• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - hs8jai

#4201
S&P หั่นเครดิต 4 แบงก์ไทย คาดถูกกระทบจากความเสี่ยงเชิงระบบ
 
เอสแอนด์พี โกล. เรทติ้งส์ (S&P) ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อของธนาคาร 4 แห่งของไทย เนื่องจากคาดว่าความเสี่ยงเชิงระบบที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของธนาคารในประเทศไทย

ทั้งนี้ S&P ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกสิกรไทย ลงสู่ระดับ BBB จากระดับ BBB+ พร้อมกับปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารกรุงไทย และธนาคารทีเอ็มบีธนชาต ลงสู่ระดับ BBB- จากระดับ BBB

ขณะเดียวกัน S&P ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารกรุงเทพ ที่ระดับ BBB+ โดระบุว่า ธนาคารแห่งนี้มีความสำคัญในเชิงระบบในประเทศไทยซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้ และได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ที่ระดับ BBB+ โดยระบุว่า ธนาคารได้ประโยชน์จากการเป็นธนาคารในเครือของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป

S&P ระบุว่า แม้รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยได้ใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยง แต่คาดว่ามาตรการเหล่านี้อาจจะทำให้ผลกระทบที่เกิดจากปัญหาด้านการปล่อยกู้ในภาคธนาคารยืดเยื้อออกไปอีก

S&P ระบุว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังคงเป็นไปอย่างเปราะบางและไม่เสมอภาคกันในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งคาดว่าจะยังคงได้รับผลกระทบจากการเดินทางระหว่างประเทศที่ต้องถูกเลื่อนออกไป อันเนื่องมาจากสงครามยูเครน

S&P คาดการณ์ว่า เงินกู้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในภาคธนาคารของไทยจะค่อย ๆ ปรับตัวขึ้นในอีก 24 เดือนข้างหน้า จนแตะที่ระดับ 5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลกในปี 2551

ทั้งนี้ แม้ว่าการปรับโครงสร้างจะช่วยให้การทำธุรกิจดำเนินต่อไปได้ชั่วคราว แต่คาดว่ากลุ่มลูกหนี้ยังต้องพึ่งพาสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำ ในช่วงเวลาที่รัฐยังขาดมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการลดภาระหนี้สินที่ระดับสูงของภาคครัวเรือน

อย่างไรก็ดี S&P ระบุว่า แนวโน้มของธนาคารไทยยังคงมีเสถียรภาพ เนื่องจากธนาคารยังสามารถรักษาฐานเงินทุน และอัตราส่วนการตั้งสำรองต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ไว้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยรองรับผลกระทบได้บางส่วน
#4202
'แพร็กมาฯ - ฮิวแมนิก้า' ผนึกกำลังสร้างปรากฎการณ์ใหม่ในวงการ HR พร้อมเผยเทรนด์การบริหารคน ในยุค Metaverse

'แพร็กมา แอนด์ วิลล์ กรุ๊ป' (Pragma and Will Group) ประกาศเปิดตัวธุรกิจอย่างเป็นทางการในฐานะบริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการในการปรับเปลี่ยนองค์กรและทรัพยากรบุคคล (Transformation Consulting Firm) พร้อมผนึกกำลัง 'ฮิวแมนิก้า' (Humanica) ผู้ให้บริการด้าน HR โซลูชั่นอันดับหนึ่งของประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ HR เต็มสูบ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในโลกดิจิทัล และเผยเทรนด์ HR ที่กำลังเข้าสู่ยุค Metaverse

บริษัทที่ปรึกษาสัญชาติไทยประสบการณ์เวิลด์คลาส

คุณภานุวัฒน์ กาญจะโนสถ ผู้ร่วมก่อตั้งและหุ้นส่วนบริหาร ของบริษัท แพร็กมา แอนด์ วิลล์ กรุ๊ป จำกัด เผยเกี่ยวกับบริษัทฯ ว่า 'แพร็กมา แอนด์ วิลล์ กรุ๊ป เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการที่มีความเชี่ยวชาญด้านการปรับเปลี่ยนองค์กร และทรัพยากรบุคคลเพื่อให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ ด้วยเทคโนโลยีสู่ Digital Transformation เพื่อยกระดับองค์กรให้เติบโต โดยมีทีมงานมากประสบการณ์จากบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลกมายาวนานกว่า 15 ปี ช่วยให้องค์กรใหญ่ ๆ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน รวมถึง SMEs หรือแม้แต่ธุรกิจครอบครัวในหลากหลายอุตสาหกรรม สามารถเปลี่ยนผ่านสู่ความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง

'เรามีความเชี่ยวชาญในการวางกลยุทธ์ และโดดเด่นในเรื่องการทำ execution ที่เน้นแผนการปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริงเพื่อบรรลุสู่ผลลัพธ์ความสำเร็จ ด้วยวิธีการและเครื่องมือที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล อีกทั้งการเป็นบริษัทสัญชาติไทยของแพร็กมาฯ ทำให้สามารถ localization หรือนำเสนอโซลูชั่น และเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทเฉพาะของธุรกิจที่แตกต่างกัน รวมถึงวัฒนธรรมของแต่ละองค์กรได้ตรงจุด เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการปรับธุรกิจในรูปแบบเก่า ๆ ให้ทันกับดิจิทัล ทรานส์ฟอร์มเมชันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด'

สำหรับ Pragma and Will Group นั้น เน้น 4 ธุรกิจหลักด้วยกัน คือ

Business Transformation การปรับเปลี่ยนองค์กรให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ทั้งโครงสร้างองค์กร วัฒนธรรมองค์กร การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินงาน และการนำพาธุรกิจครอบครัวสู่การยกระดับการบริหารจัดการ
Strategy Execution and PMO การวางกลยุทธ์ และแผนปฏิบัติการ เพื่อบริหารการเปลี่ยนแปลง
Business Optimization & Expansion การขยายธุรกิจผ่านการควบรวม/ ซื้อกิจการ (Merger and Acquisition (M&A)) เพื่อหารายได้ใหม่ ๆ รวมถึงการตั้งธุรกิจใหม่ หรือต่อยอดความสำเร็จจากธุรกิจเดิม รวมทั้งการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
HR Technology and Transformation การใช้เทคโนโลยีบริหารทรัพยการบุคคล โดยใช้ Data Driven เพื่อกำหนดกลยุทธ์ พัฒนาการดำเนินธุรกิจ และสร้างประสบการณ์ให้พนักงาน
แพร็กมาฯ - ฮิวแมนิก้า ปรากฏการณ์ใหม่ในวงการ HR

คุณวันเฉลิม สิริพันธุ์ ผู้ร่วมก่อตั้งและหุ้นส่วนบริหาร ของบริษัท แพร็กมา แอนด์ วิลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า 'ในฐานะที่ แพร็กมาฯ เป็นที่ปรึกษาองค์กรด้านทรัพยากรบุคคลที่วางกลยุทธ์และแผนการปฏิบัติการให้ลูกค้า การมี Strategic Partner จะช่วยสร้างมูลค่าของทั้งสองบริษัท เราจึงร่วมมือกับฮิวแมนิก้า เพื่อนำ Technology Platform มาช่วยสร้างความสำเร็จสำหรับลูกค้าของทั้งสองบริษัท โดยในระยะแรก จะเป็นการต่อยอดความเชี่ยวชาญของเราเพื่อให้ลูกค้าบรรลุผลสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว ลูกค้าของแพร็กมาฯ ก็สามารถใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพของฮิวแมนิก้า เพื่อบริหารองค์กรตามแผนการที่วางไว้ ในขณะที่ลูกค้าฮิวแมนิก้าก็สามารถให้แพร็กมาฯ ช่วยออกแบบระบบการบริหารองค์กรและบุคลากรได้เช่นกัน'

คุณสุนทร เด่นธรรม ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮิวแมนิก้า จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการร่วมมือครั้งนี้ว่า 'สถานการณ์โควิดทำให้หลายองค์กรต้องปรับตัวสู่ ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชันเร็วขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาทักษะของบุคลากรภายในองค์กร หากองค์กรใดที่มีคู่คิดในด้านกลยุทธ์ก็จะได้เปรียบ โดยฮิวแมนิก้าเป็นผู้สร้างซอฟต์แวร์ด้านการจัดการบุคลากร ในส่วนของแพร็กมาฯ มีความเชี่ยวชาญในด้านการให้คำปรึกษา วางแผน และระบบปฏิบัติการด้าน HR ดังนั้นการร่วมมือกันครั้งนี้นับว่าเป็นการสร้างมูลค่าให้กับลูกค้าและอุตสาหกรรม HR ในภาพรวม ทั้งยังเป็นการช่วยส่งเสริมให้ระบบนิเวศ (Ecosystem) สมบูรณ์แบบมากขึ้น โดยสามารถเสนอบริการในรูปแบบ end-to-end ให้กับลูกค้า และตอบโจทย์ในการช่วยเหลือลูกค้า หรือช่วยพนักงานของลูกค้าให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น'

'ผมเชื่อว่าการร่วมมือกันของทั้งสององค์กร จะเป็นการสร้างการเปลี่ยนแปลงทิศทางของ HR ในอนาคต เนื่องจากจะเป็นการเชื่อมระหว่างโลกเก่าและโลกใหม่ โดยใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญจากประสบการณ์ที่มีมายาวนานของทั้ง 2 บริษัท โดยแผนในอนาคต เรายังมองว่าจะมีการสร้างสิ่งใหม่ ๆ ในเชิงเทคโนโลยีร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น HR Tech หรือเครื่องมือ HR Analytic โดยจะมีการร่วมกันออกแบบโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ให้กับลูกค้าได้ครบถ้วน' คุณวันเฉลิม กล่าวเพิ่มเติม

เทรนด์การบริหารคนในยุค Metaverse

คุณภานุวัฒน์ จาก Pragma and Will Group ได้ให้ความเห็นว่า 'การบริหารคนในยุคนี่จัดได้ว่าเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งเนื่องจากเป็นยุคที่ไม่แน่นอนและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หลายครั้งที่ประสบการณ์หรือ solution ที่เราเคยมีหรือใช้ได้ผลในอดีตไม่สามารถนำมาใช้กับสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราก้าวเข้าสู่ยุคโลกเสมือนที่รูปแบบการทำงานจะเปลี่ยนไปอย่างมาก (New way of work)

เกือบทุกองค์กรมีการพูดถึง Transformation โดยส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับเรื่อง Technology เป็นหลัก แต่ความท้าทายที่สำคัญคือการสร้าง Ecosystem ที่เชื่อมโยงปัจจัยหลักทั้ง 4 ด้านไว้ด้วยกัน

1 วัฒนธรรมองค์กรที่หลากหลายจากรูปแบบธุรกิจที่มีการปรับเปลี่ยน โดยเฉพาะองค์กรที่มีการสร้างรูปแบบธุรกิจใหม่ (evolve business model) ในขณะที่รูปแบบธุรกิจเดิมยังต้องดำเนินต่อไป

2 การบริหารจัดการองค์กรที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบโครงสร้างองค์กรแบบเดิม ๆ ที่ไม่ยึดติดแค่โครงสร้างแบบปิรามิด หรือ Hierarchical เท่านั้น โครงสร้างแบบ Agile หรือ Project based หรือ โครงสร้างแบบ Platform ที่มีลักษณะการบริหารจัดการที่แตกต่างกัน

 3 คนที่เป็นปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงยากที่สุดทั้งในเชิงความคิด ความต้องการ และทักษะความสามารถที่แตกต่าง เข้าด้วยกัน

และสุดท้าย 4 Technology ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่ม Productivity ให้องค์กร เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงให้เกิดผลได้จริงอย่างยั่งยืน โจทย์และความท้าทายที่สำคัญของ HR คือการเปลี่ยนบทบาทของตัวเองให้เป็นผู้ออกแบบ solution (solution architecture) เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอน' 

ในขณะที่ คุณสุนทร จาก Humanica เผยว่า 'เมื่อเราเริ่มเข้าสู่ยุค Metaverse องค์กรควรสร้างระบบ  HR เพื่อรองรับการทำงานรูปแบบใหม่ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการเปลี่ยนไปสู่ Hybrid workplace ให้พนักงานสามารถยืดหยุ่นเรื่องสถานที่ทำงาน โดยพนักงานมีทางเลือกมากขึ้นไม่จำกัดว่าต้องอยู่ในออฟฟิศอย่างเดียว ซึ่งจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ของทีมกับองค์กรลดลงตามไปด้วย ดังนั้นอาจจะต้องมีการใช้เทคโนโลยีอย่าง AR หรือ VR เพื่อสร้างความใกล้ชิดของพนักงานในโลกเสมือน หรือแม้แต่การสร้างระบบการวัดผลการดำเนินงานที่ชัดเจน เพื่อลดปัญหาด้านประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานที่ไม่ได้เข้าออฟฟิศ รวมถึงกำหนดเกณฑ์การเติบโต และการให้ผลตอบแทนแก่พนักงาน'

'สิ่งที่ขาดไม่ได้ในยุค Metaverse คือ การสร้างทักษะ (Skill) ใหม่ ๆ ให้กับคนในองค์กร เพราะโลกเสมือนจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการแข่งขันขององค์กรต่าง ๆ ดังนั้น การส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะใหม่จึงจำเป็นในการยกระดับทักษะของพนักงานให้มีความเชี่ยวชาญมากยิ่งขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมในการแข่งขัน และเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารทรัพยากรบุคคลแก่องค์กร นอกเหนือจาก technical skill ต่าง ๆ ที่จำเป็นกับงานแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญไม่แพ้กัน คือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างทีมและภายในทีม โดยองค์กรต้องบริหารความท้าทายในการทำ Virtual และ face-to-face ให้สมดุลกัน' คุณวันเฉลิม จาก Pragma and Will Group กล่าวเสริม

เกี่ยวกับ บริษัท แพร็กมา แอนด์ วิลล์ กรุ๊ป จำกัด

บริษัท แพร็กมา แอนด์ วิลล์ กรุ๊ป จำกัด (Pragma and Will Group Co., Ltd) บริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการที่มีความเชี่ยวชาญด้านการปรับเปลี่ยนองค์กร และทรัพยากรบุคคลเพื่อให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ ที่มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี ที่พร้อมให้คำปรึกษาโซลูชั่น และร่วมเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกับลูกค้า ในการผลักดันให้เกิดความสำเร็จร่วมกัน ผ่านการออกแบบระบบบริหารทรัพยากรบุคคล องค์กร เทคโนโลยี และการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) รวมทั้งมีความเชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการทำ Digital transformation พร้อมทั้งมีความเชี่ยวชาญการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และการนำเทคโนโลยีมาใช้ในองค์กรเพื่อให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุด

เกี่ยวกับ ฮิวแมนิก้า

ฮิวแมนิก้า (Humanica) บริษัทให้บริการโซลูชั่นธุรกิจ ผู้นำการให้ บริการด้านทรัพยากรบุคคล (HR) ของประเทศไทย เป็นผู้บุกเบิก ธุรกิจการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล รวมถึงเป็นผู้นำด้านระบบ การวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กร (ERP) ด้วยทีมงาน ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์นานหลายสิบปี โดยได้พัฒนาซอฟต์แวร์ HRIS ระดับโลก ซึ่งนำมาใช้ควบคู่กับบริการรับจัดทำเงินเดือนบริษัทครบวงจร (Payroll Outsourcing) เพื่อช่วยให้ลูกค้าปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานธุรกิจด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย นอกจากนี้ ฮิวแมนิก้าได้รับการยกย่องให้เป็นพันธมิตรระดับ SAP Gold Partner และยังเป็นผู้ถือสถานะนี้ที่ยาวนานที่สุดในประเทศไทย โดยมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการติดตั้งระบบ ERP ยาวนานกว่า 30 ปี
#4203

ซิลิโคนSEBBIN"คลินิกของพวกเราเปิดให้บริการมายาวนานหลายปีแล้วจ้ะ 
ผู้เจ็บป่วยที่มาใช้บริการแล้วชื่นชอบ
ก็ชี้แนะกันปากต่อปาก ซิลิโคนSEBBINที่นี่เราไม่รีบพรวดพราดรักษาคนไข้พวกเราจำต้อง
ศึกษาให้แน่ใจก่อนจึงจะรักษา ถึงแม้จะใช้เวลามากหน่อย แต่
คำตอบเป็นที่น่าประทับใจค่ะ"ทีมงานของพวกเรา มีประสบการณ์สูงในการ
เปลี่ยนแปลงรูปหน้าให้นางงามที่ขึ้นเวที ซิลิโคนSEBBINแข่งขันระดับประเทศ และก็
ระดับโลก ได้รับรางวัลมาหลายเวทีแล้วกระทั่งเป็นที่ยอมรับจากสาวงามเวทีต่างๆ
นอกจากแพทย์หญิงศิริพร ยังได้รับเกียรติ รับมอบรางวัลในฐานะหมอประจำบ้านในอุดมคติ
นักศึกษาแพทย์ทหาร จากวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า xxxxxxx และก็ได้รับเชิญเป็นกรรมการตัดสินการแข่งขัน
นางงามหลายเวทีอีกด้วย ซิลิโคนSEBBIN





https://bit.ly/3iqCYRI
#4204
TEAMG ท็อปฟอร์มคว้าโปรเจกต์ใหญ่ภาครัฐ 9 โครงการ หนุน Backlog มุ่งสู่ 4 พันลบ.
 
TEAMG ประกาศคว้างานใหม่เพิ่ม 9 โปรเจกต์ภาครัฐ ช่วง 3 เดือนแรกปี 65 มูลค่ารวม 409 ล้านบาท รับอุตสาหกรรมงานก่อสร้างและงานโครงสร้างพื้นฐานเริ่มเดินหน้าหลังสถานการณ์โควิด 19 คลี่คลาย หนุน Backlog มุ่งสู่ 4 พันล้านบาท ดันผลงานปี 65 เติบโตตามแผนอย่างยั่งยืน

ดร.อภิชาติ สระมูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEAMG ในฐานะผู้นำด้านบริการแบบครบวงจรในภูมิภาค  และพัฒนาธุรกิจนวัตกรรม เปิดเผยว่า บริษัทฯ รับงานใหม่จากทั้งภาครัฐ จำนวน 9 โครงการ ในช่วงระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม 2565   มูลค่ารวม 409 ล้านบาท ประกอบด้วย

โครงการควบคุมการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำคลองเปรมประชากร จากคลองบางบัวลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ของสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร โดยบริษัท และบริษัท วิศวกรรมธรณีและฐานราก จำกัด (GFE; บริษัทย่อยของบริษัท)
โครงการควบคุมการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำคลองแสนแสบ จากอุโมงค์ระบายน้ำคลองแสนแสบและคลองลาดพร้าวถึงบริเวณซอยลาดพร้าว 130 ของสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร โดยบริษัท
โครงการควบคุมงานก่อสร้างขยายกำลังการผลิตน้ำที่โรงงานผลิตน้ำมหาสวัสดิ์ ขนาด 800,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน พร้อมงานที่เกี่ยวข้อง สัญญา SV-901 ของการประปานครหลวง โดยบริษัท
โครงการจัดทำแผนปฏิบัติการกรณีฉุกเฉิน (EAP) เขื่อนบางพระ ของกรมชลประทาน โดยบริษัท และบริษัท GFE
โครงการติดตั้งเครื่องมือวัดพฤติกรรมเขื่อน โครงการอ่างเก็บน้ำลำสะพุง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดชัยภูมิ ของกรมชลประทาน โดยบริษัท GFE
ที่ปรึกษาประจำสำนักสำรวจและออกแบบ (In House) เพื่อสนับสนุนงานด้านเทคนิคและวิศวกรรม ปี 2565 ของกรมทางหลวง โดยบริษัท และบริษัท ทีแอลที คอนซัลแตนส์ จำกัด (TLT; บริษัทร่วมของบริษัท)
โครงการสำรวจและออกแบบทางหลวง 4 ช่องจราจร บนทางหลวงหมายเลข 3267 ช่วง อ่างทอง - ต.บางโขมด ของกรมทางหลวง โดยบริษัท และบริษัท TLT
โครงการสำรวจและออกแบบทางหลวง 4 ช่องจราจร บนทางหลวงหมายเลข 117 ช่วง อุตรดิตถ์-ภูดู่ ตอน แยกป่าขนุน-แยกสักใหญ่ ของกรมทางหลวง โดยบริษัท GFE
และ 9. ที่ปรึกษาและควบคุมงานงานปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพระบบปรับอากาศแบบรวมศูนย์ (Chiller) อาคารสำนักงานและอาคารศูนย์สั่งการระบบไฟฟ้า (SCADA) พื้นที่สำนักงานใหญ่และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเขต รวม 12 แห่ง ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยบริษัท เอทีที คอนซัลแตนท์ จำกัด (บริษัทย่อยของบริษัท)

การได้รับงานใหม่ครั้งนี้ ช่วยเสริมให้บริษัทฯ มีงานที่หลากหลายมากขึ้นและเป็นการขยายโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ โดย TEAMG ยังคงเดินหน้าเข้าร่วมประมูลโครงการต่างๆ จากภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ ตามที่มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้นต่อเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เพื่อเพิ่มศักยภาพรายได้และกำไร สนับสนุนให้งานในมือ (Backlog) มุ่งสู่ 4 พันล้านบาท ช่วยผลักดันผลงานทั้งปีเติบโตตามเป้าหมายอย่างแข็งแกร่งได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังพร้อมสนับสนุนการทำงานของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศในการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขับเคลื่อนธุรกิจและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนต่อไป

"TEAMG ที่มีจุดเด่นในความเชี่ยวชาญด้านงานที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมและสิ่งแวดล้อมแบบครบวงจร ตั้งแต่การศึกษา, ออกแบบ, การจัดทำโครงการ, การบริหารโครงการและควบคุมงานก่อสร้าง รวมทั้งการจัดทำรายงานประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้บริษัทฯ สามารถคว้างานประมูลทั้งภาครัฐและเอกชนได้ต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าปีนี้ บริษัทฯ จะมีโอกาสขยายธุรกิจได้ทั้งในและต่างประเทศและสามารถสร้างการเติบโตในทิศทางที่ดีต่อเนื่อง" ดร.อภิชาติ กล่าว
#4205
ดัชนีและภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ประจำวันที่ 21 มี.ค. 2565

-- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันจันทร์ (21 มี.ค.) หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอยู่ในระดับที่สูงเกินไป และเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% เพื่อสกัดเงินเฟ้อ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,552.99 จุด ลดลง 201.94 จุด หรือ -0.58%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,461.18 จุด ลดลง 1.94 จุด หรือ -0.04% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,838.46 จุด ลดลง 55.38 จุด หรือ -0.40%

-- ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในวันจันทร์ (21 มี.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน ขณะที่ความวิตกเกี่ยวกับสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนยังคงถ่วงบรรยากาศการซื้อขายทั่วโลก

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 454.79 จุด เพิ่มขึ้น 0.19 จุด หรือ +0.04%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,582.33 จุด ลดลง 37.91 จุด หรือ -0.57%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 14,326.97 จุด ลดลง 86.12 จุด หรือ -0.60% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,442.39 จุด เพิ่มขึ้น 37.66 จุด หรือ +0.51%

-- ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันจันทร์ (21 มี.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มน้ำมันและเหมืองแร่ที่ปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,442.39 จุด เพิ่มขึ้น 37.66 จุด หรือ +0.51%

-- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 7% ในวันจันทร์ (21 มี.ค.) หลังมีรายงานข่าวว่า ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) กำลังพิจารณาคว่ำบาตรน้ำมันรัสเซียตามรอยสหรัฐ ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันพรุ่งนี้

ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 7.42 ดอลลาร์ หรือ 7.09% ปิดที่ 112.12 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 7.69 ดอลลาร์ หรือ 7.12% ปิดที่ 115.62 ดอลลาร์/บาร์เรล

-- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยในวันจันทร์ (21 มี.ค.) หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% เพื่อสกัดเงินเฟ้อ

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 20 เซนต์ หรือ 0.01% ปิดที่ 1,929.5 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 22.6 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 25.313 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 8.8 ดอลลาร์ หรือ 0.85% ปิดที่ 1,044.7 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 44.30 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 2,537.30 ดอลลาร์/ออนซ์

-- ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันจันทร์ (21 มี.ค.) หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอยู่ในระดับที่สูงเกินไป และเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% เพื่อสกัดเงินเฟ้อ

ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.27% แตะที่ 98.4970 เมื่อคืนนี้

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 119.46 เยน จากระดับ 119.12 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9335 ฟรังก์ จากระดับ 0.9320 ฟรังก์ แต่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2597 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2600 ดอลลาร์แคนาดา

ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1019 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1056 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.3163 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3184 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.7393 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7409 ดอลลาร์สหรัฐ

ดัชนี DJIA ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 34,552.99 จุด ลดลง 201.94 จุด, -0.58%

ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 4,461.18 จุด ลดลง 1.94 จุด, -0.04%

ดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 13,838.46 จุด ลดลง 55.38 จุด, -0.40%

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,442.39 จุด เพิ่มขึ้น 37.66 จุด, +0.51%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,582.33 จุด ลดลง 37.91 จุด, -0.57%

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 14,326.97 จุด ลดลง 86.12 จุด, -0.60%

ดัชนี SENSEX ตลาดหุ้นอินเดียปิดที่ 57,292.49 จุด ลดลง 571.44 จุด, -0.99%

ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียปิดที่ 6,955.18 จุด เพิ่มขึ้น 0.22 จุด, +0.00%

ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดที่ 1,587.16 จุด ลดลง 4.10 จุด, -0.26%

ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปิดที่ 6,956.60 จุด ลดลง 51.03 จุด, -0.73%

ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดที่ 3,355.51 จุด เพิ่มขึ้น 24.88 จุด, +0.75%

ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดที่ 21,221.34 จุด ลดลง 191.06 จุด, -0.89%

ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดที่ 3,253.69 จุด เพิ่มขึ้น 2.61 จุด, +0.08%

ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันปิดที่ 17,560.36 จุด เพิ่มขึ้น 103.84 จุด, +0.59%

ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดที่ 2,686.05 จุด ลดลง 20.97 จุด, -0.77%

ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 7,278.50 จุด ลดลง 15.90 จุด, -0.22%

ดัชนี ALL ORDINARIES ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 7,558.90 จุด ลดลง 12.30 จุด, -0.16%

ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการวานนี้ (21 มี.ค.) เนื่องในวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ
#4206
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 37.66 จุด กลุ่มน้ำมัน-เหมืองแร่หนุนตลาด

ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันจันทร์ (21 มี.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มน้ำมันและเหมืองแร่ที่ปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,442.39 จุด เพิ่มขึ้น 37.66 จุด หรือ +0.51%

ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นได้ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มพลังงานซึ่งมีน้ำหนักอย่างมากในตลาด

ดัชนีกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ เพิ่มขึ้น 0.5% แตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 สัปดาห์ โดยได้แรงหนุนจากหุ้นเชลล์และหุ้นบีพี ซึ่งพุ่งขึ้น 4.1%

ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นมากกว่า 4 ดอลลาร์ หลังมีรายงานข่าวว่ารัฐบาลของชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) จะพิจารณาว่าจะกำหนดมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันของรัสเซียหรือไม่

หุ้นเกล็นคอร์และหุ้นแองโกล อเมริกัน ปรับตัวขึ้นด้วย หลังออสเตรเลียห้ามการส่งออกอะลูมินาและอะลูมิเนียมไปยังรัสเซีย ซึ่งหนุนราคาอะลูมิเนียมที่ตลาดลอนดอนพุ่งขึ้นเกือบ 5%

หุ้นแอนโทฟากัสตาพุ่งขึ้น 8.1% หลังเปิดเผยว่า บริษัทได้ตกลงถอนตัวจากโครงการ Reko Diq ในปากีสถาน เนื่องจากกลยุทธ์การเติบโตของบริษัทได้มุ่งเน้นไปที่การผลิตทองแดงและผลพลอยได้ในทวีปอเมริกา
#4207
'พาวเวล' ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% เหตุเงินเฟ้อสูงเกินไป

นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่า เฟดอาจจะคุมเข้มนโยบายการเงินมากขึ้น ด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% โดยมีเป้าหมายที่จะสกัดเงินเฟ้อ

นายพาวเวลกล่าวในการประชุมสมาคมเศรษฐกิจธุรกิจแห่งชาติของสหรัฐเมื่อคืนวานนี้ตามเวลาไทยว่า 'ตลาดแรงงานของสหรัฐมีความแข็งแกร่งมาก และอัตราเงินเฟ้อก็อยู่ในระดับสูงเกินไป ด้วยเหตุนี้เราจึงอาจจะใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าตัวเลขเงินเฟ้อจะกลับมามีเสถียรภาพอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องเหมาะสมที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% ในการประชุมครั้งหนึ่งหรือหลายครั้ง เราก็จะทำ และหากเราพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็นต้องดำเนินนโยบายแบบคุมเข้มมากกว่าที่เคยดำเนินการมา เราก็จะทำเช่นกัน'

นายพาวเวลระบุว่า สถานการณ์ด้านเงินเฟ้อย่ำแย่ลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ก่อนที่สงครามรัสเซีย-ยูเครนจะปะทุขึ้นก็ตาม พร้อมกับเตือนว่า ผลกระทบของสงครามและการที่ชาติตะวันตกคว่ำบาตรรัสเซีย อาจจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจสหรัฐ

นอกจากนี้ นายพาวเวลกล่าวว่า ผลกระทบโดยตรงจากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งขึ้นทั่วโลก รวมทั้งสงครามและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาจส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในต่างประเทศและจะยิ่งทำให้ห่วงโซ่อุปทานตกอยู่ในภาวะชะงักงันมากขึ้นอีก ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะลุกลามบานปลายมาถึงเศรษฐกิจสหรัฐด้วย
#4208
ตัดถุงใต้ตา ไร้รอยแผลที่เดอะคลาสสถานพยาบาล เป็นสถานพยาบาลเวชกรรมเฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์ตกแต่ง ที่ได้รับ 
ตัดถุงใต้ตา ไร้รอยแผลการรับรองประสิทธิภาพให้เป็นคลินิกที่ได้มาตรฐานทางด้านการแพทย์  
 ตัดถุงใต้ตา ไร้รอยแผลที่มีห้องผ่าตัดขนาดใหญ่เทียบเท่าโรงพยาบาลโดยกระทรวงสาธารณสุข เปิดให้บริการด้านศัลยกรรมตกแต่งโดยหมอ 
จบกระดานเฉพาะทาง และ เสริมความสวย
ด้านผิวพรรณ ภายใต้การดูแลโดย พันตรีแพทย์ ธีรภัทร์ หัวใจประสาท อาจารย์แพทย์  
ตัดถุงใต้ตา ไร้รอยแผลเฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง มีความตั้งใจให้บริการทุกคน



https://bit.ly/36hQ6G5
#4209
NUSA ออกหุ้นกู้มีประกัน 450 ลบ.ดอกเบี้ย 7% ขายสถาบัน-รายใหญ่ 18 เม.ย.-18 พ.ค.

บมจ.ณุศาศิริ (NUSA) ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้มีประกันของบริษัท 2 ชุด รวมมูลค่าไม่เกิน 450 ล้านบาท เสนอขายให้แก่ ผู้ลงทุนสถาบันและ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ มีบล.เคพีเอ็ม เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกุ้

โดยหุ้นกู้ชุดที่ 1 จำนวนไม่เกิน 400 ล้านบาท อายุ 1 ปี 11 เดือน 15 วัน มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 7.00% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ เสนอขายวันที่ 18-20 เม.ย.65

หุ้นกู้ชุดที่ 2 จำนวนไม่เกิน 50 ล้านบาท อายุ 1 ปี 11 เดือน 14 วัน มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 7.00% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ เสนอขายวันที่ 12-13 และ 17-18 พ.ค.65

ทั้งนี้ บริษัท ไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้

สำหรับหลักประกันในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ ได้แก่ โฉนดที่ดิน จำนวน 12 แปลง เนื้อที่ดินรวม 43-1-42.2 ไร่ (17,342.20 ตารางวา) ตั้งอยู่ที่ตำบลบางน้ำจืด อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัต.บ จังหวัดชลบุรีและ ตำบลวังไทร อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และ ห้องชุด จำนวน 103 ห้อง พื้นที่รวม 3,543.54 ตารางเมตร ตั้งอยู่ที่แขวงรามอินทรา เขตคันนายาว กรุงเทพมหานคร ประเมินโดยบริษัท ที.เอ.มาเนจเม้นท์ คอร์โปเรชั่น (1999) จำกัด

บริษัทมีวัตถุประสงค์นำเงินไปชำระคืนหนี้หุ้นกู้ NUSA225A และ NUSA229A จำนวน 364.9 และ 50 ล้านบาท ตามลำดับที่จะครบกำหนดในเดือนพ.ค.65 และคืนก่อนกำหนดในช่วงเดือน ก.ย. 65 ส่วนที่เหลือใช้เงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

 
#4211
'พรินซิเพิล' เพิ่มทางเลือกการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลกรับมือตลาดผันผวน กระจายลงทุน Global Multi Asset ผ่านกองทุนและ ETF ทั่วโลก
 
บลจ. พรินซิเพิล เตรียมเสนอขาย IPO กองทุนเปิดพรินซิเพิล โกล. มัลติ แอสเซท (PRINCIPAL GMA) วันที่ 21 - 29 มีนาคมนี้ ชูกลยุทธ์เน้นกระจายการลงทุนไปกับหลากหลายสินทรัพย์คุณภาพดีทั่วโลก รับมือสภาวะตลาดผันผวนและมุ่งเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนเติบโตในระยะยาว

นายศุภกร ตุลยธัญ, CFA ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด
เปิดเผยว่า ท่ามกลางสถานการณ์ตลาดผันผวนจากปัจจัยสำคัญต่างๆ ในปัจจุบัน ทั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง จากแรงกดดันของราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวขึ้นสูงจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างรัสเซียและยูเครน จึงมีโอกาสเห็นการปรับเพิ่มตัวเลขการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อ (inflation expectation) ได้เช่นกัน ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ มีความจำเป็นที่จะต้องใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัว โดยคาดว่าจะหยุดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE Tapering) ในช่วงไตรมาสแรกของปี และเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายทันทีในเดือนมีนาคม 2565 โดยอาจเห็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ถึง 6 ครั้งในปีนี้

ดังนั้นมองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกจะยังเผชิญกับความผันผวนอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามประเมินภาพรวมผลตอบแทนของตลาดหุ้นในปี 2565 จะยังคงเป็นบวกได้อยู่ โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีความน่าสนใจ ซึ่งให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 18.10% ต่อปี เมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดเกิดใหม่, ตลาดหุ้นจีน, ตลาดกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วยกเว้นสหรัฐอเมริกาและตลาดหุ้นอังกฤษ ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5 ปีอยู่ที่ 10.50%, 9.30%, 8.40% และ 4.20% ตามลำดับ (Source: Bloomberg, FactSet, Principal Global Asset Allocation ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564) อย่างไรก็ตามสภาวะตลาดที่ผันผวนสูงจะทำให้การจับจังหวะลงทุนนั้นมีความลำบาก จึงเป็นสภาวะที่เหมาะสมกับกองทุนที่มีการจัดสรรสินทรัพย์เพื่อลดความผันผวนระดับสูงจากสินทรัพย์เสี่ยงด้วยการกระจายการลงทุนบางส่วนไปที่ตราสารหนี้ ส่วนทิศทางการลงทุนในตราสารหนี้ประเภท Core fixed income ที่ส่วนใหญ่จะเน้นการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้คุณภาพสูงนั้น จะได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อต่อสู้กับความกดดันทางด้านเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่กดดันผลตอบแทนของกลุ่ม Core fixed income ทำให้ตราสารหนี้ประเภท Global High yield และ Global Preferred Securities จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนในตลาดตราสารหนี้

ทั้งนี้ บลจ. พรินซิเพิล แนะนำว่าจากสถานการณ์ปัจจุบัน ควรให้ความสำคัญกับกลยุทธ์กระจายการลงทุนที่หลากหลาย และเน้นลงทุนต่อเนื่องในระยะยาว จึงได้เพิ่มทางเลือกให้แก่นักลงทุนที่ต้องการรับมือกับความผันผวน โดยเปิดตัว "กองทุนเปิดพรินซิเพิล โกล. มัลติ แอสเซท" หรือ Principal Global Multi Asset Fund (PRINCIPAL GMA) มีทุนจดทะเบียน 2,000 ล้านบาท (Greenshoe 15%) เตรียมเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ในวันที่ 21 - 29 มีนาคม 2565 สั่งซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท โดยเป็นกองทุนผสมและกองทุนรวมหน่วยลงทุน Fund of Funds ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวม และ/หรือกองทุน Exchange Traded Fund (ETF) ต่างประเทศ สามารถลงทุนในสินทรัพย์ได้หลากหลาย ทั้งตราสารทุน ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ตราสารแห่งหนี้ เงินฝาก หน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หน่วยทรัสต์ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) และหน่วยลงทุนของกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งสัดส่วนการลงทุนดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละช่วง เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี

จุดเด่นของกองทุนเปิด PRINCIPAL GMA คือการดำเนินงานภายใต้ปรัชญาการลงทุนแบบ Principal Global Asset Allocation โดย บลจ. พรินซิเพิล ผู้บริหารสินทรัพย์ชั้นนำระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์การลงทุนแบบ Asset Allocation ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานกว่า 17 ปี และบริหารพอร์ตการลงทุนผ่านสินทรัพย์หลากหลายประเภทเป็นมูลค่าถึง 1.649 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งกระบวนการลงทุนของ Principal Global Asset Allocation ประกอบด้วยกระบวนการ 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) Strategic Asset Allocation ใช้หลักการลงทุนระยะยาววิเคราะห์สินทรัพย์เพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีความเสี่ยงและผลตอบแทนที่เหมาะสม 2) Tactical Asset Allocation ใช้กลยุทธ์ Tactical ปรับพอร์ตตามสถานการณ์ระยะสั้น สร้างผลตอบแทนจากปัจจัยเศรษฐกิจและความไร้ประสิทธิภาพของตลาด (Market Inefficiency) และ 3) Active Implementation วิเคราะห์กองทุนที่จะเข้าไปถือครองเป็นรายตัวเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของพอร์ตลงทุน

ขณะเดียวกันยังใช้กลยุทธ์กระจายการลงทุนเชิงรุกที่พร้อมปรับเปลี่ยนอยู่เสมอหรือ Dynamic Asset Allocation โดยเน้นการลงทุนในกองทุนรวมและ ETF ทั่วโลก ทำให้มีกรอบการลงทุนที่ครอบคลุมทุกสินทรัพย์เพื่อโอกาสสร้างผลการดำเนินงานที่เหนือกว่าดัชนีอ้างอิง (Benchmark) และเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยง (Risk adjusted) พร้อมทั้งบริหารพอร์ตแบบมีเป้าหมายผสมผสานทั้งมุ่งหวังมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้นในระยะยาว และสร้างกระแสเงินสดอย่างสม่ำเสมอ

ทั้งนี้ กองทุนเปิด PRINCIPAL GMA เตรียมเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) วันที่ 21 - 29 มีนาคม 2565 สั่งซื้อ
ขั้นต่ำ 1,000 บาท ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ตัวแทนสนับสนุนการขายและรับซื้อคืน และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด โทร. 02 686 9595 หรือ www.principal .th หรือ Principal TH Mobile App
#4212
ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ลบกว่า 70 จุด หุ้นโบอิ้งดิ่งหนักหลังเครื่องบิน 737 ตกในจีน
 
ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ปรับตัวลงในวันนี้ ขณะที่ราคาหุ้นโบอิ้งร่วงลงอย่างหนัก หลังเกิดเหตุเครื่องบินโบอิ้ง 737 ของสายการบินไชน่า อีสเทิร์น แอร์ไลน์ส ตกในจีนช่วงบ่ายวันนี้

ณ เวลา 19.12 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ลดลง 76 จุด หรือ -0.22% แตะที่ 34,557 จุด

ราคาหุ้นโบอิ้งร่วงลง 8% ก่อนตลาดหุ้นนิวยอร์กเปิดทำการในวันนี้ หลังจากเครื่องบินโบอิ้ง 737 ของสายการบินไชน่า อีสเทิร์น แอร์ไลน์ส ตกในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงของจีนในช่วงบ่ายวันนี้ โดยเครื่องบินดังกล่าวมีผู้โดยสารบนเครื่องทั้งหมด 132 คนซึ่งรวมถึงลูกเรือจำนวน 9 คน

บริษัทโบอิ้งกำลังร่วมมือกับสายการบินไชน่า อีสเทิร์น แอร์ไลน์ส เพื่อรวบรวมข้อมูลหลังจากเกิดเหตุการณ์เครื่องบินตก ขณะที่สื่อรายงานว่า เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยยังไม่พบสัญญาณที่บ่งชี้ว่ามีผู้รอดชีวิต

ทางด้านประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเร่งหาสาเหตุการตกของเที่ยวบิน MU5735 และเตรียมความพร้อมในทุก ๆ ด้านเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ดังกล่าว ขณะที่สายการบินไชน่า อีสเทิร์น แอร์ไลน์สได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปยังจุดที่เกิดเครื่องบินตก และเปิดฮอทไลน์เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ครอบครัวของผู้โดยสารบนเครื่อง

นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ตึงเครียดในยูเครน ขณะที่ข้อมูลของสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า มีประชาชนประมาณ 3.4 ล้านคนหนีออกนอกยูเครนนับตั้งแต่รัสเซียเริ่มการโจมตียูเครนในวันที่ 24 ก.พ. ซึ่งผู้อพยพส่วนมากเป็นสตรีและเด็กที่หนีไปยังโปแลนด์ โดยคาดว่าจำนวนผู้อพยพอาจเพิ่มขึ้นสูงถึง 4 ล้านคน และแม้จำนวนผู้อพยพจะลดลงในช่วงไม่กี่วันมานี้ แต่ยังคงแตะ 50,000 คนต่อวัน

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงยอดขายบ้านใหม่เดือนก.พ., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.พ., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนมี.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนมี.ค.จากมาร์กิต, ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนก.พ. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
#4213
ทีเอ็มบีธนชาต จัดกิจกรรม "ttb SME พันธมิตรสู่ความสำเร็จ" พบลูกค้าเอสเอ็มอีภาคตะวันออก ร่วมผลักดันธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี (ttb) โดย นายวิสูจน์ ตั้งอดุลย์รัตน์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร บริหารความสัมพันธ์ลูกค้าธุรกิจและเอสเอ็มอี ทีเอ็มบีธนชาต จัดกิจกรรม "ttb SME พันธมิตรสู่ความสำเร็จ" ครั้งที่ 3 เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับลูกค้าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีภาคตะวันออก ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ซึ่งมีลูกค้าให้ความสนใจเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก

ภายในงานธนาคารได้อัปเดตข้อมูลที่เป็นประโยชน์ด้านเศรษฐกิจภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ สำหรับปี 2565  อีกทั้งยังได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและรับฟังปัญหาของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดโซลูชันของธนาคาร โดยธนาคารพร้อมเป็นพันธมิตรเคียงข้างลูกค้าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยในทุกสถานการณ์ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและร่วมขับเคลื่อนธุรกิจของลูกค้าให้ประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างยั่งยืน งานจัดขึ้น ณ ห้องมาริส .ลูม, โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารามาริส รีสอร์ท จอมเทียน จังหวัดชลบุรี


SA เปิดแผนธุรกิจปีขาล ตั้งเป้ารายได้แตะ 4,900 ลบ. โชว์กลยุทธ์ Asset Play

นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายสุพล จงจินตรักษา (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงินและบัญชี พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) (SA) ถ่ายภาพร่วมกันภายหลังแถลงนโยบายและทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2565 โดยระบุว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้อยู่ที่ 4,500 - 4,900 ล้านบาท และมีแผนเปิดโครงการใหม่จำนวน 6 โครงการ มูลค่ารวม 11,621 ล้านบาท พร้อมชูกลยุทธ์เด็ด ''Asset Play" นำสินทรัพย์ที่มีพัฒนาธุรกิจใหม่ 6 สาขา พร้อมแผนจัดหาแหล่งเงินลงทุนจาก Green Finance- Green Bond ต้นทุนต่ำ ปรับสัดส่วนพัฒนาโครงการแนวราบเป็น 50% ของรายได้ภายในปี 2567 เน้นสร้าง Recurring Income และรุกพัฒนาธุรกิจใหม่ หนุนสร้าง New S-Curve ดันผลงานเติบโตแข็งแกร่ง ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ Rooftop Bar ชั้น 26 โครงการ Ramada Residence ซอย สุขุมวิท 87 เมื่อเร็วๆ นี้
#4214
จับจังหวะปรับสินทรัพย์ลงทุนหลังประชุมเฟดแม้ตลาดหุ้นจีนเริ่มคลายกังวล แนะกระจายลงทุนใน Private Asset และStructure Note หนุนลดความผันผวนของพอร์ต

SCB CIO ประเมินผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด (Fed) เป็นไปตามที่ตลาดคาด จากการขึ้นดอกเบี้ย 25 bps สู่ระดับ 0.25%-0.5% และคาดว่าเฟดมีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีได้อีกราว 6 ครั้ง คาดทั้งปีจะขึ้นรวม 175 bps ครั้งละ 0.25% ส่งผลให้ปลายปีดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯจะอยู่ที่ระดับ 1.75-2.00%ด้านตลาดหุ้นจีนเริ่มฟื้นตัวหลังเผชิญความผันผวนจากความกังวลเรื่องการคุมเข้มกฎระเบียบและความเสี่ยงหุ้นจีนที่จะถูกถอดถอนออกจากตลาดสหรัฐฯ จากการที่ทางการจีนออกมาให้ความเชื่อมั่นว่าจะรักษาเสถียรภาพของตลาดและดูแลประเด็นหุ้นจีนในต่างประเทศมากขึ้น SCB CIO มองตลาดหุ้นโลกคลายกังวลช่วงสั้น แต่ความเสี่ยงยังมีอยู่ในระยะข้างหน้า แนะถือสภาพคล่องในสัดส่วนมากกว่าปกติที่ 20-30% เพื่อรอความชัดเจนก่อนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเช่นตลาดหุ้นโลก เมื่อความผันผวนน้อยลง การลงทุนในตลาดหุ้นไทยและเวียดนามยังเป็นทางเลือกที่เหมาะสมในช่วงนี้ และควรกระจายการลงทุนในPrivate Assets เพื่อช่วยลดความผันผวน และการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ Structure Note ที่สามารถบริหาร Downside Risk ของพอร์ตได้ดีขึ้น

นายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย SCB Chief Investment Office (SCB CIO ) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด (Fed)แผนการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในปีนี้เป็นไปตามที่ตลาดคาดไว้ แต่ยังต้องจับตาระดับเงินเฟ้อและการขึ้นดอกเบี้ยในระยะข้างหน้าหากพิจารณาผลการประชุมเฟด เมื่อวันที่ 15-16 มี.ค. ที่ผ่านมา การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps สู่ระดับ 0.25%-0.5% โดยได้ปรับคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ย (Dot Plot) ล่าสุดในปี 2022 อยู่ที่ 7 ครั้ง ในปี 2023 อยู่ที่ 3-4 ครั้ง และในปี 2024 อยู่ที่ 2 ครั้ง ทำให้ปลายปีนี้ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ จะอยู่ที่ระดับ 1.75%-2.00% โดย SCB CIO มองว่าเฟด ให้ความสำคัญต่อเป้าหมายเสถียรภาพเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่วนการลดงบดุลมองว่าเฟดจะประกาศรายละเอียดและเริ่มทำการลดงบดุลในการประชุมเดือน พ.ค. ทั้งนี้ ยังต้องติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมจากรายงานการประชุมเฟดที่จะถูกเปิดเผยในวันที่ 6 เม.ย.นี้

ทั้งนี้ สัญญาณราคาพลังงานและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าที่จะเป็นตัวกำหนดระดับการขึ้นดอกเบี้ยในแต่ละรอบการประชุม โดยเฉพาะการขึ้นดอกเบี้ยในรอบที่เหลือของปีจะมีโอกาสขึ้นได้มากกว่า 25 bps หรือไม่ หากสงครามรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อและราคาสินค้าโภคภัณฑ์และน้ำมันยังพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง หากเป็นเช่นนั้น มองว่าเฟดอาจมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยตามในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งอาจจะสร้างความผันผวนให้กับตลาดได้ต่อเนื่อง SCB CIO คาดว่าผลกระทบต่อดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้น (2 ปี) และระยะยาว (10 ปี) ยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น แต่อาจจะยังไม่เกิดสภาวะ Inverted Yield Curve (เส้นผลตอบแทนพันธบัตรที่กลับด้านจากปกติ จากการที่ระดับดอกเบี้ยระยะสั้นเพิ่มสูงขึ้นเร็วจนมีค่ามากกว่าระดับระยะยาว) ทำให้มองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่เสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในระยะข้างหน้า

นายศรชัย กล่าวต่อไปว่า ความผันผวนในตลาดหุ้นจีนยังไม่หมดไป แม้ตลาดเริ่มคลายความกังวลในช่วงสั้น พร้อมจับตาความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีนจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีนโดยเฉพาะหุ้น Offshore (จดทะเบียนนอกตลาดจีน) ปรับฐานรุนแรงทั้งจากความกังวลด้านการคุมเข้มกฎระเบียบและความเสี่ยงที่หุ้นจีนบางบริษัทจะถูกถอดถอน (Delist) ออกจากตลาดสหรัฐฯ SCB CIO มองประเด็นความเสี่ยงด้านการปฏิรูปกฎระเบียบ (Regulation Risk) ยังเป็นความเสี่ยงต่อหุ้นจีนในระยะข้างหน้า แต่เชื่อว่าขนาดของผลกระทบจะไม่รุนแรงดังเช่นในปี 2021 ที่ทางการจีนเน้นคุมเข้มทั้งอุตสาหกรรม แต่การคุมเข้มในระยะข้างหน้าจะเน้นเฉพาะบริษัทที่ไม่ทำตามกฎและขัดขืนคำสั่งมากกว่า ด้านความกังวลการถูกถอดถอนออกจากตลาดสหรัฐฯ (Delisting Risk) SCB CIO มองความเสี่ยงนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่และเป็นที่รับรู้ของตลาดอย่างกว้างขวางอยู่แล้ว หลังจาก HFCAA (Holding Foreign Companies Accountable Act) ถูกลงนามเป็นกฎหมายในสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2020 ทั้งนี้ การเพิกถอนไม่ได้เกิดทันที โดยจะเกิดการเพิกถอนหุ้นออกจากตลาดเฉพาะในกรณีที่ PCAOB (Public Company Accounting Oversight Board) ของสหรัฐฯ ไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลจากผู้สอบบัญชีของบริษัทได้เป็นเวลา 3 ปีติดต่อกันเท่านั้น อีกทั้ง กรณีเลวร้ายหากถูกถอดถอน หลายบริษัทจีนในตลาดสหรัฐฯ ยังสามารถกลับเข้ามาจดทะเบียนในตลาดฮ่องกงได้ ทำให้มองผลกระทบค่อนข้างจำกัด อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ต้องติดตามใกล้ชิดเพิ่มเติม คือ กรณีความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีนจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งหากสหรัฐฯ ออกมาตรการคว่ำบาตรหรือกีดการทางการค้าการลงทุนต่อจีนเพิ่มจากการที่จีนไม่ยอมประกาศคว่ำบาตรรัสเซียตามชาติมหาอำนาจอื่นๆ ความเสี่ยงนี้อาจสร้างความผันผวนต่อตลาดการเงินโลกได้มากในระยะต่อไป และจะยิ่งทำให้ความขัดแย้งสหรัฐฯ-จีนที่ตึงเครียดอยู่เดิมกลับมาเพิ่มความเข้มข้นและส่งผลกระทบต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกได้ โดยเฉพาะต่อตลาดหุ้นจีนในอนาคต

SCB CIO มองกลยุทธ์การลงทุนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยง เช่น ตลาดหุ้นโลก ยังมีความไม่แน่นอน การถือครองเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงเป็นสัดส่วนมากกว่าปกติยังเป็นสิ่งจำเป็นในช่วงสั้นเช่น 20-30% ของเงินลงทุน เพื่อรอจะหวะเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่นตลาดหุ้นโลก เมื่อความผันผวนลดลง ตลาดหุ้นไทยและเวียดนามยังน่าลงทุน และควรทยอยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน Private Assets เนื่องจากได้รับผลกระทบจากความผันผวนด้านราคาน้อยกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น และการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ Structure Note จะช่วยบริหาร Downside Risk ของพอร์ตการลงทุนได้ดีมากขึ้น

กลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้ SCO CIO แนะนำลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยตราสาร (Duration) ต่ำเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของดอกเบี้ยโลกขาขึ้น ส่วนตราสารทุน แนะนำทยอยลงทุนในตลาดหุ้นที่ได้รับผลกระทบต่ำจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน เช่น ตลาดหุ้นไทยและเวียดนาม เนื่องจาก ทั้ง 2 ประเทศ มีเสถียรภาพเศรษฐกิจแข็งแกร่งและตลาดหุ้นรับความผันผวนได้ดีในช่วงที่ผ่านมา สำหรับการจัดสรรพอร์ตการลงทุน SCO CIO แนะนำคงสัดส่วนการถือครองเงินสดและสภาพคล่องในระดับมากกว่าปกติ เช่น 20-30% ของเงินลงทุนในช่วงสั้น และทยอยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน Private Assets ทั้งในส่วนของ Private Equity และ Private Debt เนื่องจากราคาสินทรัพย์ Private Assets เช่น หุ้นที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาด จะได้รับผลกระทบด้านราคาต่ำกว่าราคาสินทรัพย์ Public Assets เช่น หุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงการลงทุนใน Structured Notes เช่น หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง ซึ่งให้ผลตอบแทนหรือมีมูลค่าเชื่อมโยงกับหลักทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset) ซึ่งอ้างอิงกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่น เช่น ดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ หุ้นรายตัว หุ้นหลายตัว ตราสารหนี้ โภคภัณฑ์ สกุลเงิน อัตราดอกเบี้ย ฯลฯ เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สามารถออกแบบและจำกัดความเสี่ยงได้ตามความเหมาะสม และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ตามความเสี่ยงที่รับได้ในช่วงที่ตลาดหุ้นโลกและตลาดสินทรัพย์เสี่ยงอื่นยังมีความไม่แน่นอนสูง
#4215
รับประกาศอสังหา รับโพสต์ขายอสังหา อันดับ1 รับโพสบ้านและที่ดิน รับรองผล ถูกและดีที่สุด
   รับโพสบ้านและที่ดิน