• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Beer625

#2801


นาวาอากาศเอก (พิเศษ) คัมภีร์ คัมภีรญาณนนท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองเศรษฐกิจพอเพียง จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ เล็งเห็นความสำคัญในด้านการเกษตรของประเทศไทย โดยเฉพาะพืชสมุนไพรที่สามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย เช่น ฟ้าทะลายโจร ที่สามารถยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ทั่วโลกในขณะนี้ ส่งผลทำให้ฟ้าทะลายโจรเป็นที่ต้องการของตลาดโลกเป็นอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้ทาง บริษัท เมืองเศรษฐกิจพอเพียง จำกัด โดย SKY CROP ซึ่งมีพื้นที่มากกว่า 10,000 ไร่ ทั่วประเทศ จึงได้จัดสรรพื้นที่กว่า 5,000 ไร่ ที่บ้านเขาจาน ต.ท่าเกวียน อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว สำหรับทำการปลูกต้นฟ้าทะลายโจร ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุ แหล่งน้ำ เหมาะสำหรับทำการเกษตรเป็นอย่างมาก โดยการปลูกจะเน้นการปลูกแบบปลอดสารเคมี 100% ผนวกกับการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ช่วยในการเพาะปลูกและแปรรูปฟ้าทะลายโจร ซึ่งมีความสะอาด ปลอดภัย และได้คุณภาพตามมาตรฐานการสากล ทั้งนี้ ผลผลิตของทางบริษัทฯได้รับการรับรองมาตรฐานจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยมีสารแอนโดรกราโฟไลด์สูงถึง 4.75±0.26% (w/w)



"เราได้จัดสรรพื้นที่เพื่อใช้ในการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับการเกษตร รวมถึงเป็นแหล่งการเรียนรู้ให้กับผู้ที่สนใจได้เข้ามาศึกษาหาความรู้ด้านการเกษตร และในอนาคต คาดว่า จะเปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านการเกษตรที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก สำหรับพืชสมุนไพรอย่างฟ้าทะลายโจรนั้น ทางเราได้ศึกษาและวิจัยสายพันธุ์ฟ้าทะลายโจรจากทั่วประเทศ จนได้สายพันธุ์ที่ดีที่สุด และมีคุณภาพของไร่ SKY CROP และนอกจากนี้ ทางไร่ยังได้เพาะปลูกโกศจุฬาลัมพา และกระท่อมเพื่อป้อนตลาดด้วย"

ไร่ SKY CROP สามารถผลิตฟ้าทะลายโจรได้สูงถึง 15 ล้านตัน และแปรรูปเป็นแบบอบแห้งได้ในปริมาณ 2.5 ล้านตัน นอกจากนี้ ทางบริษัทฯได้มีการร่วมมือกับวิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศ ในการผลิตฟ้าทะลายโจรส่งให้กับไร่ SKY CROP เพื่อเป็นการช่วยเหลือชาวบ้านให้มีรายได้ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำแบบนี้ด้วย ส่งผลให้กำลังการผลิตสามารถรองรับความต้องการทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งนี้ นำสมุนไพรฟ้าทะลายโจรมาแปรรูปเป็นแบบแคปซูลบรรจุขวดจำหน่ายภายใต้แบรนด์ SKY HERB ของไร่ SKY CROP

นอกจากนี้ ทางบริษัท เมืองเศรษฐกิจพอเพียง จำกัด ยังได้นำสมุนไพรคุณภาพที่ได้คัดสรรสายพันธุ์เป็นอย่างดีต่างๆ อาทิ ฟ้าทะลายโจร, โกศจุฬาลัมพา, ใบกระท่อม เป็นต้น นำมาแปรรูปเป็นแบบแคปซูลบรรจุขวดจำหน่ายภายใต้แบรนด์ SKY HERB ของไร่ SKY CROP ด้วย

"บริษัท เมืองเศรษฐกิจพอเพียง จำกัด หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นหนึ่งในองค์กรที่จะช่วยหยุดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่เป็นมหันตภัยร้ายของประเทศและทั่วโลก และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศเพื่อพี่น้องชาวไทยให้มีชีวิตที่ดีขึ้น" นาวาอากาศเอก (พิเศษ) คัมภีร์ กล่าวทิ้งท้าย
#2802


การมาถึงของดิจิทัลดิสรัปชั่น (Digital Disruption) ไปจนถึงภาวะโรคระบาดโควิด -19 ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ตลาดการค้าโลกเปลี่ยนแปลงไป โลกทั้งใบเสมือนไร้พรมแดนโดยมีการค้าออนไลน์ช่วยเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เล็งเห็นความสำคัญนี้ จึงพร้อมผลักดันผู้ประกอบการไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมีทิศทางและยั่งยืนขึ้น โดยที่ผ่านมาเป็นตัวกลางในการบ่มเพาะองค์ความรู้ต่างๆ ให้แก่ผู้ประกอบการในหลายโครงการ จนมาถึงล่าสุดกับ 'IDEA LAB FESTIVAL 2021' ที่พร้อมติดอาวุธเป็นองค์ความรู้ใหม่ให้กับผู้ประกอบการไทย เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดการค้าโลกยุค New Normal แข็งแกร่งในตลาดโลก ด้วยองค์ความรู้ที่เป็นรูปธรรม

มล.คฑาทอง ทองใหญ่ นักวิชาการพาณิชย์เชี่ยวชาญ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะผู้ทำงานคลุกคลีอยู่กับผู้ประกอบการไทยมายาวนาน เปิดเผยว่า ความโดดเด่นของผู้ประกอบการ SMEs ไทย คือการมีศักยภาพด้านการผลิตที่สามารถต่อยอดได้จากฐานทรัพยากรภายในประเทศ เพียงแต่ในวันที่ตลาดเปลี่ยนแปลงไป ผู้ประกอบการจำเป็นอย่างมากที่ต้องเข้าใจตลาดให้มากขึ้นเพื่อการเติบโตอย่างมีทิศทางและยั่งยืน ซึ่งเรื่องนี้สอดคล้องกับแนวทางของกระทรวงพาณิชย์ และนโยบายของ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ 'จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์' ที่ให้ความสาคัญกับยุทธศาสตร์ 'ตลาดนำการผลิต' พร้อมกับผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยเป็น 'Smart Lottovip Enterprise' โดยการสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ที่มีนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยี รวมถึงสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับ ทั้งในระดับอาเซียน และเวทีการค้าโลก
"การส่งเสริมเรื่องการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่เราให้ความสำคัญมาก โดยที่ผ่านมา กรมได้ทำโครงการ 'IDEA LAB' ขึ้นมา หวังจุดประกายแนวคิดใหม่ๆ ในสร้างแบรนด์ให้แก่ผู้ประกอบการ เพื่อให้ได้มองเห็นคุณค่าในตัวเองชัดขึ้น รวมถึงเข้าใจตัวตนที่แท้จริงของแบรนด์ โดยรับสมัครผู้ประกอบการให้เข้ามาร่วมโครงการเพื่อเรียนรู้กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ การปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย และแนวทางการสื่อสารทางการตลาดที่ชัดเจน รวมถึงได้ปรับแนวทางการสร้างแบรนด์ใหม่ (Rebranding) เพื่อให้เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น ซึ่งใน 4 ครั้งที่ผ่านมา เราได้เห็นชัดเจนว่า องค์ความรู้เรื่องการสร้างแบรนด์ กลายเป็นใบเบิกทางที่แข็งแกร่งให้กับแบรนด์ไทยอย่างมาก โดยตลอดระยะเวลา 4 ปีมานี้ มีผู้ประกอบการไทยที่ผ่านโครงการ IDEA LAB จำนวนถึง 78 แบรนด์ ผ่านการบ่มเพาะด้านการสร้างแบรนด์ และปรับภาพลักษณ์แบรนด์ จนได้เข้าร่วมโครงการ Top Thai Brand พร้อมเผยศักยภาพของของตนในฐานะผู้ประกอบการหน้าใหม่ในตลาดอาเซียนด้วยสินค้าใหม่ๆ ที่น่าสนใจอย่างมาก หลายแบรนด์ยังกลายเป็นแบรนด์น้องใหม่ที่ได้รับความสนใจจากผู้นำเข้า เพื่อสั่งซื้อ และขอเป็นตัวแทนจำหน่ายในระยะยาวอีกด้วย"
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการมอบองค์ความรู้เรื่องการสร้างแบรนด์ผ่านโครงการ IDEA LAB ของ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ นำไปสู่การบ่มเพาะองค์ความรู้ครั้งใหม่ที่เท่าทันยุคมากขึ้นสำหรับผู้ประกอบการไทย ผ่านโครงการในชื่อ 'IDEA LAB FESTIVAL 2021' โดยได้เปิดรับผู้ประกอบการไทยที่ผ่านโครงการ IDEA LAB ใน 4 ครั้งที่ผ่านมา เข้ามาต่อยอดองค์ความรู้ด้านการสร้างแบรนด์ดิจิทัล พร้อมเสริมทักษะต่างๆ ที่จำเป็นโดยเฉพาะ โดยเป้าหมายของ 'IDEA LAB FESTIVAL 2021' ครั้งนี้ ยังอยู่ที่การนำพาแบรนด์ไทยทั้งหมดจากโครงการ เดินไปสู่เวทีจริงในรูปแบบต่างๆ ที่จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 10 - 12 กันยายน 2564 รวมถึงเวทีการเจรจาการค้าผ่านช่องทางออนไลน์กับผู้นำเข้าจากต่างประเทศ (Online Business Matching) ที่จะเกิดขึ้นจริง ในวันที่ 14 – 16 กันยายน 2564 นี้อีกด้วย



'IDEA LAB FESTIVAL 2021' เคี่ยวกรำเพื่อการเติบโตในตลาดโลก

การต่อยอดโครงการ Idea Lab มาสู่ 'IDEA LAB FESTIVAL 2021' ครั้งนี้ จึงนับเป็นอีกย่างก้าวสำคัญของ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อบ่มเพาะ เคี่ยวกรำ และนำพาผู้ประกอบการไทยเดินไปอย่างมีทิศทาง เพื่อประสบความสำเร็จบนเวทีโลก โดยเฉพาะเมื่อตลาดการค้าออนไลน์โลกกำลังเติบโตขึ้น

"เราได้นำแบรนด์ที่เข้าร่วมโครงการทั้ง 22 แบรนด์มาบ่มเพาะความรู้ ผ่าน 'ห้องเรียนการค้า' ก่อนจะเดินทางไปถึงเวทีจริงในรูปแบบต่างๆ ที่จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 10 - 12 กันยายน 2564 รวมถึงเวทีการเจรจาการค้าผ่านช่องทางออนไลน์กับผู้นำเข้าจากต่างประเทศ (Online Business Matching) ที่จะเกิดขึ้นจริง ในวันที่ 14 – 16 กันยายน 2564 นี้ โดยจัดฝึกอบรมเพิ่มทักษะด้านการใช้เทคโนโลยี และโปรแกรมในการเจรจาต่อรองการค้ากับคู่ค้าทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนทักษะการสื่อสาร การเจรจาต่อรองธุรกิจต่างประเทศ ให้แก่ผู้ประกอบการในโครงการ รวมถึงการ Live Streaming ผ่านสื่อออนไลน์ของกรมฯ ขณะเดียวกันยังได้จัดกิจกรรมจำลองการเจรจาการค้าระหว่างประเทศเสมือนจริง (Role Play) ให้ผู้ประกอบการได้ฝึกซ้อมเสมือนจริง เพื่อเตรียมความพร้อมในการทำกิจกรรม Online Business Matching ที่จะเกิดขึ้นจริง พร้อมกันนั้นยังได้เพิ่มทักษะการนำเสนอแบรนด์และสินค้าในรูปแบบ 'Elevator Pitch' ซึ่งเป็นเทคนิคการนำเสนอแบรนด์หรือสินค้าให้จับใจผู้ฟังในช่วงเวลาอันสั้น ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค ให้เกิดการติดตาม การซื้อ หรือการใช้บริการ อันเป็นทักษะการเสนอขั้นสูงที่มีความจำเป็นมากในปัจจุบัน"



โดย IDEA LAB FESTIVAL 2021ครั้งนี้ มีผู้ประกอบการร่วมโครงการจำนวน 22 แบรนด์ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มสินค้า คือ กลุ่มสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มสินค้าประเภทสุขภาพและความงาม และกลุ่มสินค้าประเภทไลฟ์สไตล์ ซึ่งทั้งหมดได้ฝึกฝนในห้องเรียนการค้า ก่อนจะพบกับเวทีจริง โดยในวันที่ 10 กันยายน 2564 เวลา 17.00 – 18.00 น. ผู้ประกอบการในโครงการจะได้ร่วม รายการเกมส์โชว์แบบ Live Streaming ทางไทยรัฐ ออนไลน์ ซึ่งจะต้องทำการเสนอขายสินค้าภายในเวลา 2 นาที และมีผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและการค้าระหว่างประเทศร่วมเป็น Commentator เพื่อให้ความเห็นเกี่ยวกับสินค้านั้นๆ ว่า "ปัง"หรือ "แป้ก"

ส่วนในวันที่ 11 กันยายน 2564 เวลา 14.30 - 16.00 น. และวันที่ 12 กันยายน 2564 เวลา 12.30 – 14.00 น. จะจัดให้มีเวทีการค้าจริงอีกเวทีหนึ่งที่น่าสนใจ โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการทั้ง 22 แบรนด์ นำเสนอขายบนแพลตฟอร์มชั้นนำอย่าง Lazada ผ่านการ Live Streaming กับ KOL ที่มีชื่อเสียงของไทย เพื่อให้เกิดการซื้อขายจริง ซึ่งการได้นำเสนอขายสินค้าแก่สมาชิกผู้ติดตามในแพลตฟอร์มลาซาด้าจริงในครั้งนี้ เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้พบกับสถานการณ์จริง รวมถึงเห็นแนวทางในการพัฒนาสินค้าเพิ่มมากขึ้นในอนาคตด้วย

นอกจากนี้แล้ว 'IDEA LAB FESTIVAL 2021' ยังมาพร้อมเวทีสำคัญอีกเวทีหนึ่งที่จะช่วยเปิดโอกาสทางการค้าให้กับผู้ประกอบการไทยในโครงการในครั้งนี้ด้วย นั่นคือ เวทีการเจรจาการค้าผ่านช่องทางออนไลน์กับผู้นำเข้าจากต่างประเทศ หรือ Online Business Matching ที่จะเกิดขึ้นจริง ในวันที่ 14 – 16 กันยายน 2564 นี้ ซึ่งนับเป็นการเปิดประตูบานสำคัญอีกบานหนึ่งสู่การค้าโลก รวมถึงเป็นความหวังที่จะก้าวต่อไปประกาศความสำเร็จบนเวทีโลกของผู้ประกอบการไทยด้วย

มล.คฑาทอง ยังเปิดเผยด้วยว่า 'IDEA LAB FESTIVAL 2021' ครั้งนี้ จัดขึ้นในรูปแบบกิจกรรมออนไลน์ 'ร้อยเปอร์เซ็นต์' พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งเพื่อรับชม รวมถึงร่วมกิจกรรมต่างๆ เพื่อเปิดโอกาสการเรียนรู้ให้กับตนเอง โดยครั้งนี้จัดให้มีการสัมมนาออนไลน์เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ในด้านการค้าระหว่างประเทศยุคใหม่ด้วย ไม่ว่าจะเป็น การสัมมนาหัวข้อเรื่อง การสร้างแบรนด์เพื่อเข้าสู่โมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) โดยคุณจิรชัย ตั้งกิจงามวงศ์ กรรมการผู้จัดการด้านการตลาดวิจัยและพัฒนาบริษัท อุตสาหกรรม ดีสวัสดิ์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและการค้าค้าระหว่างประเทศ ,หัวข้อ สูตรสำเร็จการสร้างแบรนด์ด้วยดิจิตัลแพลตฟอร์มในยุค Next Normore โดยคุณแมรี่ อมรรัตน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เอริส มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เจ้าของแบรนด์ 4U2 และหัวข้อ "พลิกชีวิต SMEsไทย สร้างโอกาสครั้งใหม่ในช่วงวิกฤตโควิด-19 " โดย นายเปรมณัช สุวรรณานนท์ (เป๊ก) ดารา-นักแสดง ผู้มีหัวใจสีเขียวกับปลุกปั้น Green Tourism โครงการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ประกอบการสินค้าเกษตรภาคเหนือ​

ผู้สนใจรับชมกิจกรรมต่างๆ จาก 'IDEA LAB FESTIVAL 2021' สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Fanpage : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ, DitpDesign และ YouTube Channel : DitpDesign
#2803


 เมื่อวันที่ 7 ก.ย.2564 ศ.เกียรติคุณ นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อวันที่ 6 ก.ย.2564ได้มีการหารือกับกลุ่มแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อในเด็กและกุมารแพทย์ที่เกี่ยวข้อง เห็นพ้องถึงการฉีดวัคซีนในเด็กต้องคำนึงถึงความปลอดภัยให้มากที่สุด โดยได้ออกเป็นแถลงการณ์ในนามราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ถึงการฉีดวัคซีนในเด็ก แนะนำให้ฉีดในกลุ่มอายุ 16 ปีขึ้นไปก่อน เนื่องจากเป็นกลุ่มเด็กโตซึ่งมีการติดเชื้อไม่ต่างจากกลุ่ม 18 ปี และส่วนใหญ่จะมีกิจกรรมภายนอกมากกว่ากลุ่มเด็กวัยอื่น

         ส่วน 12-15ปีให้เน้นกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัว เนื่องจากยังไม่มีวัคซีนตัวใดรับรองความปลอดภัยในเด็กได้ 100% จึงมีความเสี่ยงที่จะนำมาฉีดในเด็ก ในต่างประเทศที่ฉีดมีเพียงสหรัฐอเมริกาและแคนาดาซึ่งเป็นการฉีดในภาวะฉุกเฉิน แต่ยังพบเมื่อฉีดไปเป็นแสนรายมีรายงานการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในบางราย แม้ไม่ถึงขั้นเสียชีวิตแต่ระยะยาวจะเป็นอย่างไรไม่มีใครทราบ ส่วนวัคซีนแอสตราเซเนกายังไม่มีใครกล้าลองเพราะกลัวจะมีปัญหาลิ่มเลือดอุดตัน อีกทั้งยังไม่มีข้อมูลงานวิจัยที่ตีพิมพ์เป็นทางการถึงวัคซีนตัวใดที่ฉีดในเด็กแล้วปลอดภัย นอกจากนี้วัคซีนที่จะนำมาฉีดในเด็กก็ต้องผ่านการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อนด้วย 


"การติดเชื้อในเด็กโดยเฉพาะช่วงอายุ 6-12 ปีแม้ป่วยเป็นหมื่นแต่ก็รักษาหายได้ ไม่อยากให้เป็นการสร้างปัญหาให้กับเด็กเพิ่ม เนื่องจากเป็นวัคซีนใหม่ที่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่นอนถึงความปลอดภัย อยากให้คำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดกับเด็กเป็นหลัก โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย ไม่ใช่อยากให้ฉีดเพราะความกลัว ความต้องการ พ่อแม่ฉีดแล้วอยากให้ลูกฉีดด้วย  ทั้งนี้ควรเน้นฉีดผู้ใหญ่ให้ครบก่อน เพราะเด็กก็ติดมาจากผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อจะเปิดโรงเรียน ก็ควรฉีดครู ผู้ดูแล หรือแม้แต่ภารโรง ซึ่งก็ยังฉีดกันไม่ครบ หากผู้ใหญ่ฉีดกันครบก็จะป้องกันเด็กได้"ศ.เกียรติคุณสมศักดิ์กล่าว

        อนึ่ง เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2564 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ออกคำแนะนำการฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับเต็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป (ฉบับที่ 2) ระบุว่า


      ข้อมูลของการติดโรคโควิด-19 ในประเทศไทยในปัจจุบันพบว่าแม้จะพบการติดเชื้อในเด็กอายุน้อยกว่า 18ปีในสัดส่วนที่สูงขึ้น แต่ผู้ป่วยเด็กที่ติดเชื้อโรคโควิด-19 ส่วนใหญ่มักไม่รุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตน้อยมาก และพบการเสียชีวิตเกือบทั้งหมดในเด็กที่มีโรคประจำตัวเรื้อวังที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19 ที่รุนแรง ร่วมกับมีข้อมูลเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 สำหรับเด็กและวัยรุ่นมากขึ้น

        ดังนั้น  ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยจึงมีคำแนะนำเพิ่มเติมในการฉีตวัคชีนโควิด-19 สำหรับเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป ดังต่อไปนี้

- แนะนำให้ฉีดวัคชีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่ได้รับการรับรองให้ใช้ในเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปโดยองค์การอาหารและยาเท่านั้น ซึ่งในขณะนี้ (ณ วันที่ 7 กันยายน 2564) มีเพียงชนิดดียวคือ วัคชีนชนิด mRNA ของ Pfizer-BioNTech

-แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19ในเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 16 ปีจนถึงน้อยกว่า 18ปีทุกรายหากไม่มีข้อห้ามในการฉีด ทั้งเด็กที่ปรกติแข็งแรงดีและที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19 ที่รุนแรง เพราะเป็นกลุ่มอายุที่กำลังเดิบโตเป็นผู้ใหญ่ มีการดำเนินชีวิตใกล้เคียงกับผู้ใหญ่และมีข้อมูลเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคชีนป้องกันโรคโควิด-19 มากเพียงพอ

- สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปจนถึงน้อยกว่า 16ปี แนะนำให้ฉีดวัคซีนในกรณีเป็นผู้ป่วยเด็กกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคเรื้อรัง ซึ่งจะทำให้เกิดโรคโควิด-19 รุนแรง ดังต่อไปนี้

1. บุคคลที่มีโรคอ้วน (คัชนีมวลกายมากกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร หรือ มีน้ำหนัก 70 กิโลกรัมขึ้นไปในเด็กอายุ 12-13 ปี น้ำหนัก 80 กิโลกรัมขึ้นไปในเต็กอายุ 13-15 ปี น้ำหนัก 90 กิโลกรัมขึ้นไปในเด็กอายุ 15-18 ปี หรือเด็กอ้วนที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากภาวะทางเดินหายใจอุดกั้น)

2. โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง รวมทั้งโรคหอบหืดที่มีอาการปานกลางหรือรุนแรง

3. โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง

4. โรคได้วายเรื้อรัง

5. โรคมะเร็งและภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ

6. โรคเบาหวาน

7. กลุ่มโรคพันธุกรรมรวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์ เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแ

เด็กที่มีพัฒนาการช้า

-แนะนำให้งดออกกำลังกายอย่างหนักหรือการทำกิจกรรมอย่างหนักเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ภายหลังจากการฉีดวัดซีน ป้องกันโรคโควิด-19 เนื่องจากมีรายงานการเกิดผลข้างเคียงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ภายหลังการฉีดวัคชีนป้องกันโรคโควิด-19ชนิด mRNA ซึ่งพบในอัตราที่ต่ำมาก

จึงแนะนำให้เด็กและวัยรุ่นทุกราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและวัยรุ่นชายที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ทั้งโดสที่ 1และ 2 ควรงดการออกกำลังกายหรือการทำกิจกรรมอย่างหนักเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ภายหลังจากการฉีดวัคชีน และในเวลาดังกล่าวนี้หากมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก หายใจเหนื่อยหรือหายใจไม่อิ่ม ใจสั่นหน้ามืด เป็นลม ควรรีบไปพบแพทย์ โดยหากแพทย์สงสัยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ควรพิจารณาทำการตรวจค้นเพิ่มเติม

       สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปจนถึงน้อยกว่า 16ปี ที่สุขภาพแข็งแรงดี และในเด็กอายุน้อยกว่า 12 ปี รวมทั้งการฉีดวัคชีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิดอื่นๆ ในเด็ก ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการติคตามผลการศึกษาถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัย ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยจะมีคำแนะนำเพิ่มเติมในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในอนาคตต่อไป
#2804


ดร.กฤษกร สุขเวชชวรกิจ หัวหน้าสาขาการจัดการธุรกิจสุขภาพ วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) กล่าวถึงกระแสรัฐสวัสดิการที่มาแรงในขณะนี้ ระบุว่า จากเหตุผลที่ประเทศไทยยังเป็นประเทศกำลังพัฒนานั้น ย่อมไม่สามารถจัดเก็บภาษีเงินได้ในระดับสูงถึง 50-60% เหมือนประเทศแถบสแกนดิเนเวียหรือกลุ่มประเทศ OECD และจากการเก็บภาษีที่สูงมาก ส่งผลให้คนในประเทศเหล่านั้นได้รับบริการทางสังคมอย่างเท่าเทียม ทั่วถึง และที่สำคัญคือ "ฟรี"

"เราเป็นประเทศกำลังพัฒนา หากต้องเปรียบเทียบ ควรเทียบกับประเทศที่อยู่ในระดับเดียวกันหรือกลุ่มประเทศ ASEAN ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยถือว่ามีโครงสร้างระบบสาธารณสุขที่ดีในระดับหนึ่งแล้ว ย้อนไป 20-30 ปีก่อนหน้านี้ การสาธารณสุขของไทยมีเป้าหมายมุ่งเน้นไปที่การรักษาโรคเป็นหลักเท่านั้น จนกระทั่งปี 2543 องค์การอนามัยโลก (World Health Organization) มีแนวคิดเรื่อง All for Health, Health for All หรือสุขภาพเป็นเรื่องของทุกคน ประเทศไทยจึงเริ่มเปลี่ยนแนวคิดจากเดิมว่าการสาธารณสุขไม่ใช่เพียงการรักษาโรคเท่านั้น แต่รวมถึงการป้องกันโรคและการสร้างเสริมสุขภาพ" ดร.กฤษกร เผย


จนกระทั่งมีการกำหนด พรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ขึ้น หน่วยงานด้านการสาธารณสุขในประเทศไทยจึงเพิ่มจำนวนมากขึ้น อาทิ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นต้น ส่งผลให้คนไทยมีโอกาสได้พบหมอตามสิทธิด้านสุขภาพของแต่ละคน ซึ่งอาจแตกต่างกันไป และได้ตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการมีสุขภาพที่ดีมากขึ้น

หลักการถ้วนหน้า แต่คุณภาพไม่ถ้วนหน้า

ดร.กฤษกร ระบุว่า คนไทยทุกคนมีโอกาสเข้าถึงบริการทางการแพทย์แล้วก็จริง แต่คุณภาพยังมีความเหลื่อมล้ำ ทุกวันนี้ถ้ามีกำลังจ่ายย่อมเลือกไปโรงพยาบาลเอกชนมากกว่า และเรื่องการไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีเป็นอีกหนึ่งปัญหาหลักของระบบสาธารณสุขไทย ซึ่งมีสาเหตุมาจากบุคลากรทางการแพทย์มีจำนวนน้อยและมีการกระจุกตัวในเมืองหลวงสูงจนน่าตกใจ



ปัจจุบันอัตราส่วนแพทย์ต่อประชากรในกรุงเทพมหานคร คือ 1 ต่อ 565 คน  ในขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือ 1 ต่อ 8,375 คน วิธีแก้ไขแบบตรงไปตรงมา คือ เพิ่มหมอและพยาบาลไปในพื้นที่ต่างจังหวัด แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่สามารถทำได้ เนื่องด้วยประชากรวัยทำงานที่ลดลงและความสามารถในการผลิตบุคลากรทางแพทย์มีจำกัด

163052495099

ทางออกที่ดีที่สุดของประเทศไทย ณ ขณะนี้ จึงเป็นการนำเทคโนโลยีมาช่วย เพื่อลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ เพิ่มประสิทธิภาพการรักษา และเพิ่มความสามารถในการนำความช่วยเหลือไปสู่พื้นที่ห่างไกลได้มากขึ้น ในปัจจุบันประเทศไทยได้มีการนำเทคโนโลยีมาช่วยในระบบบริการด้านสุขภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อการเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชนทุกระดับ จะช่วยให้ประชาชนได้รับการดูแลด้านสุขภาพอย่างมีคุณภาพ ไม่เหลื่อมล้ำ และปลอดภัย โดยแบ่งเป็น 4 ระบบกว้าง ๆ ได้ดังนี้

1. ระบบที่ใช้จัดเก็บและบันทึกข้อมูลสุขภาพผู้ป่วย: เวชทะเบียนอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งต่อไปตามโรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อความต่อเนื่องของการรักษา

2. ระบบที่ใช้ในการสื่อสารและติดตามข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วย: ระบบการแพทย์ทางไกล สามารถพูดคุยกันแบบ Real-time (Telemedicine) หรือระบบติดตามดูแลสุขภาพผ่านอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ (Mobile Health) จะช่วยให้ติดตามอาการผู้ป่วยได้แม้อยู่ที่บ้าน และยังช่วยลดปัญหาการครองเตียงลงได้อีกด้วย

3. ระบบการสั่งยาและการบริหารยา: ลดปัญหาความคลาดเคลื่อนทางยา (Medication Error) และการใช้ระบบโลจิสติกส์ร่วมกับคลังยาส่วนกลาง ทำให้ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องไปรับยาที่โรงพยาบาลอีกต่อไป

4. ระบบสนับสนุนด้านการตัดสินใจทางคลินิก: แพทย์ที่ชำนาญเฉพาะทางสามารถช่วยแพทย์ที่อยู่หน้างานตัดสินใจได้ ไม่จำเป็นต้องมีแพทย์เฉพาะทางในทุกพื้นที่ เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ดีขึ้น


จากสถานการณ์การระบาดของ Covid-19 ยิ่งทำให้ประชาชนหันมาใส่ใจสุขภาพ และเว้นระยะห่างทางสังคมมากขึ้น คนส่วนใหญ่จึงนิยมเลือกเข้ารับบริการการรักษาด้วยวิธีที่ทันสมัยมากขึ้น 

"ความมั่นคงทางสุขภาพคือพื้นฐานแรกของการดูแลประชาชน ประเทศไทยอาจไม่ใช่ประเทศร่ำรวยที่จะทำระบบรัฐสวัสดิการได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่เราสามารถสร้างความปลอดภัยและความสุขให้คนในประเทศได้ มองในแง่ดีเรามีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีคุณภาพและมาตรฐานการรักษาที่เข้าขั้นระดับสากล ให้บริการด้วยไมตรี เป็นกันเอง และราคาที่สมเหตุสมผลกว่าประเทศอื่น ๆ นับเป็นจุดแข็งที่เพิ่มโอกาสทางการแข่งขันให้กับประเทศในด้าน Medical Tourism ได้อีกด้วย" 

คุณภาพที่ถ้วนหน้าและเท่าเทียม ต้องใช้องค์ความรู้ที่รอบด้าน

ดร.กฤษกร แสดงความกังวลด้วยว่า หากให้ภาครัฐผลักดันฝ่ายเดียวคงไม่ทันการณ์ เอกชนและคนรุ่นใหม่ควรมีส่วนร่วมผลักดัน แต่เนื่องจากเรื่องเทคโนโลยีสุขภาพเป็นศาสตร์ประยุกต์ คือต้องมีทั้งองค์ความรู้ของวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ การบริหารจัดการ และการวิเคราะห์ข้อมูลบิ๊กดาต้า ผู้ที่ทำงานที่เกี่ยวเนื่องกับด้านนี้จำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง

ทางวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล หรือ CMMU เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเร่งเพิ่มเติมองค์ความรู้ดังกล่าว ด้วยการเปิดหลักสูตรการจัดการมหาบัณฑิต สาขาการจัดการธุรกิจสุขภาพ: Health Business Management (HBM) หลักสูตรนี้สามารถเรียนได้ตั้งแต่ผู้บริหาร ผู้ประกอบการ Startup หรือบุคคลที่ทำงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับสุขภาพทั้งหมด ตัวอย่างวิชาที่เปิดสอน อาทิ วิชา Managerial Decision Strategy โดยใช้หลักการพยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Futuristic Thinking) เตรียมกลยุทธ์รับมือในแต่ละสถานการณ์ และใช้กระบวนการตัดสินใจที่ละเอียดอ่อนกว่าธุรกิจปกติทั่วไป


เนื่องด้วยความเสี่ยงที่อาจเกิดอันตรายถึงชีวิต วิชา Logistics and Supply Chain Management for Healthcare Business จะช่วยลดความไม่เท่าเทียมกันของการรับบริการทั้งระบบลงได้ เพราะห่วงโซ่ที่มีประสิทธิภาพย่อมทำให้ต้นทุนการบริการทางการแพทย์ลดลง

ขณะที่วิชา Healthcare Business Analytics and Data Science จะช่วยให้คนไทยทุกคนมีตัวตนในระบบสุขภาพอย่างแท้จริง ไม่ได้แค่มีชื่อในระบบ แต่สามารถติดตามผลรายบุคคลและนำมาสู่การวางแผนป้องกันด้านสาธารณสุขระดับประเทศ ก่อนที่จะเกิดวิกฤตสุขภาพเกิดขึ้นอีกในอนาคต
#2805
ทานข้าวกล้องปลอดสารเคมีตัวช่วยคุณแม่ตั้งท้อง ข้าวโภชนาการสูง
ข้าวกล้องอินทรีย์ตัวช่วยของคุณแม่ตั้งครรภ์ข้าวอินทรีย์แท้สุรินทร์    ข้าวปลอดสารพิษส่งทั่วไทย การรับประทาน "#ข้าวกล้อง" ( ข้าวปลอดสารพิษสุรินทร์) นอกจาก  ปลูกข้าวกล้องหอมมะลินิลออแกนิค จะส่งผลดีโดยตรงต่อคุณแม่ตั้งครรภ์แล้วยังส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์อีกด้วย ข้าวกล้องออแกนิคถือเป็นหนึ่งในอาหารกลุ่มให้พลังงานต่อร่างกายในการใช้พลังงานต่อวันของเรา คุณแม่ตั้งครรภ์ยังมีความต้องการสารอาหารจาก   ข้าวหอมมะลิเกษตรอินทรีย์  ที่มากกว่าคนปกติ เพราะต้องน้ำสารอาหารที่จำเป็นหลายๆส่วนไปใช้ในการสร้างพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์   ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิกถือเป็นตัวช่วยที่ดีมากๆ อีกตัวช่วยหนึ่ง เนื่องจาก ข้าวกล้องเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี จึงยังคงไว้ด้วยคุณค่าสารอาหารมากกว่าขาวที่ถูกขัดสี มีจมูกข้าว มีเยื่อหุ้มข้าว มีกาบา ซึ่งมีและสารอาหารต่างๆครบ ทั้งโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ ซึ่งมีอะไรบ้างมาดูกัน..




1. ปัญหาหลักของคุณแม่ตั้งครรภ์ คือ ภาวะท้องผูก ข้าวกล้องมีเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในเรื่องของอาการท้องผูกและมะเร็งลำไส้ได้เป็นอย่างดี
ปัญหาต่อมา คุณแม่ตั้งครรภ์ชอบเป็นตะคริว เมื่อคุณแม่รับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันการเกิดปากนกกระจอก เนื่องจากมีวิตามินบี 2 บรรเทาอาการอ่อนเพลีย อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ
2. นอกจากคุณแม่จะทานยาที่คุณหมอให้สริมธาตุเหล็กมา ข้าวกล้องยังมีธาตุเหล็กมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง จาก  ปลูกข้าวปะกาอำปึลออแกนิค
3. ในข้าวกล้อง  ปลูกข้าวมะลินิลอินทรีย์ มีฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน และเส้นผมของลูกและคุณแม่ที่ผมร่วงบ่อย
4. ใน กลุ่มข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์ มีแคลเซียมจำเป็นที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง และยังช่วยป้องกันการเกิดตะคริว ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์กว่า 90% ต้องเผชิญ ป้องการให้คุณแม่ไม่เป็นโรคกระดูกพรุนเมื่ออายุมากขึ้นอีกด้วย
5. ในข้าวกล้องมีไขมันที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ในข้าวกล้องเป็นไขมันดีที่ไม่มีคอเลสเตอรอล (Cholesterol)
6. ในข้าวกล้องมีเกลือแร่ และวิตามินรวมกันกว่า 20ชนิด ซึ่งช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
7. ใน  กลุ่มข้าวกล้องหอมมะลินิลอินทรีย์ มีโปรตีนมากกว่า 20-30% ช่วยเสริมสร้างร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ
8. ในข้าวกล้องแป้งมีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน ส่วนคนที่ผอมก็แข็งแรงยิ่งขึ้น เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น มีผลทำให้สุขภาพจิตใจของคุณแม่ตั้งครรภ์ดีขึ้น เพราะสุขภาพร่างกายแข็งแรง สดชื่น แจ่มใส

เห็นไหมว่าข้าวกล้อง เช่น  ข้าวไรซ์เบอรี่ออแกนิค มีคุณค่าและสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายคุณแม่และคุณลูกมากแค่ใหน เวลาเลือกซื้อข้าวกล้อง อย่าลืมเลือกซื้อข้าวกล้องอินทรีย์ เพราะทุกกระบวนการผลิตไม่มีการใช้สารเคมีดีต่อสุขภาพคุณแม่และคุณลูกอย่างปลอดภัย

เพื่อความมั่นใจถึงความเป็นข้าวออร์แกนิค   ข้าวไรซ์เบอรี่ออร์แกนิค  ที่แท้จริงของเรา
ข้าวฮอร์ (HOR)   การปลูกข้าวอินทรีย์
ได้รับมาตรฐาน
1. ใบรับรองมาตรฐานข้าวอินทรีย์ ( Organic Thailand)
2. ใบรับรองเครื่องหมาย "ข้าวพันธุ์แท้" จากกรมการข้าว จาก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในประเภทของ
2.1 ข้าวขาวดอกมะลิ 105 (ข้าวขาว)
2.2 ข้าวขาวดอกมะลิ105 (ข้าวกล้อง)
2.3 ข้าวมะลินิลสุรินทร์

ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์   ข้าวอินทรีย์ไทยมีราคาแพง   สถานการณ์ข้าวอินทรีย์ไทย
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website :  ข้าวหอมมะลิอินทรีย์
Facebook : ข้าวออร์แกนิค
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique การปลูกข้าวออร์แกนิค  เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ1.  ข้าวหอมมะลิสุขภาพ
2.  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิ
3.  ข้าวปะกาอำปึลเกษตรอินทรีย์ (#ข้าวพื้นถิ่นสุรินทร์)
4.ข้าวผสมห้าสายพันธุ์อินทรีย์
5.  ข้าวหอมมะลิแดงปลอดสารพิษ
6.  ข้าวกล้องมะลินิลอินทรีย์
7.  ข้าวไรซ์เบอร์รี่ออแกนิก

ข้าว Hor พร้อมขายแล้วที่ Shopee & Lazada
https://shopee.co.th/hor.boutique
https://www.lazada.co.th/shop/horboutique/

#ข้าวกล้องอินทรีย์ตัวช่วยของคุณแม่ตั้งครรภ์ #ข้าวกล้องสำหรับคนท้อง #ข้าวกล้องสำหรับคุณแม่ตั้งครภ์ #คนท้อง #ตั้งครรภ์ #ตั้งท้อง

 

 

 

 

 
 
#2806



เว็บไซต์ japantimes.co.jp รายงานว่า ประเทศและภูมิภาคต่างๆ 34 แห่งได้เริ่มรับรองวัคซีนพาสปอร์ตของญี่ปุ่นแล้วในสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งรวมถึงแคนาดา, ฝรั่งเศสและสิงคโปร์ โดยจะยกเว้นข้อจำกัดในการเดินทางเข้าประเทศให้กับผู้เดินทางที่ถือวัคซีนพาสปอร์ตของญี่ปุ่น
อ่านข่าว : ภาคธุรกิจญี่ปุ่นเรียกร้องรัฐบาลยกเลิกมาตรการกักตัว
 


ด้านแคนาดาจะยกเว้นให้ผู้ที่ถือวัคซีนพาสปอร์ตของญี่ปุ่นไม่ต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 และไม่ต้องทำการกักตัวเมื่อเดินทางเข้าประเทศ ขณะที่ฝรั่งเศสจะยกเว้นให้ผู้ถือวัคซีนพาสปอร์ตไม่ต้องยื่นผลตรวจเชื้อที่เป็นลบภายใน 72 ชม.ก่อนการเดินทาง และจะยอมรับวัคซีนพาสปอร์ตหลังจากที่ฉีดวัคซีนเข็มสองไปแล้ว 1 สัปดาห์ โดยจะต้องเป็นวัคซีนของไฟเซอร์, โมเดอร์นา หรือแอสตร้าเซนเนก้า


รายงานระบุว่า ประชาชนญี่ปุ่นสามารถยื่นขอวัคซีนพาสปอร์ตจากเขตเทศบาลของตนเอง ซึ่งจะเป็นใบรับรองที่ยืนยันว่า ผู้ถือนั้นได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ครบโดสแล้ว

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ถือวัคซีนพาสปอร์ตยังคงต้องปฏิบัติตามมาตรการกักตัวเมื่อเดินทางกลับเข้าญี่ปุ่น โดยไม่มีข้อยกเว้นแต่อย่างใด

ประชาชนทุกคนไม่ว่าจะได้รับวัคซีนครบโดสแล้วในญี่ปุ่นหรือในต่างประเทศ ยังคงต้องทำการกักตัวแยกต่างหากเป็นเวลา 14 วัน และต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เมื่อเดินทางถึงญี่ปุ่น รวมทั้งยังถูกห้ามไม่ให้ใช้ระบบขนส่งสาธารณะ และบริการรถแท็กซี่ด้วย
#2807


เมื่อธุรกิจคอร์สเรียนออนไลน์ในปัจจุบันมีการแข่งขันสูง สิ่งที่ผู้บริโภคมองหาไม่ใช่เพียงแค่คอร์สเรียนอย่างเดียว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้ตัวคอร์สเรียนนั้นก็คือ "ความคุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไป" ผู้บริโภคจะมองว่า หลังจากซื้อคอร์สไปแล้วจะได้รับอะไรกลับมา ในครั้งนี้เราได้มีโอกาสพูดคุยกับทีมงาน ENGNOW สถาบันสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ กับเคล็ดลับการเติบโตของธุรกิจที่น่าสนใจ

คุณโหน่ง-กิตติคุณ ธนภัทรเจริญกิจ ตำแหน่ง Sale Director สถาบันสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ ENGNOW โดยคุณโหน่งกล่าวว่า "ในด้านการขาย ตอนนี้มีทีมงานกว่า 50 คนที่ Work from Anywhere ทุกคนสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ที่สบายใจ เลือกสภาพแวดล้อมการทำงานเองได้ตามไลฟ์สไตล์เพื่อให้เขาทำงานได้ออกมาดีที่สุด เรามีหน้าที่คิดแคมเปญโปรโมชั่นต่างๆออกมาให้ดี เพื่อให้ทีมขายทำงานง่ายขึ้น กำหนดทิศทาง กำหนด KPI ของทีม เราทำงานกับ DATA ตั้งแต่ขั้นวางแผน เราวิเคราะห์เหตุผลที่ลูกค้าซื้อ หรือเหตุผลว่าทำไมลูกค้าไม่ซื้อ เราเอาข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับกลับมาปรับแผน และวางแผนต่ออย่างรวดเร็วเพื่อให้กลยุทธ์การขายของเราดีขึ้น ในเรื่องของการประเมินผลทีมงาน เรามองว่าการทำยอดให้ถึงไม่ใช่ KPI เดียวที่เราจะวัด แต่เรามองลึกไปถึงทัศนคติของตัวบุคคลในการทำงาน ปัญหาที่ทีมเจอ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสุขภาพ ปัญหาส่วนตัว เรายินดีรับฟังและเข้าใจมากๆ ถ้าเป็นปัญหาที่เกิดจากการทำงาน เราจัดให้มีนักจิตวิทยาเข้ามารับฟังปัญหาที่เขาเจอ และให้คำแนะนำเบื้องต้นเพื่อเป็นอีกเครื่องมือทีสามารถช่วยเขาได้ ฉะนั้นเรากล้าพูดเลยว่า ยอดขายไม่ใช่สิ่งเดียวที่เราต้องการ คุณภาพชีวิตของทีมงานคือสิ่งที่เราให้ความสำคัญไม่แพ้กัน ยอดขายเราจึงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับการเติบโตของทีมเราอย่างเห็นได้ชัดครับ"



คุณนาว ปกรณ์ พรหโมปกรณ์ Human Resources สถาบันสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ ENGNOW ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรมการทำงานของคนในองค์กร ENGNOW ว่า "ที่นี่การทำงานของเราค่อนข้างเป็นสมัยใหม่ครับ พวกเราทำงานกันแบบพี่น้อง ไม่ว่าจะอายุเท่าไร เราเคารพและให้ความเท่าเทียมกับทุกคนในการทำงาน เราค่อนข้างรับฟังกันมากๆ ไม่ว่าจะเป็นไอเดียเล็กน้อยอย่างไร เราให้ความสำคัญกับทุกไอเดียจากทุกคนเลย เพราะเราเชื่อว่าจุดเล็กๆอาจทำให้องค์กรเราพัฒนาและเติบโตได้ไม่แพ้กัน"

"ผมเห็น ENGNOW ตั้งแต่เรามีกันไม่กี่คน จนตอนนี้เรามีทีมงานมากมาย ความตั้งใจตั้งแต่วันแรกของพวกเราจนถึงวันนี้ยังเต็มที่เหมือนเดิม ทัศนคติในการทำงาน ความจริงใจ และความเต็มที่ของทีมงานทุกคน ผมเชื่อว่านี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ENGNOW เติบโตอย่างรวดเร็วมาจนถึงวันนี้ครับ" คุณนาวกล่าวปิดท้าย
#2808


การแข่งขันแบดมินตัน กีฬา 'พาราลิมปิก โตเกียว 2020' ที่โยโยกิ เนชั่นแนล สเตเดี้ยม กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 4 กันยายน เป็นการแข่งขันรอบรองชนะเลิศ และชิงชนะเลิศบางประเภท ซึ่งมีนักแบดมินตันไทย ผ่านเข้าสู่รอบตัดเชือก 3 ประเภทจาก ประเภทหญิงเดี่ยว คลาส WH 1 'ปุ๊' สุจิรัตน์ ปุกคำ พบ ฉาง จิง จากจีน / หญิงคู่ คลาส WH สุจิรัตน์ ปุกคำ - อำนวย เวชวิฐาน ดีกรีแชมป์โลกจะได้แก้มือเจอกับ ซารินะ ซาโตมิ - มูมะ ยามาซากิ จากญี่ปุ่น หลังจากแพ้มาในรอบแบ่งกลุ่ม / ชายคู่ คลาส WH จักรินทร์ หอมหวน - ดำเนิน จันทร์ทอง จะพบกับ คิม จุง จุน - ลี ดอง ซุป จากเกาหลีใต้

ไฮไลท์อยู่ที่ คู่ชิงชนะเลิศ ประเภทหญิงเดี่ยว คลาส WH 1 สุจิรัตน์ ปุกคำ นักแบดมินตันสาววัย 35 ปีชาว จ.เชียงรายมือวางอันดับ 2 ที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศมาได้ หลังเอาชนะ ฉาง จิง จากจีน ในรอบรองชนะเลิศ 2-0 เกม 21-11, 21-7 โดยเข้าไปพบกับ ซารินะ ซาโตมิ มือวางอันดับ 1 ของรายการจากญี่ปุ่น ที่เอาชนะ หยิน เม็ง หลู่ จากจีน 2-0 เกม 21-18, 21-18 ในรอบรองชนะเลิศ

สถิติคู่นี้เคยเจอกันมาทั้งหมด 4 ครั้ง 2 ครั้งแรกเป็น ซาโตมิ เอาชนะไป แต่ 2 ครั้งหลังสุดที่เจอกันเมื่อปี 2019 สุจิรัตน์ เอาชนะได้ทั้ง 2 ครั้ง โดยหนล่าสุดที่เจอกันคือ การเทสต์อีเว้นต์พาราลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียว เมื่อปี 2019 ซึ่งสุจิรัตน์ เอาชนะไป 2-0 เกม

เกมแรก สุจิรัตน์ ออกสตาร์ทดีกว่านำห่าง 7-3 ตบสาวไทยยิ่งเล่นยิ่งมั่นใจทั้งการตบ การหยอด การเซฟท้ายคอร์ตทำให้ทิ้งห่าง 11-4 นักตบลูกขนไก่สาวไทย ยังคงสถานการณ์ไว้ได้หมดนำห่าง 14-6 จากนั้นสุจิรัตน์ เริ่มตีผิดพลาดเองโดนไล่มา 10-14, 13-16 ก่อนที่สุจิรัตน์ จะปิดเกมแรกเอาชนะไปก่อน 21-14 ขึ้นนำ 1-0 เกม

เกมที่สอง สุจิรัตน์ เริ่มตีผิดพลาดเองหลายครั้งทำให้ตามหลังห่าง 5-10 คะแนน ก่อนจะเบรกครึ่งเกมแรกสาวไทยตามหลัง 7-11 ก่อนจะไล่มา 9-13, 12-15 และจี้มา 13-15, 14-15 และมาเสมอกัน 15-15 สุจิรัตน์แซงนำ 16-15, 17-15 ชนิดสะใจกองเชียร์ชาวไทยในสนาม และได้มาอีกแต้มนำ 18-15 แต่สาวญี่ปุ่นไม่ยอมง่ายๆ ไล่มา 18-18 แต่ ซาโตมิ พลิกกลับมาแซงนำ 19-18, 20-18 ก่อนที่ซาโตมิ ปิดเกมเอาชนะไป 21-19 ทำให้เสมอกัน 1-1 เกม

ต้องตัดสินหาผู้ชนะในเกมตัดสิน สุจิรัตน์ออกนำก่อน 2-1 ก่อนจะมาเสมอกัน 2-2 และมาเสมอกัน 5-5 และ 7-7 และสุจิรัตน์ มีอาการปวดที่แขนขวาทำให้ตีเสียเองบ่อยครั้งตามหลัง 7-10 และจบครึ่งเกมของเกมตัดสินตามหลังอยู่ 8-11 ออกมาสู้กันใหม่สุจิรัตน์ โดนทิ้งห่าง 13-11 และ 15-11 และสุดท้ายสุจิรัตน์ที่มีทั้งอาการบาดเจ็บรบกวนและอ่อนแรงพ่ายไป 13-21

สรุป สุจิรัตน์ พ่าย ซาโตมิ 1-2 เกม 21-14, 19-21 และ 13-21 คว้าเหรียญเงินไปครอง

นอกจากนี้สุจิรัตน์ ปุกคำ ยังลงแข่งขันประเภทหญิงคู่ คลาส WH รอบรองชนะเลิศ จับคู่กับ อำนวย เวชวิฐาน ซึ่งทั้งคู่แบกดีกรีแชมป์โลก 2015 ที่อังกฤษ ลงสนามพบกับ ซารินะ ซาโตมิ - มูมะ ยามาซากิ จากญี่ปุ่น โดยในรอบแบ่งกลุ่มคู่ของสาวเจ้าภาพเคยเอาชนะคู่สาวไทยมาแล้ว ผลปรากฏว่า คู่สาวไทย โดนย้ำแค้นพ่ายไปอีก 0-2 เกม 17-21, 16-21 ทำให้หญิงคู่ของไทยต้องไปชิงเหรียญทองแดง โดยพบกับ ซินเธีย มาเตซ์ - การิน ซูเตอร์ เอราธ หญิงคู่จากสวิตเซอร์แลนด์ ในวันที่ 5 กันยายน

ส่วนประเภทสุดท้าย ชายคู่ คลาส WH รอบรองชนะเลิศ จักรินทร์ หอมหวล จับคู่กับ ดำเนิน จันทร์ทอง พบกับ คิม จุง จุน - ลี ดอง ซุป จากเกาหลีใต้ ผลปรากฏว่า คู่หนุ่มไทยพยายามสู้เต็มที่แต่ต้านความแกร่งของคู่จากเกาหลีใต้ไม่ไหวพ่ายไป 0-2 เกม 18-21, 13-21 ต้องไปเล่นชิงเหรียญทองแดงพบกับ ไดกิ คาจิวาระ - ฮิโรชิ มูระยาม่า ชายคู่ของ 'เจ้าภาพ' ญี่ปุ่น ในวันที่ 5 กันยายนเช่นกัน

สำหรับ 'ปุ๊' สุจิรัตน์ ปุกคำ เกิดเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2529 ปัจจุบันอายุ 35 ปี เป็นชาว จ.เชียงราย โดยตอนอายุ 15 ปีสุจิรัตน์โชคร้ายเกิดอาการเจ็บป่วยด้วยภาวะลิ่มเลือดทับไขสันหลังรักษาไม่ได้จนเป็นเหตุให้สูญเสียขาทั้ง 2 ข้างตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้ว่าเธอจะเสียขาทั้ง 2 ข้างไปแต่ด้วยความพยายามและรักในการเล่นแบดมินตัน ทำให้เธอมุ่งมั่นตั้งใจฝึกซ้อมแบดมินตันกระทั่งประสบความสำเร็จติดทีมชาติครั้งแรกเมื่อปี 2552 และก้าวไปครองบัลลังก์แชมป์โลกประเภทหญิงคู่ จับคู่กับ อำนวย เวชวิฐาน ในปี 2015 ที่ประเทศอังกฤษ

จากการคว้าเหรียญเงินของ 'ปุ๊' สุจิรัตน์ ปุกคำ ทำให้เธอจะได้รับเงินรางวัลตอบแทนความสำเร็จจากรัฐบาลไทยผ่านทางกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ตามหลักเกณฑ์ โดยมีสิทธิ์เลือกรับเงินรางวัล 2 เงื่อนไขตามที่กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติระบุในประกาศ เงื่อนไขแรก เหรียญทอง จะได้รับเงินอัดฉีด 7,200,000 บาท, เหรียญเงิน 4,800,000 บาท และเหรียญทองแดง 3,000,000 บาท โดยเงื่อนไขนี้จะแบ่งจ่าย ซึ่งจ่ายเป็นก้อนให้นักกีฬาก่อนในอัตราร้อยละ 50 ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 50 จะจ่ายเป็นรายเดือน ภายในระยะเวลา 4 ปี ส่วนเงื่อนไขที่สอง จ่ายครั้งเดียวเป็นก้อนเดียว แต่จะได้รับในอัตราที่น้อยลง โดยเหรียญทองจะได้รับเงินรางวัลทั้งสิ้น 6,000,000 บาท, เหรียญเงิน 4,000,000 บาท และเหรียญทองแดง 2,500,000 บาท
#2809


นายวราวุธ นาถประดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานปฏิบัติการ บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย)  จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า จากผลกระทบโรคโควิด-19 ระบาด ส่งผลกระทบต่อธุรกิจการส่งพัสดุทั้งเชิงบวกและเชิงลบ โดยเฉพาะด้านสุขอนามัยของพนักงานและลูกค้า บริษัทจึงต้องเพิ่มมาตรการดูแลความปลอดภัยทั้งศูนย์กลางคลังสินค้าหรือฮับดีซี จุดรับส่งพัสดุต่างๆ หน้าร้านต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจในการบริการ รวมถึงการป้องกันไม่นำเชื้อไวรัสไปสู่ลูกค้า 

นอกจากนี้ การระบาดของไวรัสทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคหันมาชอปปิงออนไลน์ อีคอมเมิร์ซมากขึ้น บริษัทจึงต้องขยายธุรกิจให้ทันความต้องการที่พุ่งสูงขึ้น ด้วยการเพิ่มสปีดในการขยายฮับการส่งพัสดุให้เกิดภายใน 1 เดือน จากปกติใช้เวลา 3 เดือนจึงจะแล้วสร็จ โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีหลัง แนวโน้มชอปปิงอีคอมเมิร์ซจะบูมต่อเนื่อง เพราะเป็นไฮซีซั่นที่มาร์เก็ตเพลสยักษ์ใหญ่จะจัดมหกรรมลดราคา เช่น 9 เดือน 9, 10 เดือน 10 และ 11 เดือน 11 เป็นต้น 

"เทศกาล 9.9 หรือ 10.10 ทำให้ผู้บริโภคชอปปองอีคอมเมิร์ซมากขึ้น เราต้องเร่งขยายกำลังการรับส่งพัสดุให้ทันความต้องการ"  

นอกจากนี้ กลยุทธ์การขยายธุรกิจช่วง 4 เดือนสุดท้าย จะเห็นบริการใหม่ๆตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น เช่น เคอรี่ คูล การขนส่งสินค้าบริการแบบควบคุณอุณหภูมิ จะเปิดตัวไตรมาส 4 ปัจจุบันอยู่ระหว่างจับมือพันธมิตรพัฒนาธุรกิจ และเคอรี่ แอลทีแอล(LTL) การส่งสินค้าที่มีน้ำหนักมากและขนาดใหญ่(เบาท์) เกิน 30 กิโลกรัม(กก.)ขึ้นไป เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆมากขึ้น  

ด้านนายอิศรินทร์ ภัทรมัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการลงทุน บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย)  จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า บริษัทยังย้ำกลยุทธ์เดิม EXPRESS ในการขยายธุรกิจผลักดันการเติบโต ได้แก่ E: Express มุ่งรักษาการเป็นผู้นำในธุรกิจหลักคือการส่งพัสดุให้แข็งแกร่ง รับตลาดอีคอมเมิร์ซ ชอปปิงออนไลน์ โซเชียลคอมเมิร์ซโตแรง P:Partnership ผนึกพันธมิตรสร้างโมเดลธุรกิจให้เกิดการ win-win ทุกฝ่าย R:Retail ยึดลูกค้ารายย่อยเป็นศูนย์กลางหรือ 2C ทั้งธุรกิจร้านค้าไปสู่ลูกค้า(B2C) และการส่งพัสดุจากบุคคลถึงบุคคล(C2C) ถือเป็นสัดส่วนลูกค้าใหญ่รวม 98% ขณะที่ลูกค้าภาคองค์ธุรกิจ(B2B)มีเพียง 2% เท่านั้น 


E:Expansion ขยายขอบเขตธุรกิจทั้งแนวราบและดิ่ง หาสิ่งที่ซีนเนอร์ยีธุรกิจหลัก ต่อจิ๊กซอว์ธุรกิจใหม่ ซื้อกิจการ เพิ่มมูลค่าธุรกิจ S:System นำเทคโนโลยีพัฒนาบริการตอบสนองลูกค้า และ S:Sustainability ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความยั่งยืนรอบด้าน  

นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าสร้างความหลากหลายให้ธุรกิจหรือไดเวอร์ซิไฟ เพื่อกระจายความเสี่ยง ที่ผ่านมามีการเปิดตัวเคอรี่มีเดีย ใช้พื้นที่รถ หน้าร้าน คลังสินค้า เพื่อสื่อสารการตลาด โปรโมทสินค้าให้พันธมิตร มีเคอรี่ แคนเซลล์(Kerry Can-sell) เป็นช่องทางจำหน่ายสินค้า ช่วยสร้างรายได้ให้บริษัท 

ล่าสุด จะเปิดตัวเคอรี่ คูล ในไตรมาส 4 รองรับการส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิ เจาะตลาดสินค้าเกษตร เครื่องดื่ม อาหาร และผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรู ซึ่งลูกค้ามีความต้องการสูง ทำให้แนวโน้มการเติบโตมีมาก รวมถึงการเปิดตัวเคอรี่ แอลทีแอล บริการสินค้าที่มีน้ำหนักมากเกิน 30 กก.ขึ้นไป ต้องการพื้นที่มากในการขนส่งสินค้า เช่น เฟอร์นิเจอร์ วัสดุก่อสร้าง สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ 

"ทั้ง 2 บริการ ตลาดมีความต้องการสูงมาก แต่ผู้เล่นยังกระจัดกระจาย ไม่มีใครเป็นผู้นำตลาดอย่างชัดเจน ไม่มีบริการครอบคลุมทุกพื้นที่ ส่วนด้านบริการที่มียังไม่ตอบโจทย์ หรือแก้ Pain point ให้กับลูกค้าได้ เราจึงนำประสบการณ์ด้านเอ็กซ์เพรสหรือส่งพัสดุกว่า 15 ปี มาต่อยอดตลาด เพราะมองว่ามีศักยภาพมหาศาล"   

นอกจากนี้ จะเปิดตัวเคอรี่ วอลเล็ท เพื่อเชื่อมต่อระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ทั้ง ระบบคิวอาร์โค้ด บัตรแรบบิท บัตรเดบิต เครดิตการ์ด ฯ ตอบไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคและปูทางสู่สังคมไร้เงินสด(Cashless)เต็มขั้น ซึ่งบริการดังกล่าวจะเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทในแง่การสร้างความจงรักภักดี สร้างความสัมพันธ์ที่ดี และการจัดลอยัลตี้โปรแกรมให้ฐานลูกค้ามีกว่า 10 ล้านราย ซึ่งเป็นกลุ่มที่แอ๊คทีฟ รวมถึงข่วยต่อยอดการชำระค่าบริการของเคอรี่ทั้งการจัดเก็บเงินปลายทาง(COD) เชื่อมอีโคซิสเทมของบริษัทให้แกร่งขึ้น

ด้านผลประกอบการครึ่งปีแรกบริษัทส่งพัสกุกว่า 166 ล้านชิ้น เติบโต 10.8% ส่วนรายได้รวมกว่า 8,800 ล้านบาท กำไรสุทธิกว่า 638 ล้านบาท
#2810


คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยอดนักเตะซูเปอร์สตาร์ชาวโปรตุเกส เดินทางกลับมาที่อังกฤษอีกครั้ง ในฐานะนักเตะของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังเซ็นสัญญากลับมาเล่นกับทีมที่ปลุกปั้นให้เป็นยอดแข้งระดับโลกเป็นหนที่สอง

หลังถูกปล่อยตัวจากแคมป์ทีมชาติโปรตุเกสเพราะติดโทษแบนลงสนาม อาเซอร์ไบจาน คัดเลือกฟุต.โลก วันที่ 7 กันยายนไม่ได้แล้ว โรนัลโด้ ก็เก็บของบินมาลงที่สนามบินแมนเชสเตอร์ อังกฤษ โดยมี ดาร์เรน เฟลทเชอร์ เพื่อนเก่าที่ตอนนี้ทำงานฝ่ายเทคนิคมาต้อนรับ

โรนัลโด้ กลับมาเล่นให้ แมนฯยู เป็นคำรบที่สองเมื่อ 'ผีแดง' ซื้อตัวกลับไปจาก ยูเวนตุส ก่อนตลาดซัมเมอร์ปิดตัวลง และถูกคาดหมายว่าจะเปิดตัวลงเล่นนัดแรกเจอ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด วันที่ 11 กันยายนนี้

นอกจากนี้ 'CR7' ได้จับจองแมนชั่นสุดหรูราคาหลายล้านปอนด์ เพื่อเป็นที่พำนักใหม่เรียบร้อยแล้ว รวมถึงภรรยากับครอบครัว ก็เดินทางมาที่อังกฤษล่วงหน้าแล้วเช่นกัน
#2811


นักวิเคราะห์ของ JPMorgan Chase เตือนลูกค้าว่าดูเหมือนฟองสบู่ตลาดคริปโตเคอเรนซีปริใกล้แตกแล้ว หลังจากที่ตลาดซื้อขายในเดือนสิงหาคมเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งปริมาณการซื้อขายในตลาดสปอตนั้นทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์อีกครั้ง

Huay cryptocorenews รายงานถึง บทสรุปคำแนะนำการลงทุนที่ส่งถึงลูกค้าภายในตลาด ซึ่งกล่าวอ้างนักวิเคราะห์ของ JP Morgan ว่าการประเมินมูลค่าของตลาด crypto โดยเฉพาะ altcoins และ NFT นั้นสูงเกินพื้นฐานจริงไปแล้ว

"ตามมาตรฐานทางประวัติศาสตร์ ส่วนแบ่งของ altcoins ดูเหมือนจะค่อนข้างสูง ในมุมมองของเรา สิ่งนี้มีแนวโน้มที่จะสะท้อนถึงฟองสบู่และความคลั่งไคล้ของนักลงทุนรายย่อยมากกว่าที่จะสะท้อนถึงแนวโน้มขาขึ้นเชิงโครงสร้าง"

นักวิเคราะห์ของธนาคารตั้งข้อสังเกตว่าตอนนี้ธุรกรรม altcoin คิดเป็นประมาณ 33% ของตลาด cryptocurrency ทั้งหมด เพิ่มขึ้นจาก 22% ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม

แม้ว่าผู้ค้าสกุลเงินดิจิทัลจำนวนมากพอใจกับราคาที่เพิ่มขึ้น แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของความสนใจ ที่เห็นได้ชัดอาจไม่เพียงพอที่จะรักษาไว้ได้เป็นเวลานาน

นักวิเคราะห์ยังเน้นย้ำถึงกระแสสุทธิของการลงทุนรายย่อยเข้าสู่หุ้นสหรัฐ ด้วยความช่วยเหลือของผู้ค้ารายวันที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Reddit ซึ่งการไหลเข้าลงทุนสุทธิ ณ เดือนสิงหาคมอยู่ที่ 13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากทำสถิติสูงสุดที่ 16 พันล้านดอลลาร์ในเดือนกรกฎาคม โดยพวกเขาเชื่อว่าความคลั่งไคล้ในการซื้อได้แพร่กระจายไปยัง NFT, DeFI และแพลตฟอร์มสัญญาอัจฉริยะ รวมถึง Solana, Binance Coin และ Cardano

ขณะที่นักลงทุนสปอตได้ผลักดัน altcoins หลักหลายตัวให้อยู่เหนือระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งก่อน จากข้อมูลจาก CoinMarketCap ระบุว่า Cardano (ADA) มีราคาซื้อขายที่มากกว่า $3 เป็นครั้งแรก ในขณะที่ Solana (SOL) เพิ่มขึ้นมากกว่า 400% ตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม

นอกจากนี้การที่เหรียญ Bitcoin ดีดตัวขึ้นเหนือ 50,000 เหรียญสหรัฐเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่พฤษภาคม 2564 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งเช่นกัน

ในเวลาเดียวกัน OpenSea ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาด NFT ที่ใหญ่ที่สุด เห็นปริมาณการซื้อขาย ตั้งแต่ต้นปี 2564 ถึงปริมาณธุรกรรมบนแพลตฟอร์มเพิ่มขึ้นมากกว่า 76,000% จากข้อมูล ของ Dune Analytics ณ วันที่ 31 สิงหาคม ปริมาณธุรกรรมเกินเรดาร์แอปพลิเคชัน US$4

ทั้งนี้จากข้อมูลของ Dune Analytics ปริมาณธุรกรรมของโทเค็น DeFi ในเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้น 152% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ทำให้ปริมาณธุรกรรมรวมมากกว่า 11 พันล้านดอลลาร์ หลายแพลตฟอร์มการซื้อขายและข้อตกลง DeFi บรรลุเป้าหมายแล้ว ส่วน Uniswap มีเกินปริมาณการซื้อขายรายวันของ Coinbase เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม และมูลค่าการล็อคมูลค่ารวมของ Synthetix (TVL) ได้รับกว่า 1B USD
#2812


นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (เฟทโก้) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ เปิดเผยว่า ในระยะถัดไปเชื่อว่าจะเห็นการประกาศควบรวมกิจการ (M&A) ของธุรกิจไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะได้ปัจจัยหนุนจากที่บริษัทขนาดใหญ่กำเงินสดเอาไว้ค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นผลจากที่กลุ่มบริษัทดังกล่าวชะลอการลงทุนในปี 2563 เพื่อตุนสภาพคล่องไว้ใช้รับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อวิกฤติมีแนวโน้มคลี่คลายลงจึงเห็นการประกาศเข้าลงทุนใหม่อย่างต่อเนื่องประกอบกับสภาพตลาดที่มีต้นทุนดอกเบี้ยต่ำ ส่งผลให้ต้นทุนในการทำธุรกรรมลดลง

ทั้งนี้เชื่อว่าเทรนด์ดังกล่าวจะต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง ตราบใดที่ต้นทุนดอกเบี้ยยังต่ำ และกระแสเงินสดในมือของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ยังอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการทำ M&A เพิ่มขึ้น คือภาคธุรกิจไทยเริ่มเห็นความสำคัญในการร่วมมือเป็นพันธมิตรกัน ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจมีความแข็งแกร่งมากกว่าการดำเนินการคนเดียว รวมถึงค่านิยมที่เปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ ธุรกิจครอบครัวเริ่มเปิดรับมากขึ้น และลดความหวงแหนธุรกิจที่ต้องการบริหารภายในครอบครัวเท่านั้นลดลง

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย และกรรมการผู้อำนวยการ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเห็นการประกาศดีลธุรกิจที่สำคัญหลายดีล ได้แก่ กลุ่มบีทีเอสเข้าถือหุ้นกลุ่มเจมาร์ท กลุ่มซีพีปรับโครงสร้างธุรกิจ และกลุ่มเซ็นทรัลที่เข้าซื้อกิจการของ บมจ.สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ (SF) แม้บางกรณีเป็นการเตรียมการมาตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดโควิด-19

ทั้งนี้ยอมรับว่าโควิด-19 ส่งผลให้ธุรกิจเห็นประโยชน์ในการร่วมมือกันมากยิ่งขึ้น ขณะที่ภาวะดอกเบี้ยต่ำเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนุน เพราะส่งผลให้ต้นทุนในการทำดีลถูกลง


อย่างไรก็ดี หลายดีลที่ประกาศเป็นการปรับโครงสร้างของธุรกิจ หรือปรับตัวจากวิกฤติที่เกิดขึ้น ส่วนธุรกิจที่ถูกผลกระทบหนักอย่างโรงแรมยังไม่เห็นความชัดเจน เพราะยังติดเรื่องความต้องการของผู้ซื้อและผู้ขายที่ไม่ตรงกัน กล่าวคือ ผู้ซื้อต้องการซื้อกิจการในต้นทุนที่ต่ำ แต่ผู้ขายมีความต้องการอยากขายกิจการในราคาที่สูง

นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทเห็นการปรับตัวของของบจ. ด้วยวิธีการต่างๆ โดยเฉพาะการประกาศความร่วมมือทางธุรกิจผ่านการปรับโครงสร้างภายในเพื่อใช้ห่วงโซ่อุปทานร่วมกัน (Crossing Huay Supply Chain) ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำของธุรกิจ เพื่อเพิ่มอัตราการทำกำไร (มาร์จิน) และเพื่อลดต้นทุนทางธุรกิจให้ถูกลง เช่นกรณีของกลุ่มซีพี เป็นต้น

ขณะที่รูปแบบ M&A มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน โดยเห็นชัดตั้งแต่ช่วงที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดเป็นขาลง และมีวิกฤติโควิด-19 เป็นตัวเร่ง (Catalyst) ให้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะการร่วมมือกันเพื่อแชร์ต้นทุนและฐานลูกค้า ส่งผลให้ธุรกิจมีความแข็งแกร่งและสามารถอยู่รอดได้ท่ามกลางวิกฤติ และแม้ว่าวิกฤติโควิด-19 จะคลี่คลายลง แต่คาดว่ากระแสการร่วมมือกันจะยังมีต่อเนื่อง

สำหรับ บล.ทรีนีตี้ พบว่าลูกค้าหลายรายเริ่มเห็นความจำเป็นของการปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อให้ต้นทุนน้อยลง และสามารถใช้ทรัพยากรที่มีร่วมกันให้เกิดประโยชน์ นอกจากการทำ M&A ระหว่างธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกันแล้ว ยังเห็นความต้องการควบรวมกิจการระหว่างอุตสาหกรรมอีกด้วย

ส่วนธุรกิจที่ถูกกระทบหนักอย่างโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ยอมรับว่าที่ผ่านมายังเห็นความร่วมมือไม่มากนัก เพราะรายได้ของธุรกิจดังกล่าวยังไม่กลับคืนมา และแม้ร่วมมือกันความต้องการใช้บริการ (ดีมานด์) ของผู้บริโภคก็ยังไม่กลับมาเช่นกัน อย่างไรก็ดี คาดว่าในระยะถัดไปจะเริ่มเห็นความชัดเจนของดีลการซื้อขายโรงแรมมากขึ้น จากที่บจ.ขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นที่มีฐานทุนแกร่งเริ่มมองหาพอร์ตโรงแรมที่ตัวเองยังขาด ขณะที่บริษัทขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบเริ่มเห็นประโยชน์ในการเข้ามาใช้ทรัพยากรของกลุ่มทุนใหญ่มากขึ้น
#2813


มาตรการล็อกดาวน์ที่ยาวนานทำให้เศรษฐกิจพังพินาศ ประชาชนเดือดร้อนแสนสาหัส แบงก์ชาติตอกย้ำย่ำแย่ลงทุกภาคส่วน ทำให้รัฐบาลตัดสินใจคลายล็อกโดยอ้างตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลง ยอดวัคซีนเพิ่มขึ้น แต่จริงๆ แล้วต้องดูว่ายอดคนตายจากโควิด-19 ยังสูง ขณะที่วัคซีนเข็ม2ได้ฉีดกันไม่ถึงสิบล้านคน ทำให้น่าห่วงว่าเปิดเมืองโดยที่ยังไม่พร้อมจริงจะยิ่งทำให้เกิดการระบาดหนักในระลอกถัดไปซ้ำรอยเหมือนที่เคยเป็นมาหรือไม่ 

ดูเหมือนสภาพการณ์จะกลายเป็นปัญหางูกินหาง แต่ถึงนาทีนี้แล้ว "รัฐบาลลุง" จำเป็นต้องตัดสินใจคลายล็อกดาวน์ต่อลมหายใจเศรษฐกิจที่รวยรินเต็มทีให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง เพราะอย่างที่ตัวเลขฟ้องแม้จะออกมาตรการล็อกดาวน์แน่นหนาปานใด ตัวเลขผู้ติดเชื้อยังพุ่งเอาๆ เพิ่งกดตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันลงต่ำกว่าสองหมื่นไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง เป็นภาพสะท้อนว่าจะล็อกหรือคลายล็อกก็คงไม่แตกต่างกันกระมัง อีกทั้งยังปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์จะพัฒนาไปในทิศทางใดขึ้นอยู่กับ "วัคซีน"  เป็นหลัก ทั้งคุณภาพของวัคซีนและการกระจายฉีดให้ประชาชนได้ทั่วถึงจริงๆ

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การเปิดเมืองให้ประชาชนทำมาหากินย่อมดีกว่าปิดต่อเนื่องยาวนานไปโดยไม่รู้ชะตาอนาคตจะอยู่จะกินอย่างไร ดังนั้น แม้จะมีความหวาดหวั่นถึงผลที่จะตามมาโดยเฉพาะการแพร่ระบาดรอบใหม่ แต่ก็มีเสียงตอบรับด้วยความยินดียิ่ง ตลาดสดยันห้างใหญ่น้อยที่เงียบเหงาพลันคึกคักมีชีวิตชีวา ร้านรวงต่างทำความสะอาดจัดเตรียมข้าวของรอผู้คนมาจับจ่ายใช้สอย สายการบินต่างๆ ที่จอดนิ่งสนิทต่างเตรียมเปิดบินในประเทศกันถ้วนหน้า

อย่างที่ พญ.อภัสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงหลังการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่ว่าไม่มีปรับพื้นที่สียังคง 29 จังหวัดสีแดงเหมือนเดิม แต่ปรับมาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวด และอนุญาตให้เปิดกิจการตามความพร้อมและจำเป็น * ... เพื่อให้ประชาชนสามารถดำเนินชีวิตได้ใกล้เคียงกับปกติมากที่สุด ...."  

เป็นที่มาของการคลายล็อกให้เดินทางข้ามจังหวัดจากพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดได้ รถโดยสารรับคนได้ไม่เกิน 75% การเดินทางไปทำงานของแรงงานให้ใช้ระบบ seal route ตามมาตรการ Bubble and Seal ขณะที่ร้านอาหารนอกอาคารไม่มีเครื่องปรับอากาศ นั่งรับประทานได้ 75% และร้านที่มีเครื่องปรับอากาศให้นั่งรับประทานได้ 50% เช่นเดียวกับห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ เปิดบริการได้ทุกแผนก ยกเว้นกิจการที่ให้เปิดแบบมีเงื่อนไข คือ ร้านเสริมสวย ตัดผม-แต่งผม เปิดได้เฉพาะตัดผมไม่เกินหนึ่งชั่วโมง ร้านนวดเปิดได้เฉพาะนวดเท้า คลินิกเสริมความงาม เปิดขายสินค้าและนัดหมายลูกค้าล่วงหน้าได้ ส่วนกิจการ/กิจกรรมที่ยังไม่เปิดบริการ ได้แก่ สถาบันกวดวิชา, โรงภาพยนตร์, สปา, สวนสนุก, สวนน้ำ, ฟิตเนส, ห้องออกกำลังกาย, สระว่ายน้ำ, ห้องจัดประชุม/จัดเลี้ยง เป็นต้น

สำหรับการใช้อาคารของสถานศึกษาหรือการเปิดเรียน ขึ้นอยู่กับความเห็นของกระทรวงศึกษาฯ และกระทรวงอุดมศึกษาฯ, การเปิดใช้สนามกีฬา สวนสาธารณะ เปิดใช้ได้ รวมทั้งสนามกีฬาในร่ม ไม่มีระบบปรับอากาศ สามารถเล่น ซ้อม แข่งขันแบบไม่มีผู้ชมได้ขณะที่เคอร์ฟิวหรือห้ามออกนอกเคหะสถานตั้งแต่เวลา 21.00 น.- 04.00 น.ของวันรุ่งขึ้น และมาตรการการปฏิบัติงาน ณ ที่พักอาศัย (Work From Home) ยังคงใช้ต่อไปอย่างน้อย 14 วัน

 คลายล็อกรอบนี้ มีหลักการยกระดับมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 สำหรับเปิดกิจการ/จัดกิจกรรมให้ปลอดภัยและยั่งยืนด้วยม็อตโต้สวยหรูว่า "COVID-Free Setting" หรือ มาตรการ "ปลอดโควิด" ด้วยการรักษาสุขอนามัย มีระบบระบายอากาศดี เว้นระยะห่าง บุคลากรได้รับวัคซีนต้านโควิดครบตามเกณฑ์และได้รับการตรวจหาเชื้อด้วย ATK เป็นประจำ และ "Universal Prevention" มาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคลเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล หมายถึงการป้องกันตัวเองขั้นสูงสุดตลอดเวลาเสมือนว่าทุกคนรวมทั้งตัวเองเป็นผู้ติดเชื้อ โดยเริ่มนับหนึ่งคลายล็อกรอบใหม่ 1 กันยายน 2564 ในพื้นที่นำร่อง หรือสถานที่ที่มีความพร้อมเริ่มใช้มาตรการ 1 ตุลาคม 2564 ตามเสียงเรียกร้องของ 9 สมาคมภาคธุรกิจที่ได้ยื่นหนังสือถึง ศบค. ก่อนหน้านี้ 

ถึงแม้การเปิดเมืองจะเป็นการส่งสัญญาณว่าสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น กระทั่งตลาดหุ้นเด้งรับข่าวดีกราฟพุ่งทะลุ 1,600 จุด ไปหลายวัน ทว่า มีเสียงทักท้วงจากนักเศรษฐศาสตร์ที่ออกมาแสดงความห่วงใยเกรงว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดจะหวนกลับมาหนักหน่วงอีกครั้งอย่างรอบที่สามหลังการผ่อนคลายช่วงเทศกาลสงกรานต์ เมื่อเดือนเมษายน 2564 ที่ต้องปิดล็อกลากยาวมาจนถึงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

ดังที่  นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคินภัทร ทักท้วงว่า อัตราการเสียชีวิตยังขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่อัตราติดเชื้อลดลงแต่ไม่รู้เป็นตัวเลขจริงหรือไม่ เพราะ positive rate ยังสูงมาก แต่ไม่ตรวจก็ไม่เจอ ห้องไอซียูยังแน่น ที่สำคัญอัตราการฉีดวัคซีนสองเข็มยังต่ำกว่า 10% แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคตเพราะวัคซีนเริ่มเข้ามาแล้วแต่ยังไม่เพียงพอ และอย่างที่เห็นในต่างประเทศฉีดแล้วก็ยังมีระบาดแบบรุนแรงจนล้นโรงพยาบาลได้ คำถามคือ ถ้าเรายังเห็นภาพไม่ชัดเจนแบบนี้ทำไมรัฐบาลถึงไม่กังวลแบบที่เคยกังวล และถ้าดูสถานการณ์ในต่างประเทศแล้วมันน่ากลัวมากจริงๆ กับสิ่งที่อาจเกิดขึ้น กลยุทธ์ที่หลายประเทศใช้คือ delay and vaccinate คือปิดเมืองเพื่อลดการติดเชื้อเพื่อซื้อเวลาให้ฉีดวัคซีนได้มากที่สุด ..... ถ้าจะปลดล็อกดาวน์ก็จำเป็นต้องมีอัตราการฉีดวัคซีนสูงกว่านี้ ไม่งั้นจะเหมือนปล่อยให้คนสวมเสื้อยืดเดินเข้าไปในทุ่งระเบิด อย่างน้อยควรให้ใส่เสื้อเกราะกันระเบิดสักหน่อยไหม?

ขณะเดียวกัน  นายพูน พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อในทำนองเดียวกันว่า การปลดล็อกดาวน์รอบนี้อาจทำให้ไทยมีความเสี่ยงต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ในอีก 3-4 สัปดาห์ข้างหน้า เนื่องจากอัตราการติดเชื้อและเสียชีวิตรายวันของไทยยังอยู่ในระดับสูง อีกทั้งการตรวจผู้ติดเชื้อก็ยังทำได้ไม่ครอบคลุมพอ ปัจจุบันอัตราการตรวจพบเชื้อ (Positive Rate) ของไทยอยู่ที่ 24% ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานของ WHO ที่ 5% ค่อนข้างมาก การคลายล็อกอาจเร็วไปจึงเสี่ยงกับการแพร่ระบาดอีก ภาพผู้ป่วยเสียชีวิตคาบ้านเพราะหาเตียงไม่ได้อาจวนกลับมาซ้ำ กระทบความเชื่อมั่นของประชาชนและภาวะเศรษฐกิจ หากดูตัวอย่างจากอังกฤษและอินเดีย จะเห็นว่าช่วงเวลาในการคลายล็อกดาวน์ที่เหมาะสมคือจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงจากจุดพีคแล้ว 60% ซึ่งกรณีของไทย เชื่อว่าจุดพีคผ่านไปแล้วที่ 22,000 คนต่อวัน ดังนั้นจังหวะที่ควรคลายล็อกคือเมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงเหลือ 8,000 คนต่อวัน



ใครจะทักท้วง ตั้งข้อสังเกตด้วยความห่วงใยก็ว่าไป แต่สำหรับกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีหน้าที่เรียกความเชื่อมั่นในการปลดล็อกคราวนี้ได้ออกมาอวดถึงผลงานการรักษาผู้ติดเชื้อหายแล้วนับล้าน และยืนยันตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่มีแนวโน้มลดลงจริงๆ โดย นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า สถานการณ์โรคโควิด-19 ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมามีแนวโน้มดีขึ้น จำนวนผู้หายป่วยรายวันมากกว่าผู้ติดเชื้อรายใหม่ซึ่งมีแนวโน้มลดลง และจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลลดลงชัดเจน เช่น โรงพยาบาลสนามบุษราคัม จากเคยมีผู้ป่วยมากกว่า 3,500 คน ลดเหลือ 1,500 คน ศูนย์นิมิบุตรมีผู้ป่วยรอส่งต่อเหลือไม่ถึง 70 คน ภาพรวมมีผู้ป่วยที่รักษาหายสะสมแล้ว 1,040,768 ราย จากผู้ติดเชื้อทั้งหมด 1,219,531 ราย วันนี้ มีผู้ที่หายป่วย 18,996 ราย ติดเชื้อรายใหม่ 14,802 ราย (ตัวเลข ณ วันที่ 1 กันยายน 2564)

ส่วนภาพรวมการฉีดวัคซีนของประเทศไทย ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2564 มีผู้ได้รับวัคซีนสะสมแล้ว 32,600,001 โดส ถือว่าฉีดได้เกินเป้าหมาย เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 23,975,098 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 8,212,750 ราย เข็มที่ 3 สำหรับบุคลากรการแพทย์และเจ้าหน้าที่ด่านหน้าที่ต้องสัมผัสผู้ป่วย 592,153 ราย

การออกมาอวดผลงานรับวันปลดล็อกของปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีคำถามกลับมาจากชมรมแพทย์ชนบท ที่ออกมาแตะเบรกว่าอย่าเพิ่งดีใจไป โดยโพสเฟซบุ๊กว่า "อย่าเพิ่งรีบดีใจ จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลด ส่วนหนึ่งเพราะการตรวจคัดกรองน้อย ข้อสังเกตประการสำคัญในการดูตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่คือ จำนวนการตรวจคัดกรองด้วย RTPCR หากตรวจน้อยก็ย่อมจะพบว่ามีผู้ติดเชื้อใหม่น้อย ตรงไปตรงมา ปัจจุบันการนับยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่นับจาก RTPCR เท่านั้น ไม่นับรวมผลจากการตรวจ ATK ไว้ด้วย ระบบการรายงานการตรวจ ATK ของประเทศก็ยังไม่ลงตัว

"ที่น่าสนใจคือ ยอดการตรวจ RTPCR นั้น ลดลงมาเรื่อยๆ จากเดิมเฉลี่ยที่ 70,000 รายต่อวัน ช่วงสัปดาห์นี้เหลือเพียง 47,485 ราย แน่นอนว่าตรวจลดลงก็ย่อมพบผู้ติดเชื้อลดลง คาดว่าเมื่อมีการเปิดให้ประชาชนเคลื่อนย้ายเดินทางอีกครั้ง การติดเชื้ออาจเพิ่มขึ้นมาได้อีกระลอก จึงต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง นี่จึงเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องดูข้อมูลประกอบเวลาเห็นตัวเลขของผู้ติดเชื้อ" ชมรมแพทย์ชนบท ชวนให้คิดพิจารณา

แต่ไม่ว่าจะยังล็อกหรือคลายล็อกผลกระทบต่อเศรษฐกิจยังคงหนักหน่วง ตามรายงานภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงเมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา โดย นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. ให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในเดือนกรกฎาคม 2564 ว่าได้รับผลกระทบมากขึ้นจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยการบริโภคภาคเอกชนลดลงตามกำลังซื้อที่อ่อนแอและมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวดขึ้น ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม รายได้ครัวเรือน และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับลดลง มาตรการภาครัฐช่วยพยุงกำลังซื้อได้เพียงบางส่วน ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนก็ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนเช่นกัน สอดคล้องกับภาวะอุปสงค์และความเชื่อมั่นของธุรกิจที่อ่อนแอลง รวมทั้งผลกระทบเพิ่มเติมจากมาตรการควบคุมการระบาดในพื้นที่ก่อสร้างที่เข้มงวดขึ้น

ด้านการส่งออกสินค้าแผ่วลงจากเดือนก่อนหน้าประมาณ 0.8% จากอุปสงค์ประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัวตามการแพร่ระบาดที่รุนแรงขึ้นในบางประเทศ และการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งกระทบต่อการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในโรงงาน ส่งผลกระทบต่อการส่งออกอาหารแปรรูป โดยการส่งออกสินค้าบางหมวดยังเพิ่มขึ้น เช่น สินค้าเกษตร ข้าว ยางพารา สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และโลหะ

สำหรับการผลิตภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะหมวดยานยนต์ ปิโตรเลียม และวัสดุก่อสร้าง ก็แผ่วลงตามภาวะอุปสงค์ของคู่ค้า ขณะที่ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และเซมิคอนดักเตอร์ รวมทั้งการหยุดการผลิตชั่วคราวเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงานยังกดดันการผลิตในหลายหมวด ส่วนมูลค่าการนำเข้าสินค้าไม่รวมทองคำอยู่ในระดับใกล้เคียงกับเดือนก่อน โดยการนำเข้ายังเพิ่มขึ้นในบางหมวดสินค้า อาทิ เชื้อเพลิง และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ ขณะที่บางหมวดมีการนำเข้าลดลง โดยเฉพาะรถยนต์ สอดคล้องกับกำลังซื้อในประเทศที่อ่อนแอลง

สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนจากโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ แต่สัดส่วนยังน้อยเมื่อเทียบกับภาวะปกติ จากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศของไทยที่ยังมีอยู่ ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน แต่หากไม่รวมเงินโอน การใช้จ่ายภาครัฐทรงตัว โดยรายจ่ายประจำขยายตัวจากทั้งรายจ่ายค่าตอบแทนบุคลากร และรายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการ ขณะที่รายจ่ายลงทุนหดตัว โดยเฉพาะการเบิกจ่ายของรัฐบาลกลาง จากผลของฐานสูงที่มีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณในปีก่อน

ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลงจากผลของฐานต่ำในปีก่อนที่ทยอยหมดลง และมาตรการลดค่าไฟฟ้าและน้ำประปาในเดือนนี้ของภาครัฐ ส่วนตลาดแรงงานเปราะบางมากขึ้น สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลน้อยกว่าเดือนก่อนตามดุลบริการ รายได้ และเงินโอนที่ขาดดุลลดลง ขณะที่ดุลการค้าเกินดุลลดลงตามการส่งออกสินค้าที่แผ่วลงเป็นสำคัญ อัตราแลกเปลี่ยนบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงกว่าสกุลเงินคู่ค้าคู่แข่งส่วนใหญ่ จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในประเทศที่ยืดเยื้อ

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจในเดือนสิงหาคม 2564 กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังถูกกดดันจากการแพร่ระบาดที่รุนแรงและมาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้น รวมทั้งต้องติดตามผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากปัญหาซับพลายดิสรัปชัน รวมทั้งการแพร่ระบาดในโรงงาน และการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์และตู้คอนเทนเนอร์ รวมถึงเศรษฐกิจคู่ค้าที่เผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้น

ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. มองภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2564 ยังเป็นไปตามคาดการณ์ แม้ว่าจะเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจบางส่วน ตั้งแต่ 1 กันยายน ก็ยังเป็นไปตามที่คาดว่าจะเริ่มคลี่คลายช่วงปลายไตรมาส 3/2564 แต่ยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบ โดยเฉพาะเรื่องซับพลายดิสรัปชัน การแพร่ระบาดในโรงงาน และสถานการณ์แพร่ระบาดในต่างประเทศ ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะพิจารณาปรับประมาณการอีกครั้งในรอบต่อไป

  "ต่อให้เปิดเมืองก็มีเรื่องความเชื่อมั่นประชาชนด้วยว่าจะมากน้อยแค่ไหน มีหลายปัจจัยที่ต้องติดตาม มาตรการภาครัฐช่วงที่ผ่านมามีการอัดฉีดเรื่องการเยียวยา ขึ้นอยู่กับประชาชนที่ได้รับการช่วยเหลือจะออกมาจับจ่ายใช้สอยมากน้อยแค่ไหน ซึ่งคงต้องติดตามดูในเดือนกันยายนนี้ด้วยว่าจะเป็นอย่างไร"นางสาวชญาวดี กล่าว 

ตัวเลขและสัญญาณจากแบงก์ชาติยังน่ากังวล แต่สำหรับภาคเอกชนดูเหมือนจะมีความหวังขึ้นมาบ้าง โดยที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา ต่างปรับเป้าจีดีพีและส่งออกปีนี้เพิ่มขึ้นรับการคลายล็อกและแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว

 นายผยง ศรีวณิช  ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ระบุว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่มีแนวโน้มดีขึ้นจนนำมาสู่การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงแผนการจัดหาวัคซีนที่เพิ่มมากขึ้นซึ่งจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี และเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว กกร.จึงปรับคาดการณ์การเติบโตผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปี 2564 เพิ่มขึ้นจากกรอบเดิม -0.5% ถึง 0% มาอยู่ในกรอบ -0.5% ถึง 1.0% การส่งออกจากเดิม 10% ถึง 12% เป็น 12%-14% ส่วนอัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบเดิม 1% ถึง 1.2%

 เขายังมองว่า ภาวะเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้น่าจะดีขึ้นหากการฉีดวัคซีนได้ตามแผนที่รัฐบาลวางไว้ โดยสองปัจจัยหลักต้องเอื้ออำนวย คือ Supply chain ของภาคการผลิตใน Bubble & Seal ต้องไม่หยุดชะงัก และการควบคุมโควิด-19 ได้ดีแล้วรัฐสามารถเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ โดยเฉพาะการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้ทันไฮซีซั่นส์ในช่วงปลายปีก็จะสร้างบรรยากาศให้ดียิ่งขึ้นได้ แต่หากการระบาดแย่ลงก็ย่อมนำไปสู่ภาวะเสี่ยง 

ประธาน กกร. ยังให้ความเห็นว่า หน่วยงานรัฐได้ประเมินเศรษฐกิจปี 2565 จะเติบโตได้ 3% ถึง 5% ถือว่าการเติบโตในระดับนี้ต่ำเกินไป และทำให้ระดับกิจกรรมเศรษฐกิจไทยในปีหน้ายังอยู่ต่ำกว่าระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2562 ส่งผลให้ธุรกิจจำนวนมากยังบอบช้ำ ดังนั้น เพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจฟื้นตัวโดยเร็วรัฐควรวางเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ท้าทายขึ้นเป็น 6-8% ซึ่งเป็นไปได้เพราะคนไทยกว่า 50% ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว โดยรัฐต้องเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจาก 60% เป็น 70-80% ซึ่งจะทำให้มีเงินเข้ามาเพิ่มเติมอีกราว 0.7-1.5 ล้านล้านบาท เน้นสนับสนุนการจ้างงาน และใช้ในมาตรการที่มีตัวคูณ (Multiplier) กับเศรษฐกิจสูง อย่างมาตรการที่รัฐช่วยออกค่าใช้จ่าย (co-payment) หรือมาตรการค้ำประกันสินเชื่อที่สูงขึ้น ฯลฯ

"มาตรการคลายล็อกดาวน์เป็นเรื่องที่ดี และข้อเสนอของเอกชนไม่ควรจะมีมาตรการล็อกดาวน์อีกต่อไปเพราะกระทบต่อเศรษฐกิจมาก แต่ควรใช้มาตรการ Bubble & Seal ร่วมกับการใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) เชิงรุก โดยรัฐควรช่วยเหลือค่าใช้จ่าย ATK และค่าระวางเรือที่สูงขึ้นเพื่อสนับสนุนการส่งออก รวมทั้งควรมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ" นายผยง กล่าว

เช่นเดียวกันกับ  นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ที่มองว่า หากวัคซีนที่จะเข้ามาได้ตามแผนที่รัฐวางไว้จะทำให้เศรษฐกิจที่เหลือปีนี้และปีหน้าเติบโตต่อเนื่องได้ และเห็นด้วยอย่างยิ่งที่รัฐผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ จากนี้ไปรัฐไม่ควรล็อกดาวน์อีกเพราะพิสูจน์ได้จากตัวเลขผู้ติดเชื้อก่อนและหลังล็อกดาวน์ไม่ได้ต่างกันมากนัก

 นายสนั่น อังอุบลกุล  ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ชี้ว่า มาตรการล็อกดาวน์ล่าสุดมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจเสียหาย 3-4 แสนล้านบาท เมื่อรัฐคลายล็อกดาวน์กิจการบางอย่างจะกลับมาดำเนินได้อีกครั้ง ทำให้ความเสียหายจะลดลงเหลือ 2-3 แสนล้านบาท หากเดือนตุลาคมนี้มีการผ่อนคลายการท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้นจะทำให้สถานการณ์ภาพรวมดีขึ้นต่อเนื่อง

 คลายล็อกรอบนี้จะฝ่าวิกฤตทั้งการติดเชื้อรอบใหม่จะพุ่งขึ้นหรือไม่ และเศรษฐกิจโดยรวมจะฟื้นชีพหรือไม่ ประชาชนคนไทยจะกลับมาทำมาหากินใช้ชีวิตได้เป็นปกติได้สักกี่มากน้อยอีกไม่นานก็รู้ผล 
#2814


ตามติดแรนซัมแวร์ LockBit ที่ถูกค้นพบในเดือนกันยายน 2019 พบหลายองค์กรตกเป็นเหยื่อ ตั้งแต่องค์กรในสหรัฐอเมริกา จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ยูเครน นอกจากนี้ยังพบการโจมตีในหลายประเทศทั่วยุโรป ทั้งฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และเยอรมนี

นายเซียง เทียง โยว ผู้จัดการทั่วไป ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แคสเปอร์สกี้ กล่าวว่าไม่นานนี้เราเพิ่งได้เห็นภัยคุกคามไซเบอร์ที่โจมตีบริษัทประกันภัยขนาดใหญ่ในประเทศไทย รูปแบบภัยคุกคามทางไซเบอร์มีเป้าหมายและมีความซับซ้อนมากขึ้น ทำให้มีขอบเขตการโจมตีที่รุนแรงมากขึ้นอีก โดยเมื่อเร็วๆ นี้ สายการบินชั้นนำของประเทศไทยรายหนึ่งได้ประกาศเหตุการณ์การละเมิดข้อมูลต่อสาธารณะ

"ทั้งหมดนี้เกิดพร้อมกับที่กลุ่มแรนซัมแวร์ LockBit ได้ประกาศผลงานร้ายและอ้างว่าจะเปิดเผยไฟล์ข้อมูลบีบอัดขนาด 103 GB"

แรนซัมแวร์ LockBit ถูกค้นพบในเดือนกันยายน 2019 ซึ่งเดิมมีชื่อว่าแรนซัมแวร์ "ABCD" ออกแบบมาเพื่อบล็อกการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์เพื่อแลกกับค่าไถ่ อาชญากรไซเบอร์ปรับใช้แรนซัมแวร์นี้บนตัวควบคุมโดเมนของเหยื่อ จากนั้นจะแพร่กระจายการติดเชื้อโดยอัตโนมัติ และเข้ารหัสระบบคอมพิวเตอร์ที่เข้าถึงได้ทั้งหมดบนเครือข่าย แรนซัมแวร์นี้ใช้ในการโจมตีที่กำหนดเป้าหมายประเภทเอ็นเทอร์ไพรซ์และองค์กรอื่นๆ เป้าหมายในอดีตที่โดดเด่น ได้แก่ องค์กรในสหรัฐอเมริกา จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ยูเครน นอกจากนี้ยังพบการโจมตีในหลายประเทศทั่วยุโรป (ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร เยอรมนี)

LockBit 2.0 และการแพร่กระจาย

LockBit ดำเนินการในรูปแบบ Ransomware as a Service (RaaS) ซึ่งให้บริการโครงสร้างพื้นฐานและมัลแวร์แก่ผู้โจมตี และรับส่วนแบ่งค่าไถ่ การบุกเข้าไปในเครือข่ายของเหยื่อเป็นหน้าที่ของผู้รับเหมา LockBit มีเทคโนโลยีที่โดดเด่นและสามารถแพร่กระจายแรนซัมแวร์ได้ทั่วทั้งเครือข่าย

เมื่อผู้โจมตีเข้าถึงเครือข่ายและตัวควบคุมโดเมนได้ก็จะเรียกใช้งานมัลแวร์เพื่อสร้างนโยบายกลุ่มใหม่สำหรับผู้ใช้ ซึ่งจะถูกส่งต่อไปยังอุปกรณ์แต่ละเครื่องบนเครือข่ายโดยอัตโนมัติ นโยบายนี้จะปิดใช้งานเทคโนโลยีความปลอดภัยในตัวของระบบปฏิบัติการก่อน จากนั้นนโยบายอื่นๆ จะสร้างงานที่กำหนดไว้แล้วบนเครื่อง Windows ทั้งหมดเพื่อเรียกใช้โปรแกรมเรียกค่าไถ่

การลบและถอดรหัส LockBit

ด้วยปัญหาทั้งหมดที่ LockBit สร้างขึ้น อุปกรณ์เอ็นด์พอยต์จำเป็นต้องมีมาตรฐานการป้องกันที่ครอบคลุมทั่วทั้งองค์กร ขั้นแรกคือการมีโซลูชันการรักษาความปลอดภัยเอ็นด์พอยต์ที่ครอบคลุม เช่น Kaspersky Endpoint Security for Business



หากองค์กรของคุณติดเชื้อเรียบร้อยแล้ว การลบแรนซัมแวร์ LockBit เพียงอย่างเดียวไม่ได้ทำให้คุณเข้าถึงไฟล์ได้ คุณจะต้องใช้เครื่องมือในการกู้คืนระบบ เนื่องจากการเข้ารหัสต้องใช้ "กุญแจ" เพื่อปลดล็อก อีกวิธีหนึ่ง หากคุณได้สร้างอิมเมจสำรองไว้ก่อนการติดเชื้อ คุณอาจสามารถกู้คืนระบบได้โดยการรีอิมเมจ

วิธีป้องกันแรนซัมแวร์ LockBit

คุณจะต้องตั้งค่ามาตรการป้องกันเพื่อให้องค์กรของคุณสามารถเตรียมการและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากแรนซัมแวร์หรือการโจมตีอื่นที่เป็นอันตราย

แนวทางปฏิบัติบางประการที่สามารถช่วยในการเตรียมตัว มีตั้งแต่การห้ามการเชื่อมต่อที่ไม่จำเป็นกับบริการเดสก์ท็อประยะไกล (เช่น RDP) จากเครือข่ายสาธารณะ และใช้รหัสผ่านที่คาดเดายากสำหรับบริการดังกล่าวเสมอ การติดตั้งแพตช์ที่มีทั้งหมดสำหรับโซลูชั่น VPN ที่ใช้เพื่อเชื่อมต่อผู้ที่ปฏิบัติงานระยะไกลเข้ากับเครือข่ายขององค์กร การอัปเดตซอฟต์แวร์บนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อทั้งหมด เพื่อป้องกันการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ และการเน้นกลยุทธ์การป้องกันในการตรวจจับโดยรอบเครือข่ายและการขุดเจาะขโมยข้อมูล โดยให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการรับส่งข้อมูลขาออกทั้งหมด

นอกจากนี้ยังควรสำรองข้อมูลเป็นประจำ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ใช้งานพร้อมที่จะเข้าถึงข้อมูลสำรองในกรณีฉุกเฉิน ขณะเดียวกันก็ควรใช้ประโยชน์จากคลังข้อมูลภัยคุกคาม (threat intelligence) เพื่อมีข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับกลยุทธ์การโจมตีเทคนิคและขั้นตอนต่างๆ อยู่เสมอ โดยไม่ลืมใช้โซลูชั่นด้านความปลอดภัย เช่น Kaspersky Endpoint Detection and Response และ Kaspersky Managed Detection and Response ที่ช่วยหยุดการโจมตีได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ร่วมกับการฝึกอบรมพนักงานให้คำนึงถึงความปลอดภัยของสภาพแวดล้อมขององค์กร Kaspersky Automated Security Awareness Platform และใช้โซลูชั่นที่เชื่อถือได้สำหรับการป้องกันเอ็นด์พอยต์ ซึ่งป้องกันการใช้ประโยชน์และตรวจจับพฤติกรรมที่ผิดปกติ สามารถย้อนการเปลี่ยนแปลงที่เป็นอันตรายและเรียกคืนระบบได้ .
#2815


TCEB เชิญร่วมรับฟังเสวนาจาก 5 สมาคมไมซ์ ร่วมสร้างสรรค์ไมซ์ซิตี้ พร้อมเพิ่มศักยภาพสู่การสร้างเมกะอีเว้นท์ แนวทางการจัดงานไมซ์ยุคนิวนอร์มอล ด้วยกลยุทธ์เสริมองค์ความรู้ด้านสุขอนามัย ให้แก่สถานที่จัดงานที่ได้มาตรฐานทั่วประเทศ

ทีเส็บ (TCEB) ยกระดับผู้ประกอบการไมซ์ ผ่านการเสวนาจาก 5 สมาคมไมซ์ เพื่อเพิ่มศักยภาพการสร้างเมกะอีเว้นท์ พร้อมแนวทางการจัดงานไมซ์ยุคนิวนอร์มอล ด้วยกลยุทธ์เสริมองค์ความรู้ด้านสุขอนามัย ในวันศุกร์ที่ 3 กันยายน 2564 เวลา 13.30 น. – 16.00 น. TMVS ภายใต้แคมเปญ "MICE VACCINATION with 2HY" เสริมองค์ความรู้ด้านสุขอนามัย ผนวกเทคโนโลยีไมซ์ แก่สถานที่จัดงานที่ได้มาตรฐานทั่วประเทศ ในหัวข้อ Move 2 (TOMORROW) HY – เปลี่ยนมุมมองธุรกิจไมซ์ไทยให้ทันวันพรุ่งนี้

ประเทศไทยยังมีอีกหลายพื้นที่ ที่มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเฉพาะตัวเป็นที่น่าสนใจต่อการจัดงานต่างๆ ทั้งยังความสามารถในการพัฒนาเพิ่มศักยภาพในการรองรับอุตสาหกรรมไมซ์ สถานที่จัดงานเป็นองค์ประกอบที่มีส่วนสำคัญในการสร้างรูปแบบการจัดงานที่หลากหลาย และพร้อมที่จะรองรับการจัดงานเมกะอีเว้นท์ได้อย่างน่าสนใจ เสวนาครั้งนี้ เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไมซ์ไทยได้เสริมความรู้ สร้างความมั่นใจ จากกูรูอุตสาหกรรมไมซ์ทั้ง 5 สมาคม ร่วมแบ่งปันแนวคิดสร้างสรรค์การจัดงานไมซ์ในพื้นที่ใหม่ๆ เพื่อสร้างโอกาสและเพิ่มมูลค่าให้แก่สถานที่จัดงานในประเทศไทย ควบคู่ไปกับการให้องค์ความรู้ด้านสุขอนามัยและนวัตกรรมการจัดงาน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ายุควิถีปกติใหม่ในปัจจุบัน พร้อมรับงานไมซ์จากทั่วโลกที่จะกลับมาหลังวิกฤต Covid-19

ภายในงาน พบกับกูรูอุตสาหกรรมไมซ์ทั้ง 7 ท่าน จากองค์กรภาครัฐ และสมาคมไมซ์ ได้แก่ คุณอรชร ว่องพรรณงาม, CEM, CIS, CED, DES, EMD, SEP ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมไมซ์ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ, คุณสุเมธ สุทัศน์ ณ อยุธยา, CEM, CIS นายกสมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) (TICA), คุณประวิชย์ ศรีบัณฑิตมงคล, CEM นายกสมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) (TEA), คุณอุปถัมป์ นิสิตสุขเจริญ นายกสมาคมธุรกิจสร้างสรรค์การจัดงาน (EMA), คุณบุญเพิ่ม อินทนปสาธน์ นายกสมาคมการค้าส่งเสริมการจัดมหกรรมและเทศกาลนานาชาติไทย (TIEFA), คุณสรณ์ฉัตร ไกรนรา กรรมการสมาคมการค้าส่งเสริมอุตสาหกรรมศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (CAPT) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะลิฟวิ่งอาร์ท จำกัด และเจ้าของงานเทศกาล เดอะลีฟวิ่งอาร์ท ภูเก็ต และ ผอ. สำราญ สอนผึ้ง ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายหน่วยตรวจ สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ ที่พร้อมให้ความรู้และแบ่งปันประสบการณ์ในเรื่องที่ผู้ประกอบการไมซ์ไทยพลาดไม่ได้ อาทิ

แนวความคิดการออกแบบเมืองเพื่อเพิ่มศักยภาพในก้าวเข้าสู่ไมซ์ซิตี้, สร้างประสบการณ์แปลกใหม่จากการจัดงานเมกะอีเว้นท์ผ่านซิตี้ ดีเอ็นเอ, การสร้างโอกาสและเพิ่มมูลค่าให้กับสถานที่จัดงานในประเทศไทย, การปฏิบัติด้านสุขอนามัยที่ผนวกการใช้นวัตกรรมในการจัดงานเพื่อเตรียมพร้อมรับความต้องการจากงานไมซ์ทั่วโลก, การเพิ่มศักยภาพและเตรียมความพร้อมรับการจัดงานเพื่อก้าวตามให้ทันโลกในอุตสาหกรรมไมซ์หลังวิกฤตการณ์โควิด-19 ยกระดับความรู้ด้านมาตรฐานสถานที่จัดงานไมซ์ มาตรฐาน ISO ที่จะเกิดในอนาคต เพื่อเสริมความมั่นใจ และเตรียมพร้อมให้ท่านได้เป็นตัวเลือกแรกของสถานที่จัดงาน ของการจัดงานในยุคปัจจุบัน

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ https://forms.gle/FvjsKmRvzvnPnGKa7
สามารถติดตามรายละเอียดการจัดงานทั้งหมดได้ที่ https:// www.facebook.com/micecapabilities
#2816


เอ็นบีซีนิวส์รายงาน ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.สหรัฐทิ้งวัคซีนป้องกันโควิดไปแล้วอย่างน้อย 15.1 ล้านโดส มากกว่าที่เคยรับรู้กันและเป็นไปได้ว่ายังต่ำกว่าความเป็นจริง ขณะที่หลายประเทศยังไม่ได้ฉีด ที่ฉีดก็น้อยมาก
ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ (ซีดีซี) พบว่า บริษัทวาลกรีนส์ทิ้งวัคซีนมากที่สุดเกือบ 2.6 ล้านโดสซีวีเอสทิ้ง 2.3 ล้านโดส วอลมาร์ท 1.6 ล้านโดส และไรท์เอด 1.1 ล้านโดส

ข้อมูลนี้ร้านขายยา รัฐ หรือผู้ให้บริการวัคซีนให้รายงานต่อซีดีซีเองจึงยังไม่ครอบคลุม เพราะบางรายก็ไม่ได้รายงาน และไม่แจ้งเหตุผลว่าทำไมถึงต้องทิ้งวัคซีน โดยทั่วไปการที่ศูนย์ฉีดระบุว่าวัคซีนใช้ไม่ได้ อาจมีสาเหตุมาจากขวดแตก เกิดความผิดพลาดขณะเจือจางวัคซีน ตู้แช่ไม่ทำงาน มีวัคซีนในขวดเกินจำนวนคน หรือขวดบรรจุวัคซีนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น

ส่วนเดือน มิ.ย.มีวัคซีนไม่ได้ใช้อย่างน้อย 4.4 ล้านโดส ก.ค.4.7 ล้านโดส มากกว่าเดือน มี.ค. เม.ย. และ พ.ค.รวมกัน

ข้อมูลวัคซีนใช้ไม่ได้จากแต่ละรัฐยังไม่มากเท่าที่ร้านขายยารายงาน โดย 4 รัฐที่ทิ้งวัคซีนมากกว่า 200,000 โดส ได้แก่ เท็กซัส 517,746 โดส นอร์ทแคโรไลนา 285,126 โดส เพนซิลเวเนีย 244,214 โดส และโอคลาโฮมา 226,163 โดส

อย่างไรก็ตามวัคซีนที่เสียไปถือว่าเป็นสัดส่วนน้อยนิดเมื่อเทียบกับวัคซีนที่ฉีดไปแล้วในสหรัฐ นับถึงวันที่ 31 ส.ค. สหรัฐแจกจ่ายวัคซีนไปทั่วประเทศแล้วกว่า 438 ล้านโดส และนับถึง 3 ส.ค. แจกจ่ายให้ประเทศอื่นเพิ่มอีก 111.7 ล้านโดส

ข้อมูลวัคซีนใช้ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงที่โควิดสายพันธุ์เดลตากำลังระบาดทั่วสหรัฐ ทำให้ประชาชนต้องเร่งมาฉีดกันมากขึ้น และรัฐบาลมีแผนฉีดเข็ม 3 ให้กับคนที่ฉีดครบแล้ว ขณะที่อีกหลายประเทศทั่วโลกยังไม่ได้ฉีด หรือที่ฉีดแล้วก็ทำได้น้อยมาก

ข้อมูลใหม่ชี้ด้วยว่า วัคซีนที่สหรัฐทิ้งไปมากเกินกว่าประเทศยากจนบางประเทศใช้ฉีดประชากรทั้งหมดได้ ตัวอย่างเช่น ประเทศจอร์เจียที่โควิดกำลังระบาดหนัก ฉีดวัคซีนไปแค่ 1.1 ล้านโดสจากประชากร 4.9 ล้านคน หรือเนปาล ประชากร 30.4 ล้านคน ฉีดไปแค่ 9.7 ล้านโดส

ชารีฟาห์ เซกาลาลา รองศาสตราจารย์ด้านกฎหมายสุขภาพโลก มหาวิทยาลัยวอร์วิคของอังกฤษ ผู้ศึกษาความเหลื่อมล้ำในโลกติดเชื้อ กล่าวว่า หลายประเทศในซีกโลกใต้ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ในทวีปแอฟริกายังฉีดไม่ถึง 10% ถือเป็นความเหลื่อมล้ำอย่างใหญ่หลวงและเป็นปัญหาอย่างแท้จริง

ความต้องการวัคซีนในสหรัฐพุ่งขึ้นในเดือน ส.ค. เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อและเข้าโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นมาก

เพราะสายพันธุ์เดลตา แต่สหรัฐยังปล่อยให้มีวัคซีนไม่ได้ใช้อย่างน้อย 3.8 ล้านโดสในเดือน ส.ค.
#2817


คณะกรรมการอำนวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ เห็นชอบ การเตรียมเปิดประเทศพื้นที่ท่องเที่ยว เพิ่มเติมอีก 4 จังหวัด ตามที่รัฐบาลได้มีการประกาศไว้ รองรับการเปิดประเทศ "ศูนย์กลางการผลิตวัคซีน-ศูนย์กลางการส่งเสริมสุขภาพ-ศูนย์กลางสมุนไพร" เตรียมจัดงานมหกรรมสินค้าและบริการสุขภาพ "Thailand International Health Expo 2022" ระหว่างวันที่ 20 – 23 ม.ค.2565 และการเป็นเจ้าภาพการจัดงาน World Expo ระดับโลก

วันนี้ (1 ก.ย.) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบหมายให้ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (นโยบาย Medical Hub) ครั้งที่ 2/2564 ร่วมกับนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผ่านระบบวิดีโอทางไกล โดยมีนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพและคณะกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม

ดร.สาธิตกล่าวว่า ในวันนี้ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการ 5 เรื่อง ได้แก่ 1.แนวทางและมาตรการในการเปิดประเทศภายใน 120 วันตามนโยบายรัฐบาล ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร, เชียงใหม่, พัทยา, หัวหิน และพื้นที่ท่องเที่ยวนำร่องเพิ่มเติม ได้แก่ เชียงคาน จ.เลย และ จ.หนองคาย รวมถึงพื้นที่เกาะกูด เกาะช้าง จ.ตราด และเกาะเสม็ด จ.ระยอง ในรูปแบบ bubble and seal route และมอบให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยบรรจุในแผน เปิดพื้นที่รับนักท่องเที่ยว เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

2.ผลักดันให้มีการผลิตวัคซีนทั้ง 4 ชนิด เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตวัคซีนของประเทศไทย ได้แก่ วัคซีน ChulaCov19 โดยคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,วัคซีนใบยา โดยบริษัท ใบยาไฟโตฟาร์ม จำกัด, วัคซีนโควิด 19 HXP - GPO Vac โดยองค์การเภสัชกรรม และวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) แบบพ่นจมูก โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) โดยเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาสนับสนุนงบประมาณ และให้ อย.ลดระยะเวลาการขึ้นทะเบียนอนุญาต

3.เห็นชอบแผนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดและการประชาสัมพันธ์ ในงาน World Expo 2025 Osaka Kansai ณ นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ในเดือนเมษายน – ตุลาคม 2568 ในการเข้าร่วมการจัดศาลาไทยในธีม การส่งเสริมสุขภาพทุกช่วงวัย รวมทั้งเป็นการเฉลิมฉลองเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย และญี่ปุ่น ตลอดจนให้ประเทศไทยเข้าร่วมประมูลสิทธิ์ในการจัดนิทรรศการนานาชาติเพื่อเป็นเจ้าภาพจัดงาน Specialized Expo 2028 เดือนสิงหาคม-ตุลาคม ปี 2571 ที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและส่งเสริมสุขภาพ (Medical and Wellness Tourism) และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ 4.การพัฒนา Wellness Hub ของประเทศไทย เพื่อยกระดับมาตรฐานนวดไทยและสปาไทยในลักษณะ Wellness ให้มีมาตรฐานระดับนานาชาติ โดยประสานงานกับสมาคม/ สมาพันธ์/ ชมรม ในประเทศไทย เชื่อมโยงการทำงานร่วมกับสมาพันธ์โลกนวดไทย & สปา และจัดทำโครงการบูรณาการร่วมกันทุกกระทรวง และ 5.เปิดเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพรองรับการเป็นศูนย์กลางสมุนไพรโลก นำผลิตภัณฑ์กัญชา และสมุนไพรต้านโควิด 19 มาจำหน่ายในเส้นทางการท่องเที่ยวนำร่องใน 4 เส้นทาง รวม 9 จังหวัด ได้แก่ อุดรธานี สกลนคร นครพนม หนองคาย เลย หนองบัวลำภู บึงกาฬนครราชสีมา ปราจีนบุรี (อภัยภูเบศร) และบุรีรัมย์ (โนนมาลัยโมเดล)

ด้านนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (สสปน.) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดงานมหกรรมสินค้าและบริการสุขภาพ "Thailand International Health Expo 2022" ระหว่างวันที่ 20 – 23 มกราคม 2565 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน ในรูปแบบ HYBRID EXPO ในรูปแบบ Onsite และ Online ภายใต้แนวคิดหลัก "สร้างสุขภาพ เสริมเศรษฐกิจ เพื่อคุณภาพชีวิตประชาชน" ภายในงานประกอบด้วย 6 โซน คือ โซนนิทรรศการแสดงศักยภาพของไทย โซนแสดงนิทรรศการและสินค้า โซนบริการฉีดวัคซีน โซนบริการประชาชน ให้บริการเบ็ดเสร็จจุดเดียว เช่น การยื่นขออนุญาตสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจ ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจากหน่วยบริการรัฐและเอกชน บริการทางการแพทย์แผนปัจจุบัน/ แพทย์แผนไทย/ แพทย์แผนจีน ตรวจสุขภาพ นวดสปา เป็นต้น โซนจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) และโซนการประชุมสัมมนา บรรยายพิเศษจากผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขทั่วโลก คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมทั้งชาวไทยและต่างชาติ ประมาณ 50,000 คน
#2818


ซินหวา - เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของกัมพูชากล่าวว่า เที่ยวบินที่บรรทุกวัคซีนซิโนแวค จำนวน 2 ล้านโดส เดินทางถึงกรุงพนมเปญ เมืองหลวงของกัมพูชาแล้ววานนี้ (31) โดยวัคซีนที่กัมพูชาจัดซื้อจากจีนล็อตนี้จะช่วยเพิ่มการขับเคลื่อนการฉีดวัคซีนของประเทศ

จีนเป็นผู้จัดส่งวัคซีนรายใหญ่ของกัมพูชา และจนถึงปัจจุบัน กัมพูชาได้รับวัคซีนจากมิตรประเทศและโครงการโคแว็กซ์ขององค์การอนามัยโลกรวม 27 ล้านโดส โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นวัคซีนที่มาจากจีนถึง 24.3 ล้านโดส

กัมพูชาเริ่มโครงการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ตั้งแต่เดือ นก.พ. โดยตั้งเป้าที่จะฉีดวัคซีนให้ประชาชน 12 ล้านคน หรือ 75% ของประชากร 16 ล้านคนของประเทศภายในสิ้นปีนี้ และจนถึงวันที่ 30 ส.ค. มีประชาชน 10.69 ล้านคน หรือ 66.8% ของประชากรทั้งหมด ได้รับการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม และจากจำนวนดังกล่าวมี 8.45 ล้านคน ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม กระทรวงสาธารณสุขระบุ

นายกรัฐมนตรีฮุนเซนกล่าวว่า จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตจากโควิดลดลงมากในกรุงพนมเปญ และ จ.กันดาล ที่อยู่ติดกัน เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเกิดภูมิคุ้นกันหมู่

ผู้นำเขมรได้แนะนำให้รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาเปิดโรงเรียนในพื้นที่ที่ไม่ติดเชื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบท

"เนื่องจากผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ส่วนใหญ่พบในเขตเมืองและพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น ขณะที่พื้นที่ชนบทพบผู้ป่วยน้อยมาก ผมขอแนะนำให้รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดและเทศบาลเปิดโรงเรียนในพื้นที่ที่ไม่มีการติดเชื้อ" ฮุนเซน กล่าว

กัมพูชาสั่งปิดโรงเรียนมาตั้งแต่เดือน ก.พ. หลังการระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ปะทุขึ้น

กัมพูชายืนยันพบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 439 คน เมื่อวันอังคาร (31) ทำให้จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อยืนยันสะสมรวมอยู่ที่ 93,055 คน และจากจำนวนดังกล่าวเป็นผู้ป่วยติดเชื้อสายพันธุ์เดลตา 1,916 คน กระทรวงสาธารณสุขระบุ ส่วนยอดผู้เสียชีวิตรวมอยู่ที่ 1,903 คน และหายป่วยสะสมที่ 88,786 คน
#2819


นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้ปรับมาตรการผ่อนคลายในจังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด (พื้นที่สีแดงเข้ม) ดังนั้น เพื่อดำเนินการตามแนวทางการผ่อนปรน และรองรับความต้องการเดินทางของผู้ใช้บริการรถไฟในเส้นทางสายใต้ การรถไฟฯ จึงได้พิจารณาเปิดเดินขบวนรถท้องถิ่นเพิ่ม จำนวน 2 ขบวน และปรับเปลี่ยนสถานีต้นทางปลายทางของขบวนรถในบางขบวนใหม่ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง  ดังนี้

ขบวนรถท้องถิ่นสายใต้ เปิดเดินขบวนรถเพิ่ม จำนวน 2 ขบวน   
- ขบวนรถท้องถิ่นที่ 453/454  ยะลา – สุไหงโกลก – ยะลา

ขบวนรถที่ปรับเปลี่ยนสถานีต้นทาง/ปลายทาง จำนวน 4 ขบวน
- ขบวนรถท้องถิ่นที่ 447/448  สุราษฎร์ธานี – ยะลา - สุราษฎร์ธานี เปลี่ยนเป็นสุราษฎร์ธานี – สุไหงโกลก –
สุราษฎร์ธานี
- ขบวนรถท้องถิ่นที่ 451/452  นครศรีธรรมราช – ยะลา – นครศรีธรรมราช เปลี่ยนเป็นนครศรีธรรมราช – สุไหงโกลก – นครศรีธรรมราช

ทั้งนี้ ในการปรับการให้บริการเดินรถในครั้งนี้ การรถไฟฯ ได้คำนึงถึงความสะดวกในการให้บริการประชาชน ควบคู่กับมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด–19 ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม และกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยได้กำหนดจุดคัดกรองวัดไข้ผู้โดยสารก่อนเข้าในพื้นที่สถานี การตั้งจุดบริการแอลกอฮอล์ล้างมือ การให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา พร้อมกับให้สแกนแอพพลิเคชัน ไทยชนะ ก่อนและหลังใช้บริการ แต่หากผู้โดยสารไม่สามารถใช้แอพพลิเคชันไทยชนะ ให้กรอกข้อมูลการเดินทางแทน พร้อมกับต้องกรอกข้อมูลเดินทางข้ามจังหวัด-ข้ามเขตผ่านเว็บไซต์ "หยุดเชื้อ เพื่อชาติ" https://covid-19.in.th/ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด สำหรับประชาชนที่ต้องการเดินทาง สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเฟซบุ๊กแฟนเพจทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย
#2820
มาหาเงินออนไลน์แบบง่ายๆ กับ 3 ธุรกิจมาแรง 

1.ธุรกิจโทรคมนาคม
https://training.simk4.com/vsp?id=0976510999

2.ธุรกิจรับส่งพัสดุ
https://www.allexpress.app/register?referrerCode=j69j9zhx]

3.ธุรกิจทำเวบไซต์
https://www.iswebgroup.com/2135

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมจากเพจ
https://www.facebook.com/dmalld