• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Beer625

#6031



สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เปิดหลักสูตรใหม่เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาเอสเอ็มอีไทย ด้วยการยกระดับความสามารถของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี สู่การเปลี่ยนแปลงธุรกิจด้วยฐานคิดนวัตกรรม ภายใต้แนวความคิด " The Transformation" ซึ่งเป็นหลักสูตรที่จะทำให้องค์กรเกิดการ "เปลี่ยนแปลง" ครั้งสำคัญ โดยมุ่งเน้นตั้งแต่การสร้าง การพัฒนา และการใช้นวัตกรรม เพื่อตอบสนองทิศทางธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ อีกทั้งยังเป็นการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจมีโอกาสเติบโตและเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นด้วยการเป็นองค์กรนวัตกรรม ทั้งนี้ ได้รับความสนใจจากผู้บริหารระดับสูงของบริษัทภาคเอกชนในหลากหลายธุรกิจเข้าร่วมการอบรมกว่า 80 ราย ระหว่างเดือน กรกฎาคม-กันยายน 2564

ดร. พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการ NIA กล่าวว่า "NIA เล็งเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาเอสเอ็มไทยให้ก้าวสู่การเป็น "Innovation Based Enterprise; IBE" ซึ่งหมายถึงการเป็นองค์กรธุรกิจที่เป็นองค์กรนวัตกรรม และสามารถสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมให้เกิดขึ้นในองค์กร รวมถึงการสร้างภาพลักษณ์ของผู้นำ/แบรนด์/องค์กร ที่สามารถให้บุคคลภายนอกรับรู้และยอมรับการเป็นองค์กรนวัตกรรมของเอสเอ็มอีไทยที่มิใช่แค่การเป็นองค์กรที่ขายสินค้านวัตกรรมเพียงด้านเดียว ซึ่งจะทำให้เอสเอ็มอีไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยแนวคิดนวัตกรรม เพราะฉะนั้น หลักสูตรนี้จะเน้นไปในเรื่องของการใช้เครื่องมือการเรียนรู้ในหลากหลายวิชาที่สามารถสร้างกระบวนการให้เกิดวัฒนธรรมนวัตกรรมองค์กรของผู้อบรมในที่สุด "



ดร. กริชผกา บุญเฟื่อง รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม NIA เปิดเผยว่า "หลักสูตร SMEs to IBE เป็นหลักสูตรใหม่ของสถาบันวิทยาการนวัตกรรม หรือ NIA Academy ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์การสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในระบบธุรกิจของประเทศ โดยมุ่งเป้าไปยังกลุ่มเอสเอ็มอีที่ดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว แต่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นเพื่อพัฒนาธุรกิจของตนเองด้วยวิธีคิดแบบการเป็นองค์กรนวัตกรรม ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีแรกท่ามกลางกระแสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 โดย NIA ได้คัดเลือกบริษัทที่จะเข้าร่วมในหลักสูตรนี้ทั้งสิ้น 42 บริษัท จำนวน 83 ราย จากกว่า 10 แขนงธุรกิจ เช่น ธุรกิจบริการ ธุรกิจระบบขนส่ง ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพ ธุรกิจเกี่ยวกับการค้าขาย และธุรกิจดิจิทัล เป็นต้น และคาดหวังว่า กระบวนการเรียนรู้ที่ได้เตรียมและจัดเป็นหลักสูตรในครั้งนี้ จะสามารถสร้างองค์กรธุรกิจที่มีแนวคิดนวัตกรรมและนำองค์ความรู้และเครือข่ายที่ได้กลับไปประยุกต์ต่อยอดการพัฒนาธุรกิจของตนเองได้สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมและวัดผลได้"


 
หลักสูตร SMEs to IBE เป็นหลักสูตรการเรียนรู้ที่เปิดรับสมัครเอสเอ็มอีไทยที่สนใจเข้าอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพธุรกิจของตนเอง โดยต้องผ่านกระบวนการคัดเลือกจากคณะกรรมการหลักสูตรและมีระยะเวลาการเข้าอบรม 10 สัปดาห์ ตลอดหลักสูตรมีวิทยากรที่มีประสบการณ์ชั้นแนวหน้ากว่า 20 คน รวมถึงกระบวนการเรียนรู้เครื่องมือที่จำเป็นต่อการสร้างวัฒนธรรมองค์กรนวัตกรรมที่แตกต่างจากหลักสูตรอื่นอย่างชัดเจน
#6032


เปิดเวทีสัมมนาออนไลน์ " Boost Social Media Marketing Conference" 20-22 ส.ค.นี้ นักการตลาดโซลเชียมีเดียไม่ควรพลาด 17 กูรูนักการตลาดดิจิทัล ตบเท้าพร้อมแชร์ประสบการณ์ใหม่ด้านการตลาดโซเชียลมีเดียในยุคโควิด-19 ที่ต้องฝ่าด่านธุรกิจรัดเข็มขัดอย่างไรให้ได้ผลคุ้มค่า พร้อมอัพเดทเทรนด์ และฟีเจอร์ใหม่ 5 แพลตฟอร์มยอดนิยม พร้อมกลยุทธ์การเข้าถึง DATA แบบไม่ผิดกฎหมาย

นายศิริพงศ์ เตียวพิพิธพร Facebook Marketer และอาจารย์ผู้ออกแบบหลักสูตร Mini MBA Digital Marketing Management ของหลักสูตรประกาศนียบัตรระยะสั้นโดยวิทยาลัยการจัดการมหาวิทยาลัยมหิดล (Neo Academy by CMMU ) เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่20-22 สิงหาคม 2564 จะมีการสัมมนาออนไลน์ " Boost Social Media Marketing Conference " ผ่าน 17 กูรูด้านการตลาดดิจิทัลมากประสบการณ์ที่จะรวบรวมความรู้ใหม่ๆด้านการตลาดโซเชียลมีเดียโดยเฉพาะกรณีศึกษาล่าสุดในยุคการแพร่ระบาดโควิด-19ที่ทำให้โลกโซเชียลหมุนเร็วมากขึ้น พร้อมกับไฮไลท์สำคัญคือการอัพเดทเทรนด์และฟีเจอร์ใหม่ใน 5 แพลตฟอร์มยอดนิยม ได้แก่ LINE OA, FACEBOOK, INSTRAGRAM, YOUTUBE, TIKTOK ด้วยกลยุทธ์ เทคนิค และตัวช่วยทางการตลาดหรือ MarTech


"เราต้องยอมรับว่าโลกการตลาดโซเชียลมีเดียหมุนเร็วมากจนตามไม่ทัน การปรับฟีเจอร์จากเจ้าของแพลตฟอร์มกระทบกับฐานลูกค้าและแผนงานแบบไม่ทันตั้งตัว ทุกครั้งที่เปิดแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียขึ้นมา นอกเหนือไปจากข่าวสารบ้านเมือง ทัศนะของเพื่อนและคนที่เราติดตาม เราหนีไม่พ้นที่จะต้องพบเจอกับโฆษณาสารพัดรูปแบบในช่วงล็อกดาวน์เช่นนี้ นักการตลาดไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขึ้นมาอยู่บนโลกออนไลน์ แต่เหนือสิ่งอื่นใดการได้ข้อมูลที่จำเป็นมาต้องไม่ผิดกฎหมายด้วย"

ทั้งนี้ในปี 2564 (ค.ศ.2021) คำว่าฐานข้อมูลหรือ Data ในโลกการตลาดดิจิทัลจะเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นหลังการมาของพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 หรือ PDPA ที่มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายทั้งฉบับ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 รวมถึงระบบปฏิบัติการ iOS 14.5 ที่ถามความสมัครใจของผู้ใช้งาน iPhone ว่าจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้แอปพลิเคชันที่กำลังใช้งาน สามารถติดตามกิจกรรมต่างๆ ของผู้ใช้งานได้หรือไม่ทำให้เป็นความท้าทายในการได้ข้อมูลมามากขึ้นเพราะต้องได้มาแบบไม่ผิดกฎหมายด้วย


นอกจากนี้ เทรนด์ของปี 2021 อีกเรื่องคือ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มีรูปแบบการสนทนาและการสร้างปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้งานในชุมชนผ่าน 'เสียง' เป็นหลักอย่างClubhouse ที่ได้รับความนิยมอย่างมากและตามมาด้วย ฟีเจอร์สนทนาเสียงบนแพลตฟอร์ม Space ใน Twitter, Spotify Greenroom และ Audio & Video Room ใน Facebook โดยมี Podcast เป็นกระแสมาก่อนหน้านี้ ในการสื่อสารที่ผุดขึ้นมาไม่รู้จบ เป็นโจทย์สำคัญที่ต้องนำมาขบคิดหาวิธีการสร้างสรรค์การสื่อสารให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด

"พฤติกรรมของคนหนึ่งคนแสดงออกต่างบุคลิกกันไปในต่างแพลตฟอร์ม นักการตลาดโซเชียลมีเดียหากมีพลังจะเข้าถึงทุกช่องทางก็ไม่มีใครว่าแต่เรื่องความคุ้มค่ายิ่งต้องพิจารณาในช่วงโรคระบาดของโควิด 19 เข้ามา ทุกธุรกิจยิ่งใส่ใจการใช้เงินมากขึ้น ดังนั้นนักการตลาดโซเชียลมีเดียต้องมีพลวัตหรือ Dynamic ก้าวไปกับโซเชียลมีเดียได้เรื่อย ๆ และอนาคต การเรียนการสอนด้านการตลาดจะมุ่งไปในรูปแบบของ Self-Study เป็นหลัก เปิดโอกาสให้ทั้งคนทำงานหรือนักเรียนนักศึกษาก็สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง หลายคนเรียนรู้ ฝึกฝนด้วยตัวเองจนเชี่ยวชาญนำไปใช้ทำงานได้จริงแม้ไม่ได้ผ่านสถาบันการศึกษาก็ตาม เวทีสัมมนาครั้งนี้จะตอบโจทย์ทั้งหมดให้กับนักการตลาดโซเชียลมีเดียและผู้ที่สนใจโดยหากต้องการข้อเพิ่มเติมและซื้อบัตร Early Bird ได้ที่ https:// www.boostconference.co"
#6034



นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กระจายอย่างรวดเร็วและส่งผลกระทบรุนแรงทั่วประเทศ ธนาคารออมสินมีความห่วงใยต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกค้า จึงขอแนะนำลูกค้าพยายามอยู่ในที่พักอาศัย ลดการเดินทาง และแนะนำให้ทำธุรกรรมทางการเงินผ่านแอปพลิเคชัน MyMo ของธนาคารออมสิน โดยล่าสุด ธนาคารฯ ได้อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่มีบัตรเดบิต สามารถเปิดใช้บริการแอป MyMo ได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องเดินทางไปเปิดใช้แอปที่สาขาอีกต่อไป ซึ่งนอกจากเป็นการลดความเสี่ยงการติดเชื้อในช่วงนี้ ลูกค้าที่ต้องการขอสินเชื่อหรือขอพักชำระหนี้ และต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน ก็จะได้รับความสะดวกจากการใช้บริการผ่านแอป MyMo ด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ลูกค้าบัตรเดบิตที่ยังไม่มีแอป MyMo สามารถดาวน์โหลดแอป MyMo ด้วยสมาร์ทโฟน ซึ่งรองรับได้ทั้งระบบปฏิบัติการ iOS / Android และ HUAWEI จากนั้นเปิดใช้บริการแอป MyMo ด้วยข้อมูลบัตรเดบิตใน 3 ขั้นตอนง่าย ๆ คือ (1) กรอกหมายเลขบัตรเดบิต (2) กรอก PIN บัตรเดบิต และ (3) กรอก OTP เพื่อยืนยันการเปิดใช้บริการ MyMo โดยสามารถดูรายละเอียดคำแนะนำขั้นตอนการดาวน์โหลดและเปิดใช้งานแอป MyMo ด้วยตนเองได้ที่เว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร.1115 กด 1
#6035


๐ แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับที่ 14 ของจีน ตั้งเป้าหมายจะเป็นประเทศปลอดคาร์บอนให้ได้ในอีก 4 ทศวรรษข้างหน้า อย่างไรก็ตาม กิจกรรมทางเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวหลังผ่านวิกฤตโควิด-19 กลับทำให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของจีนเร่งตัวสูงขึ้นอย่างมาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า จีนยังต้องใช้เวลาในการบรรลุเป้าหมาย โดยอุตสาหกรรมจีนที่เป็นมูลเหตุในการก่อก๊าซคาร์บอนจะยังอยู่ในการควบคุมของทางการจีนต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมา อาทิ ถ่านหิน เหล็กและเหล็กกล้า ซีเมนต์ การผลิตพลังงานความร้อน เคมีภัณฑ์ และยานยนต์ โดยการส่งออกของไทยที่เกี่ยวข้องในกลุ่มสินค้าพลังงานและแร่มีเพียงร้อยละ 2 ของการส่งออกของไทยไปจีน หรือคิดเป็นมูลค่าเพียง 693 ล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2563

๐ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แผนลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนของจีนโดยการปรับกระบวนการผลิตจากที่พึ่งพาพลังงานฟอสซิลมาเป็นพลังงานสะอาดคงต้องใช้เวลาเปลี่ยนผ่านอย่างน้อย 10 ปี โดยมีผลกระทบต่อไทยทั้งผลทางตรงเอื้อให้สินค้าไทยสำหรับนำไปผลิตพลังงานสะอาดมีโอกาสทำตลาดได้มากขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่ใช้วัตถุดิบจากไทยมีทิศทางสดใสต่อเนื่องจากที่การส่งออกในช่วง 5 เดือนแรกปี 2564 เติบโตแรงถึงร้อยละ 70.7 ขณะที่สินค้าโซลาร์เซลล์และส่วนประกอบยานยนต์ไฟฟ้าก็น่าจะได้ประโยชน์เช่นกัน แต่สินค้ากลุ่มนี้ล้วนพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศโดยเฉพาะนักลงทุนจีนที่เริ่มเข้ามาขยายการลงทุนแล้วบางส่วน สำหรับผลทางอ้อมจะเกิดกับการผลิตและส่งออกสินค้าอื่นๆ ของไทยที่ต้องเตรียมความพร้อมปรับกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับหลักการปล่อยคาร์บอนของสากล อันจะช่วยให้สินค้าไทยมีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดของจีนในอนาคต

กิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนเริ่มกลับมาดำเนินงานหลังผ่านจุดวิกฤตโควิด-19 ในปีที่ผ่านมา การฟื้นตัวของภาคการผลิตก็มาพร้อมกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยสู่บรรยากาศโลกเร่งตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์แตะ 12 พันล้านตัน ขยายตัวร้อยละ 5 (YoY) (เมษายน 2563-มีนาคม 2564) อีกทั้ง ปริมาณการปล่อยคาร์บอนของจีนยังคงครองอันดับ 1 ของโลก ด้วยสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 28 ของปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยออกมาทั่วโลก แซงหน้าสหรัฐฯ มาตั้งแต่ปี 2562 ทำให้สถานการณ์ดังกล่าวยังเป็นความท้าทายเป้าหมายในการลดการปล่อยคาร์บอนของจีน โดยมีประเด็น ดังนี้

•จีนประกาศวิสัยทัศน์สู่การเป็นประเทศที่ปราศจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอีก 40 ปีข้างหน้า นับเป็นความท้าทายครั้งสำคัญของจีนในการแก้ปัญหาเรื้อรังที่มาคู่กับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ทางการจีนได้ให้ความสำคัญมาตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจ ฉบับที่ 12 (ปี 2554-2558) จนกระทั่งมาถึงแผนฯ ฉบับที่ 14 (ปี 2564-2568) ได้กำหนด 4 แนวทางหลักเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนจนกระทั่งเหลือศูนย์ (Net zero CO2) และมุ่งไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ก่อนปี 2603 ประกอบด้วย 1) ลดความเข้มข้นของคาร์บอน (Carbon Intensity) ต่อหน่วยของ GDP ลงร้อยละ 18 2) เพิ่มการใช้พลังงานที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงฟอสซิล (Non-fossil energy) ให้ได้ร้อยละ 20 ของการใช้พลังงานโดยรวม จากปี 2563 ที่มีการใช้อยู่ราวร้อยละ 15.9 3) ลดความเข้มข้นของการใช้พลังงาน (Energy Intensity) ต่อหน่วยของ GDP ลงร้อยละ 13.5 และ 4) เพิ่มยอดขายรถยนต์ EV (Electric Vehicle) ให้ได้ร้อยละ 20 ของยอดขายรถยนต์ทุกประเภท 

ด้วยแผนงานเหล่านี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า อุตสาหกรรมที่พึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลคงต้องปรับตัวมากไม่ว่าจะเป็นเหมืองถ่านหิน เหล็กและเหล็กกล้า ซีเมนต์ การผลิตพลังงานความร้อน เคมีภัณฑ์ และรถยนต์ ซึ่งคาดว่าอาจได้รับแรงกดดันทั้งฝั่งของนโยบายทางด้านภาษีและราคา การจูงใจให้ปิดโรงงานถ่านหินเพิ่มเติม และเพิ่มการลงทุนในเทคโนโลยีที่สร้างพลังงานสะอาด โดยธุรกิจไทยที่มีความเกี่ยวข้องคงต้องติดตามความเคลื่อนไหวของทางการจีนอย่างใกล้ชิด ซึ่งในเบื้องต้นการส่งออกของไทยในสินค้าพลังงานและสินค้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงมีค่อนข้างน้อยเพียงร้อยละ 2 ของการส่งออกของไทยไปจีน หรือคิดเป็นมูลค่าเพียง 693 ล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2563



• ความต้องการสินค้าเกี่ยวเนื่องกับพลังงานสะอาดของจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่อานิสงส์ที่ตกแก่ไทยหลักๆ อยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ขณะที่สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มอย่างโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) กลับเอื้อประโยชน์แก่นักทุนจากต่างชาติเป็นหลัก ซึ่งในปัจจุบันไทยส่งออกสินค้าเหล่านี้ไปจีนรวมคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 8.4 ของการส่งออกไทยไปจีน โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2564 การส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังมีมูลค่า 1,210 ล้านดอลลาร์ฯ ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 71.7 (YoY) และโซลาร์เซลล์ 44 ล้านดอลลาร์ฯ ขยายตัวร้อยละ 60.3 (YoY) และถ้าหากมองในภาพรวมสินค้ากลุ่มนี้คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 48 ของการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ไปยังตลาดโลก

นับได้ว่าตลาดจีนมีบทบาทช่วยขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าพลังงานสะอาด โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของไทยเป็นกลุ่มที่ไทยได้ประโยชน์สูงสุด ซึ่งจีนใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตอาหารสัตว์ และการผลิตเอทานอลได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าการใช้ข้าวโพดที่ผลิตในจีน ยิ่งสนับสนุนความต้องการมันสำปะหลังของไทยมากขึ้นอีกจากปัจจุบันไทยเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 1 ของจีนและครองสัดส่วนถึงร้อยละ 80 ของการนำเข้ามันสำปะหลังของจีน

นอกจากนี้ สินค้าไทยอย่างอื่นก็มีโอกาสที่กำลังการผลิตและส่งออกจะเร่งตัวช่วยขับเคลื่อนการส่งออกของไทยไปจีนในภาพรวม แต่เป็นสินค้าที่พึ่งพาเม็ดเงินทุนจากจีนที่เข้ามาขยายฐานการผลิตในไทยทำให้ห่วงโซ่การผลิตเกื้อหนุนกันและกันยิ่งขึ้น อาทิ โซลาร์เซลล์ของไทยส่งไปจีนคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.0 ของการส่งออกโซลาร์เซลล์ของไทย รวมทั้งยานยนต์และส่วนประกอบของยานยนต์ไฟฟ้า(EV) ที่เริ่มมีนักลงทุนจีนส่งสัญญาณขยายการผลิตในไทย

• การผลิตสินค้าอุตสาหกรรม การขนส่ง ตลอดจนภาคเกษตรกรรมของไทยควรเตรียมรับมือกับนโยบายของจีนในอนาคต อันจะมีผลต่อกระบวนการผลิตของภาคธุรกิจในระยะต่อไป เนื่องจากในปัจจุบันการผลิตในภาคอุตสาหกรรมของจีนปล่อยคาร์บอนคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 28 การขนส่งคิดเป็นร้อยละ 10 และภาคเกษตรกรรมคิดเป็นร้อยละ 2 ของการปล่อยคาร์บอนของจีน (ปี 2562) ซึ่งมีสัดส่วนไม่สูงเมื่อเทียบกับการผลิตพลังงาน แต่ในท้ายที่สุดอุตสาหกรรมเหล่านี้ก็ต้องลดการปล่อยคาร์บอนด้วยเช่นกัน มีความเป็นไปได้ที่ทางการจีนจะใช้มาตรฐานด้านคาร์บอนดังเช่นมาตรการในประเทศยุโรปและสหรัฐฯ อาทิ การติดฉลากคาร์บอนหรือ Carbon Footprint เพื่อแสดงปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอน โดยอาจมีผลต่อความต้องการสินค้านำเข้าเพื่อการบริโภคและการผลิตจากไทย ซึ่งผู้ประกอบการไทยคงต้องเตรียมความพร้อมตลอดกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของจีนในอนาคต

โดยสรุป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การลดก๊าซคาร์บอนของจีนต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนผ่านอย่างน้อย 10 ปี จึงจะสามารถเปลี่ยนกระบวนผลิตที่พึ่งพาพลังงานฟอสซิลไปเป็นพลังงานสะอาด ดังนั้น ผลกระทบทางตรงที่เกิดกับไทยจะทยอยเกิดขึ้นตามมาตรการเฉพาะหน้าที่ทางการจีนประกาศใช้ในการจำกัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในแต่และภาคส่วน ซึ่งส่งผลต่อการส่งออกของไทยในสินค้าที่เกี่ยวข้องค่อนข้างน้อย 

ขณะเดียวกันการสนับสนุนธุรกิจพลังงานสะอาดของจีนก็เอื้อให้การส่งออกของไทยไปจีนเร่งตัวในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะวัตถุดิบทางการเกษตรเพื่อผลิตเอทานอล โซลาร์เซลล์ และส่วนประกอบยานยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งสินค้ากลุ่มนี้อาจมีส่วนช่วยขับเคลื่อนการส่งออกในภาพรวมของไทยได้ทางหนึ่ง ในระยะกลางถึงยาว ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อาจปรับตัวลดลงตามการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคที่หันไปใช้พลังงานทางเลือกเพิ่มขึ้น รวมถึงนโยบายของทางการจีนในอนาคตที่น่าจะลงลึกในรายละเอียดการลดก๊าซคาร์บอนตลอดกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งผู้ประกอบการไทยต้องติดตามและปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวทางของจีนที่เป็นไปตามกระแสของโลก
#6036


ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์รายงานดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 2 ปี2564 มีค่าดัชนีเท่ากับ 332.8 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY)แต่ก็เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง หากดูค่าเฉลี่ยอัตราขยายตัวย้อนหลังไป 5 ปี ตั้งแต่ปี 2559 ถึงปี 2563 พบว่าดัชนีราคาที่ดินเปล่าในแต่ละไตรมาสเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 17.7ต่อไตรมาสเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY)

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่าจากการจัดทำรายงานดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาและติดตามความเคลื่อนไหวของราคามาอย่างต่อเนื่องศูนย์ข้อมูลฯมีข้อสังเกตว่าแม้ว่าราคาที่ดินยังเพิ่มขึ้นแต่เป็นอัตราการขยายตัวของดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีของอัตราการขยายตัวของดัชนีราคาที่ดิน ซึ่งต่อเนื่องกันรวม 3 ไตรมาสแล้วนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2563 ที่มีการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19ต่อเนื่องมาจนถึงไตรมาส 2 ปี 2564 โดยเห็นได้ว่าราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลยังคงเพิ่มขึ้นแบบชะลอตัวลงแสดงให้เห็นถึงเจ้าของที่ดินส่วนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบน้อยจากการระบาดของไวรัส COVID-19 อาจมีการถือครองที่ดินต่อไปเพื่อรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นและอาจมีเจ้าของที่ดินอีกส่วนหนึ่งที่ได้ขายที่ดินในช่วงนี้ประกอบกับความต้องการซื้อที่ดินอาจน้อยลงด้วยจึงทำให้ราคาที่ดินปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากนัก อย่างไรก็ตามในระยะต่อไปหากเจ้าของที่ดินมีความต้องการระบายที่ดินมากขึ้นก็อาจส่งผลให้อัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ที่จะยังคงชะลอตัวลงต่อเนื่องในระยะเวลาต่อไป

 

ทั้งนี้ จากรายงานพบว่าในไตรมาส 2 ปี 2564ราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในทำเลที่มีเส้นทางรถไฟฟ้าผ่าน 5 อันดับแรกที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุด คือ อันดับ 1 ได้แก่ สายสีน้ำเงิน (บางแค-พุทธมณฑล สาย 4)

 

ซึ่งเป็นโครงการที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคตโดยเป็นที่ดินโซนตะวันตกของกรุงเทพมหานครมีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.4เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่าราคาที่ดินที่รถไฟฟ้าผ่านในเขตหนองแขม และบางแคเป็นบริเวณที่ราคาเพิ่มขึ้นมาก โดยที่ดินในบริเวณนี้มีราคาเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 1 ติดต่อกันมา 3 ไตรมาสแล้ว

 

ทั้งนี้ราคาที่ดินที่เปลี่ยนเปลงในพื้นที่ดังกล่าวเป็นผลต่อเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินในบริเวณแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (หัวลำโพง-บางแค)ที่เปิดให้บริการแล้ว

 

อันดับ 2 ได้แก่ สายสีทอง (ธนบุรี-ประชาธิปก) และ สายสีน้ำเงิน (หัวลำโพง-บางแค) ซึ่งเป็นโครงการรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการแล้วส่วน รวมถึง สายสีส้ม(ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี) เป็นโครงการที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และ สายสีส้ม(ตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม) เป็นโครงการที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคต โดยทั้ง 4 โครงการมีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า ราคาที่ดินที่รถไฟฟ้าผ่านในเขตบางกอกใหญ่ คลองสาน พระนคร ห้วยขวางและบางกะปิ เป็นบริเวณที่ราคาเพิ่มขึ้นมาก ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่า ที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าสายสีทอง (ธนบุรี-ประชาธิปก)ที่เพิ่งเปิดให้บริการไปเมื่อปลายปี 2563 มีการปรับเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 2 ติดต่อกันมา 2 ไตรมาสแล้ว

 

อันดับ 3 ได้แก่ MRT ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดให้บริการแล้วมีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.1เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า ราคาที่ดินที่รถไฟฟ้าผ่านในเขตบางซื่อ และจตุจักรเป็นบริเวณที่ราคาเพิ่มขึ้นมากมาอย่างต่อเนื่อง

 

อันดับ 4 ได้แก่ สายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-หัวลำโพง)ซึ่งเป็นโครงการที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคต มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.0เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า ราคาที่ดินที่รถไฟฟ้าผ่านในเขตป้อมปราบศัตรูพ่ายเป็นบริเวณที่ราคาเพิ่มขึ้นมากมาอย่างต่อเนื่องและ อันดับ 5 ได้แก่ BTS สายสุขุมวิท ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดให้บริการแล้วมีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.0เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า ราคาที่ดินที่รถไฟฟ้าผ่านในเขตคลองเตย บางนา และพระโขนงเป็นบริเวณที่ราคาเพิ่มขึ้นมากมาอย่างต่อเนื่อง
#6038
น้ำมันว่านเครือเขาหลง ใส่ตะกรุดนะมหานิยม ทุกขวด
สายพุทธคุณ คุณพระ คุณว่าน ไม่เข้าตัว ไม่มีข้อห้าม ใช้ด้วยศรัทธา สำเร็จทุกราย


 
เครือเขาหลงจัดอยู่ในของขลังธรรมชาติ เป็นของเสน่ห์ ของเสน่ห์แรงๆ หมอเสน่ห์เขมร หมอเสน่ห์ไทยนิยมใช้กันมาก และจัดได้ว่าเป็นของเสน่ห์ที่แรงที่สุด
 
คุณของน้ำมัน
เพิ่มเสน่ห์ เพิ่มเมตตา นำพาโชคลาภ เรียกจิต เรียกใจ ประสานสัมพันธ์ ค้าขายร่ำรวย
 
คาถามหาหลง
โอม หลง หลง มหาหลง สารพัดที่จะหลง หลงทั้งต้น หลงทั้งกิ่ง หลงทั้งก้าน หลงทั้งราก หลงทั้งใบ หลงทั้งดอก คนเห็นน้ำตาตก นกเห็นน้ำตาไหล ไผผู้ใดเห็นหน้ากู อยู่มิได้ร้องไห้หากู หลงทั้งหน้า หลงทั้งหลัง หลงทั้งซ้าย หลงทั้งขวา หลงทั้งต่ำ หลงทั้งสูง หลงทั้งกลางวัน หลงทั้งกลางคืน หลงทั้ง


 
วิธีใช้
เพิ่มเสน่ห์ เมตตา โชคลาภ ค้าขาย ประสานสัมพันธ์ สวดคาถาแล้วนำน้ำมันว่านแตะที่หน้าผาก นึกถึงสิ่งที่ต้องการด้วยใจมุ่งมั่น แน่วแน่ศรัทธา เป็นไปดังว่า สมปรารถนา
 
เรียกจิต เรียกใจ ให้ท่องคาถา ใช้แต้มแตะทา ลงบนวัตถุ รูปภาพหามา ของคนต้องการ เพ่งพลังจิต ลงไปแน่วแน่ ให้เกิดเป็นภาพ เคียงคู่กายา ทำได้ดังนี้นั้นหนา บอกคำว่า ได้ตามนั้นเลย
สนใจติดต่อโทร. 0846623662
id line : teerapat999

แฟนเพจ https://web.facebook.com/porntaywa
เวปไซด์ http://porntaywa99.lnwshop.com/p/12

lazada  https://www.lazada.co.th/products/-i1863368460-s5737984707.html?spm=a2o4m.seller.list.19.751ebb9eN8X8vA&mp=1&freeshipping=1  
#6041
 
น้ำมันว่านเครือเขาหลง ใส่ตะกรุดนะมหานิยม ทุกขวด
สายพุทธคุณ คุณพระ คุณว่าน ไม่เข้าตัว ไม่มีข้อห้าม ใช้ด้วยศรัทธา สำเร็จทุกราย


 
เครือเขาหลงจัดอยู่ในของขลังธรรมชาติ เป็นของเสน่ห์ ของเสน่ห์แรงๆ หมอเสน่ห์เขมร หมอเสน่ห์ไทยนิยมใช้กันมาก และจัดได้ว่าเป็นของเสน่ห์ที่แรงที่สุด
 
คุณของน้ำมัน
เพิ่มเสน่ห์ เพิ่มเมตตา นำพาโชคลาภ เรียกจิต เรียกใจ ประสานสัมพันธ์ ค้าขายร่ำรวย
 
คาถามหาหลง
โอม หลง หลง มหาหลง สารพัดที่จะหลง หลงทั้งต้น หลงทั้งกิ่ง หลงทั้งก้าน หลงทั้งราก หลงทั้งใบ หลงทั้งดอก คนเห็นน้ำตาตก นกเห็นน้ำตาไหล ไผผู้ใดเห็นหน้ากู อยู่มิได้ร้องไห้หากู หลงทั้งหน้า หลงทั้งหลัง หลงทั้งซ้าย หลงทั้งขวา หลงทั้งต่ำ หลงทั้งสูง หลงทั้งกลางวัน หลงทั้งกลางคืน หลงทั้ง


 
วิธีใช้
เพิ่มเสน่ห์ เมตตา โชคลาภ ค้าขาย ประสานสัมพันธ์ สวดคาถาแล้วนำน้ำมันว่านแตะที่หน้าผาก นึกถึงสิ่งที่ต้องการด้วยใจมุ่งมั่น แน่วแน่ศรัทธา เป็นไปดังว่า สมปรารถนา
 
เรียกจิต เรียกใจ ให้ท่องคาถา ใช้แต้มแตะทา ลงบนวัตถุ รูปภาพหามา ของคนต้องการ เพ่งพลังจิต ลงไปแน่วแน่ ให้เกิดเป็นภาพ เคียงคู่กายา ทำได้ดังนี้นั้นหนา บอกคำว่า ได้ตามนั้นเลย
สนใจติดต่อโทร. 0846623662
id line : teerapat999

แฟนเพจ https://web.facebook.com/porntaywa
เวปไซด์ http://porntaywa99.lnwshop.com/p/12

lazada  https://www.lazada.co.th/products/-i1863368460-s5737984707.html?spm=a2o4m.seller.list.19.751ebb9eN8X8vA&mp=1&freeshipping=1  
#6044


ธุรกิจหลายเซ็กเตอร์ได้รับผลกระทบหนักจากโรคโควิด-19 ระบาด และรัฐงัดมาตรการเข้มข้นขึ้น "ล็อกดาวน์" เพื่อสกัดการแพร่กระจายของไวรัส ทำให้กิจการค้าขายต้องถูก "ล็อกปิด" ตามไปด้วย
เมื่อไม่สามารถซื้อขายสินค้าและบริการได้ บางธุรกิจจึง "โคม่า" รวมถึงอุตสาหกรรม ""สื่อ-โฆษณา" มูลค่าจาก "แสนล้านบาท" ในอดีต ปัจจุบันหดตัวลงเรื่อยๆลดเหลือเพียง 7-8 หมื่นล้านบาทเท่านั้น

ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการ บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จํากัด ฉายภาพ " ระบบนิเวศน์ของคนโฆษณาตายสนิท โอกาส ทางรอด และความหวัง " ภายใต้การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเวลานี้ต้องมองสถานการณ์บนข้อเท็จจริง ไม่ใช่แค่มองบวกให้มีความหวังอีกต่อไป

ปี 2563 อุตสาหกรรมโฆษณาดิ่งเหวหนัก เพราะเป็นครั้งแรกที่ทั้งโลกและไทยเผชิญโรคโควิด-19 ทำให้ช็อก! การล็อกดาวน์เกิดขึ้นหลายเดือน ทำให้ธุรกิจชะงัก กว่าจะคลายล็อกดาวน์ คือช่วงเดือนกรกฎาคม การตระหนก และปรับตัวไม่ทัน ทำให้อุตฯโฆษณาติดลบเกือบ 20% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

ปีก่อนสาหัส ทุบสถิติวงการโฆษณา ปี 2564 เหตุไม่คาดฝันเกิด เมื่อโควิด-19 ระบาดรอบ 3 หนักและลากยาวถึงขณะนี้ การ "ล็อกดาวน์" ถูกนำมาใช้อีกครั้ง ดับฝันอุตสาหกรรมโฆษณาที่เดิมจะเห็นตัวเลขโต 8% ผ่านไตรมาสแรก เอ็มไอ ทบทวนตัวเลขโตเหลือ 1% แต่ล่าสุดประเมินทั้งปีจะเห็นตัวเลข "ติดลบ 3-5%" หรือเฉลี่ย -4% เป็นอัตราติดลบเพิ่มจากปี 2563 ฉุดเงินสะพัดเหลือเพียง 72,138 ล้านบาท เท่านั้น

"ล่าสุดสถานการณ์ทุกอย่างแย่ลงมาก ระบบนิเวศของอุตสาหกรรมโฆษณาเข้าขั้นโคม่า สื่อ เอเยนซี่โฆษณา ลูกค้าที่เป็นเจ้าของสินค้าและบริหาร เดือดร้อนหนัก ทำให้ทั้งปีจะเห็นอุตฯโฆษณาติดลบหนักเพิ่มจากปีก่อน แม้ตัวเลขครึ่งปีจะเห็นตัวเลจโต 8% หากมาหักส่วนลด โฆษณาที่ไม่มีมูลค่าเกิดขึ้น เพราะอาจเป็นการแบ่งกำไร การร่วมทุนกัน การเติบโตเกิดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น" 

เนอกจากวิกฤติโรคระบาด อีกปัจจัยที่กระทบความเชื่อมั่น แผนการดำเนินงานของภาคธุรกิจคือการ "สื่อสารที่ไม่ชัดเจน" ของภาครัฐ ทั้งเรื่องมาตรการป้องกันโรค ที่มีการล็อกดาวน์ การกระจายวัคซีน การเข้าถึงระบบสาธารณสุขของประชาชน ทั้งการตรวจคัดกรอง การรักษาผู้ติดเชื้อในระดับต่างๆ รวมถึงการสื่อสารมาตรการเยียวยาต่างๆ ทำให้ทุกภาคส่วนเกิดความสับสน ส่งผลต่อการปรับตัวของประชาชน เอกชน

"เรามาถึงจุดนี้ได้ เพราะรัฐสื่อสารไม่ชัดเจน เรื่องอำนาจอาจไม่ต้องบูรณาการ แต่การสื่อสารรัฐต้องบูรณาการ สื่อสารจากแหล่งเดียว ทันที ชัดเจน ให้คนทุกระดับชั้นเข้าใจ ไม่ต้องให้ประชาชนมีคำถามต่อ ประเด็น มาตรการใดที่ยังไม่ชัด ต้องบอกให้รอติดตาม อย่าให้คนคิดไปเอง ซึ่งการสื่อสารเป็นศาสตร์ขั้นพื้นฐานหนึ่งของการบริหารจัดการ"

วิกฤติที่รายล้อมอุตสาหกรรมสื่อ แวดวงโฆษณา จนกระเทือนเม็ดเงินหายไปอย่างหนัก อีกตัวแปรที่ยังคงกัดกร่อนภูมิทัศน์สื่อ ยังเป็น "ดิจิทัล ดิสรัปชั่น" เกิดขึ้นตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมา หลายองค์กรปรับตัวให้แข็งแรงเพื่อฝ่ามรสุมดังกล่าว แต่เมื่อโควิดทุบซ้ำ จึงทำให้อาการโคม่า!

ปัจจุบันแบรนด์สินค้าและบริการโยกงบโฆษณาไปอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์เพิ่มขึ้นและครองสัดส่วนถึง 30% จากเดิมสัดส่วน 5% เท่านั้น ขณะที่ทีวีครองเม็ดเงินโฆษณากว่า 50% อีกสื่อที่ยังมีแนวโน้มเติบโตคือสื่อโฆษณานอกบ้านและสื่อเคลื่อนที่ เพราะตอบรับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคและสังคมเมืองมากขึ้น และ 3 สื่อหลักจะยังทรงอิทธิพลในอนาคต


ทั้งนี้ 6 เดือนแรก นีลเส็นรายงานงบโฆษณาสะพัด 46,565 ล้านบาท เอ็มไอ คำนวณส่วนลดต่างๆ คาดตัวเลขจริงสะพัด 37,448 ล้านบาทเท่านั้น โดยทีวีมีมูลค่า 18,900 ล้านบาท เติบโต 10% อินเตอร์เน็ต 11,400 ล้านบาท เติบโต 20% สื่อในโรงภาพยนตร์มูลค่า 531 ล้านบาท เติบโต 6% เพราะโรงหนังในต่างจังหวัดยังเปิดให้บริการได้

ยอดติดโควิดโตเกียวพุ่งซ้ำเติมมหกรรมกีฬาโลก
ปี 2564 ปัจจัยที่เป็น "ความหวัง" หนุนอุตสาหกรรมโฆษณาให้คึกคัก กลับมาฟื้นตัว คือมหกรรมกีฬาใหญ่ เช่น ฟุต.ยูโร 2020 แต่เมื่อผู้ได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ไม่มีการทำตลาดเชิงพาณิชย์ แบรนด์อื่นๆไร้พื้นที่สื่อสารการตลาดช่วงนาทีทอง เม็ดเงินจึงหายจากระบบ ล่าสุดมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ "โตเกียว โอลิมปิก 2020" ยังซบเซา ในญี่ปุ่นกระแสความไม่พอใจของคนในชาติ ทำให้สปอนเซอร์ไม่ผูกแบรนด์(Embed)กับกิจกรรมครั้งนี้ เพื่อลดผลกระทบต่อความรู้สึกผู้บริโภค

ส่วนในไทย ปกติโอลิมปิกจะผลักดันเม็ดเงินโฆษณาสะพัดช่วงสั้นๆ ถึงหลัก "พันล้านบาท" จากการมีแพ็คเกจโฆษณาย่อยๆออกมาหลัก 3, 5, 8 และ 10 ล้านบาทออกมา นอกเหนือจากสปอนเซอร์หลัก แต่นาทีนี้ผู้ประกอบการ แบรนด์เงินน้อยลง แพ็คเกจเล็กสุด 3 ล้านบาท ยังไม่ได้รับความสนใจแต่อย่างใด

"ปีนี้เป็นโอลิมปิกที่ซึมเศร้าสุด ไม่มีผลตอบรับใดๆ ในมุมของการสื่อสารหรือทำแคมเปญการตลาด เพราะมีปัจจัยโรคระบาดที่คุมไม่ได้ สปอนเซอร์หลักไม่ผูกแบรนด์กับโอลิมปิก ที่ไทยก็ไม่ร้อนแรง เพราะภาคธุรกิจไม่มีเงินอุดหนุนการแข่งขัน และไม่เชื่อมั่นในกำลังซื้อ และอารมณ์การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค"


โควิดและการล็อกดาวน์อาจฉุดโฆษณาให้หดตัวหนักเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง แต่ปลายปี ช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ภวัต หวังว่าอุตสาหกรรมจะกลับมาฟื้นตัวได้

"การมองโลกสวยอาจทำให้ได้พลังบวก แต่อาจไม่สอดคล้องกับสถานการณ์จริง เพราะการแพร่ระบาดของโรคโควิดตอนนี้ หากรัฐเอาไม่อยู่ อุตสาหกรรมโฆษณาจะยิ่งติดลบ"

สำหรับภาพรวมของเอ็มไอ ลูกค้าแบรนด์สินค้าและบริการต่างๆ "ชะลอ-เลื่อน-เลิก" ทำแคมเปญการสื่อสารตลาดกับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด กระทบผลการดำเนินงานบริษัท