลของไทย รวมถึงมณฑลอื่นๆ ที่เห็นว่าเป็นโอกาส

สำหรับเนื้อหาความร่วมมือประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการค้าระหว่างกัน 2. ด้านการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการค้า ด้านสินค้า ด้านนวัตกรรม และการตลาด รวมทั้งการส่งเสริมการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าระหว่างกันเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้า 3. ด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างกัน เช่น การเดินทางของนักธุรกิจ การจัดประชุมสัมมนาร่วมกันเพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างกัน 4. ด้านการมุ่งขยายมูลค่าการค้าใน 3 สินค้าหลัก ประกอบด้วย สินค้าทางด้านการเกษตร สินค้าอาหาร และสินค้าอุตสาหกรรม 5. ความร่วมมือด้านอีคอมเมิร์ซ เช่น การส่งเสริมการค้าผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ของจีนและไทยเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกัน โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มการค้าจากปี 2563 ที่มีมูลค่า 9,233 ล้านบาท เพิ่มเป็น 12,000 ล้านบาทภายใน 2 ปี และความตกลงนี้จะมีผลเป็นระยะเวลา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค. 2564 ถึงวันที่ 20 ส.ค. 2566

โดยตัวอย่างกิจกรรมที่จะทำร่วมกันจากนี้ไป เช่น เดือน พ.ย.-ธ.ค. 2564 จะมีการจัดงานจับคู่เจรจาการค้าออนไลน์ระหว่างไทย-ไห่หนานเพื่อเพิ่มโอกาสในการค้า การจัดงานแสดงสินค้า THAIFEX ที่ไทยจะเชิญผู้ประกอบการจากไห่หนานมาร่วมด้วย การจัดงานบางกอก เจมส์ ที่ตั้งเป้าเชิญนักธุรกิจไห่หนานมาร่วมด้วยเช่นเดียวกัน รวมถึงการจัดงานไห่หนาน เอ็กซ์โป ซึ่งไทยจะเชิญชวนนักธุรกิจของไทยเข้าไปร่วมงานนี้ด้วย

นอกจากนี้ ไทยยังได้เตรียมการทำ Mini FTA กับรัฐเตลังคานา ของอินเดีย ซึ่งขณะนี้เจรจาครบถ้วนแล้ว เหลือแค่การแก้ไขเอกสารต่างๆ ตามขั้นตอน และกำลังดำเนินการกับจังหวัดคยองกี สาธารณรัฐเกาหลี ที่เป็นอีกเป้าหมายที่จะเร่งดำเนินการ รวมทั้งได้มอบหมายให้ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ทั่วโลกได้ประสานกับมณฑล เมืองสำคัญๆ ที่เห็นว่าจะเป็นโอกาสทางการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับไทยเพื่อทำ Mini FTA เพิ่มขึ้น

นายเฝิง เฟย ผู้ว่าการมณฑลไห่หนาน กล่าวผ่านระบบทางไกลว่า หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการลงนามครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ในการสร้างกลไกความร่วมมืออย่างมีประสิทธิภาพและยาวนาน ต่อจากนี้เป็นการขยายความร่วมมือระหว่างมณฑลไห่หนานกับประเทศไทย ทั้งทางด้านธุรกิจการค้า อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว วัฒนธรรมและสังคม เป็นต้น ทั้งสองฝ่ายจะร่วมแบ่งปันโอกาสใหม่ๆ แสวงหาการพัฒนาใหม่ในอนาคตร่วมกัน และขอบพระคุณนายจุรินทร์ ที่มีความใส่ใจและสนับสนุนการก่อสร้างท่าเรือการค้าเสรีไห่หนาน และขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยมาท่องเที่ยวและร่วมลงทุนพัฒนาธุรกิจที่มณฑลไห่หนาน

การลงนามในครั้งนี้มี นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายพิทักษ์ อุดมวิชัยวัฒน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายหนี เฉียง รองผู้ว่าการมณฑลไห่หนานและเลขาธิการรัฐบาลมณฑลไห่หนาน นายซุน ซื่อเหวิน รองเลขาธิการรัฐบาลมณฑลไห่หนาน ประธานหอการค้าไทย-จีน นายกสมาคมใหหนำแห่งประเทศไทย นายกสมาคมการค้าไทย-ไหหลำ และมีทูตพาณิชย์ทั่วโลก และพาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัด ร่วมงานผ่านระบบประชุมทางไกล
#2823


บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เดินหน้าส่งเสริมห่วงโซ่อุปทานสัตว์น้ำบนพื้นฐานของความยั่งยืน โดยจับมือเครือข่ายพันธมิตรทั้งในประเทศและทั่วโลกสนับสนุนแนวปฏิบัติที่ดีในการทำประมงที่ถูกกฎหมาย ได้มาตรฐานสากล ปลอดการใช้แรงงานบังคับ และช่วยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล ต่อยอดการจัดหาปลาป่นที่ตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาได้ 100% มีส่วนร่วมสร้างหลักประกันอาหารมั่นคงให้แก่ผู้บริโภคในทุกช่วงเวลา

นายไพโรจน์ อภิรักษ์นุสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจสัตว์น้ำ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ในฐานะที่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร มีบทบาทการสร้างความมั่นคงทางอาหาร จึงให้ความสำคัญต่อการใช้ผลผลิตทางธรรมชาติที่มีอยู่จำกัดอย่างเหมาะสมและใส่ใจต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ในห่วงโซ่การผลิตกุ้งของซีพีเอฟในประเทศไทย ได้ดำเนินนโยบายใช้ปลาป่นที่มาจากผลพลอยได้จากโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำ (by product) 100% สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงแหล่งที่มาที่มีการจัดการอย่างยั่งยืน และได้รับรองมาตรฐาน MarinTrust ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สอดคล้องกับ Code of Conduct for responsible Fisheries ขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO)



ขณะเดียวกัน ซีพีเอฟยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานอาหารทะเลตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อร่วมส่งเสริมการทำประมงที่ถูกต้อง ป้องกันประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing) และมีส่วนร่วมปกป้องระบบนิเวศ อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางทะเล โดยเป็นผู้นำร่องในการใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับของ Global Dialogue on Seafood Traceability (GDST) ตลอดห่วงโซ่อุปทานกุ้ง ตั้งแต่เรือประมง จนถึงโรงงานแปรรูปกุ้ง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคต่อการผลิตกุ้งที่ใส่ใจสังคมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

"แม้ไม่ได้เป็นเจ้าของเรือประมง บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของแนวปฏิบัติที่ดีของการประมงที่มีต่อระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเล ซึ่งเป็นต้นทางของห่วงโซ่อุปทานกุ้งที่ยั่งยืน จึงได้ร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งในระดับประเทศ และระดับสากล โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนามาตรฐานการประมงตามหลักสากล ครอบคลุมด้านสิทธิมนุษยชน และการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล เพื่อสร้างห่วงโซ่การผลิตกุ้งและอาหารทะเลของไทยที่ยั่งยืน และนำไปสู่ "ความมั่นคงทางอาหาร" สามารถรองรับความต้องการบริโภคอาหารที่ใส่ใจที่มาและกระบวนการผลิตและที่มาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม" นายไพโรจน์กล่าว



อนึ่ง การส่งเสริมการประมงที่รับผิดชอบต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยซีพีเอฟได้ทำงานกับพันธมิตร และคณะทำงานทั้งในและต่างประเทศ สำหรับในประเทศไทย ซีพีเอฟ ร่วมกับ คณะพัฒนาระบบการผลิตสินค้าและผลิตภัณฑ์ประมงไทย (Thai Sustainable Fisheries Roundtable : TSFR) ดำเนินโครงการปรับปรุงและพัฒนาการประมง (Fishery Improvement Project : FIP) สำหรับการประมงอวนลากในฝั่งอ่าวไทย เพื่อยกระดับมาตรฐานการประมงตามมาตรฐาน MarinTrust (ชื่อเดิม IFFO RS) และได้จัดทำแผนการปรับปรุงและพัฒนาการประมง (Fishery Action Plan: FAP) ซึ่งได้ผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการของ MarinTrust เข้าสู่ขั้นตอนการรับรองมาตรฐาน Improver Program (IP) ซึ่งเป็นมาตรฐานการจัดหาวัตถุดิบทางทะเลที่ร่วมรักษาความหลากหลายทางชีวภาพเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ

อีกทั้งร่วมก่อตั้งและเป็นคณะทำงานร่วมในระดับอุตสาหกรรมเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทานอาหารทะเล (Seafood Task Force) เพื่อป้องกันการทำประมงผิดกฎหมาย แก้ไขปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน และการค้ามนุษย์ในอุตสาหกรรมประมงไทย โดยสนับสนุนการใช้เครื่องมือจับสัตว์น้ำที่ลดผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล การมีระบบติดตามเรือประมง (Vessel Monitoring System : VMS)



นายไพโรจน์กล่าวเสริมว่า ซีพีเอฟยังร่วมจัดตั้งศูนย์สวัสดิภาพและธรรมาภิบาลแรงงานประมง จังหวัดสงขลา ตั้งแต่ปี 2558 เพื่อบูรณาการการขจัดปัญหาแรงงานบังคับ การใช้แรงงานผิดกฎหมายในอุตสาหกรรมประมงของไทย ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานประมงและครอบครัว

สำหรับความร่วมมือในระดับโลก บริษัทฯ เป็นสมาชิกในกลุ่มความร่วมมือ Seafood Business for Ocean Stewardship หรือ SeaBOS ตั้งแต่ปี 2560 เป็นความร่วมมือระดับนานาชาติในการพิทักษ์มหาสมุทรทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางทะเล สู่เป้าหมายการผลิตอาหารทะเลคุณภาพสูงอย่างเพียงพอ และรักษาจำนวนและความหลากหลายของสัตว์น้ำ โดยในปีนี้กลุ่ม SeaBOS ได้ผลักดันบริษัทสมาชิกไม่ทำประมงที่ผิดกฎหมาย หรือทำลายสัตว์ทะเลที่ใกล้สูญพันธุ์ และขจัดการใช้แรงงานผิดกฎหมาย พร้อมกำหนดให้บริษัทสมาชิกทั่วโลกผลิตสินค้ามาจากการทำประมงที่ปลอด IUU และปลอดการใช้แรงงานทาส ภายในเดือนตุลาคม ปีนี้



นายไพโรจน์กล่าวว่า จากความมุ่งมั่นและความพยายามของซีพีเอฟในการสนับสนุนการประมงยั่งยืน ส่งผลให้ซีพีเอฟได้รับคะแนนสูงสุดในหมวดสิทธิมนุษยชน และการบริหารห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน และมีผลคะแนนรวมด้านความยั่งยืนเป็นอันดับ 3 จาก 30 บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมอาหารทะเลทั่วโลก จากดัชนี Seafood Stewardship Index (SSI) ในครั้งที่ผ่านมา
#2824


ในวงการ "ขายของออนไลน์" การจะได้ความประทับใจของลูกค้ามานั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย หนึ่งในวิธีที่จะซื้อใจลูกค้าให้ติดหนึบ จนกลายเป็นลูกค้าประจำที่กลับมา "ซื้อซ้ำ" เสมอ นอกจากกลยุทธ์ด้านการขายต่างๆ แล้ว การใส่ใจต่อ "กล่องพัสดุ" ก็สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน


ทำไม? ต้องตกแต่ง "กล่องพัสดุ"
คำถามนี้อาจจะผุดขึ้นในหัวของพ่อค้าแม่ค้ามือใหม่ ที่คิดว่ากล่องพัสดุของเรามันดีแล้ว มีการจ่าหน้าซองที่ถูกต้องครบถ้วน และชัดเจน จะต้องตกแต่งเพิ่มอีกทำไม? แต่หารู้ไม่! การตกแต่ง "กล่องพัสดุ" มีส่วนทำให้เกิดการ "ซื้อซ้ำ" และเพิ่มความประทับใจต่อสินค้า (Customer Experience) ได้มากถึง 72%

อ้างอิงจากผลสำรวจเรื่อง "ความพึงพอใจของคนอเมริกาต่อกล่องพัสดุและบรรจุภัณฑ์ในการซื้อสินค้า (ปี 2018)" จากบริษัท Paper and Packaging Board ซึ่งเป็นบริษัทขนส่งชื่อดังของอเมริกาที่ร่วมมือกับ IPSOS บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยการตลาด

นอกจากนี้ "การแต่งกล่องพัสดุ" ยังส่งเสริมการตลาดแบบไวรัล (บอกต่อปากต่อปาก) บนโลกออนไลน์ ด้วยเทรนด์การทำคอนเทนต์เกี่ยวกับ แกะกล่องพัสดุ ที่เรียกว่า Unbox เพิ่มมากขึ้น ทั้งใน Youtube, Tiktok และ Instargram (แม้แต่มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ยังเคยทำคลิปวิดีโอ Unbox เช่นกัน)

หากเลื่อนลงไปดูในช่องแสดงความคิดเห็น มักจะเห็นผู้คนเข้ามาพิมพ์ข้อความในเชิงบวก เป็นต้นว่า ซื้อที่ร้านไหน, อยากซื้อบ้าง ฯลฯ ซึ่งสามารถขยายฐานลูกค้าได้อีกมาก ชนิดที่แม่ค้าพ่อค้าอาจไม่ต้องลงแรงด้านมาร์เก็ตติ้งอะไรเลย นี่คือเวทมนตร์วิเศษที่เรียกว่า "การแต่งกล่องพัสดุ" ที่แม่ค้าออนไลน์ทั้งหลายจะมองข้ามไม่ได้

ไอเดียตกแต่ง "กล่องพัสดุ" ให้ ว้าว! แบบลืมไม่ลง
หลังจากที่ตระหนักถึงความสำคัญของกล่องพัสดุแล้ว ขั้นตอนต่อมาก็คือ การมองหาไอเดียการตกแต่งกล่องพัสดุ ที่สามารถนำมาปรับใช้ให้ตรงกับความเหมาะสมของสินค้าของคุณ ซึ่งเรามีไอเดียง่ายๆ มาแนะนำกัน ดังนี้

1. ปั๊มตราสัญลักษณ์ของร้านลงบนกล่อง

การพิมพ์หรือปั๊มตราสัญลักษณ์ของร้านลงบนกล่อง ถือเป็นวิธีที่ง่ายๆ ที่สามารถสร้างความจดจำให้แก่ร้านค้าตั้งแต่ครั้งแรกที่สินค้าถึงมือลูกค้า โดยอาจจะเลือกพิมพ์หรือปั๊มชื่อร้าน, โลโก้, สัญลักษณ์ของร้าน ลงไปบนกล่องพัสดุที่เตรียมจะส่งได้เลย ยืนยันได้จากร้านค้าออนไลน์หลายๆ ร้านก็นำไอเดียนี้มาใช้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Diamond Grains, Premium fruit Delivery, Konvy เป็นต้น

2. ใช้สีกล่องตรงกับสีแบรนด์ เพื่อตอกย้ำเอกลักษณ์ของร้าน

นอกจากการพิมพ์หรือปั๊มสัญลักษณ์ร้านแล้ว สิ่งที่สามารถตอกย้ำเอกลักษณ์ของร้านอีกอย่างคือการเลือกใช้สีกล่อง ที่บ่งบอกถึงตัวตนของร้าน หรือสินค้านั้นๆ สำหรับตัวอย่าง "กล่องพัสดุ" ที่มีการเพิ่มลูกเล่นด้วยสีกล่อง ได้แก่ แบรนด์ Ducati, แบรนด์ Chand เป็นต้น


3. ติดเทปหรือสติ๊กเกอร์ สร้างเอกลักษณ์ให้กล่อง

แม้ว่าพื้นที่ที่การเป็นมองเห็นส่วนใหญ่จะอยู่ที่ข้างกล่องไปรษณีย์ แต่ถ้าใครมีงบน้อยที่ไม่เน้นการพิมพ์กล่อง หรือใช้สีกล่องที่แตกต่าง ก็อาจจะเพิ่มลูกเล่นความน่ารักให้กับกล่องพัสดุด้วยการปรับเทปแบบเดิมๆ ให้มีลวดลายเพิ่มมากขึ้น เช่น เทปที่มีลายการ์ตูน เทปที่มีข้อความ Thank You เป็นต้น


อัพเดทล่าสุด! 'มิสทินสู้โควิด' แจก 2,000 บาท ประกาศรายชื่อแล้ว เช็คได้ที่นี่
โอนเงิน ม.33-39-40 ใน 29 จังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม วันไหนบ้าง เช็กเลย!
ประกันสังคมมาตรา 40 มาตรา 39 เงินเยียวยา เช็ควันโอน-แนะผูกพร้อมเพย์ง่ายๆรอเงินเข้า
ห่อหุ้มสินค้า เรื่องจำเป็นที่ต้องไม่ลืม
หากให้ความสนใจเรื่องกล่องพัสดุแล้ว เรื่องการหุ้มห่อสินค้าก็ต้องใส่ใจควบคู่กันไป ไม่ว่าจะเป็นการหุ้มห่อสินค้าพิเศษ หรือสินค้าที่เสี่ยงต่อการเสียหาย แตกหักง่าย โดยมีเคล็ดลับการห่อของประเภทต่างๆ ที่ ไปรษณีย์ไทย มีข้อแนะนำไว้ ได้แก่

สิ่งของที่มีความยาว : ห่อหุ้มด้วยวัสดุกันกระแทก และบรรจุลงในกล่องให้มิดชิด
ของเหลว : ใช้เทปกาวปิดรอยต่อบริเวณคอ หรือฝาของบรรจุภัณฑ์ให้แน่น พร้อมกับห่อหุ้มด้วยวัสดุกันกระแทกก่อนบรรจุลงถุงอีกชั้นหนึ่ง
ของแตกหักง่าย : หากต้องการส่งหลายชิ้นในกล่องใบเดียวควรห่อหุ้มด้วยวัสดุกันกระแทกแบบแยกชิ้น หลีกเลี่ยงการวางซ้อนกัน เพราะทำให้วัตถุเสียหายได้
เอกสารหรือรูปภาพ : ใช้ฟิวเจอร์บอร์ดหรือกระดาษแข็งประกบเอกสารหน้า-หลัง ติดเทปกาวให้แน่นหนา รวมถึงการใช้ซองพลาสติกห่อหุ้มอีกชั้นเพื่อป้องกันน้ำ และนำใส่ซองแล้วปิดผนึกให้เรียบร้อย
ทั้งหมดนี้ คือ เทคนิคเพื่อใช้กับกล่องพัสดุ เพียงแค่เลือกข้อที่เหมาะสม อยู่ในงบประมาณ และนำมาปรับใช้กับสินค้าของตนเอง เท่านี้พ่อค้าแม่ค้าก็จะทำให้กล่องพัสดุทุกกล่องที่ส่งไปถึงมือลูกค้าเหมือนของขวัญแสนพิเศษที่พวกเขาเฝ้ารอ และประทับใจจนต้องกลับมาซื้อซ้ำ
#2825


นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยภายในงานสัมมนา 50 ปี เครือเนชั่น Virtual Forum Thailand Next EP.1 : Innovation Beyond Business โอกาสนวัตกรรมเศรษฐกิจ ในหัวข้อ "Thailand New Outlook Innovation and Opportunity Post Covid" โดยระบุว่า ต้องยอมรับว่าสถานการณ์โควิด 19 ตอนนี้วิกฤติมาก ในแง่ของภาคสาธารณสุข โรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ ถือว่าทำงานเต็มศักยภาพแล้ว

อย่างไรก็ดี สถานการณ์เหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเมืองไทย แต่เกิดขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้านเราเหมือนกัน เช่น อินโดนีเซีย และเวียดนาม อีกทั้งเดือนนี้เราจะเริ่มเห็นสถานการณ์ในอเมริกา ในยุโรป อังกฤษ ที่เจอการแพร่ระบาดของไวรัสกลายพันธุ์เดลต้า พบว่าผู้ติดเชื้อมากขึ้นเรื่อยๆ ภาพรวมทั้งโลกในเดือน ส.ค.ที่เริ่มมานี้ สถานการณ์คนติดเชื้อ 2 ใน 3 ของตัวเลขพีคในช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ถือว่าสถานการณ์เรียกว่าค่อนข้างหนัก

"วันนี้คำถามที่ว่าเมื่อไหร่โควิดจะหมดไป เมื่อไหร่จะพีค หรือเมื่อไหร่จะหายไป โรคนี้จะหายไปไหม อาจเป็นคำถามที่เราต้องคิดใหม่ว่า หรือเป็นสิ่งที่เราต้องอยู่กับมัน เพราะแม้จะมีวัคซีน เราก็ต้องปรับตัวให้อยู่กับมัน เพราะวัคซีนป้องกันระบาดไม่ได้ 100% แต่ป้องกันการเจ็บตัวลงได้"



ทั้งนี้ ในแง่ของภาคธุรกิจ ที่ก่อนหน้านี้เรียกว่าต้องปรับตัวรับ นิวนอร์มอล (New Normal) ตอนนี้ส่วนตัวผมคิดว่าไม่แน่ใจแล้วกับการปรับตัวหลังโควิดคลี่คลาย แต่สิ่งที่เห็นคือการปรับตัวให้เป็น นาวนอร์มอล (Now Normal) เป็นสิ่งที่เราต้องอยู่กับมันให้ได้ในวันนี้ สิ่งนี้มีผลอย่างมากกับภาคธุรกิจ สังคม และสาธารณสุข เป็นสิ่งที่เราต้องปรับตัวทำทันที ทำไปเรื่อยๆ และต้องอยู่กับมันให้ได้


สำหรับการปรับตัวสู่นาวนอร์มอลของเอสซีจี เมื่อเจอการแพร่ระบาดของเดลต้า ได้ปรับแผนจากการทำไข่แดง มาเป็นการทำ มาตรการการควบคุมโรคลักษณะ หรือบับเบิ้ลแอนด์ซีล (Bubble and Seal) และทำให้เป็นการปรับตัวรับกับนาวนอร์มอล โดยการเอาเทคโนโลยีมาใช้กับสิ่งเหล่านี้ให้เป็นการปรับตัวที่อยู่กับเอสซีจีตลอดไป


ตลาดแร่โลหะ ณ ตลาดลอนดอน (19 ส.ค. 64)
'วันสารทจีน 2564' วันประตูนรกเปิด แนะวิธีทำบุญและบอกสิ่งห้ามทำ โดย อาจารย์ 'คฑา ชินบัญชร'
'หญิงตั้งครรภ์'ติดโควิด19โอกาสเข้าไอซียูสูงกว่า 2-3เท่า
ขณะที่ธุรกิจอื่นๆ ที่เคยคิดว่าเมื่อโควิด 19 คลี่คลายแล้วจะกลับไปเป็นแบบเดิม อย่างภาคการท่องเที่ยว ขณะนี้อาจต้องเริ่มคิดแล้วว่าจะเป็นแบบเดิมอย่างไร หรือจะปรับเป็นนาวนอร์มอลเพื่ออยู่กับสิ่งนี้ เพราะทุกวิกฤติมีโอกาสเสมอ กับทุกธุรกิจที่รู้จักปรับตัว และผู้ที่อยู่รอดค คือผู้ที่ปรับตัว นวัตกรรมจะเป็นนาวนอร์มอลในยุคต่อไปนี้ และความเร็วจากการใช้นวัตกรรม เพื่อการปรับตัวให้เป็นไปตามคความต้องการของลูกค้า จะเป็นนาวนอร์มอลที่ทำให้เราอยู่กับโควิด 19  

นายรุ่งโรจน์ ยังกล่าวด้วยว่า เอสซีจีมองว่านาวนอร์มอล คือ 4 กลุ่มธุรกิจที่หากเปลี่ยนแปลงด้วยนวัตกรรมและดิจิทัลจะเกิดโอกาสอย่างชัดเจน ได้แก่

1.เรื่องของอีคอมเมิร์ซ การเอาดิจิทัล ไปใช้ในการให้บริการ การทำระบบอัตโนมัติ คือการพัฒนาโมเดลในการทำธุรกิจ

2.เรื่องของการใช้ชีวิต นาวนอร์มอลเรื่องของบ้าน ปัจจุบันไม่ใช่เพียงการอยู่บ้าน แต่หมายถึงการอยู่บ้านยังไงให้สบาย เพราะตอนนี้พฤติกรรมผู้บริโภคต้องทำงานที่บ้านด้วย

3.เรื่องของธุรกิจกลุ่มเฮลแคร์ หรือสุขภาพ

4.เรื่องของการเกษตร เอาเทคโนโลยีมาใช้ จะทำให้ประเทศของเราเปลี่ยนแปลงเป็น Food Chain สมัยใหม่
#2826


ศูนย์ข่าวขอนแก่น-ร้านออกแบบกราฟิกครบวงจรเมืองขอนแก่น ปรับตัวปรับแต่งหน้าร้านเปิดขายแฮมเบอร์เกอร์และกาแฟ จับช่องทางขายออนไลน์ หลังธุรกิจหลักรายได้หดหาย จากสถานการณ์โควิด-19ระบาดหนัก

ช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดโรคโควิด-19 ระลอกล่าสุด ได้ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจโดยรวม และภาคธุรกิจต่างๆสูงมาก ซึ่งธุรกิจออกแบบกราฟิก เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมาก เช่นเดียวกับร้านเพลิน Studio ร้านรับออกแบบกราฟิกครบวงจร ตั้งอยู่ถนนหลังเมือง เขตเทศบาลนครขอนแก่น ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ต้องปรับปรุงร้านมาทำเบอร์เกอร์ ตามออเดอร์ลูกค้า ประครองธุรกิจให้อยู่รอด พร้อมปรับหน้าร้านให้เป็นร้านขายเบอร์เกอร์ และกาแฟ ใช้ช่องทางขายผ่านออนไลน์ ตามออเดอร์ผ่านไรเดอร์ส่งอาหาร และขายหน้าร้าน นำกลับไปทานที่บ้านเท่านั้น

นายศิริภัทร์ เพียศิริ หรือ "อ.ต้อง" อดีตอาจารย์สอนที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่น เป็นเจ้าของร้านเพลิน Studio เปิดเผยว่านับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 รอบแรกเมื่อปีที่ผ่านมา ทางร้านก็เริ่มได้รับผลกระทบ เนื่องจากไม่สามารถผลิตงานกราฟิกและงานออกแบบส่งให้กับลูกค้าได้ โดยเฉพาะลูกค้าต่างประเทศ กระทั้งเกิดการแพร่ระบาดในรอบที่ 2 งานก็หดหายลงไปอีก เพราะลูกค้าที่สั่งผลิตงานน้อยลง


กระทั่งเข้าสู่การแพร่ระบาดระลอกที่ 3 งานออกแบบกราฟิกเหลือน้อยมาก จึงคิดหาวิธีสร้างรายได้เสริม จึงเริ่มศึกษาวิธีการทำเบอร์เกอร์และกาแฟขายผ่านออนไลน์ รวมทั้งใช้ความชื่นชอบในการทำอาหารของตนเอง โดยการใช้พื้นที่หน้าร้านปรับปรุงเป็นร้านเบอร์เกอร์แบบโฮมเมด โดยใช้ชื่อร้านว่า "Little Me Burger & Coffee"

ส่วนเมนูให้เลือก มีทั้งเบอร์เกอร์หมู เบอร์เกอร์เนื้อ ชีสเบอร์เกอร์ พิซซ่าญี่ปุ่น ราคาเริ่มต้นที่ 49 บาท รวมทั้งเครื่องดื่มประเภทกาแฟ โดยหลังจากเปิดขายหน้าร้านมาได้ประมาณ 2 สัปดาห์ ก็มีลูกค้าสนใจสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง ทำให้มีรายได้เสริมในช่วงที่ว่างเว้นจากงานออกแบบกราฟิก และมีรายได้มาหมุนเวียนในช่วงที่มีการแพร่ระบาดโควิด-19


เคล็ดลับความอร่อยของเบอร์เกอร์และพิซซ่าญี่ปุ่นของร้าน คือการใช้วัตถุดิบที่ใหม่ สด สะอาด โดยวัตถุดิบที่นำมาเป็นส่วนประกอบ เช่นหมูสับและผักสด จะซื้อมาแบบวันต่อวัน เพื่อให้ลูกค้าได้ลิ้มรสชาติที่สดอร่อย ลูกค้าที่ต้องการลิ้มลอง โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในเขตเทศบาลนครขอนแก่น สามารถสั่งซื้อได้ทางแอพลิเคชันไลน์แมน และฟู้ดแพนด้า หรือจะมาสั่งที่ร้านกลับไปทานที่บ้านก็ได้ โดยร้านเปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 – 20.00 น. หรือจะโทรศัพท์มาสอบถามก่อนก็ได้ที่เบอร์ 089-7104648
#2827


นางพรรณี พุ่มพันธ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กล่าวว่า จากที่ ขบ.ได้ยกระดับการบริการประชาชนให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยได้พัฒนาช่องทางชำระภาษีรถประจำปีออนไลน์ให้สามารถรองรับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ซึ่งรถเก๋ง รถกระบะ รถตู้ ที่มีอายุการใช้งานเกิน 7 ปี หรือรถจักรยานยนต์ที่มีอายุการใช้งานเกิน 5 ปี หรือรถที่ค้างชำระภาษีเกินกว่า 1 ปี ให้นำรถเข้าตรวจสภาพกับสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) ให้เรียบร้อยก่อนดำเนินการชำระภาษีรถประจำปีผ่านช่องทางออนไลน์ สำหรับรถที่ไม่มีเงื่อนไขต้องตรวจสภาพรถก่อนชำระภาษีสามารถดำเนินการได้ทันทีนั้น
ทำให้สถิติการให้บริการชำระภาษีรถประจำปีผ่านระบบออนไลน์ ในเขตกรุงเทพมหานคร ประจำเดือนกรกฎาคม 2564เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการให้บริการชำระภาษีผ่านทางเว็บไซต์ https://eservice.dlt.go.th/ มีจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มสูงขึ้นถึง 53,100 คัน และบริการชำระภาษีรถประจำปีผ่านแอปพลิเคชัน DLT Vehicle Tax มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นจำนวน 5,956 คัน

ซึ่งมีแนวโน้มที่เจ้าของรถจะใช้บริการชำระภาษีรถประจำปีผ่านระบบออนไลน์เพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นช่องทางให้บริการที่มีความสะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องเดินทางมาที่สำนักงานขนส่ง อยู่ที่ไหนก็สามารถชำระภาษีรถประจำปีได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงการแพร่กระจายของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในส่วนของสถิติการรับชำระภาษีรถประจำปีผ่านช่องทางอื่นๆ 

อาทิ เลื่อนล้อต่อภาษี (Drive Thru for Tax) ชำระภาษีได้โดยไม่ต้องลงจากรถ มีผู้ใช้บริการจำนวน 61,573 คัน การให้บริการชำระภาษีที่สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-5 มีผู้ใช้บริการจำนวน 266,150 คัน การให้บริการชำระภาษีผ่านตู้รับชำระภาษีรถประจำปีอัตโนมัติ (Kiosk) มีผู้ใช้บริการจำนวน 882 คัน เคาน์เตอร์เซอร์วิส มีผู้ใช้บริการจำนวน 12,270 คัน ที่ทำการไปรษณีย์ จำนวน 754 คัน และผ่านแอปพลิเคชัน mPAY  และ Truemoney Wallet จำนวน 1,100 คัน รวมมียอดผู้ใช้บริการชำระภาษีประจำเดือนกรกฎาคม 2564 จำนวนทั้งสิ้น 401,785 คัน

กรมการขนส่งทางบกมุ่งมั่นพัฒนาการให้บริการประชาชนในทุกๆ ด้านอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ภาครัฐนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาให้บริการประชาชน โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกให้เจ้าของรถสามารถเข้าถึงบริการชำระภาษีรถประจำปีได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย โดยไม่ต้องเดินทางมาที่สำนักงานขนส่ง เจ้าของรถสามารถชำระภาษีรถล่วงหน้าก่อนภาษีรถสิ้นอายุ 90 วัน ผ่านระบบออนไลน์ที่เว็บไซต์กรมการขนส่งทางบก https://eservice.dlt.go.th หรือผ่านแอปพลิเคชัน DLT Vehicle Tax เจ้าของรถจะได้รับเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีและใบเสร็จรับเงินทางไปรษณีย์ ภายใน 5 วันทำการ นับจากวันชำระเงิน สำหรับการชำระภาษีรถประจำปีผ่านแอปพลิเคชัน DLT Vehicle Tax เมื่อมีการชำระภาษีเรียบร้อยแล้ว ระบบจะแสดงหลักฐานการชำระภาษีรถประจำปีชั่วคราว เพื่อให้เจ้าของรถสามารถใช้เป็นหลักฐานแสดงการชำระภาษีจนกว่าจะได้รับเครื่องหมายการเสียภาษีประจำปี 

โดยเจ้าของรถสามารถเลือกรับเครื่องหมายการเสียภาษีทางไปรษณีย์หรือเลือกพิมพ์เครื่องหมายการเสียภาษีด้วยตนเองที่ตู้รับชำระภาษีรถประจำปีอัตโนมัติ (Kiosk) ซึ่งมีให้บริการที่สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-5 สำหรับรถติดตั้งแก๊ส และรถที่ค้างชำระภาษีรถเกิน 3 ปี ที่ไม่สามารถชำระภาษีผ่านระบบออนไลน์ได้ แนะนำให้ใช้บริการเลื่อนล้อต่อภาษี (Drive Thru for Tax) ณ สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-5 และสำนักงานขนส่งจังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ
#2828


เมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 16 ส.ค.64 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่ร้านแผงขายลอตเตอรี่ซื้อ หวย ออนไลน์ บ้านสามกอง ซึ่งตั้งอยู่ถนนเยาวราช ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต หลังทราบว่า ร้านนี้มีลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 และได้พบกับเจ้าของแผงขายลอตเตอรี่ จากนั้นได้นำเอกสารการจดเลขลอตเตอรี่ทุกใบซึ่งมีรางวัลที่ 1 อยู่ในนั้น 1 ใบจริง


เจ้าของร้านเปิดเผยว่า มีคนถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 จริง โดยถูกจำนวน 1 ใบ ได้เงินรางวัล 6 ล้านบาท และตนได้ขึ้นป้ายแจ้งว่า ร้านของตนมีคนถูกรางวัลที่ 1 พร้อมทั้งได้นำป้ายติดไว้ที่หน้าร้าน ซึ่งร้านของตนจะมีคนถูกลอตเตอรี่บ่อย เป็นรางวัลที่ 2 รางวัลที่ 3 รางวัลที่ 4 และรางวัลที่ 5 บ่อยมาก โดยเฉพาะรางวัลที่ 5 ถูกเกือบทุกงวด แต่สำหรับรางวัลที่ 1 เป็นรางวัลใหญ่ ตนเปิดร้านขายลอตเตอรี่มา 30 ปี เพิ่งเป็นครั้งแรกที่มีลูกค้าถูกรางวัลใหญ่ ที่ซื้อเพียงใบเดียวได้ถึง 6 ล้านบาท พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่า ถ้ารู้ตัวคนถูกรางวัลที่ 1 กลับมาเลี้ยงน้ำลุงซักแก้ว

จากนั้นผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยัง สภ.เมืองภูเก็ต เพื่อตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ามีผู้ถูกรางวัลที่ 1 มาลงบันทึกประจำวันไว้เพื่อเป็นหลักฐานหรือไม่ แต่ได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ายังไม่มีใครมาลงบันทึกประจำวันว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 เลย
#2829
 

ข่าวใหญ่สำหรับภาคการขนส่งทำให้เกิดผลบวดต่อธุรกิจโลจิสติกส์อีกแล้ว หลังโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้ามีการกระจายอย่างรวดเร็วในเอเชีย ทำให้ลายประเทศรวมทั้งไทยต้องงัดมาตรการล็อกดาวน์บางส่วนมาใช้ 

รอบนี้หนึ่งในตลาดขนส่งรายใหญ่ของโลกอย่างจีนต้องเผชิญปัญหาพันธุ์เดลต้าเช่นกันทำให้ต้องปิดท่าเรือคอนเทนเนอร์หนิงโป-โจวซาน (Ningbo-Zhoushan) ชั่วคราวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นท่าเรือที่มีเรือสินค้าใช้บริการแออัดมากเป็นอันดับที่ 3 ของโลก ขนถ่ายสินค้าจากเรือราว 1.2 ล้านล้านตันในปี 2564            

การปิดท่าเรือดังกล่าวห้ามเรือสินค้าเข้าเทียบท่าเรือหรือแล่นออกจากท่าเรือ และระงับการบริการขนถ่ายสินค้าจากเรือทั้งหมด หลังพบคนงานคนหนึ่งของบริษัทหนิงโป เม่ยตง คอนเทนเนอร์ เทอร์มินอล (1 ในเครือหนิงโป-โจวซาน) ติดโควิด-19 ทำให้ต้องกักกันเฝ้าระวังพนักงานอีก 2,000 คน            

ที่ผ่านมาโลกได้เผชิญเหตุการณ์ระบบโลจิสติกส์สดุดจากตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน   จนทำให้เกิดสินค้าตกค้างเป็นจำนวนมากในฝั่งสหรัฐและยุโรป   ทำเป็นสาเหตุทำให้ค่าเช่าตู้แพงระยับ ค่าระวางเรือพุ่งสูงขึ้น   และเมื่อเกิดสถานการณ์คล้ายๆกัน ทำให้เกิดความวิตกว่าการปิดท่าเรือดังกล่าวทำให้ซัพพรายชงักตามไปด้วย            

ตัวเลขที่ยังสะท้อนปัจจัยดังกล่าวคือดัชนีค่าระวางเรือ (BDI)  ยังทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง มาอยู่ที่ 3,566  ดอลลาร์  หลังทพึ่งทำตัวเลขทำสถิติสูงสุดในรอบ 10 ปี อยู่ที่ 2,319 จุด (24 มี.ค.64)   และในรอบ 6 เดือนแรกปี 2564 BDI ปรับเพิ่มขึ้นจากปลายก่อน 10 %

อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ ไต้หวัน คาดการ Re-stock สินค้าทั่วโลกยังเร่งตัวขึ้นไปจนถึงกลางปีหน้าเป็นอย่างน้อย   ซึ่งจะผลักดันค่าระวางเรือเพิ่มสูงขึ้น หลังดัชนี BDI และ BHSI ทำสถิติสูงสุดในรอบ 11 ปี  ซึ่งยังมีดีมาร์ทการขนส่งสินค้าทั่วโลกที่ยังเร่งตัวขึ้น ตัวเลขการส่งออกของไทยที่ยังเติบโต           

เมื่อหันมาดูหุ้นเดินเรือของไทยกลายเป็นกลุ่มที่ราคาหุ้นเคลื่อนไหวอย่างคึกคักเพื่อตอบรับกับคาดการณ์ของผลดำเนินงานจะเติบโตแรง ซึ่งในไตรมาส 2 ปี 2564 ที่ประกาศออกมานั้นแต่ละบริษัทเครื่องร้อนจัดทำกำไรกันเพิ่มขึ้นเป็นระดับเกินเท่าตัวทุกราย

สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการข่นส่งสินค้า และตู้ขนเทนเนอร์โดยตรง บริษัท  อาร์ ซี  แอล  จำกัด (มหาชน) หรือ  RCL ซึ่งให้บริการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ทางทะเล    ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่ต้นปีมากกว่า 200 % 

รายงานกำไรไตรมาส 2 ที่  3,189 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 1,383 % จากช่วงเดียวกันปีก่อน และในรอบ 6 เดือนแรก กำไร 6,130 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,600 %   มาจากปริมาณขนส่งตู้คอนเทนเนอร์เพิ่มขึ้น ค่าระวางเรื่อต่อตู้พิ่มกว่า 76 % ทำให้อัตราค่าเช่าเรือสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

บริษัท  ไวส์ โลจิสติกส์  จำกัด (มหาชน) หรือ WICE  ดำเนินธุรกิจโลจิสติกส์ระหว่างประเทศทางทะเล-อากาศ  โชว์กำไรไตรมาส 2 ที่  111 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 101 % บริษัท ทรัพเพิล ไอ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ III ธุรกิจโลจิสติกส์ระหว่างประเทศและในประเทศ อากาศ –ทะเล-บก มีกำไรในช่วงดังกล่าว 85 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 150 %

บางธุรกิจเผชิญขาดทุนสามารถพลิกกลับมามีกำไร บริษัทพรีเซียส ชิฟปิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSL ไตรมาส 2 กำไร 826 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน 1,183 ล้านบาท ท่ามกลางผลกระทบจากโควิดทำให้ ผู้บริหารอุตสาหกรรมการขนส่งทางทะเลขนาดใหญ่มั่นใจว่าอัตราค่าระวางจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้ (Petter Haugen นักวิเคราะห์ของ Kepler Cheuvreux)  

หรือ บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA    ที่พลิกมีกำไร 530 ล้านบาท จากขาดทุน  240 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อน  ซึ่งบริษัทมีสัดส่วนธุรกิจขนส่งทางเรือ 52 % ได้รับผลดีจากอัตราค่าระวางเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบกว่าทศวรรษ มีปัจจัยหนุนปริมาณการขนส่งแร่หล็กและธัญพืชที่เพิ่มขึ้น รวมถึงความแออัดของท่าเรือ

เรียกได้ว่าปี 2564 เป็นปีทองต่อเนื่องของธุรกิจโลจิกติกส์ ระดับโลกที่ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องในไทยได้รับอานิสงค์ตามไปด้วย   ท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ที่ส่งผลลบต่อหลากหลายธุรกิจแต่ในขณะเดียวกันยังเอื้อให้บางธุรกิจกลับมาเติบโตที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วง 1-3 ปีจากนี้ไป  
#2830


วันนี้ (16 ส.ค. 64) ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงภายหลังการประชุม ศบค. ชุดใหญ่ ที่มีการประชุมเมื่อเวลา 13.30 น. โดยระบุว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ มาตรการควบคุมพื้นที่เฉพาะ (Bubble & Seal) และโครงการนำร่อง การป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงาน (Factory Sandbox)


การดำเนินงาน
1. กระทรวงอุตสาหกรรรม ร่วมกับ กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข ดำเนินมาตรการ Bubble & Seal ในสถานประกอบการ 

2. กระทรวงแรงงาน ร่วมกับ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข ดำเนินโครงการ Factory Sandbox

3. หน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้การสนบัสนุนและร่วมดำเนินการ 

4. ศบค. จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการด้านการแก้ไข สถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในสถานประกอบการ และโรงงานอุตสาหกรรม  


รักษาเสถียรภาพส่งออก 7 แสนล้าน
ทั้งนี้ ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการ Factory Sandbox ได้แก่ รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ในภาคการผลิตส่งออก ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่า 700,000 ล้านบาท ป้องกันคลัสเตอร์โรงงานจากการติดเชื้อ สร้างสมดุล ระหว่างมาตรการทางด้านสาธารณสุข และเศรษฐกิจ ของประเทศให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ สร้างความเชื่อมั่นให้กับ นักลงทุนทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ซึ่ง ณ ปัจจุบันระบบ Supply Chain ของประเทศคู่แข่งกำลังปิดตัวลง และ รักษาระดับการจ้างงาน ในภาคการผลิตส่งออกสำคัญได้กว่า 3 ล้านตำแหน่ง

นำร่อง 4 จังหวัด แรงงาน 474,109 คน
สถานประกอบการที่เข้าเกณฑ์โครงการ Factory Sandbox ในเฟสแรก 4 จังหวัด โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นสถานการประกอบการภาคการผลิตส่งออกที่มีจำนวนผู้ประกันตนเกิน 500 คน ขึ้นไป ผู้ประกันตนในสถานประกอบ 4 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 474,109 คน มีดังนี้

1. นนทบุรี 

จำนวนสถานประกอบการ (ขนาด 500 คนขึ้นไป ในภาคการผลิต-ส่งออก) : 21 แห่ง จากทั้งสิ้น 20,260 แห่ง
จำนวนผู้ประกันตน (ขนาด 500 คนขึ้นไป ในภาคการผลิต-ส่งออก) : 19,600 ราย จากทั้งสิ้น 351,474 ราย
จำนวนผู้ประกันตนที่ได้รับการฉีดวัคซีนในกลุ่มกิจการ : 2,596 ราย

2. ปทุมธานี 

จำนวนสถานประกอบการ (ขนาด 500 คนขึ้นไป ในภาคการผลิต-ส่งออก) : 76 แห่ง จากทั้งสิ้น 18,397 แห่ง
จำนวนผู้ประกันตน (ขนาด 500 คนขึ้นไป ในภาคการผลิต-ส่งออก) : 107,681 ราย จากทั้งสิ้น 443,822 ราย
จำนวนผู้ประกันตนที่ได้รับการฉีดวัคซีนในกลุ่มกิจการ : 4,073 ราย

3. สมุทรสาคร 

จำนวนสถานประกอบการ (ขนาด 500 คนขึ้นไป ในภาคการผลิต-ส่งออก) : 107 แห่ง จากทั้งสิ้น 11,821 แห่ง
จำนวนผู้ประกันตน (ขนาด 500 คนขึ้นไป ในภาคการผลิต-ส่งออก) : 152,047 ราย จากทั้งสิ้น 441,307 ราย
จำนวนผู้ประกันตนที่ได้รับการฉีดวัคซีนในกลุ่มกิจการ : 2,801 ราย

4. ชลบุรี 

จำนวนสถานประกอบการ (ขนาด 500 คนขึ้นไป ในภาคการผลิต-ส่งออก) : 183 แห่ง จากทั้งสิ้น 23,996 แห่ง
จำนวนผู้ประกันตน (ขนาด 500 คนขึ้นไป ในภาคการผลิต-ส่งออก) : 194,781 ราย จากทั้งสิ้น 734,065 ราย
จำนวนผู้ประกันตนที่ได้รับการฉีดวัคซีนในกลุ่มกิจการ : 32,798 ราย
'ตาลีบัน'ยึด'อัฟกานิสถาน'ปลุก'ก่อการร้าย'คืนชีพ
'บิตคอยน์'ทรุด2.63% เคลื่อนไหวที่ 45,000 ดอลล์
เปิดแฟ้ม 'ครม.' 17 ส.ค. เตรียมเคาะวางเงินมัดจำซื้อไฟเซอร์ 20 ล้านโดส
สถานประกอบการ สนใจ เข้าร่วม เฟสแรก
นนทบุรี จำนวน 8 แห่ง รวมลูกจ้าง 6,559 ราย

ปทุมธานี จำนวน 19 แห่ง รวมลูกจ้าง 49,407 ราย

สมุทรสาคร จำนวน 12 แห่ง รวมลูกจ้าง 51,354 ราย

ชลบุรี จำนวน 21 แห่ง รวมลูกจ้าง 31,075 ราย

3 จังหวัด Factory Sandbox เฟส 2
อยุธยา

ฉะเชิงเทรา

สมุทรปราการ

เงื่อนไขโรงงานเข้าร่วม 
1. สถานประกอบกิจการที่ผลิตเพื่อการส่งออก

2. อยู่ในจังหวัด ชลบุรี นนทบุรี สมุทรสาคร ปทุมธานี อยุธยา ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ

3. มีลูกจ้างตั้งแต่ 500 คนขึ้นไป

4. ต้องดำเนินการ FAI (Factory Accommodation Isolation) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5

5. ดำเนินการ Bubble and Seal โดยกำหนดให้ลูกจ้างเดินทางกลับที่พักโดยตรงไม่แวะระหว่างทาง และอยู่แต่ในเคหะสถานเท่านั้น

6. ตรวจหาเชื้อแบบ RT-PCR จำนวน 1 ครั้งให้ลูกจ้างทั้งหมด และตรวจแบบ Self-ATK (Antigen Test Kit) ทุก 7 วัน

7. ฉีดวัคซีนให้ลูกจ้างที่ตรวจ Swab Test ทุกคน ยกเว้นคนที่ติดเชื้อฯ ให้เข้ารับการรักษา ส่วนค่าบริการฉีดวัคซีนสถานประกอบการต้องเป็นผู้จ่ายให้แก่สถานพยาบาล

8. สถานประกอบการทำหนังสือยินยอมดำเนินการตามแนวทางของสถานกระทรวงแรงงานและจังหวัด
#2831


นายธานิน สัจจะบริบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกชีทเม็ททัล จำกัด (มหาชน) หรือ BM เปิดเผยผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2 ปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 285.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 97.07 ล้านบาท หรือ 51.65% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 23.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.47 ล้านบาท หรือ 711.66% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯ มีงานส่งออกไปยังต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการอ่อนค่าของเงินบาท ส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับประโยชน์ดังกล่าว รวมทั้งความสามารถในการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถทำกำไรได้ดียิ่งขึ้น ถึงแม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังระบาดเป็นวงกว้าง

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 19.41% เพิ่มขึ้น 6.13% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 13.28% เนื่องจากบริษัทฯ มีการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบได้ดี เช่น การจองเหล็กไว้ล่วงหน้า บริษัทฯ จึงได้เปรียบจากงานที่จำเป็นต้องใช้เหล็กร่วมกัน และการสั่งจองสินค้าในปริมาณมากทำให้บริษัทฯ สามารถขายสินค้าได้ในราคาต้นทุนที่ต่ำ เมื่อเทียบกับราคาขายที่สูงขึ้นตามภาวะตลาด

"ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มียอดขายที่เพิ่มขึ้นในแทบทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะงานส่งออกที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับค่าเงินบาทอ่อนค่าลง รวมถึงการได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีจากการการทำโซลาร์รูฟ ทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงความสามารถของทีมผู้บริหารที่มีการวางแผนงานอย่างมีประสิทธิภาพและการจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างรัดกุม ซึ่งส่งผลดีต่อกำไรของบริษัทฯ" นายธานิน กล่าว

นายธานิน กล่าวต่อว่า แม้สถานการณ์ในปัจจุบันยังคงมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพและความสามารถของทีมผู้บริหารท่ามกลางภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้น ประกอบกับการได้รับคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงประเมินว่าช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซัน บริษัทฯ จะยังคงรักษาการเติบโตของรายได้และสามารถทำกำไรของบริษัทเอาไว้ได้ตามเป้าที่วางไว้

อนึ่ง สำหรับผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 566.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 157.85 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 38.62% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 37.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.99 ล้านบาท หรือ 403.63% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
#2832


วันนี้ (15 ส.ค.) นายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยนางวันทนีย์ วัฒนะ รองปลัดกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่ตรวจความพร้อมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ เขตหลักสี่ 2 ณ อาคารสุทธิเกตุ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต เขตหลักสี่ โดยมี ดร.ดาริกา ลัทธพิพัฒน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และนายสมบัติ กนกทิพย์วรรณ ผู้อำนวยการเขตหลักสี่ ให้รายละเอียดการดำเนินการ จากนั้นรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และรองปลัดกรุงเทพมหานคร ตรวจความพร้อมศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ เขตจตุจักร ณ โรงซ่อมบำรุงรถไฟ สถานีกลางบางชื่อ ซึ่งเป็นศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อแห่งที่ 3 ในพื้นที่เขตจตุจักรฃ โดยมี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายอาฤทธิ์ ศรีทอง ผู้อำนวยการเขตจตุจักรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่

กรุงเทพมหานครจัดตั้งศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ (Community Isolation : CI) เพื่อแยกผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว คือ ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยที่ไม่สามารถรักษาตัวที่บ้าน (Home Isolation : HI) เนื่องจากสภาพแวดล้อมไม่พร้อม ให้มาพักคอยที่ศูนย์ฯ เพื่อดูแลอาการเบื้องต้น ระหว่างรอนำส่งโรงพยาบาล สำหรับศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เขตหลักสี่ ใช้อาคารสุทธิเกตุ เป็นสถานที่รองรับผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียว รองรับผู้ป่วยได้ 168 เตียง แบ่งเป็นชาย 75 เตียง หญิง 85 เตียง และผู้ป่วยแบบครอบครัว 8 เตียง มีโรงพยาบาลปิยเวท เป็นโรงพยาบาลที่ปรึกษาและส่งต่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษา นอกจากนี้ยังมีลานกิจกรรมภายนอกอาคารเพื่อให้ผู้ป่วยได้ใช้เป็นพื้นที่พักผ่อนและคลายเครียดอีกด้วย ส่วนศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ ณ โรงซ่อมบำรุงรถไฟ สถานีกลางบางซื่อ เขตจตุจักร สามารถรองรับผู้ป่วยได้ 400 เตียง แบ่งเป็นชาย 200 เตียง และหญิง 200 เตียง ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้วแต่ยังไม่มีผู้ป่วยเข้าพัก มีโรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง เป็นโรงพยาบาลที่ปรึกษาและส่งต่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษา

ศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อมีการดำเนินการโดยคำนึงถึงความปลอดภัยในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 โดยมีจุดคัดกรองผู้ป่วย จุดบริการอาหารและน้ำดื่ม ติดตั้งระบบไฟฟ้าส่องสว่างเพิ่มเติม ติดตั้งถังดับเพลิง ระบบเสียงตามสาย ระบบรักษาความปลอดภัย CCTV อินเตอร์เน็ต ระบบบำบัดน้ำเสีย การจัดการขยะติดเชื้อ และห้องประสานงานของเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ยังได้จัดเตรียมของใช้จำเป็นและของใช้ส่วนตัวสำหรับผู้ป่วย เช่น ชุดเครื่องนอน ผ้าเช็ดตัว หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ยาสระผม ยาสีฟัน แปรงสีฟัน เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้ป่วยโควิด-19 ที่จะเข้าพักที่ศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อสามารถติดต่อได้ที่สายด่วน 1330 ตลอด 24 ชั่วโมง หากไม่ได้รับความสะดวกสามารถติดต่อเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนโควิดเขตพื้นที่ทั้ง 50 เขต โดยสายด่วนโควิด เขตหลักสี่ โทร. 0 2026 6800 สายด่วนโควิด เขตจตุจักร โทร. 0 2026 3100

รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ในการตรวจความพร้อมของศูนย์พักคอยในวันนี้ภาพรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ได้มีการกำชับให้สำนักงานเขตลงพื้นที่เชิงรุกค้นหาผู้ป่วยที่ไม่สามารถพักรักษาตัวที่บ้านให้มาพักรักษาตัวที่ศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ ตามนโยบายของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้มีนโยบายให้ศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ (CI) รับผู้ป่วยสีเขียวทั้งหมด ส่วนโรงพยาบาลสนามจะเปลี่ยนมารับผู้ป่วยสีเหลืองเป็นหลัก ซึ่งผู้ป่วยสีเขียวที่อยู่ศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อแล้วอาการเปลี่ยนเป็นสีเหลืองจะมีการส่งตัวเข้ารับการรักษาตามสถานพยาบาลที่จับคู่ดูแลศูนย์พักคอยฯ แต่ละแห่งต่อไป ซึ่งทั้ง 50 เขตจะมีศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อในพื้นที่ของตน เบื้องต้นจะรับผู้ป่วยในพื้นที่เขตเป็นหลักก่อนแต่หากไม่เพียงพอก็จะมีการรับผู้ป่วยข้ามเขตพื้นที่ด้วย
#2833


นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ปัจจุบันหน่วยงานของรัฐหลายแห่งมีความจำเป็นต้องดำเนินการในการป้องกัน ควบคุม การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19

โดยการจัดซื้อวัคซีนซิโนฟาร์มกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ให้แก่ประชาชน หรือเจ้าหน้าที่ ซึ่งการดำเนินการจองวัคซีนดังกล่าว ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์มีเงื่อนไขให้หน่วยงานของรัฐที่จัดซื้อต้องจัดสรรวัคซีนซิโนฟาร์มให้แก่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เพื่อนำไปจัดสรรบริการฉีดให้ผู้ด้อยโอกาสและผู้ที่เข้าไม่ถึงการรับวัคซีนหลัก ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของจำนวนวัคซีนที่หน่วยงานของรัฐจัดซื้อ และราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จะจัดส่งวัคซีนตามรายชื่อผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนไปยังสถานพยาบาลที่หน่วยงานของรัฐได้ระบุไว้ตามวันเวลาที่กำหนด ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวข้างต้นหน่วยงานของรัฐไม่ได้ดำเนินการลงทะเบียนเพื่อควบคุมพัสดุ การเบิกจ่ายพัสดุ และการโอนพัสดุที่มีคุณภาพดี ซึ่งยังไม่หมดความจำเป็น จึงเป็นกรณี
ที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ข้อ 203 ข้อ 204 ข้อ 205 และข้อ 215 วรรคหนึ่ง (3)

"คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ (คณะกรรมการวินิจฉัย) พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้หน่วยงานของรัฐสามารถดำเนินการจัดซื้อวัคซีนจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ที่มีเงื่อนไขต้องจัดสรรวัคซีนบางส่วน หรือมีการแบ่งสัดส่วนเพื่อบริจาควัคซีนตามที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์กำหนด หรือจากผู้ขายรายอื่นที่กำหนดเงื่อนไขในลักษณะเดียวกันได้ จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 29 วรรคหนึ่ง (4) แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 อนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ข้อ 203 ข้อ 204 ข้อ 205 และข้อ 215 วรรคหนึ่ง (3) สำหรับการจัดซื้อวัคซีนจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์หรือผู้ขายรายอื่นที่กำหนดเงื่อนไขในลักษณะดังกล่าว ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ Call center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวันเวลาราชการ" อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
#2834


นายศิริพงษ์ สมบูรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี–แลนด์ กรุ๊ป จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำเขตกรุงเทพฯ ตอนใต้ พระราม 2–สมุทรสาคร โซนภาคตะวันออก และโซนกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก รวมถึงคอมมูนิตี้มอลล์ "พอร์โต้ ชิโน่" และจุดแวะพักครบวงจร "พอร์โต้ โก" กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด–19 ส่งผลให้ผู้บริโภควิตกกังวลในเรื่องของความปลอดภัย รวมทั้งการลดกิจกรรมนอกบ้านและมาตรการล็อกดาวน์ เป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายโดยหันมาซื้อสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น ถือเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการร้านค้า รวมถึงพ่อค้าแม่ค้าหันมาปรับเปลี่ยนการขายสู่การทำการตลาดออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดียมากขึ้น

ทั้งนี้จากข้อมูลของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ระบุว่า มูลค่าการตลาด e-Commerce ซึ่งเป็นการทำธุรกรรมซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการบนอินเทอร์เน็ต โดยใช้เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันเป็นสื่อในการนำเสนอสินค้าและบริการต่างๆ ในประเทศไทยมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยในปี 2563 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 16% และคาดการณ์ว่าปี 2564 จะเพิ่มขึ้นเป็น 18% ปี 2565 เพิ่มขึ้น 20% และปี 2566 จะเพิ่มขึ้นเป็น 22% และความต้องการในการซื้อสินค้าและบริการผ่านทางออนไลน์นั้นจะกลายเป็นช่องทางการซื้อที่สำคัญมากขึ้นสำหรับผู้บริโภค แม้เป็นยุคหลังการแพร่ระบาดของโควิด–19

นายศิริพงษ์ กล่าาว่า บริษัทมองเห็นโอกาสขยายฐานการตลาดในกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจค้าออนไลน์ที่มีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จึงได้จัดโปรโมชัน "อาคารพาณิชย์ดีที่สุด" ผ่านโครงการ "บ้านดี เดอะมอนเทอเรย์ ศรีราชา–อัสสัมชัญ" ท่ามกลางธรรมชาติร่มรื่นและสวยงาม บนเนื้อที่รวมประมาณ 11 ไร่ ใจกลางเมืองศรีราชา จังหวัดชลบุรี ในรูปแบบอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น สไตล์ American Cottage ขนาดที่ดิน 16.5 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 95 ตร.ม. กับฟังก์ชัน 1 ร้านค้า 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ภายในโครงการครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้งพื้นที่สีเขียวร่มรื่น American Courtyard ขนาดใหญ่ด้านหน้าโครงการ สวนขนาดย่อมกระจายอยู่รอบโครงการ คลับเฮาส์ สระว่ายน้ำ คีย์การ์ดสำหรับเข้า–ออกโครงการ และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกล้อง CCTV ในราคาเริ่มต้น 2.49 ล้านบาท* พร้อมเฟอร์นิเจอร์ทั้งหลังสามารถเข้าอยู่ได้ทันที ไม่ต้องตกแต่งเพิ่ม

"บ้านดี เดอะมอนเทอเรย์ อีกหนึ่งโครงการคุณภาพจากดี–แลนด์ กรุ๊ป ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ใจกลางเมืองศรีราชา การเดินทางสะดวกสบาย สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองชลบุรี–ระยอง–พัทยา หรือจะใช้เส้นทางจากถนนอัสสัมชัญเชื่อมต่อเข้าสู่ถนนสุขุมวิทก็สะดวก โดยอาคารพาณิชย์ในโครงการบ้านดี เดอะมอนเทอเรย์ มีพื้นที่สำหรับขายหน้าร้านและขายออนไลน์ พร้อมฟังก์ชัน 1 ร้านค้า 2 ห้องนอน ที่สามารถปรับเปลี่ยนให้เป็นห้องไลฟ์สดขายของ หรือห้องสต๊อกสินค้า และซื้อ 1 ได้ถึง 2 กับห้องนอนที่พร้อมปล่อยเช่าได้ทันที นอกจากนี้ ยังอยู่ใกล้กับบริษัทขนส่ง อาทิ ไปรษณีย์ไทย เคอรี่ แฟลช และเจแอนด์ที สะดวกต่อการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้า ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.49 ล้านบาท ตอบครบทุกความต้องการสำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่กำลังองหาอาคารพาณิชย์ที่ดีที่สุดและตอบโจทย์การลงทุนในอนาคตที่คุ้มค่า" นายศิริพงษ์ กล่าว
#2835


The 1 ผู้นำด้านดิจิทัลไลฟ์สไตล์และลอยัลตี้แพลตฟอร์มอันดับ 1 ของไทย จับมือ กลุ่มโรงพยาบาลในเครือบางปะกอกและปิยะเวท ส่งเสริมการดูแลสุขภาพและบริการทางการแพทย์ให้สมาชิก The 1 มอบสิทธิประโยชน์ให้สมาชิกสามารถสะสมและแลกคะแนน The 1 พร้อมมอบสิทธิพิเศษตลอดทั้งปีในการรับบริการด้านสุขภาพผ่านแอปพลิเคชั่นThe 1

ความร่วมมือในครั้งนี้ ได้เริ่มนำร่องแล้วที่โรงพยาบาลปิยะเวท และ โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล และจะขยายต่อไปยังโรงพยาบาลอื่นๆ ในเครือโรงพยาบาลบางปะกอกจนครบทุกสาขาภายในปีนี้ซึ่งนอกจากสมาชิก The 1 จะได้รับสิทธิประโยชน์ในการสะสมและแลกคะแนน The 1 เมื่อเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลในเครือบางปะกอกและปิยะเวททั้ง 7 แห่งแล้ว จะยังได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมในด้านบริการสุขภาพ อาทิ โปรแกรมตรวจสุขภาพ โปรแกรมวัคซีน และโปรแกรมดูแลความงาม รวมกว่า 10 รายการ ซึ่งสามารถกดรับสิทธิ์และแสดงบาร์โค้ดสมาชิกเพื่อเข้ารับบริการ พร้อมสะสมและแลกคะแนนได้ผ่านทางแอปพลิเคชั่น The 1

"กวิน ตั้งอุทัยศักดิ์" กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะวันเซ็นทรัล จำกัด กล่าวว่า "The 1 ให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายพันธมิตรใน ecosystem เพื่อนำเสนอประสบการณ์รูปแบบใหม่ๆ ที่ครอบคลุมทุกแง่มุมการใช้ชีวิต ซึ่งบริการด้านสุขภาพและการแพทย์นับเป็นสิ่งที่สมาชิกของเราให้ความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่COVID-19 กำลังแพร่ระบาดในปัจจุบัน"
"โรงพยาบาลในเครือบางปะกอกและปิยะเวทมีความเชี่ยวชาญทางการแพทย์แบบองค์รวมซึ่งมีสาขาหลายแห่งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งศูนย์บริการสุขภาพและความงามที่ได้มาตรฐาน จึงนับเป็นการยกระดับการดูแลลูกค้าของเราให้สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์และบริการด้านสุขภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิกที่หลากหลายทั้งด้านเพศ วัย พื้นที่ ไลฟ์สไตล์และความสนใจและช่วยเติมเต็มประสบการณ์ที่ The 1 มอบให้กับสมาชิกได้อย่างครบวงจรภายใต้แนวคิด Your Everyday Lifestyle Application"

"แพทย์หญิงเจรียง จันทรกมล" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลในเครือบางปะกอก-ปิยะเวท กล่าวว่า "โรงพยาบาลในเครือบางปะกอกและปิยะเวทได้พัฒนาการให้บริการและโปรแกรมลูกค้าสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องตามวิสัยทัศน์ขององค์กรที่มุ่งเน้นการรักษาที่ได้มาตรฐานและการบริการที่ประทับใจ โดยมีความเชี่ยวชาญทางการแพทย์แบบองค์รวมที่ได้รับมาตรฐานสากล JCI และ HA รวมถึงศูนย์บริการสุขภาพเฉพาะทางและศูนย์ความงามที่ได้รับการยอมรับในระดับประเทศและนานาชาติ สำหรับความร่วมมือกับ The 1 ซึ่งเป็นลอยัลตี้โปรแกรมที่ดีที่สุดในประเทศไทยในครั้งนี้ นับเป็นการเปิดประสบการณ์ด้านการบริการสุขภาพของเครือโรงพยาบาลด้วยข้อเสนอพิเศษเฉพาะสำหรับสมาชิก The 1 ทั้ง 18 ล้านคน โดยสามารถรับสิทธิได้ที่โรงพยาบาลในเครือทั้ง 7 สาขา"
"โรงพยาบาลในเครือบางปะกอกและปิยะเวทพร้อมให้การต้อนรับสมาชิก The 1 ทุกท่าน โดยเชื่อมั่นว่าลูกค้า The 1 ที่มาใช้บริการจะได้รับความประทับใจจากมาตรฐานการรักษาและให้บริการของโรงพยาบาลและกลับมาใช้บริการที่โรงพยาบาลอีกครั้งอย่างแน่นอน"
#2836


บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน)หรือ GRAMMY เปิดเผยว่า ไตรมาส2ปี2564 ขาดทุนสุทธิ 15.02 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ7.49 ล้านบาท เนื่องจาก บริษัทมีรายการพิเศษจากการบันทึกขาดทุนจากการให้วัดมูลค่ายุติธรรมในสินทรัพย์ทางการเงินอื่นจำนวน160.1 ล้านบาท

ขณะที่บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 1,012.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น8.9% ซึ่งมาจากธุรกิจเพลง จำนวน 443.9 ล้านบาท ธุรกิจโฮมชอปปิง353.7 ล้านบาท ธุรกิจภาพยนตร์ 93.5 ล้านบาท  ธุรกิจจัดจำหน่ายกล่องรับสัญญาณทีวี 66.2 ล้านบาท และธุรกิจอื่นๆ 49.6 ล้านบาท 

ขณะที่งวดครึ่งปีแรกกำไรสุทธิ 383.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 690% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ48.46 ล้านบาท

สินทรัพย์รวม ณ สิ้นไตรมาส 2/2564เท่ากับ 4,944.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 703.0 ล้านบาท จาก ณ สิ้นปีก่อน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการการรับรู้และการวัดมูลค่ายุติธรรมจากการใช้สิทธิเข้าซื้อหุ้น บริษัท โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) จ านวน 749.3 ล้านบาท ในหมวดสินทรัพย์ทางการเงินหมุนเวียนอื่น ในขณะเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดลดลง

หนี้สินรวม ณ สิ้นไตรมาส 2/2564 เท่ากับ 3,612.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 328.6 ล้านบาทจาก ณ สิ้นปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากเงินกู้ยืมระยะสั้นที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่เจ้าหนี้การค้าและเจ้าหนี้อื่นที่ลดลง

ณ สิ้นไตรมาส 2/2564 บริษัทมีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยเท่ากับ 1,672.4 ล้านบาท อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น จาก 1.19 ณ สิ้นปี 2563 มาอยู่ที่ระดับ 1.26 ณ สิ้นไตรมาส 2/2564


ส่วนของผู้ถือหุ้น 1,332.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 374.4 ล้านบาท จาก ณ สิ้นปี 2563 ที่ 957.8 ล้านบาท จากผลกำไรระหว่างปี
กระแสเงินสด ใช้ไปในกิจกรรมดำเนินงาน ในไตรมาสนี้ เท่ากับ 16.0 ล้านบาท ขณะที่กระแสเงินสดใช้ไปในการลงทุนเท่ากับ 645.2 ล้านบาท และกระแสเงินสดสุทธิกิจกรรมจัดหาเงินเท่ากับ 489.8 ล้านบาท

ส่งผลให้กระแสเงินสดสุทธิของไตรมาสนี้ ลดลง172.9 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส2/2564 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 554.8 ล้านบาท

 
#2837


สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. จัดงาน "ARDA Virtual Event : ต่อยอดงานวิจัยเกษตรไทย มิติใหม่แห่งการลงทุน" ในวันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม 2564 เวลา 10.00 – 13.00 น. บนแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ผลงานวิจัยของ สวก. ให้เป็นที่รับรู้และรู้จักอย่างกว้างขวาง ส่งเสริมและผลักดันผลงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์เชิงนโยบาย สาธารณะ และพาณิชย์

โดยนำเสนอเทคโนโลยี "ต่อยอดงานวิจัยเกษตรไทย มิติใหม่แห่งการลงทุน" จำนวน 12 โครงการ ซึ่งพร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีสู่ภาครัฐและเอกชน รวมทั้งการนำเสนอตัวอย่างความสำเร็จของภาคเอกชนที่ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิผลงานวิจัยของ สวก. จำนวน 3 บริษัท ได้แก่ 1) บริษัท เอ็ม.วาย.อาร์.คอสเมติคส์ โซลูชั่น จำกัด 2) บริษัท ไบโอเมดอินโนเวชั่น จำกัด และ 3) บริษัท เจอาร์ แลบโบราทอรี่ จำกัด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของผลงานวิจัยที่สามารถนำไปใช้ได้จริง


ทั้งนี้ ยังมีการเสวนา เรื่อง "ศักยภาพของสมุนไพรไทยในการป้องกัน รักษา และฟื้นฟูโรคโควิด 19" เพื่อยกระดับงานวิจัยด้านสมุนไพรไทย นำไปต่อยอดและพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่ตลาดโลก

ภายในงาน จะสามารถให้ผู้ที่ร่วมลงทะเบียนเข้าชมนิทรรศการผลงานวิจัยของ สวก. ในรูปแบบ Virtual Event บนแพลตฟอร์มออนไลน์ จำนวนกว่า 60 ผลงาน ประกอบด้วย

โซนที่ 1 ผลิตภัณฑ์ผลงานวิจัยจาก "หิ้งสู่ห้าง" มากกว่า 20 ผลิตภัณฑ์ ที่มีการผลิตและจำหน่ายจริง อาทิ เครื่องสำอางชะลอความชราจากข้าว เครื่องดื่มข้าวสินเหล็ก ผลิตภัณฑ์ไล่ยุงและแมลง ผลิตภัณฑ์เส้นบุก เครื่องสำอางจากดอกไม้สีเหลือง และเครื่องสำอางจากน้ำมันปาล์มแดง เป็นต้น

โซนที่ 2 ต้นแบบผลงานวิจัยพร้อมใช้ "เชิงพาณิชย์" มากกว่า 20 ผลงาน อาทิ ตำรับยาเม็ดฟ้าทะลายโจร ตำรับยาจากพืชกระท่อม อาหารสุขภาพสำหรับโรคเรื้อรังจากสาหร่าย เป็นต้น


โซนที่ 3 ต้นแบบองค์ความรู้วิจัยพร้อมใช้ "เชิงสาธารณะ" มากกว่า 20 ผลงาน อาทิ คู่มือเทคโนโลยีการผลิตภัณฑ์ปลาช่อน Food loss เทคโนโลยีการให้น้ำด้วยการใช้อ่างน้ำจากยางรถยนต์เก่าและระบบไส้ตะเกียง และนวัตกรรม Cement ring แบบประหยัดน้ำ เป็นต้น

โซนที่ 4 การให้บริการข้อมูลของ สวก. (ARDA Contact) ได้แก่ การสนับสนุนทุนวิจัย ทุนพัฒนาบุคลากรวิจัย ระบบคลังข้อมูลการวิจัยการเกษตรไทย (TARR) ช่องทางสื่อประชาสัมพันธ์ และช่องทางการติดต่อ สวก.

ทั้งนี้ ท่านผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ตั้งแต่วันนี้ ได้ที่ http://www.ardavirtual2021.com/

หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักส่งเสริมการใช้ประโยชน์ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) โทร. 02-579-7435 และ Facebook : Agricultural Research Development Agency (ARDA)
#2838


วันนี้ (12 ส.ค.) เมื่อเวลา 14.30 น. นางวัลยา วัฒนรัตน์ รองปลัดกรุงเทพมหานคร ตรวจความพร้อมศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ เขตสาทร โดยมี ดร.วัลลภ สุวรรณดี ประธานที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารเขตสาทร ทีมแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลเลิดสิน ศูนย์บริการสาธารณสุขในพื้นที่ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่และให้ข้อมูล ณ ศูนย์กีฬาเขตสาทร แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร

ศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ เขตสาทร ใช้พื้นที่อาคารศูนย์กีฬาเขตสาทร สามารถรองรับผู้ป่วยได้ 166 เตียง แบ่งเป็น ผู้ป่วยชาย 60 เตียง ผู้ป่วยหญิง 106 เตียง โดยมีทีมแพทย์จากโรงพยาบาลเลิดสิน และศูนย์บริการสาธารณสุข 14 แก้วสีบุญเรือง เป็นผู้บริหารจัดการผู้ป่วย คาดว่า จะสามารถเปิดรับผู้ป่วยได้ในวันที่ 14 ส.ค. 64 นับเป็นศูนย์พักคอยฯ แห่งที่ 2 ในพื้นที่เขตสาทร โดยศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ เขตสาทร แห่งที่ 1 ตั้งอยู่ที่อาคารศูนย์เรียนรู้พระพุทธศาสนาและการพัฒนาสังคม วัดสุทธิวราราม ซึ่งเป็นศูนย์พักคอย 1 ใน 7 แห่ง ที่กรุงเทพมหานครเตรียมขยายศักยภาพในการรองรับผู้ป่วย โดยได้ปรับเป็นศูนย์พักคอยกึ่งโรงพยาบาลสนาม (Community Isolation plus : CI plus) เพื่อให้ผู้ป่วยที่มีอาการระดับสีเหลืองได้รับการรักษาเพิ่มขึ้น

กรุงเทพมหานครได้จัดตั้งศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ หรือ Community Isolation เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีผลตรวจรับรองว่า ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ 6 กลุ่มเขต โดยมีเป้าหมายเปิดศูนย์พักคอยฯ ให้ได้มากที่สุด เพื่อแยกผู้ป่วยโควิด-19 ออกมาจากบ้าน นำมาพักคอยที่ศูนย์ฯ มีการคัดกรองอาการและดูแลเบื้องต้น เพื่อรอการส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาล หากมีอาการแย่ลง ลดปัญหาการแพร่ระบาดและติดเชื้อของคนในครอบครัวและชุมชน ทั้งนี้ ประชาชนที่ได้รับการยืนยันว่า ติดเชื้อโควิด-19 สามารถโทร.ติดต่อสายด่วน 1330 หรือ สายด่วนโควิด 50 เขต เขตละ 20 คู่สาย ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรับการประเมินเข้าสู่ระบบการรักษาแบบแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation : HI) หรือเข้าพักที่ศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ (Community Isolation : CI) หรือโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
#2839


นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนผลิตผลทางการเกษตรของเกษตรกรไทยในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และเพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายของ อ.ส.ค.ในช่วงปลายปี 2564 ซึ่งคำนึงถึงวิถีชีวิตของผู้บริโภคในยุค New Normal ทำให้ไม่สามารถเดินทางได้เหมือนเมื่อก่อน จึงต้องหันมาเสาะแสวงหาสินค้าใหม่ๆในโลกออนไลน์มากขึ้น ตลอดจนตอบโจทย์ทางการตลาดที่มีแนวโน้มของผู้บริโภคมีความสนใจในการบริโภคผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มรสชาติที่มีความแปลกใหม่และหลากหลายมากขึ้น จึงได้มอบหมายให้ อ.ส.ค. เร่งวิจัยผลิตภัณฑ์ใหม่ๆออกสู่ตลาดอย่างสม่ำเสมอ

ล่าสุดได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์นมปรุงแต่งยูเอชที เพิ่มขึ้น 2 รสชาติ คือ รสเผือก และรสมะม่วงมหาชนก ตราไทย-เดนมาร์ค ขนาด150 มล. ภายใต้กล่องบรรจุภัณฑ์ยูเอชที "รักเรา รักษ์โลก" โดยวางเป้าหมายเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่ชื่นชอบการดื่มนมเป็นอาหารว่าง (snack drink) โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยรุ่น วัยเพิ่งเริ่มทำงาน ที่ดื่มนมลดลง ให้หันกลับมาดื่มนมอีกครั้ง เพราะสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย สำหรับกลุ่มเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ไม่ชอบดื่มนม สามารถดื่มนมได้ง่ายขึ้น เพราะมีรสชาติให้เลือกหลากหลาย ที่สำคัญทั้ง 2 รสชาติให้พลังงาน 120 กิโลแคลอรี ต่อ 1 กล่อง

"การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ รสเผือกและรสมะม่วงมหาชนก นอกจากกระตุ้นยอดจำหน่ายนมไทย-เดนมาร์คในช่วงปลายปีงบประมาณ 2564 นี้แล้ว ยังเป็นการสร้างปรากฏการณ์ทางการตลาดใหม่ๆของผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่ม เนื่องจากทั้ง 2 รสชาติมีความสดใหม่ ผสมผสาน ผลผลิตทางการเกษตร คุณภาพสูง ดีต่อสุขภาพ ซึ่งถือเป็นอีกความภาคภูมิใจที่ อ.ส.ค. ที่ได้ช่วยเหลือเกษตรกรไทยให้มีรายได้และมีช่องทางตลาดมากยิ่งขึ้นซึ่งสอดคล้องกับนโยบายสำคัญของกระทรวงเกษตรฯ นางสาวมนัญญา กล่าว



ทางด้านนายสุชาติ จริยาเลิศศักดิ์ รองผู้อำนวยการ ทำการแทนผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) กล่าวว่า จากผลสำรวจเกี่ยวกับการบริโภคนมของผู้บริโภคซึ่งปัจจุบันนับได้ว่าเฉลี่ยการดื่มนม/คน/วัน ยังนับว่ามีอัตราที่ค่อนข้างน้อย โดยช่วงอายุ 13-20 ปี บริโภคนมลดลงกว่าครึ่ง จากสัดส่วน 89% เหลือเพียง 44% เมื่อเทียบกับวัยอนุบาลและประถมศึกษา ซึ่งเฉลี่ยโดยประมาณ 70% ดื่มนม เพียง 1 ครั้งในตอนเช้าหรือก่อนนอน และสาเหตุที่ไม่ดื่มนม เพราะไม่ชอบดื่มนมถึง 24.50% และคิดว่าไม่จำเป็นอีก 12.58% ดังนั้น อ.ส.ค. จึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีสารอาหารมากขึ้น และมีสินค้าใหม่เกิดขึ้น ซึ่ง น้ำนมโคแท้ 100% ไม่ผสมนมผง และเติมรสชาติใหม่ ผสมผสานกับวัตถุดิบที่ดีมีคุณภาพสูงจากเกษตรกรในประเทศไทยอีกด้วย

นอกจากนี้ถือเป็นโอกาสดีของนมไทย-เดนมาร์ค ซึ่งมีข้อได้เปรียบด้านคุณภาพของสินค้าอยู่แล้ว เป็นผลิตภัณฑ์นมที่ผลิตจากนมโคแท้ 100 % ไม่ผสมนมผง ส่งตรงจากฟาร์มเกษตรไทยจริงๆ อีกทั้งกระบวนการผลิตยังไม่มีการผสมนมผงอีกด้วย เรียกได้ว่าผู้บริโภคจะได้รับคุณประโยชน์ และวิตามินจากธรรมชาติเต็มๆแน่นอน เรายังเล็งเห็นว่า นม ยังคงเป็นอาหารที่มีประโยชน์และสามารถพัฒนาต่อยอดในตลาดได้อย่างต่อเนื่องการดื่มนมถือเป็นเครื่องดื่มทีเหมาะสมกับทุกเพศทุกวัย ให้ทุกคนหันกลับมาดื่มนม ส่งเสริมคนไทยให้มีสุขภาพดี

การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 2 รสชาติในครั้งนี้ยังสอดคล้องกับนโยบายผลักดันผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คก้าวสู่ "นมแห่งชาติ " ภายในปี 2565 อีกด้วย ซึ่งอ.ส.ค. ได้วางเป้าหมายให้คนไทยได้มีโอกาสดื่มนมที่มีคุณภาพมากขึ้น สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ที่ต้องการยกระดับความสามารถเกษตรกรโคนมไทยให้ดำรงอาชีพอย่างมั่นคงและยั่งยืนด้วยการสรรสร้างนวัตกรรมตลอดห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมโคนมให้แบรนด์ ไทย-เดนมาร์ค เป็นที่หนึ่งในใจคนไทย เพื่อส่งมอบคุณค่าให้คนไทยมีสุขภาพดีด้วยผลิตภัณฑ์จากนมโคแท้ 100% ของเกษตรกรไทยตลอดไป



โดย อ.ส.ค.ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการเป็นผู้นำองค์กรในด้านการสืบสานพัฒนาอาชีพการเลี้ยงโคนมให้แก่เกษตรกรไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืน และรองรับน้ำนมดิบที่เพิ่มขึ้น โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีประโยชน์ ช่วยส่งเสริมผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพในแต่ละท้องถิ่น เพื่อสังคมไทยที่ยั่งยืนและให้คนไทยมีสุขภาพดีจากการดื่มนม

"สำหรับจุดเด่นของผลิตภัณฑ์นมปรุงแต่งยูเอชที รสเผือก และรสมะม่วงมหาชนก ตราไทย-เดนมาร์ค มีความแตกต่างจากผลิตภัณฑ์นมปรุงแต่งที่ อ.ส.ค. มีจำหน่ายอยู่แล้ว คือ รสชาติใหม่ ขนาดใหม่ 150 มล.On-the-Go สะดวกในการพกพา พอดีอิ่ม ในกล่องบรรจุภัณฑ์ยูเอชที "รักเรา รักษ์โลก" ซึ่งยังคงคุณภาพของนมที่ดีที่สุด เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากน้ำนมโคแท้100% ไม่ผสมนมผง จากฟาร์มธรรมชาติของเกษตรกรไทย ส่งไปผ่านกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพ ณ โรงงานนมสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย ผสมกับวัตถุดิบคุณภาพที่ช่วยสนับสนุนผลผลิตของเกษตรกรไทย ไม่ใช่แค่การแต่งกลิ่น แต่มีรสชาติเข้มข้นจากผลผลิต ในแต่ละท้องถิ่น อย่างเช่นรสเผือก จะใช้วัตถุดิบที่ได้จากแหล่งเพาะปลูกของเกษตรกรไทยในพื้นภาคกลาง จังหวัดสระบุรี ส่วนรสมะม่วงมหาชนกใช้วัตถุดิบที่ได้จากแหล่งเพาะปลูกของเกษตรกรไทยในพื้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือจังหวัดกาฬสินธุ์" นาย สุชาติ กล่าว

โดยผลิตภัณฑ์นมปรุงแต่งยูเอชที รสเผือก และรสมะม่วงมหาชนก ตราไทย-เดนมาร์คจะเป็นสินค้า Limited Edition เฉพาะในช่วงนี้เท่านั้น สามารถหาซื้อสินค้าได้จากช่องทางออนไลน์ ของ อ.ส.ค ได้แก่ LINE OFFICIAL นมไทย- เดนมาร์ค Shopee Lazada พร้อมทั้งยังมีโปรโมชั่น เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เริ่มตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม – 30 กันยายน 2564
#2840


กลุ่มบางจากฯ โดยบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) และ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) ร่วมจัด โครงการปันกันอิ่ม เฟสพิเศษ ในโอกาสวันแม่แห่งชาติ สนับสนุนภารกิจกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ มอบอาหารกล่องแก่ชุมชนรวม 57 แห่ง ในพื้นที่ 9 เขตในกรุงเทพมหานคร เพื่อร่วมบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจและผู้ด้อยโอกาส

และสนับสนุนอาหารจากผู้ประกอบการร้านอาหารรายย่อยและร้านพันธมิตรในสถานีบริการน้ำมันบางจากอย่างต่อเนื่อง รวมกว่า 20,000 อิ่ม ระหว่างวันที่  12-15 สิงหาคม 2564

ก่อนหน้านี้ บริษัท บางจากฯ ได้จัดโครงการบางจากฯ ปันกันอิ่มเฟสที่ 1 และขณะนี้ อยู่ระหว่างดำเนินการเฟสที่ 2 และยังมีโครงการปันกันอิ่มในพื้นที่พระโขนง – บางนา ปันกันอิ่มให้แคมป์คนงานก่อสร้าง และปันกันอิ่มรอบโรงกลั่นน้ำมันบางจาก ช่วยอุดหนุนเจ้าของธุรกิจและช่วยบรรเทาภาระแก่ผู้รับที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19

โดยระหว่างวันที่ 16 กรกฎาคม ถึง 15 สิงหาคม ได้สนับสนุนร้านอาหารในพื้นที่รอบโรงกลั่น ในพื้นที่เขตพระโขนง-บางนา รวมถึงร้านอาหารและผู้ประกอบการรายย่อยและร้านพันธมิตรในสถานีบริการน้ำมันบางจากในกทม. ปริมณฑล รวมเกือบ 100 ร้าน และส่งมอบอาหารรวมกว่า 40,000 อิ่ม ผ่านทุกโครงการ