• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Jenny937

#2761


เกาะติดธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค คุมเข้มบริหารซัพพลายเชน หวั่นโควิด ทำธุรกิจสะดุด พร้อมงัดแผนงานต่อเนื่อง รองรับวิกฤติ 'ไอ.ซี.ซี.ฯ' เครือสหพัฒน์ เผยโรคระบาดลากยาวฉุดยอดขาย ไร้วี่แววจุดต่ำสุดอยู่ตรงไหน ต้องปรับกำลังการผลิตให้สอดคล้องดีมานด์ ห่วงกลางน้ำ กระเทือนขนส่งกระจายสินค้า 'เบทาโกร' ตั้งวอร์รูม ดูแลสุขอนามัยพนักงานใกล้ชิด 'ส.ขอนแก่นฟู้ดส์' วาง 6 แผนงานต่อเนื่อง รับมือวิกฤติ 

นายธรรมรัตน์ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ และประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน)ในเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้รัฐต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์ในพื้นที่สีแดงเข้ม 13 จังหวัด ปัจจัยเหล่านี้กระทบต่อห่วงโซ่การผลิตสินค้าหรือซัพพลายเชนอย่างมาก แต่สิ่งที่ต่างกันคือปีนี้ผู้ติดเชื้อตัวเลขพุ่งสูงขึ้น ผลกระทบเกิดยาวนาน เทียบปีก่อนล็อกดาวน์ 3 เดือน ตัวเลขติดเชื้อน้อย ทำให้การผลิตและจำหน่ายสินค้ามีช่วงฟื้นตัวเดือนสิงหาคมและปลายปี

ทั้งนี้ ตราบที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสสูงขึ้น การบริหารจัดการซัพพลายเชนของบริษัทต้องเข้มข้นอย่างมาก เนื่องจากเครือสหพัฒน์มีบริษัทที่ทำงานภายใต้ห่วงโซ่การผลิตจำนวนมาก เฉพาะบริษัท ไอ.ซี.ซี.ฯ มี 7 กลุ่มบริษัทที่ผลิตสินค้าให้ เช่น บริษัท ธนูลักษ์, บริษัท ประชาอาภรณ์, บริษัท ไลอ้อนฯ, บริษัท ไทยวาโก้ เป็นต้น ซึ่งครอบคลุมทั้งเสื้อผ้าแฟชั่น สินค้าอุปโภค แบรนด์ เอสเซ้นส์ ฯ

สำหรับทั้ง 7 กลุ่มบริษัทเกี่ยวข้องพนักงานหลัก "หมื่นราย" เช่น ไทยวาโก้ พนักงานกว่า 4,000 คน, ไอ.ซี.ซี.ฯ พนักงานทุกส่วนรวมถึงหน้าร้านกว่า 5,000 คน ส่วนโรงงานอื่นมีพนักงาน 1,000 คน และ 800 คนบ้าง ดังนั้นจึงต้องมีมาตรการดูแลด้านสุขอนามัยตามที่หน่วยงานสาธารณสุขให้คำแนะนำอย่างเข้มข้น

ด้านผลกระทบห่วงโซ่การผลิตเกิดขึ้แตกต่างกัน โดยปลายน้ำ หรือหน้าร้านขายสินค้า การล็อกดาวน์ทำให้ยอดขายหดตัวอย่างรุนแรง ปัจจุบันยังคาดการณ์ยากว่า "จุดต่ำสุด" อยู่ตรงไหน ทำให้บริษัทต้องปรับใช้กำลังการผลิตซึ่งเป็นต้นน้ำให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค เพื่อไม่ให้กระทบปริมาณสินค้าคงเหลือหรือสต๊อกมากจนเกินไป

"หน้าร้านกระทบ เพราะยอดขายดิ่ง จะไปถึงไหนมองไม่ออกจริงๆ ไม่เห็นก้นเหว แต่หน้าที่เราต้องหาทางทำให้ธุรกิจรอด มีเงินจ่ายพนักงาน เมื่อยอดขายตก บริษัทจึงปรับตัวด้านการใช้กำลังการผลิต ผลิตสินค้าให้เหมาะสมกับการขาย เบรกต้นน้ำ ซึ่งทำมาระยะหนึ่งแล้วในการบริหารจัดการซัพพลายเชนได้ค่อนข้างทันเวลา ทำให้ปริมาณสต๊อกมีเพียงเล็กน้อย เมื่อคลายล็อกดาวน์ เปิดร้านได้เชื่อว่าจะกระจายสินค้าได้หมดใน 1-2 สัปดาห์"

ทั้งนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงสุดคือการขนส่งและกระจายสินค้า เพราะหากเกิดมีผู้ติดเชื้อ อาจส่งผลกระทบสินค้าถึงมือผู้บริโภคต้องชะงักลง เหมือนกับผู้ประกอบการโลจิสติกส์บางรายเผชิญ และสร้างความเสียหายมูลค่ามหาศาล โดยซัพพลายเชนด้านกลางน้ำของไอ.ซี.ซี.ฯ มีการใช้บริการคลังสินค้าของไทเกอร์ ดิสทริบิวชั่น แอนด์ โลจิสติคส์ ของเครือสหพัฒน์ ซึ่งมีพนักงานราว 200 คน และเพิ่มมาตรการดูแลด้านสุขอนามัยให้พนักงานอย่างเข้มข้น ขณะเดียวกันบริษัทยังใช้การส่งสินค้าจากพันธมิตรอื่นๆด้วย

นอกจากนี้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านธุรกิจ บริษัทจึงทำแผนความต่อเนื่องของธุรกิจ(Business Continuity Plan:BCP)หากเกิดกรณีไม่มีผู้ติดเชื้อ พนักงานออฟฟิศต้องทำงานที่บ้าน ทีมงานสินค้า ทีมงานขาย ทีมหลังบ้าน เช่น บัญชีต่างๆ มีกระบวนการทำงานรองรับแตกต่างกันไป ส่วนคลังสินค้าหากต้องปิดให้บริการ จะต้องย้ายสินค้าออก แล้วทำการฉีดยาฆ่าเชื้อไวรัส แล้วย้ายสินค้ากลับมา หรือต้องย้ายสินค้าไปยังคลังสินค้าของโรงงานในห่วงโซ่การผลิตแต่ละแห่ง ซึ่งคลังเดิมยังไม่มีระบบ เทคโนโลยี ฟังก์ชั่นการหยิบจับสินค้าให้สอดคล้องกับอีคอมเมิร์ซ

ที่ผ่านมา บริษัทมีอุปสรรคในการส่งสินค้าถึงผู้บริโภคล่าช้าบ้าง จากเดิมส่งภายใน 1 วัน ขยายเป็น 2-3 วัน อย่างไรก็ตาม หากเกิดกรณีเช่นบางบริษัทที่คลังหรือศูนย์กระจายสินค้ามีผู้ติดเชื้อโควิด จนเกิดวิกฤติส่งสินค้า มองว่าการแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นเร็วภายใน 1-3 วันได้

"หากเกิดวิกฤติการส่งสินค้า คาดว่าใช้เวลาไม่นานก็แก้ไขได้ อาจจะ 3 วัน หรือบางกรณี 1 วัน ยุติปัญหาได้"

นายธรรมรัตน์ กล่าวอีกว่า ห่วงโซ่การผลิตส่วนปลายน้ำหรือหน้าร้านถูกปิด แต่บริษัทปรับตัวลุยทำตลาดออนไลน์ ซึ่งปีนี้คาดว่ายังสร้างยอดขายเติบโตกว่า 100% ต่อเนื่อง แต่ยอมรับว่าพฤติกรรมผู้บริโภคในการช้อปออนไลน์ไม่หวือหวา คึกคักเหมือนโควิดระบาดครั้งแรก ประกอบกับปัจจุบันกำลังซื้อกลุ่มเป้าหมายลดลงอย่างมาก

นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เครือเบทาโกร กล่าวว่า ธุรกิจอาหารจะไปต่อได้ต้องดูแลบริหารจัดการซัพพลายเชนไม่ให้ได้รับผลกระทบจากโรคระบาด แต่ตลอดระยะเวลา 14 เดือนที่เกิดวิกฤติโควิด-19 การระบาดเกิดขึ้น 3-4 ระลอกแล้ว ทำให้โรงงานอาหารขนาดใหญ่หลายประเภทมีผู้ติดเชื้อ เช่น โรงงานผลิตสับปะรดกะป๋อง โรงงานผลิตไก่ ฯ ซึ่งแต่ละแห่งมีพนักงานหลายพันคน บางแห่ง 5,000-6,000 คน

ทั้งนี้ ในระบบซัพพลายเชนการผลิตอาหารหมวดโปรตีน มีการใช้ระบบการส่งมอบวัตถุดิบ ส่งสินค้าให้ทันเวลา( Just-in-time) ในระบบการผลิตทั้งหมู ไก่ หลายแสนตัวต่อโรงงาน หากสะดุด จะกระทบต้นน้ำถึงปลายน้ำอย่างมาก โดยวิธีการป้องกันของบริษัทคือการตั้งห้องประชุมเชิงยุทธศาสตร์(War room) สำรวจสุขภาพพนักงานตลอดเวลา ทำงานร่วมกับรัฐอย่างใกล้ชิด และต้องมีแผนงานต่อเนื่องหรือBCP ไว้สำคัญมาก

"แม้ดูแลป้องกันอย่างดี สุดท้ายก็ประสบปัญหาโรงงานผลิตไก่ที่มีพนักงานเกือบหมื่นคนมีผู้ติดเชื้อ สถานการณ์เหมือนกรุงแตก เพราะเอาไม่อยู่ ใน 3 สัปดาห์ เราทำงานร่วมกับรัฐ เพื่อให้ฟื้นตัว นี่เป็นบทเรียนสำคัญ ระยะสั้นองค์ความรู้สามารถนำไปดูแลหากเกิดกรณีเดียวกันในจังหวัดอื่น"

นายจรัญพจน์ รุจิราโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ส.ขอนแก่นฟู้ดส์ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ในห่วงโซการผลิตสินค้า ต้นน้ำคือโรงงานบริษัทมีการดูแลสุขอนามัยพนักงานอย่างใกล้ชิด และตนเป็นคนรับรายงานตัวเลขระบบสุขภาพของทุกคนโดยตรงทุกวันเพื่อให้รู้ว่ามีใครป่วยหรือไม่ป่วยบ้าง

นอกจากนี้ เพื่อป้องกันการติดเชื้อมีการสั่งให้พนักงานพักอาศัยที่ฟาร์ม เพราะนอกจากโรคโควิด-19 ยังมีโรคระบาดของหมูเกิดขึ้นด้วย ส่วนฝ่ายอื่นๆทั้งการผลิต ฝ่ายขาย รวมถึงธุรกิจร้านอาหาร ต้องมีการทำแผนงานต่อเนื่องรองรับ ซึ่งปัจจุบันทำถึง 6 แผน เช่น ฝ่ายผลิตหากบรรจุสินค้าไม่ได้ ฝ่ายขายพร้อมไปช่วย มีการหาแหล่งวัตถุดิบผลิตอาหารจากทั่วโลก ไม่แค่ไทย เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น ส่วนการขายเมื่อช่องทางห้างค้าปลีกปิด ได้ปรับตัวไปรุกร้านค้าทั่วไป โดยเฉพาะร้านธงฟ้า ซึ่งมีอยู่นับแสนแห่งทั่วประเทศ
#2762


ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้านี้เคลื่อนไหวในแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนยังวิตกกังวลว่ารัฐบาลจีนจะยังคงเดินหน้าเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้นโยบายควบคุมบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ รวมถึงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา

ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,442.94 จุด ลดลง 5.05 จุด หรือ -0.15%, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 27,612.90 จุด ลดลง 28.93 จุด หรือ -0.10% และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 26,161.83 จุด ลดลง 32.99 จุด หรือ -0.13%

นักลงทุนจับตาความเคลื่อนไหวของหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดสหรัฐฯ หลังปรับตัวลง เนื่องจากมีรายงานว่าธุรกิจเกมออนไลน์อาจกลายเป็นเป้าหมายต่อไปที่รัฐบาลจีนจะเข้ามากำหนดกฎระเบียบใหม่ในด้านการลงทุน

ขณะเดียวกัน ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์โควิด-19 โดยเมื่อวานนี้ เมืองอู่ฮั่น ในมณฑลหูเป่ยของจีนได้ประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ในพื้นที่บางส่วนของเมือง หลังเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นยืนยันพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาเพิ่มอีก 3 ราย โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเมืองอู่ฮั่นระบุว่า จะดำเนินการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ให้ประชาชนทุกคน โดยใช้วิธีการทดสอบกรดนิวคลิอิก

นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในภูมิภาคซึ่งจะเปิดเผยวันนี้ ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือน ก.ค. ของจีนจากไฉซิน และทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเดือน ก.ค.ของเกาหลีใต้
#2763


"กิมตึ้ง" เป็นชื่อของเครื่องลายครามจีนที่นำมาจัดเป็นเครื่องโต๊ะบูชาของไทย ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในสมัยรัชกาลที่ ๕ งานใหญ่ในสมัยนั้นจะขาดการจัดประกวด "โต๊ะกิมตึ้ง" เสียมิได้ ส่วนกฎกติกาประกวดก็ถึงกับออกเป็น พ.ร.บ.ในปี ๒๔๔๔ มีชื่อว่า "พระราชบัญญัติข้อบังคับในการตัดสินเครื่องโต๊ะ รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๙" มีหลักเกณฑ์ว่า เครื่องลายครามที่นำมาจัดโต๊ะนั้นจะต้องเป็นลายเดียวกันทั้งชุด มีรูปร่างสวย เนื้อดี สีสวย ลวดลายดี และต้องเป็นของเก่าที่มีการเก็บรักษาไว้อย่างดีไม่มีบุบสลาย ทั้งต้องเป็นของที่ไม่มีใครเหมือน ความนิยมเครื่องกิมตึ้งนี้ถึงขนาดมีการเอาชื่อลายต่างๆ ซึ่งบางลายก็เป็นภาษาจีน ไปตั้งเป็นชื่อถนนที่อยู่รอบพระราชวังสวนดุสิตถึง ๑๙ สาย

เหตุที่มาของความนิยมโต๊ะกิมตึ้งได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ ๑ แล้ว ซึ่งบ้านเมืองอยู่ในช่วงว่างศึก มีความสงบร่มเย็น ศัตรูที่เข้ามารังควานตลอดนั้นได้ถูกปราบปรามจนขยาดไปแล้ว การค้าขายจึงรุ่งเรือง มีสำเภาส่งไปค้าขายกับเมืองจีนไม่ขาดสาย เริ่มแรกมีการเล่นป้านถ้วยชา มีการสะสมป้านถ้วยชาจีนยี่ห้อต่างๆ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๒ เมื่อมีการสร้างพระตำหนักสวนขวา ราชทูตไทยที่ไปเมืองจีนได้เห็นการตกแต่งวังและบ้านขุนนางด้วยเครื่องลายคราม จึงนำกลับมาใช้ตกแต่งพระตำหนักสวนขวาด้วย ทำให้พระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางนิยมตามไปด้วย เริ่มมีการประกวดกัน บ้างก็ส่งลายเบญจรงค์ของไทยไปให้ช่างจีนทำ

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๓ ซึ่งทรงมีพระราชนิยมสร้างวัด นอกจากจะทรงใช้ถ้วยชามจีนตกแต่งวัดจอมทองหรือวัดราชโอรสาราม ที่ทรงสร้างแล้ว ยังได้จัดเครื่องโต๊ะลายครามไปถวายวัดด้วย

เมื่อได้รับความนิยมมากขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ พระยาโชฎึกเศรษฐี (พุก) จึงสั่งทำเครื่องโต๊ะจากเมืองจีนมาเป็นชุดสำเร็จรูป จากโรงงานยี่ห้อ "กิมตึ้งฮกกี่" เรียกกันว่า "โต๊ะกิมตึ้ง" ขายชุดละ ๒๔๐ บาท เมื่อโต๊ะกิมตึ้งมาเป็นโต๊ะโหลแบบนี้ ความนิยมโต๊ะกิมตึ้งจึงซาลง เพราะใครๆที่มีเงินก็มีได้ ไม่ต้องสะสม

ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรวบรวมเครื่องถ้วยชาม "ลายผักกาด" จากสมัยรัชกาลที่ ๒ กับ "ลายมังกรห้าเล็บ" อีกโต๊ะหนึ่ง มาตั้งในงานฉลองหอสมุดวชิรญาณในปี ๒๔๓๐ บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางก็หันมานิยมโต๊ะกิมตึ้งกันอีกครั้ง จนมีการประกวดกันอย่างแพร่หลายและใหญ่โตยิ่งกว่ายุคที่ผ่านมา การจัดโต๊ะกิมตึ้งนี้ แม้จะใช้เครื่องลายครามจีนเป็นหลัก แต่ก็จัดตามความนิยมแบบไทย ไม่ได้จัดตามแบบจีน

เครื่องกิมตึ้งมาโด่งดังแรงสุด เมื่อมีการสร้างพระราชวังสวนดุสิต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯได้ทรงพระราชทานนามถนนรอบพระราชวังแห่งนี้เป็นชื่อของเครื่องกิมตึ้งทั้งหมด ๑๙ สาย แต่ในสมัยรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชทานนามใหม่ถนนชุดนี้ ๑๕ สาย คงชื่อเดิมไว้เพียง ๔ สาย คือ

๑. ถนนซังฮี้ จากแม่น้ำเจ้าพระยาที่สะพานกรุงธนบุรี หรือ "สะพานซังฮี้" ไปจนถึงถนนราชปรารภ เปลี่ยนเป็น "ถนนราชวิถี"

๒. ถนนฮก จากถนนลูกหลวง ริมคลองผดุงกรุงเกษม ผ่านหน้าทำเนียบรัฐบาล ข้ามถนนพิษณุโลก มาสุดที่หน้าวัดเบญจมบพิตร เปลี่ยนเป็น "ถนนนครปฐม"

๓. ถนนลก จากถนนลูกหลวง ตรงข้ามฝั่งคลองกับทำเนียบรัฐบาล ขนานคลองเปรมประชากร จนไปบรรจบกับถนนเตชะวณิชที่สะพานแดง เปลี่ยนเป็น "ถนนพระรามที่ ๕"

๔. ถนนสิ้ว หรือ ซิ่ว จากสะพานยมราช ขนานทางรถไฟไปถึงคลองสามเสน เปลี่ยนเป็น "ถนนสวรรคโลก"

๕. ถนนดวงตะวัน จากแม่น้ำเจ้าพระยา ข้างวัดเทวราชกุญชร ข้ามถนนสามเสน ผ่านหน้าบ้านสี่เสา ไปจนถึงถนนราชปรารภ เปลี่ยนเป็น "ถนนศรีอยุธยา"

๖. ถนนดวงเดือน จากแม่น้ำเจ้าพระยาไปจดถนนสิ้ว เปลี่ยนเป็น "ถนนศุโขทัย"

๗. ถนนดวงดาว จากถนนพิษณุโลกถึงคลองสามเสน เปลี่ยนเป็น"ถนนนครราชสีมา"

๘. ถนนพุดตาน จากถนนซังฮี้ไปถึงคลองสามเสน เปลี่ยนเป็น "ถนนพิชัย"

๙. ถนนเบญจมาศ จากสะพานมัฆวานรังสรรค์ถึงพระราชวังวังสวนดุสิต เปลี่ยนเป็น "ถนนราชดำเนิน" เป็นส่วนหนึ่งของถนนราชดำเนินนอก

๑๐. ถนนประทัดทอง จากถนนประทุมวัน ผ่านถนนประแจจีนที่สี่แยกอุรุพงษ์ เลียบคลองประปาไปจนถึงถนนเตชะวณิชที่บางซื่อ ซึ่งเรียกกันเพี้ยนเป็น "บรรทัดทอง" เปลี่ยนเป็น "ถนนพระรามที่ ๖"

๑๑. ถนนส้มมือ แยกจากถนนสุโขทัยถึงคลองสามเสน เปลี่ยนเป็น "ถนนสุพรรณ"

๑๒. ถนนใบพร จากถนนสามเสนหน้าท่าวาสุกรีถึงถนนนครราชสีมาเปลี่ยนชื่อเป็น "ถนนอู่ทองนอก" กับอีกส่วนจากลานพระบรมรูป เลียบข้างพระที่นั่งอนันตสมาคม จดถนนราชวิถี เปลี่ยนเป็น "ถนนอู่ทองใน"

๑๓. ถนนคอเสื้อ จากถนนสามเสนถึงสะพานยมราช เปลี่ยนเป็น "ถนนพิษณุโลก"

๑๔. ถนนราชวัตร จากแม่น้ำเจ้าพระยาที่ศรีย่าน ถึงถนนพระรามที่ ๖ เปลี่ยนเป็น "ถนนนครไชยศรี"

๑๕. ถนนประแจจีน จากสะพานยมราชตรงไปถึงสะพานเฉลิมโลก เปลี่ยนเป็น "ถนนเพชรบุรี"

ยังมีถนนที่ได้ชื่อตามเครื่องลายครามในยุคนั้น แต่ไม่ได้ถูกเปลี่ยนชื่อไปด้วย คือ

"ถนนเขียวไข่กา" จากถนนสามเสนข้างโรงเรียนราชินีบนถึง "ท่าเขียวไข่กา" ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

"ถนนขาว" จากถนนซังฮี้ ขนานกับแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านหลังวชิรพยาบาล มาถึงถนนสุโขทัย

"ถนนสังคโลก" จากถนนสามเสนข้างวชิรพยาบาลด้านใต้ ไปเชื่อมถนนขาว

"ถนนทับทิม" แยกจากถนนสุโขทัย คู่ขนานกับถนนส้มมือ

นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในความเป็นมาของบ้านเมืองเราก่อนจะถึงวันนี้
#2764


ดิ เอเชียน แบงเกอร์ (The Asian Banker) ยกย่อง "บัณฑูร ล่ำซำ" เป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดช่วงการดำรงตำแหน่ง สามารถขับเคลื่อนองค์กรให้ผ่านพ้นวิกฤติ มุ่งดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคง เป็นองค์กรที่ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ริเริ่มขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นหนึ่งในธนาคารแห่งความยั่งยืนระดับโลก จนประสบความสำเร็จตลอด 40 ปีที่ได้บริหารธนาคารกสิกรไทย

ดิ เอเชียน แบงเกอร์ วารสารเศรษฐกิจการเงินชั้นนำของเอเชีย ได้ประกาศเกียรติคุณมอบรางวัล The Asian Banker Leadership Achievement Awards 2021 for Lifetime Achievement in Leadership in the Financial Services Industry ให้แก่นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกิตติคุณ (Chairman Emeritus) ธนาคารกสิกรไทย ในฐานะผู้นำที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดช่วงดำรงตำแหน่งในธนาคาร นับเป็นผู้บริหารสถาบันการเงินไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลเกียรติยศนี้

ทั้งนี้ รางวัลนี้นับได้ว่าเป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่สุดรางวัลหนึ่ง เนื่องจากเป็นการให้การยอมรับต่อบุคคลที่ได้ก้าวล้ำหน้าไปในแวดวงของตนเอง และดำรงความมีชื่อเสียง ความสามารถและความสำเร็จอย่างโดดเด่นตลอดมา เป็นการสร้างเกณฑ์มาตรฐานสำหรับวัดถึงผลสำเร็จในอุตสาหกรรมนี้ ผู้ที่เคยได้รับรางวัลดังกล่าวในอดีตต่างเป็นผู้ที่ได้มีส่วนสำคัญในการก่อร่างสร้างองค์กรที่เข้มแข็ง และในบางกรณีก็เป็นบุคคลที่ได้สร้างอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นในประเทศของตน

วารสาร The Asian Banker มอบรางวัลนี้ให้แก่บุคคลที่ไม่เพียงแต่ปฏิรูปองค์กรที่ตนเองทำงานอยู่เท่านั้น แต่ยังได้สร้างความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญให้แก่อุตสาหกรรมการให้บริการทางการเงินในประเทศและภูมิภาคด้วย ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีความโดดเด่นทั้งในด้านผลงานและภาวะผู้นำ อีกทั้งบุคคลที่ได้รับรางวัลนี้ยังมีคุณลักษณะที่ประกอบด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ความซื่อสัตย์สุจริต ความสำเร็จที่น่าประทับใจและเชาว์ปัญญาที่เฉียบแหลม ซึ่งกำลังถูกมองข้ามไปในวงการธุรกิจปัจจุบัน ผลงานความสำเร็จได้รับการยอมรับทั้งจากพันธมิตรและคู่แข่งในตลาด

ในช่วงที่ผ่านมา บุคคลที่เคยได้รับรางวัลนี้ล้วนเป็นผู้นำในแวดวงการเงินของแต่ละประเทศในเอเชีย อาทิ ดร.โจว เสี่ยวชวน อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศจีน (Dr. Zhou Xiaochuan, former Governor of People's Bank of China), ดร.เซติ อัคตาร์ อาซิซ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศมาเลเซีย (Dr. Zeti Akhtar Aziz, former Governor of Bank Negara Malaysia), มร.อแมนโด้ เอ็ม. เตตังโก้ จูเนียร์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศฟิลิปปินส์ (Mr. Amando M. Tetangco Jr, former Governor of Bangko Sentral ng. Pilipinas), มร.หลิว หมิงคัง อดีตประธานคณะกรรมการกำกับธนาคารแห่งประเทศจีน (Mr. Liu Mingkang, former Chairman of China Banking Regulatory Commission)

ทั้งนี้ คณะกรรมการผู้พิจารณารางวัลมีความเห็นว่า วิสัยทัศน์และความเป็นผู้นำเชิงยุทธศาสตร์ของนายบัณฑูร ตลอด 40 ปีที่ได้บริหารงานในธนาคารกสิกรไทย ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ของไทย ได้ปรับเปลี่ยนให้ธนาคารกสิกรไทยกลายเป็นองค์กรตัวอย่าง ซึ่งได้รับการยกย่องและยอมรับอย่างกว้างขวาง ตลอดช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งสูงสุดในธนาคาร และยังสามารถขับเคลื่อนองค์กรให้ผ่านพ้นวิกฤติและความท้าทายนานัปการ ทำให้ธนาคารสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคง ทั้งยังเป็นองค์กรที่ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ดำเนินธุรกิจตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี ริเริ่มขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นหนึ่งในธนาคารแห่งความยั่งยืนระดับโลก

https:// m.mgronline.com/stockmarket/detail/9640000075745
#2765


คู่รักดาราในวงการบันเทิงหลายคู่ที่หลังแต่งงานแล้ว วางแผนอยากจะมีลูกน้อยมาเป็นโซ่ทองคล้องใจ แต่ทำทุกวิถีทางก็ยังไม่ท้องสักที จนต้องพึ่งกระบวนการทางการแพทย์ในการรักษาผู้มีบุตรยาก โดยการทำเด็กหลอดแก้ว หรือ เรียกว่า อิ๊กซี่ (ICSI) บ้างคู่ทำอิ๊กซี่หลายครั้ง สูญเงินหลักล้าน เบบี๋ก็ยังไม่มาสักที แต่มีอีกหลายคู่ที่เคยมีปัญหามีบุตรยากและประสบความสำเร็จในการทำอิ๊กซี่ตั้งแต่ครั้งแรก เช่น คู่ของ "แอปเปิ้ล สีสะเหงียน – ฟลุค จิระ", "เจม กาลย์กัลยา - เชน ธนาตรัยฉัตร", "ครี-พัสวีพิชญ์ - ประเสริฐ เวชมัชฌิมาบุญ" , "บุ้ง ใบหยก - เวฟ สาริน", "บุ๋ม มินตยา -ต๊ะ บอยสเก๊าท์" และอีกคู่ที่เพิ่งประกาศข่าวดีว่าท้องแล้วไปเมื่อไม่นานมานี้ "บี มาติกา – กร กรกฤช" ซึ่งแต่ละคู่ต่างก็กระซิบบอกมาว่า ทำอิ๊กซี่สำเร็จตั้งแต่ครั้งแรกไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ที่ทำได้เพราะว่ามีที่ปรึกษาดี นั้นคือ "ครูก้อย -นัชชา ลอยชูศักดิ์" ภรรยาคนเก่ง "เจมส์ - เรื่องศักดิ์ ลอยชูศักดิ์" ที่มีดีกรีเป็นถึงครูวิทยาศาสตร์ และเคยมีปัญหามีบุตรยากมาก่อน ผ่านการรักษาผู้มีบุตรยากมาแล้วทุกกระบวนการ จนเอ็กซ์เปิร์ทด้านผู้มีบุตรยากไปแล้ว



เพราะหลังจากที่ "ครูก้อย" ประสบปัญหามีบุตรยากจึงทำให้ครูก้อยหันมาศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับผู้มีบุตรยากและการเตรียมตัวก่อนเข้าสู่กระบวนทางการแพทย์ทั้งในไทยและต่างประเทศเพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการตั้งครรภ์ โดยหันมาเน้นโภชนาการส่งเสริมภาวะเจริญพันธุ์ (Fertility Diet) หรือ เรียกว่า "คัมภีร์อาหารที่คนอยากท้องต้องกิน" โดยเน้นทานอาหารที่หลากหลายครบ 5 หมู่ ซึ่งประกอบไปด้วย อาหารหมู่หลัก (Macronutrients) 70% และ วิตามินและแร่ธาตุ (Micronutrients) 30 % ภายใต้ 5 Keys to Success ในการเตรียมตั้งครรภ์สำหรับผู้มีบุตรยาก ได้แก่ 1.เพิ่มโปรตีน 2.ลดคาร์บ 3.งดหวาน 4.ทานกรดไขมันดี5.เน้นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ และเสริมด้วยวิตามินบำรุง ก่อนเข้าสู่กระบวนการทำอิ๊กซี่ จนประสบความสำเร็จตั้งครรภ์ "น้องเมดา" และปัจจุบันยังมีตัวอ่อนคัดโครโมโซมผ่าน เหลืออีก 2 ตัว หญิง 1 ชาย 1 พร้อมใส่ตัวอ่อนต้นปีหน้า จึงทำให้ครูก้อย เข้าใจปัญหาของผู้มีบุตรยากเป็นอย่างดี พร้อมเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนตั้งครรภ์ และมีตัวอย่างเคสผู้มีบุตรยากจำนวนมาก ผ่านทางเว็บไซต์ ยูทูป และเพจภายใต้ชื่อเดียวกันที่ babyandmom.co.th



โดย "แอปเปิ้ล สีสะเหงียน" ภรรยา "ฟลุค- จิระ" หนึ่งในคู่รักดาราที่มีบุตรยากได้เล่าว่า มาพบกับครูก้อย หลังจากผ่านการรักษาด้วยการทำ IUI แล้ว แต่ไม่สำเร็จ เพราะไม่ได้บำรุงเตรียมตัวก่อนไปทำ ตอนนั้นแอปเปิ้ลอายุเพียง 30 ปี แม้อายุยังไม่เยอะมาก แต่เปิ้ลเป็น PCOS ไข่ใบเล็กจำนวนมากหรือถุงน้ำในรังไข่ และพบติ่งเนื้อในมดลูก พร้อมกับอยากมีลูกปีกุน ซึ่งหากช้ากว่านี้จะหลุดปีกุน จึงมาพบกับครูก้อยด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจมาก และก็เริ่มศึกษาวิธีการเตรียมตั้งครรภ์ก่อนทำอิ๊กซี่ ตาม "คัมภีร์อาหารที่คนอยากท้องต้องกิน" ซึ่งเปิ้ลได้ความรู้จากครูก้อยเยอะมาก รวมถึงเข้าใจกระบวนการทำเด็กหลอดแก้วมากขึ้น รู้ไปถึงระดับเซลล์เลยว่า แบบไหนเรียกว่าไข่สวย ตัวอ่อนหลังปฎิสนธิแบ่งตัวอย่างไร ทำให้เรารู้ว่า หลังเตรียมมาดี ผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งหลังการเตรียมตัวประมาณ 3 เดือน ก็เปลี่ยนมาทำคลินิกเดียวกับครูก้อย หลังเก็บไข่เปิ้ลได้ไข่สวยโตตามเกณฑ์ 20 - 22 มิล. เก็บไข่ได้ 17 ใบ เป็นไข่สุก 14 ใบ หลังการทำอิ๊กซี่ได้ ตัวอ่อน Day 1 ปฏิสนธิ 8 ตัว เลี้ยงจนถึง Day 3 เหลือ 5 ตัว และเลี้ยงถึง Day 5 เหลือ 5 ตัวเท่าเดิม ซึ่งครูก้อยบอกว่าตามสถิติแล้ว ตัวอ่อน Day3 ไปเป็น Day5 จะต้องถึงบลาสโตซีสท์ 50 % ก็ถือว่าดีมาก แต่ของเปิ้ลถึง 100% ครูก้อยบอกว่าสุดยอดมาก หลังจากนั้นใช้เวลาเตรียมผนังมดลูก อีก 1 รอบเดือนตามคัมภีร์ครูก้อย ใส่ตัวอ่อนครั้งแรกและติดเลยค่ะ และตัวอ่อนในวันนั้นก็เป็น "น้องจูนี่" ในวันนี้ ส่วน "น้องจูน่า" เปิ้ลชิลมากเตรียมผนังมดลูกตามคัมภีร์เตรียมตั้งครรภ์เหมือนเดิม และไปรับตัวอ่อนที่ฟรีซไว้ ใส่ครั้งเดียวติดเช่นกันค่ะ



ด้าน "เจม กาลย์กัลยา" ภรรยาของ "เชน – ธนาตรัยฉัตร" ได้เล่าถึงเส้นทาง กว่าจะเป็นคุณแม่ว่า ตอนนั้นเจมอายุ 29 และพี่เชนก็อายุ 30 ต้นๆ คิดว่าเราทั้งคู่ไม่น่าจะมีปัญหามีลูกยากหลังแต่งงานคิดว่าเที่ยวกัน2คนและฮันนีมูนกันก่อน แต่พออยากจะมีลูก ลูกก็ไม่มาสักทีพร้อมกับดูฤกษ์ไว้แล้ว ถ้าช้าก็จะหลุดปีนั้นไป ได้เจอกับ "พี่เจมส์ เรืองศักดิ์" ก็คุยกับพี่เจมส์ว่าหนูก็อยากมีลูก ปล่อยแล้วยังไม่มา แล้ว "พี่เจมส์"บอกให้มาคุยกับ "ครูก้อย" เพราะครูก้อยเขาเอ็กซ์เปิร์ทด้านนี้ไปแล้ว และก็ได้คุยกัน ตอนที่ไปตรวจเพื่อเตรียมเข้ากระบวนการทำเด็กหลอกแก้ว คุณหมอบอกว่า เจมมีปัญหาไข่น้อย เมื่อเทียบกับคนอายุเท่ากัน ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ท้องยาก จึงปรึกษากับครูก้อยและ บำรุงตาม "คัมภีร์อาหารที่คนอยากท้องต้องกิน" เพื่อเตรียมบำรุงไข่ให้มีคุณภาพก่อนเข้าสู่กระบวนการทำอิ๊กซี่ ซึ่งหลังจากการเตรียมตัวมาดีทำให้ไข่โตตามเกณฑ์ ได้ตัวอ่อนคุณภาพดีเกรด A และเตรียมผนังมดลูก 1 เดือนใส่ตัวอ่อนรอบเดียวติด แล้วก็ได้แบบ "น้องสเปซ" เลย สมบูรณ์มาก ส่วนลูกคนที่สอง "น้องสเตลล่า" คือตั้งใจไปทำอิ๊กซี่รอบ 2 แต่ปรากฏว่าหลังบำรุงมาดีตามคัมภีร์ครูก้อยน้องมาธรรมชาติค่ะ



ส่วน ครี - พัสวีพิชญ์ ศรณ์อัครภา และสามีนักธุรกิจ ประเสริฐ เวชมัชฌิมาบุญ คุณแม่ของน้อง"พิโนต์" เผยว่า รู้จักเพจครูก้อยจากเพื่อนแนะนำ เนื่องจากผิดหวังมาหลายครั้ง ทั้งวิธีธรรมชาติ นับวันตกไข่ กินยาจีน และฉีดน้ำเชื้อเข้าสู่โพรงมดลูก (IUI) แต่ก็ไม่สำเร็จ เนื่องจากไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย และมีปัญหา PCOS ไข่ใบเล็กจำนวนมาก ในรังไข่ พอเพื่อนแนะนำว่า ให้ลองไปติดตามครูก้อย babyandmom.co.th มีคนทำอิ๊กซี่ครั้งเดียวติด ด้วยพื้นฐานครีเป็นคนละเอียดทำอะไรจะศึกษาก่อน อ่านทุกอย่าง ดูทุกคลิป รอดูครูก้อยไลฟ์ ทุกอย่างมันเมคเช้นส์ และครูก้อยอธิบายละเอียดมาก ทุกอย่างมีที่มาที่ไป ทุกอย่างคือวิทยาศาสตร์ และเริ่มปรึกษาครูก้อย และกินตาม"คัมภีร์อาหารที่คนอยากท้องต้องกิน" และทำตามครูก้อยแนะนำอย่างจริงจัง ไปเที่ยวต่างประเทศยังโหลดอาหารบำรุงขึ้นเครื่องไปด้วย ใช้เวลาเตรียมตัวเข้ม 3 เดือน ได้ไข่สวย 20 ใบ เลี้ยงตัวอ่อน Day 3 ได้13ตัว และเลี้ยงถึง Day 5 ระยะบลาสต์โตซิส 13 ตัว ตัวอ่อนไม่ฝ่อเลย ทุบสถิติทางการแพทย์ เพราะปกติตามสถิติ ถึงบลาสต์ แค่ 50% "นักวิทยาศาสตร์ที่คลินิกบอกเลยว่า ตั้งแต่เปิดคลินิกมา ยังไม่เคยเห็นคนอายุ 37 ปี ได้ตัวอ่อนถึง บลาสต์ในDay 5 แบบ 100% เลย" หลังจากนั้นเตรียมผนังมดลูกสองรอบเดือน อัดโปรตีนทุกวัน ดื่มชาดอกคำฝอยขับประจำเดือนเก่าที่คั่งค้าง และทำ Castor oil pack บำบัดมดลูก ได้ผนังมดลูกหนา 12 มิล สวย เรียงสามชั้น ใส่ตัวอ่อนรอบเดียวติดเลยค่ะ



"บุ้ง -สะธี ใบหยก" ภรรยา "เวฟ- สาริน" คุณแม่ "น้องบุญ" ทายาทหมื่นล้านตึกใบหยก ได้เผยถึงเส้นทางก่อนจะมาปรึกษากับครูก้อยว่า คิดว่าถ้า 1 ปีไม่มีลูก ก็จะทำอิ๊กซี่ ปีนิดๆก็ยังไม่มี บุ้งก็เลยปรึกษาหมอค่ะ แต่พอฉีดยากระตุ้นไข่ หมอบอกว่าผนังมดลูกบุ้งเป็นคลื่น เดิมก็เป็นคนประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หลังกระตุ้นไข่ ได้ไข่ 20 ฟอง คัดโครโมโซมผ่าน10 ตัว ก่อนใส่ตัวอ่อนเลยปรึกษากับครูก้อย เตรียมผนังมดลูกตาม "คัมภีร์อาหารที่คนอยากท้องต้องกิน" เน้นโปรตีนเพื่อให้ผนังมดลูกหนาฟู ใช้เวลาเตรียมผนังมดลูก2 เดือน หมอชมผนังหนาตามเกณฑ์ใส่ตัวอ่อน ทำอิ๊กซี่(ICSI) ครั้งเดียวติด บุ้งขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ บุ้งคิดว่า "สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเตรียมตัว บำรุงให้พร้อม และไม่เครียด"



ด้าน "บุ๋ม มินตยา" ภรรยา "ต๊ะ บอยสเก๊าท์" หรือ ต๊ะ–ฌานิศ ใหญ่เสมอ ที่ประสบปัญหาเรื่อง ซีสต์รังไข่ คุณภาพของไข่ จึงปรึกษากับครูก้อย และเตรียมบำรุงไข่ "คัมภีร์อาหารที่คนอยากท้องต้องกิน" ของครูก้อย ก่อนเข้าสู่กระบวนการทำอิ๊กซี่ แม้จะได้ตัวอ่อนเกรดบี แต่ก็คัดโครโมโซมผ่าน รวมถึงเตรียมผนังก่อนใส่ตัวอ่อนได้ผนังหนา 10 มิล. เรียง 3 ชั้นสวย ใส่ตัวอ่อนครั้งเดียวติด ได้ลูกสาว "น้องปิ๊งปิ๊ง" มาเติมเต็มชีวิตครอบครัวให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น



และคุณแม่ป้ายแดงที่เพิ่งประกาศข่าวดีตั้งครรภ์ไปเมื่อไม่นานมานี้ "บี-มาติกา" และ สามีนักธุรกิจหนุ่ม "กร กรกฤช" ได้แชร์ประสบการณ์มีลูกยากว่า บีมีปัญหาจำนวนไข่ตั้งต้นน้อยมาก ผลตรวจฮอร์โมนบอกจำนวนไข่ตั้งต้น AMH=0.18 ซึ่งตอนนั้นอายุเพียง 33 ปี และเคยกระตุ้นไข่มาแล้วหลายครั้ง และในทุกรอบ กระตุ้นไข่ได้แค่ 1-2 ใบ และไม่เคยได้ตัวอ่อนถึงบลาสโตซีสท์เลย ครูก้อยบอกบีว่า "ไม่เป็นไร มีไข่น้อย เราก็ต้องบำรุงให้มาก" บีตั้งใจมากส่งรายงานการกินตาม "คัมภีร์อาหารที่คนอยากท้องต้องกิน" ทุกวันเป็นเวลา 4 เดือนเต็ม บำรุงกระตุ้น บำรุงกระตุ้น จนได้ผลตอบสนองดีมาเรื่อยๆ เชื่อไหมว่า...หลังจากปรับหลักโภชนาการตามคัมภีร์ของครูก้อย บีได้ตัวอ่อนคัดโครโมโซมผ่านถึง 3 ตัว และใส่ครั้งเดียวติด



"ครูก้อย นัชชา ลอยชูศักดิ์" ได้ฝากเคล็ดลับพิชิตเบบี๋ทำอิ๊กซี่ครั้งเดียวติดว่า สำหรับแม่ๆที่มีบุตรยากและวางแผนจะเข้าปรึกษาแพทย์เพื่อเตรียมทำเด็กหลอดแก้วหรือว่าอิ๊กซี่ แนะนำให้เตรียมความพร้อมก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 3 เดือน เพราะโอกาสของความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพไข่ คุณภาพสเปิร์ม ความหนาตัวและความแข็งแรงของเยื่อบุโพรงมดมดลูก รวมถึงฮอร์โมนตั้งต้นที่สมดุล โดยสามารถติดตามเคล็ดลับเตรียมตั้งครรภ์ได้ที่ เว็บไซต์ เพจ หรือแอดไลน์มาสอบถามรายละเอียดได้ ภายใต้ชื่อเดียวกันที่ babyandmom.co.th
#2766


สุดาพร สีสอนดี นักชกหญิงทีมชาติไทย ถึงกับน้ำตาคลอหลังคว้าเหรียญทองแดงมวยสากลสมัครเล่น โอลิมปิก 2020 มาคล้องคอไว้เบื้องต้น ก่อนขอบคุณบิดาผู้ล่วงลับ ที่ผลักดันและสนับสนุนจนมาถึงวันแห่งความสำเร็จ

ขุนพลกำปั้นคนสุดท้ายที่เหลือของทัพไทย ขึ้นสังเวียนมุมน้ำเงินรุ่น 60 กก. ด้วยสีหน้ามั่นใจ ก่อนเดินลุยชกกับ แคโรไลน์ ดูบัวส์ แชมป์ ยูธ โอลิมปิก จากสหราชอาณาจักร ด้วยฟอร์มที่สนุกสูสีและชนะไปแบบเฉือนหวิว 3-2 เสียง

ผลงานนี้ทำให้ "เจ้าแต้ว" การันตีเหรียญทองแดงไปคล้องคอให้อุ่นใจแล้ว และเป็นนักกีฬาไทยคนที่สองที่มีเหรียญโอลิมปิกต่อจาก "น้องเทนนิส" พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ เจ้าของเหรียญทองกีฬาเทควันโด้ ที่ซิวไปได้ก่อนตั้งแต่วันแรก

หลังเกม สุดาพร เผยว่า "ก่อนขึ้นชกก็มีกดดันมากค่ะ แต่เราก็พยายามไม่คิดอะไร ส่วนคู่ต่อสู้วันนี้เป็นมวยต่อยยาว มีหมัดหน้าที่ดี ซึ่งเราศึกษาดูเทปการชกเขามา 3 รอบ แล้วซ้อมกับโค้ช กับน้องๆ เพื่อเตรียมตัวให้ดีที่สุด"

"ไฟต์ต่อไปเจอกับนักชกจากไอร์แลนด์ เราเจอกันมาแล้วครั้งหนึ่งในศึกชิงแชมป์โลก แต่ก็ต้องกลับไปดูก่อนว่าครั้งนี้เขาต่อยเป็นยังไง แล้วค่อยไปสู้ ไปวัดกันบนเวที"

เมื่อถูกถามถึงช่วงเวลาที่กรรมการผายมือให้ตัวเองเป็นผู้ชนะ นักชกหญิงวัย 29 ปี เผยว่า "ดีใจมาก พูดอะไรไม่ออกเลย เพราะมันคือความฝันของเรา แต่จากนี้วางเป้ายังไง ก็คือขอมองไปทีละรอบดีกว่า"

สุดท้าย สุดาพร ยังให้เครดิตคุณพ่อยอดนคร ที่เสียชีวิตเมื่อ 7 ปีก่อน โดยบอกว่าถ้าไม่มีคุณพ่อก็คงไม่ได้มายืนจุดนี้ "ตอนนี้คิดถึงคนที่บ้าน คิดถึงพ่อ ถ้าไม่มีพ่อก็คงไม่มีวันนี้ เพราะพ่อบังคับให้หนูต่อยมวย (หัวเราะทั้งน้ำตา) ถ้าพ่อยังรับรู้ก็อยากบอกว่าวันนี้หนูทำได้แล้ว"

สำหรับ สุดาพร สีสอนดี มีโปรแกรมขึ้นชกรอบรองชนะเลิศ เจอกับ เคลลี แฮร์ริงตัน จากไอร์แลนด์ วันที่ 5 สิงหาคม 2564 โดยคู่นี้เคยเจอกันมาแล้วในรอบชิงชนะเลิศศึกชิงแชมป์โลก ปี 2018 ที่อินเดีย แล้วเป็น แฮร์ริงตัน ที่ได้เหรียญทอง ส่วน สุดาพร ได้เหรียญเงิน

https:// m.mgronline.com/sport/detail/9640000075814
#2767


เผยรัฐประกาศเพิ่มล็อกดาวน์ 29 จังหวัดมีความจำเป็น ประมาณการความเสียหายอสังหาฯ ไตรมาส 3 กว่า 40,000 ล้านบาท พฤกษาฯ คาดลูกค้าเยี่ยมโครงการหาย 20% มั่นใจดิจิทัลมาร์เกตติ้ง-แคมเปญกระตุ้นลูกค้าตัดสินใจช่วยรักษารายได้ตามเป้า ชี้ปลดล็อกดาวน์แคมป์ก่อสร้าง หนุนรายได้ หลัง 7 คอนโดรอโอนปี 64 กลับมาก่อสร้างตามกำหนด ด้าน "ฟินิกซ์" ชี้ล็อกดาวน์เพิ่มไม่กระทบอสังหาฯ มากกว่าในปัจจุบัน แค่ตอกย้ำความเลวร้ายสถานการณ์โควิด-19

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทพฤกษาเรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS กล่าวว่า การล็อกดาวน์เพิ่มเป็น 29 จังหวัด เป็นสถานการณ์ที่จำเป็น แม้ว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค โดยคาดว่าผลกระทบจากการประกาศล็อกดาวน์เพิ่มอีก 1 เดือน จะส่งผลต่อจีดีพีของไตรมาสที่ 3 ให้หดตัวค่อนข้างมาก ขณะที่ตลาดรวมอสังหาริมทรัพย์น่าจะได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ในครั้งนี้คิดเป็นมูลค่าประมาณ 40,000 ล้านบาท ส่วนผลกระทบต่อพฤกษาฯ นั้น คาดว่าจะมีผลต่อยอดการเข้าเยี่ยมชมโครงการลดลงกว่า 20%

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาพฤกษาฯ มีการทำตลาดผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ทำให้ผลกระทบดังกล่าวไม่มีผลต่อยอดขายในไตรมาสนี้มากนัก ส่วนผลกระทบที่ค่อนข้างหนักในช่วงนี้ คือ การชะลอการตัดสินใจซื้อของลูกค้า ซึ่งเป็นผลกระทบด้านจิตวิทยาที่มีต่อความเชื่อมั่น ทำให้มีการเลื่อนการตัดสินใจออกไปในระยะนี้ แต่อย่างไรก็ตาม พฤกษาฯ ได้มีการจัดแคมเปญกระตุ้นการตัดสินใจลูกค้าด้วยแคมเปญใหม่ๆ ซึ่งทำให้ลูกค้าที่มีความพร้อมตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น เพราะการซื้อในช่วงนี้จะได้บ้านในราคาที่ดี และช่วยพฤกษาฯ สามารถรักษาเป้ายอดขายได้

ส่วนกรณีการปลดล็อกดาวน์การปิดแคมป์คนงานก่อสร้างนั้นจะส่งผลดีต่อภาคการก่อสร้างของผู้ประกอบการโดยรวม ขณะที่พฤกษาฯ จะได้อานิสงส์จากการปลดล็อกดาวน์ ทำให้งานก่อสร้างกลับมาเดินหน้าตามกำหนด ซึ่งจะช่วยให้มีกระแสเงินสดจากการทยอยโอนห้องชุดจาก 7 โครงการ ซึ่งครอบคลุมทุกแบรนด์ ทุกเซกเมนต์ในตลาดคอนโดที่กำลังจะก่อสร้างเสร็จและทยอยส่งมอบในปี 64 นี้ โดยจะทำให้มีรายได้จากการโอนใน 7 โครงการดังกล่าว 5,000-6,000 ล้านบาท หรือกว่า 50% ของโครงการทั้งหมด

ขณะเดียวกัน ในกลุ่มสินค้าแนวราบซึ่งพฤกษาฯ มียอดขายล่วงหน้าไปแล้วกว่า 2,000 ล้านบาทนั้น จะสามารถกลับมาเร่งงานก่อสร้างเพื่อให้สามารถส่งมอบบ้านให้ลูกค้าได้ทันตามกำหนด ซึ่งจะช่วยให้พฤกษาฯ มีรายได้จากการโอนในกลุ่มสินค้าเข้ามาเพิ่มในไตรมาสนี้อีกส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การเร่งงานก่อสร้างนั้น พฤกษาฯ จะต้องดำเนินภายใต้การมาตรการ "บับเบิล แอนด์ ซีล" (bubble and seal) ซึ่งเป็นการควบคุมแรงงานก่อสร้าง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดการติดเชื้อ โดยแรงงานต้องควบคุมการเดินทางระหว่างที่ทำงานกับที่พักอาศัยตามข้อกำหนดที่ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) กำหนดไว้

"เพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในแคมป์คนงาน พฤกษาฯ ได้เตรียมวัคซีนไว้ฉีดให้แรงงานก่อสร้างกว่า 10,000 คน นอกจากนี้ ยังวางมาตรการควบคุมดูแลแรงงานก่อสร้างเพื่อให้สอดรับกับมาตรการภาครัฐด้วย"

ด้าน นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟีนิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอนซัลแทนซี่ จำกัด กล่าวว่า การประกาศเพิ่มพื้นที่ล็อกดาวน์เพิ่มเป็น 29จังหวัดนั้นไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาฯ มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเพราะตลาดในขณะนี้ค่อนข้างแย่อยู่แล้ว แต่จะกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทำให้เกิดการชะลอตัดสินใจซื้อเพิ่มขึ้นเพราะเป็นการตอกย้ำว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดในขณะนี้เลวร้ายจริงๆ และยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจต่างๆ อย่างหนักไม่ใช่เพียงแค่การวิตกมากเกินไปเหมือนกับช่วงปีก่อนหน้า

"กลุ่มคนที่กำลังจะซื้อที่อยู่อาศัยอาจจะชะลอซื้อไปไม่รีบร้อนซื้อที่อยู่อาศัยในขณะนี้ แต่กลุ่มที่ผ่านขั้นตอนขอสินเชื่อและได้รับการอนุมัติแล้วน่าจะไม่มีการยกเลิกการตัดสินใจซื้อ"

ส่วนการปลดล็อกดาวน์แคมป์คนงานก่อสร้างนั้นน่าจะส่งผลดีต่อโครงการที่มีแผนจะโอนในปีนี้ ซึ่งหลังการปลดล็อกดาวน์คาดว่าจะทำให้ผู้รับเหมาก่อสร้างเร่งระดมแรงงานตามไซต์งานต่างๆ เร่งงานก่อสร้างโครงการที่จะส่งมอบหรือโอนในปีนี้เพื่อให้งานก่อสร้างแล้วเสร็จตามกำหนดซึ่งจะทำให้ได้รับค่างวดงานก่อสร้างเข้ามาใช้เป็นกระแสเงินสดในการดำเนินธุรกิจได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าการล็อกดาวน์แคมป์ก่อสร้างในช่วงที่ผ่านมาทำให้แรงงานก่อสร้างในระบบหายไปค่อนข้างมาก ดังนั้น แม้จะปลดล็อกดาวน์แล้ว สถานการณ์ขาดแคลนแรงงานในตลาดก็จะยังไม่ดีขึ้น

https:// m.mgronline.com/stockmarket/detail/9640000075602
#2768


ด้วยสถานการณ์วิกฤตของประเทศไทย จากผลพ่วงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จำเป็นที่จะต้องปรับตัวเพื่ออยู่รอด และช่องทางการขายผ่านร้านสะดวกซื้ออย่าง เซ่เว่นอีเลฟเว่น ที่มีสาขาทั่วประเทศ กว่า 7,000 สาขา เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีหลายรายหมายปอง อยากจะได้นำสินค้าเข้ามาวางขาย

อย่างไรก็ตาม จากการเปิดกว้าง ต้อนรับผู้ประกอบการรายเล็กอย่างเอสเอ็มอี ทำให้การนำสินค้าเข้ามาวางขายในร้านสะดวกซื้อชื่อดัง มันอาจจะไม่ใช่เรื่องยากยุคนี้ แต่ความยากอยู่ที่จะทำอย่างไรรักษายอดขาย และรักษาพื้นที่วางขายให้อยู่ได้นานๆเป็นเรื่องที่ยากกว่า วันนี้ ทางบริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่ นำเรื่องราวและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ตลอดจนแนวคิดของ 5 SMEs ไทยที่ประสบความสำเร็จ สามารถสร้างยอดขายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นได้อย่างต่อเนื่องและยาวนานกว่าทศวรรษ มาร่วมแบ่งปันเคล็ดลับให้กับผู้ประกอบการ SMEs ได้ต่อยอดธุรกิจสู่ความสำเร็จ


ขนมตาล EZY SWEET ยกระดับขนมไทยด้วยเทคโนโลยี

นับเป็นอีกหนึ่ง SME ที่ต้องจับตามอง เพราะเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการขนมไทยเพียงไม่กี่ราย ที่เป็นคู่ค้ากับ เซเว่น อีเลฟเว่น มานานเกือบ 10 ปี อย่าง บริษัท เจ เอช แอนด์ สโนว์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเติบโตจนเป็นที่รู้จักจากแบรนด์ "แม่สุนีย์ ขนมไทย" ปัจจุบันได้ผันตัวมาผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ EZY SWEET ให้กับ ซีพี ออลล์ เนื่องจากเชื่อมั่นในการเติบโตของตลาดขนมไทยรวมถึงการส่งเสริมองค์ความรู้อย่างรอบด้านโดยเฉพาะเทคโนโลยี และการตลาด

นายก้องปพัฒน์ เรืองจินดาชัยกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ เอช แอนด์ สโนว์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า จากความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ แม่สุนีย์ ขนมไทย ทำให้บริษัทมีความคิดที่จะต่อยอดโอกาสไปสู่ขนมไทยประเภทอื่นๆ จึงได้ร่วมปรึกษากับซีพี ออลล์ ในการพัฒนาสินค้าตัวใหม่ ซึ่งได้รับคำแนะนำให้ทดลองผลิตขนมตาล ภายใต้โจทย์ว่าจะทำอย่างไรให้ขนมตาลยังคงนุ่ม หอม น่ารับประทานเหมือนเพิ่งนึ่งมาใหม่ มีเนื้อสัมผัสและรสสัมผัสไม่เปลี่ยนแปลงแม้นำไปอุ่น โดยใช้เวลาในการคิดค้นประมาณ 1 ปี จนได้มาเป็นกระบวนการผลิตที่เป็นเทคนิคเฉพาะของบริษัท สามารถผลิตได้ในปริมาณมากถึง 6,000 ชิ้นต่อวัน และมีอายุการเก็บรักษา (Shelf Life) ประมาณ 1 สัปดาห์



สร้างยอดขายในเซเว่น 65,000 ชิ้นต่อวัน

"การผลิตขนมไทยแบบเดิมๆ จะใช้ภูมิปัญญาที่ได้รับถ่ายทอดมา แต่การผลิตในเชิงอุตสาหกรรมต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อช่วยยืดอายุขนมและรักษารสชาติให้คงเดิม สำหรับตัวขนมตาลถือเป็นโจทย์ที่ยากมาก เพราะปัญหาคือเนื้อขนมจะแข็งหากทิ้งไว้นาน หรือแฉะเมื่อนำไปอุ่น ทำให้รสชาติเปลี่ยนได้ แต่จากการแนะนำด้านเทคโนโลยีของซีพี ออลล์ ทำให้เราสามารถแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ บวกกับวัตถุดิบตาลพันธุ์ดีที่เรารับซื้อจากเกษตรกร จ.เพชรบุรี ทำให้เมื่อออกวางจำหน่ายจึงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยมียอดจำหน่ายสูงสุดถึงวันละประมาณ 10,000 ชิ้นต่อวัน จากยอดขายทั้งหมดของบริษัทในสินค้าทุกประเภทที่วางจำหน่ายในปัจจุบันร่วม 9 รายการ ทั้งในส่วนของแบรนด์แม่สุนีย์ ขนมไทย และ EZY SWEET ที่มียอดขาย 650,000 ชิ้นต่อวัน การที่ SME จะเติบโตได้อย่างยั่งยืนนั้น บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องสร้างแบรนด์ของตนเอง แต่สิ่งที่จำเป็นคือพันธมิตรและคู่คิดที่ดี" ก้องปพัฒน์ กล่าว


20 ปี ขนมไทย "แม่ละมาย" ในเซเว่น
สร้างยอดขายกว่า 100 ล้านบาทต่อปี

คงไม่มีใครไม่รู้จักแบรนด์ "แม่ละมาย" เพราะมีสินค้าครอบคลุมทั้งเครื่องดื่มและขนมหวานวางจำหน่ายในเซเว่น อีเลฟเว่นนานกว่า 20 ปี ตั้งแต่เริ่มต้นส่งในเซเว่น อีเลฟเว่นเพียงแค่ 20 สาขา กระทั่งปัจจุบันมีจำหน่ายมากกว่า 10,000 สาขาทั่วประเทศ โดยมีสินค้ามากกว่า 10 ตัว อาทิ วุ้นมะพร้าวผสมเม็ดแมงลัก,วุ้นมะพร้าวรวมมิตรในน้ำลำไย,วุ้นมะพร้าวรวมมิตรในน้ำแดง,ลูกตาลลอยแก้ว,วุ้นมะพร้าวผสมเม็ดแมงลักในน้ำใบเตย,เครื่องดื่มเม็ดแมงลักผสมวุ้นมะพร้าวในน้ำแดง,น้ำขิงผสมวุ้นมะพร้าว,น้ำใบเตยผสมวุ้นมะพร้าว และยังมีสินค้าช่วงเทศกาล เช่น ถั่วเขียวต้มน้ำตาล, เต้าทึง ซึ่งได้สร้างยอดขายให้บริษัทมากกว่า 100 ล้านบาทต่อปี



ถ่ายทอดองค์ความรู้เกษตรกรเติบโตไปด้วยกัน 

นายวีระ ตั้งวุทฒิไกรวิทย์ หุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด แม่ละมาย ผู้ผลิตขนมหวานตรา "แม่ละมาย" เล่าให้ฟังว่า สิ่งที่ทำให้แบรนด์ "แม่ละมาย" เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน คือ การได้แบ่งปันโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับเหล่าซัพพลายเออร์ ด้วยการมอบความรู้ให้กับเกษตรกรในเรื่องการเพาะปลูก การเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต การเก็บเกี่ยวเพื่อให้ได้คุณภาพของวัตถุดิบ ที่จะนำมาผลิตเป็นสินค้าคุณภาพส่งต่อให้กับผู้บริโภค ตลอดจนรับซื้อสินค้าเกษตรจากเกษตรกรในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศในรูปแบบประกันราคา ไม่ว่าจะเป็นวุ้นน้ำมะพร้าว,เม็ดแมงลัก,ลำไยอบแห้ง,ลูกตาล,สัปปะรด คิดเป็นปริมาณการใช้งานเฉลี่ยกว่า 1,000 ตันต่อปี และก่อให้เกิดการจ้างงานในชุมชนคิดเป็นจำนวนเงินราว 12-14 ล้านบาทต่อปี

"การที่ SME จะเติบโตได้อย่างยั่งยืน ต้องรู้จักแบ่งปันโอกาสการเติบโตให้กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในส่วนของเรามองว่า เกษตรกร ถือเป็นซัพพลายเออร์หลักที่มีความสำคัญอย่างมากที่จะทำให้เราได้วัตถุดิบมีคุณภาพ เพื่อนำมาผลิตสินค้าให้กับผู้บริโภค วัตถุดิบที่ดีบวกกับการรักษามาตรฐานการผลิตสินค้าให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค นำมาซึ่งยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เราเรียกการเติบโตเช่นนี้ว่า การเติบโตแบบยั่งยืน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ" วีระ กล่าว

นอกจากการให้โอกาสแล้ว ในฐานะที่เป็น SME สิ่งที่จะขาดไม่ได้คือ การพัฒนาตัวเองและสินค้าอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดบริษัทได้มีการนำ แห้ว ซึ่งเป็นพืชพื้นถิ่นของ จ.สุพรรณบุรี มาใช้เป็นส่วนประกอบในวุ้นมะพร้าวรวมมิตรในน้ำแดง และได้ทีม ซีพี ออลล์ มาช่วยเป็นที่ปรึกษาในเรื่องการพัฒนาแพ็กเก็จจิ้ง ให้มีความสวยงามทันสมัย สะดวกต่อการบริโภค รวมถึงมาตรฐานการผลิต เนื่องจากมองว่ายิ่งเป็นแบรนด์ที่อยู่มานาน ยิ่งต้องพัฒนาสินค้าให้มีความหลากหลาย เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาด



30 ปี เฉาก๊วยในน้ำเชื่อม "ปุ้น&เปา"ในเซเว่น
ลดความผิดพลาด สร้างคุณภาพสม่ำเสมอ

นับเป็นเวลาร่วม 30 ปีที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ชลกิจปทานผล ได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์คุณภาพและอยู่เคียงข้างเป็นบริษัทคู่ค้ากับเซเว่น อีเลฟเว่น มาโดยตลอด จนในวันนี้แบรนด์ "ปุ้น&เปา" ได้ถูกส่งไม้ต่อให้ทายาทรุ่นที่ 2 เข้ามาช่วยสานต่อกิจการและยังคงเดินทางร่วมกับซีพี ออลล์ เพื่อทำภารกิจส่งมอบสินค้าคุณภาพ ในราคาที่เข้าถึงง่ายสู่มือผู้บริโภคทุกวัน



นำเครื่องจักรช่วยลดความผิดพลาดให้กิจการเล็กๆ 

ชลกุล ชลกิจปทานผล หุ้นส่วนผู้จัดการ หจก.ชลกิจปทานผล เล่าย้อนความให้ฟังว่า เฉาก๊วยในน้ำเชื่อม "ปุ้น&เปา" เป็นสินค้าตัวที่ 3 ที่บริษัทส่งขายให้กับเซเว่น อีเลฟเว่น จากเดิมเคยทำวุ้นกะทิและวุ้นน้ำมะพร้าวในน้ำเชื่อม แต่ด้วยความไม่แน่นอนในเรื่องของราคาวัตถุดิบหลักอย่างมะพร้าว จึงทำให้คุณพ่อมองหาสินค้าตัวใหม่ ซึ่งก็คือ "เฉาก๊วยในน้ำเชื่อม" โดยใช้แบรนด์ "ปุ้น&เปา" ในรูปแบบพร้อมดื่มและแบบถ้วย นอกจากนี้ ยังเพิ่มรูปแบบการจำหน่ายสู่แบบถุงภายใต้แบรนด์ "บางช้าง" ในราคาเพียง 8-12 บาทเท่านั้น ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีรายได้ประมาณ 100 ล้านบาทต่อปี และสร้างยอดขายสูงสุด 100,000 ถ้วยต่อวัน

"แม้ว่าจะเพิ่งเข้ามารับช่วงต่อจากคุณพ่อได้เพียง 3 ปี แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านมักสอนเสมอก็คือ เราจะต้องเป็น SME ที่มีประสิทธิภาพ ภายใต้นิยามใหม่ที่ตั้งขึ้นมาเอง SME (Small Micro Enterprises) นั่นคือพยายามทำให้องค์กรเล็กที่สุด แต่ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด ด้วยเหตุนี้ คุณพ่อจึงหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของการพัฒนาเครื่องจักรเพื่อลดความผิดพลาดในส่วนต่างๆ เพราะการเป็นคู่ค้ากับซีพี ออลล์ สิ่งสำคัญคือเราต้องผลิตสินค้าให้ได้คุณภาพ ส่งผลให้วันนี้เราสามารถผลิตสินค้าได้เพิ่มขึ้นจาก 10,000 ถ้วยต่อวันในปี 2545 เป็น 120,000 ถ้วยต่อวัน ด้วยคนจำนวนเท่ากันคือ 15 คน" ชลกุล กล่าว


"วรพร" ผลไม้แปรรูป เลือกวัตถุดิบคุณภาพ
20 ปี ในเซเว่น ช่วยส่งต่อความยั่งยืนสู่ชุมชน

"วรพร" แบรนด์ผลไม้แปรรูปที่ยืนหยัดอยู่ในธุรกิจผลไม้แปรรูปมานานกว่า 50 ปี อีกทั้งยังเป็นคู่ค้าสำคัญของซีพี ออลล์มาถึงกว่า 20 ปี ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท ผลไม้แปรรูปวรพร จำกัด ปัจจุบันถูกส่งไม้ต่อให้ทายาทรุ่นที่ 3 เข้ามาช่วยสานต่อกิจการ เพื่อทำภารกิจส่งมอบสินค้าคุณภาพ ในราคาที่เข้าถึงง่ายสู่มือผู้บริโภค

ชัยพร โสธรนพบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลไม้แปรรูปวรพร จำกัด เล่าย้อนความให้ฟังว่า แบรนด์"วรพร" ถือกำเนิดจากธุรกิจครอบครัวโดยสินค้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ มะม่วงแช่อิ่ม กระทั่งเมื่อกว่า 20 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้รับโอกาสจาก ซีพี ออลล์ ให้นำสินค้าเข้าไปจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น พร้อมกับถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านต่างๆ เรียกว่าเป็นการพลิกโฉม มะม่วงแช่อิ่มแบบเดิมๆ ที่ดองใส่ขวดโหล สู่บรรจุภัณฑ์พร้อมรับประทานเจ้าแรกของประเทศ



3 ข้อหัวใจหลักทำให้ "วรพร" ประสบความสำเร็จ

สำหรับรสชาติและคุณภาพที่ได้มาตรฐาน ตลอดจนการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในวันนี้ "วรพร" สามารถสร้างยอดขายจากทั้งในประเทศและต่างประเทศได้สูงถึงกว่า 130 ล้านบาทต่อปี โดยยอดขายกว่า 60-65% มาจากมะม่วงแช่อิ่มพร้อมทาน มะม่วงแช่อิ่มพร้อมพริกเกลือ มะขามแช่อิ่ม มะดันแช่อิ่ม มะปรางแช่อิ่ม มะม่วงกวน และมะม่วงกวนปรุงรส ที่จำหน่ายในเซเว่น อีเลฟเว่น

"ด้วยความที่สินค้าของเราเป็นสินค้าเพื่อการบริโภค หัวใจหลักในการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จและเติบโตได้อย่างยั่งยืนจึงต้องมี 3 ข้อนี้คือ 1.ต้องสร้างมาตรฐานการผลิต เพื่อให้ได้สินค้าที่ได้มาตรฐาน ต้องหมั่นทดสอบสินค้าอยู่เสมอว่ามีรสชาติคงเดิมหรือไม่ ถ้ารสชาติเปลี่ยนไปก็ต้องหาคำตอบให้ได้ว่าเกิดจากสาเหตุใด มาจากขั้นตอนการผลิตหรือวัตถุดิบ เพื่อจะได้รีบดำเนินการแก้ไข 2.ใช้วัตถุดิบคุณภาพ เราเลือกใช้มะม่วงของ จ.ฉะเชิงเทรา แหล่งผลิตมะม่วงที่ดีที่สุดของประเทศไทย โดยเรารับซื้อมะม่วงจากเกษตรกรประมาณ 5,000 ตันต่อปี และ 3.ส่งต่อความยั่งยืนสู่ชุมชน เรามองว่า เกษตรกร เป็นซัพพลายเออร์หลักที่มีความสำคัญอย่างมากที่จะทำให้เราได้วัตถุดิบมีคุณภาพ เพื่อนำมาผลิตสินค้าให้กับผู้บริโภค วัตถุดิบที่ดีบวกกับการรักษามาตรฐานการผลิตสินค้าให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค นำมาซึ่งยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เราเรียกการเติบโตเช่นนี้ว่า การเติบโตแบบยั่งยืน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ" ชัยพร กล่าว

จากร้านห้องแถว คุณเก๋ขนมหวาน
สู่รายได้ 140 ล้าน/ปี ในเซเว่น

จากห้องแถว 2 คูหา กำลังการผลิตเพียง 10,000 ถ้วยต่อวัน ในปี 2551 ยอดขายเพียงหลักล้านบาทต่อปี สู่โรงงานขนาดมาตรฐานที่มีกำลังการผลิต 60,000 ถ้วยต่อวัน กับยอดขายที่สูงถึงกว่า 140 ล้านบาทต่อปีในปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนของ บริษัท คุณเก๋ขนมหวาน จำกัด ได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ดี การจะมาถึงจุดนี้ได้นั้น มนสวรรณ ศรัณย์เวชกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท คุณเก๋ขนมหวาน จำกัด กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยการเรียนรู้และปรับตัวรอบด้าน พร้อมกับเปิดกว้างด้านความคิด เนื่องจากเดิมบริษัทเป็นที่รู้จักในนามของ "คุณเก๋ขนมหวาน" แต่ปัจจุบันได้มีโอกาสก้าวมาพัฒนาสินค้าร่วมกับซีพี ออลล์ ภายใต้แบรนด์ EZY SWEET มีสินค้าส่งจำหน่ายให้กับเซเว่น อีเลฟเว่น รวม 10 ชนิด อาทิ สาคูเปียกข้าวโพด ทับทิมกรอบกะทิสด รวมมิตรกะทิสด ด้วยยอดผลิตสูงสุด 60,000 ถ้วยต่อวัน



องค์ความรู้ที่ดี ก้าวย่างสำคัญ SMEs เติบโตยั่งยืน

"SMEs ส่วนใหญ่คิดจะพัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ของตัวเองซึ่งก็เป็นเรื่องดี แต่เราอาจจะพลาดองค์ความรู้ดีๆ ที่จะได้รับจากพันธมิตร เช่น งานวิจัยการตลาด เทคโนโลยีด้านการผลิต การอบรมเพิ่มทักษะด้านต่างๆ ซึ่งเรามองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้สินค้าของเราสามารถแข่งขันในตลาดได้ในระยะยาว เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคตลอดจนเทคโนโลยีต่างๆเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้เรายังสามารถส่งต่อองค์ความรู้ที่ได้รับกลับไปสู่ซัพพลายเชนของเราได้อีกด้วย อาทิ เรื่องของธรรมาภิบาล จะต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับชุมชน แต่เราต้องสร้างการเติบโตให้กับชุมชน ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนแบบองค์รวม" มนสวรรณ กล่าว

การเติบโตที่แข็งแกร่ง เกิดจากการนำเอาประสบการณ์ของผู้ที่ประสบความสำเร็จไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับธุรกิจของตนเอง โอกาสที่จะเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนย่อมไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม
#2769


เมืองชายฝั่งทั่วเอเชีย ได้แก่ ฮ่องกง โตเกียว จาการ์ต้า โซล ไทเป มะนิลา และกรุงเทพฯ กำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากน้ำท่วมที่มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและพายุหมุนเขตร้อนที่เข้มข้นมากขึ้น

รายงานของกรีนพีซ เอเชียตะวันออก คาดการณ์ว่าภายในปี 2573 ประชาชนกว่า 15 ล้านคนใน 7 เมือง อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อน้ำท่วม การวิเคราะห์ครั้งนี้เป็นหนึ่งในการวิเคราะห์ครั้งแรกที่ใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่ที่มีความละเอียดสูงในการระบุถึงพื้นที่ของเมืองที่อาจได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และขอบเขตของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

เมืองชายฝั่งทั่วเอเชียกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากน้ำท่วมที่มากขึ้นเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและพายุโซนร้อนที่เข้มข้นมากขึ้น คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(IPCC) เตือนว่า การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ระหว่าง 0.43-0.84 เมตรภายในปี พ.ศ.2643 (IPCC, 2019) ขณะเดียวกัน ตลอดศตวรรษที่ 21 พายุมีความเร็วลมรุนแรงซึ่งสร้างความเสียหายมากขึ้น คลื่นพายุซัดฝั่งที่สูงขึ้น และปริมาณน้ำฝนที่มีสภาวะสุดขีดมากกว่าในอดีต (Knutson et al., 2020)

คิม มีกยอง ผู้จัดการโครงการภาวะฉุกเฉินด้านสภาพภูมิอากาศ กรีนพีซ เอเชียตะวันออก กล่าวว่า "ภายในทศวรรษนี้ เมืองที่อยู่ติดชายฝั่งในเอเชียจะมีความเสี่ยงสูงจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและพายุที่เข้มข้นรุนแรงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อบ้านเรือน ความปลอดภัย และวิถีชีวิตของผู้คน นอกจากเหลือเวลาไม่มากในการยุติโครงการเชื้อเพลิงฟอสซิลทั้งหมด รัฐบาลแต่ละประเทศจะต้องดำเนินการระบบบริหารจัดการน้ำท่วมและการแจ้งเตือนล่วงหน้าเพิ่มมากขึ้น ปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงเป้าหมายภายใต้แผนที่นำทางก๊าซเรือนกระจกของประเทศ (nationally determined contribution targets) นั้นไม่เพียงพอที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากน้ำท่วมชายฝั่งในสภาวะสุดขีด"

นอกจากอินโดนีเซีย และไทเป อีกหลายเมืองในเอเชียที่จะได้รับผลกระทบเช่นกัน เช่น จาการ์ตา โตเกียว ฮ่องกง โซล มะนิลา รวมทั้งกรุงเทพมหานครด้วย

เราเลือกเมือง 7 แห่งในเอเชียที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและตั้งอยู่บนชายฝั่งหรือใกล้ชายฝั่งเพื่อวิเคราะห์ถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ว่าจะได้รับผลกระทบอย่างไรจากน้ำท่วมชายฝั่ง(coastal flooding) ในปี พ.ศ.2573 ตามภาพฉายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นไปตามปกติ (business as usual) การวิเคราะห์ของเราชี้ให้เห็นว่าวิกฤตสภาพภูมิอากาศอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเมืองต่างๆ ที่อยู่ในรายงานนี้ ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งทศวรรษ เว้นแต่เราจะลงมือทำในทันทีเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างรวดเร็ว

จากปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงเป้าหมายภายใต้แผนที่นำทางก๊าซเรือนกระจกขอประเทศ(nationally determined contribution targets) นั้นยังไม่เพียงพอที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากน้ำท่วมชายฝั่งแบบสภาวะสุดขีด รัฐบาลและบรรษัทต่างๆ ต้องลงมือทำอย่างเป็นรูปธรรมให้เร็วขึ้น เช่น ยุติการสนับสนุนทางการเงินให้กับอุตสาหกรรมถ่านหินและเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานหมุนเวียนที่สะอาด เพื่อป้องกันมิให้อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกเพิ่มมากไปกว่า 1.5 องศาเซลเซียส

ข้อมูลอ้างอิง Greenpeace Thailand
อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ >> https:// act.gp/2Tf58WS
#2770



นายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า สายการบินไทยแอร์เอเชียได้รับผลกระทบการระบาดหลายระลอกจากวิกฤติโควิด-19 มานานกว่า 1 ปีครึ่ง โดยเฉพาะการระบาดระลอก 4 ส่งผลให้ไทยแอร์เอเชียประกาศหยุดทำการบินเส้นทางในประเทศชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค.-8 ส.ค.นี้

ล่าสุดทางไทยแอร์เอเชียได้ออกมาตรการระยะสั้นเพื่อควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่าย เพื่อเลื่อนและแบ่งจ่ายเงินเดือนพนักงาน โดยสายการบินฯได้ขอความร่วมมือจากพนักงานเพิ่มเติม สำหรับเดือน ก.ค.2564 ดังนี้

พนักงานระดับผู้จัดการขึ้นไป รวมถึงผู้บริหารระดับสูง เลื่อนการจ่ายเงินเดือนทั้งหมดไปในเดือน ก.ย. 2564

พนักงานระดับปฏิบัติการขึ้นไปที่ Active (ปฏิบัติงานอยู่) จ่ายเงินเดือน 50% และเลื่อนการจ่าย 50% ที่เหลือไปในเดือน ก.ย.2564

พนักงานที่ Inactive (ไม่ได้ปฏิบัติงาน) เลื่อนการจ่ายเงิน 25% ไปในเดือน ก.ย.2564

หลังได้รับผลกระทบจากมาตรการรัฐ เมื่อสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ออกประกาศระงับทำการบินขนส่งผู้โดยสารเข้าออกพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (พื้นที่สีแดงเข้ม) เป็นการชั่วคราว มีผลตั้งแต่วันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา

นายธรรศพลฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า คาดว่าแนวโน้มตลอดเดือน ส.ค.นี้ ไทยแอร์เอเชียจะยังคงหยุดทำการบินเส้นทางในประเทศเป็นการชั่วคราวตลอดทั้งเดือน ถึงแม้ว่ารัฐบาลยังไม่ประกาศล็อกดาวน์เกี่ยวกับระงับเที่ยวบินชั่วคราวเพิ่มเติม ณ ปัจจุบัน แต่จากการประเมินแนวโน้มและสถานการณ์ยอดผู้ติดเชื้อในไทยที่พุ่งสูงแล้ว น่าจะล็อกดาวน์ต่อ ถึงอนุญาตให้ทำการบิน สายการบินก็คงทำการบินกันน้อยมาก เพราะไม่คุ้มทุน มีเพียงการเดินทางตามความจำเป็น ทำธุระ หรือค้าขาย ยังไม่สามารถออกเดินทางท่องเที่ยวได้ตามปกติ

"อย่างไรก็ตามคงต้องรอดูประกาศของรัฐบาลอีกที แต่ดูแนวโน้มแล้วน่าจะล็อกดาวน์ต่อ ไม่สามารถทำการบินได้ เพราะฉะนั้นในเดือน ส.ค.นี้ทำให้สายการบินไทยแอร์เอเชียมีรายได้เป็นศูนย์ และอาจจะไม่ได้จ่ายเงินเดือนให้แก่พนักงานเลย โดยจะยื่นเรื่องขอความช่วยเหลือจากสำนักงานประกันสังคมให้ช่วยจ่ายรายได้ชดเชยแก่พนักงานของไทยแอร์เอเชียซึ่งปัจจุบันมีจำนวนกว่า 5,000 คน"

สำหรับแผนการปรับโครงสร้างกิจการเพื่อมุ่งเสริมสภาพคล่องของไทยแอร์เอเชียที่ประกาศเมื่อปลายเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา น่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือน ก.ย.นี้ เงินทุนก้อนแรกน่าจะเข้ามาเสริมสภาพคล่องแก่ไทยแอร์เอเชียในเดือนดังกล่าว แล้วนำมาจ่ายเงินเดือนพนักงานย้อนหลังที่ติดค้างไว้

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952173
#2771



อาการนอนไม่หลับสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย มีหลายปัจจัยที่ทำให้นอนไม่หลับ หากเป็นติดต่อกันนานๆ จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ทำให้ร่างกายอ่อนเพลียและประสิทธิภาพในการทำงานของสมองลดลง ใครที่มีอาการดังกล่าวไม่ควรนิ่งนอนใจ หากปล่อยไว้อาจกลายเป็นอาการนอนไม่หลับเรื้อรังได้ 

โรคนอนไม่หลับ (Insomnia) มีหลายแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกง่วงมากแต่นอนไม่หลับ สมองไม่หยุดคิด นอนหลับตื้นแล้วตื่นกลางดึกบ่อยๆ หรือใช้เวลานานกว่าจะข่มตาหลับ หากรู้สึกว่าอาการเหล่านี้รบกวนคุณภาพของการนอน ก็เป็นไปได้ว่ามีความผิดปกติในวงจรการหลับ โดยแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ดังนี้

นอนหลับยาก - ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะหลับ
หลับไม่ทน - ตื่นกลางดึกแล้วไม่สามารถนอนหลับต่อได้
หลับๆ ตื่นๆ - เคลิ้มๆ หลับเป็นพักๆ รู้สึกเหมือนไม่ได้นอนหลับเลยตลอดคืน

สาเหตุของการนอนไม่หลับ มีอะไรบ้าง?
ปัจจัยที่ทำให้นอนไม่หลับในเวลากลางคืนมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน ซึ่งหากนอนไม่หลับติดต่อกันบ่อยๆ ก็จะทำให้รู้สึกอ่อนล้า เพลีย ไม่มีสมาธิ ความจำไม่ดี ส่งผลให้สมองไม่มีประสิทธิภาพในการควบคุมการทำงานของร่างกาย อาจทำให้เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุระหว่างวันได้ สำหรับสาเหตุที่ทำให้นอนไม่หลับ เกิดจากปัจจัยต่อไปนี้

ปัจจัยทางร่างกาย : มีไข้ มีอาการเจ็บป่วย เจ็บปวดบริเวณต่างๆ ของร่างกาย จนทำให้นอนหลับยาก
ปัจจัยทางจิตใจ : ความวิตกกังวล ความเครียด โรคไบโพลาร์ โรคซึมเศร้า ฯลฯ
ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม : ห้องมีแสงสว่างมากเกินไป มีเสียงดังรบกวนการนอน ดื่มเครื่องดื่มกาเฟอีน เล่นเกมและเล่นมือถือก่อนนอน กินอาหารที่ย่อยยาก ออกกำลังกายหนักก่อนนอน เป็นต้น

วิธีแก้อาการนอนไม่หลับ ฝึกนิสัยการนอนใหม่ตั้งแต่วันนี้
นอนไม่หลับทำไงดี? หากเข้านอนแล้ว แต่หลังจากผ่านไป 30 นาที ก็ยังไม่สามารถข่มตาหลับได้ ให้ลุกขึ้นไปหากิจกรรมผ่อนคลายก่อนนอน เช่น ฟังเพลงสบายๆ อ่านหนังสือ นั่งสมาธิ หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่ไม่กระตุ้นความเครียดและความรู้สึกตื่นตัว เพราะจะทำให้นอนหลับยากกว่าเดิม และที่สำคัญควรปรับนิสัยการนอนเสียใหม่ เพื่อทำให้การนอนหลับพักผ่อนในแต่ละคืนมีคุณภาพมากขึ้น เช่น

ไม่ควรนอนกลางวันนานเกินไป หากต้องการงีบพักผ่อนก็ให้ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง
ไม่ควรนอนกลางวันหลังเวลา 15.00 น. เป็นต้นไป เพราะจะทำให้นอนหลับยากในกลางคืน
ในวันหยุดก็ควรเข้านอนและตื่นนอนเวลาเดิมอยู่เสมอ 
หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนในช่วงเย็น ช่วงหัวค่ำ และก่อนนอน
จัดห้องนอนให้มืดสนิท บรรยากาศเงียบไม่มีเสียงรบกวน
ฝึกเล่นโยคะ นั่งสมาธิ และผ่อนลมหายใจเข้า-ออก จะช่วยให้หลับง่ายขึ้น
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักก่อนนอน
ปิดสัญญาณอินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือ เพื่อไม่ให้เสียงแจ้งเตือนรบกวนการนอน

เครื่องดื่มช่วยให้นอนหลับ มีอะไรบ้าง?
นอนไม่หลับ ควรกินอะไรดี? หลายคนอาจจะเคยลองมาทุกวิธีแล้ว แต่ก็ยังนอนไม่หลับเหมือนเดิม ก็สามารถหันมาแก้ปัญหาด้วยการ "กิน" ได้เช่นกัน บางคนอาจรู้สึกหิวกลางดึกจนนอนไม่หลับ แต่ก็ไม่อยากลุกขึ้นมากินข้าวมื้อดึก ก็ให้เปลี่ยนมากินกล้วยสุก 1 ผล หรือโยเกิร์ต 1 ถ้วย เพื่อให้กลับไปนอนหลับสบายมากขึ้น

นอกจากนี้ ก็ยังมีอาหารอื่นๆ ที่หากกินก่อนนอน จะช่วยให้นอนหลับง่าย และส่งผลดีต่อระบบการย่อยอาหารอีกด้วย เช่น ชาคาโมมายล์  น้ำผึ้ง ซีเรียล ธัญพืช รวมถึงถั่วและอัลมอนด์ ซึ่งช่วยลดความเครียด ทำให้รู้สึกนอนหลับง่ายขึ้นนั่นเอง


อย่างไรก็ตาม การรักษาอาการนอนไม่หลับของแต่ละคนมีวิธีที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้รู้สึกนอนไม่หลับ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องปรับเปลี่ยนนิสัยการนอนเสียใหม่ แต่หากโรคนอนไม่หลับรบกวนจิตใจ หรือส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ก็อาจจะต้องไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป

ที่มา : โรงพยาบาลเปาโล, โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
#2772



ข้อมูลจากแถลงของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (ศบค.) ณ วันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมามีผู้ป่วยโควิด-19 สะสมระลอกเมษายนถึง 549,512 ราย ยอดสะสมตั้งแต่เริ่มการระบาด 578,375 ราย มีผู้เสียชีวิตรวม 4,679 คน

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้การคาดการณ์เหตุการณ์การระบาด รวมทั้งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศทำได้ยาก เนื่องจากมีความไม่แน่นอนสูงแม้รัฐบาลจะใช้มาตรการล็อคดาวน์เพื่อคุมการระบาดในพื้นที่สีแดงเข้ม 10 จังหวัด และขยายเป็น 13 จังหวัดมานานกว่า 2 สัปดาห์ หากแต่การระบาดของโรคขณะนี้ยังไม่ใช่จุดสูงสุดของการระบาดระลอกล่าสุด 

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข มีการคาดการณ์ว่าตัวเลขผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ในไทยสามารถเพิ่มสูงขึ้นถึง 4 หมื่นคนต่อวันในช่วงกลางเดือน ก.ย.หากไม่มีมาตรการที่เข้มข้นเพียงพอ และถึงแม้มีมาตรการที่เข้มข้นกว่าที่ผู้ป่วยจะลดจำนวนลงก็ใช้เวลานานหลายเดือน 

ในสถานการณ์ที่การต่อสู้กับโรคระบาดทำได้อย่างยากลำบากช่วงเวลา 3 เดือนต่อจากนี้ (ส.ค. - ต.ค.) ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าเป็นห่วงทั้งในด้านความสามารถของระบบสาธารณสุขที่ตึงตัว ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจที่จะทรุดตัวลงจากการแพร่ระบาดที่ขยายออกไปในหลายพื้นที่ และลามไปยังภาคการผลิต และที่เป็นผลกระทบเป็นลูกโซ่ตามมาก็คือเรื่องของการตกงานของแรงงานจำนวนมากเป็นผลกระทบที่ตามมาต่อเนื่อง 

"กรุงเทพธุรกิจ" รวบรวมความเห็นของนักวิชาการ และนักเศรษฐศาสตร์ ที่ติดตามสถานการณ์และคาดการณ์ถึงภาพอนาคตระยะสั้นของประเทศไทยที่จะเกิดขึ้นภาายใน 3 เดือนข้างหน้าทั้งในเรื่องสถานการณ์การแพร่ระบาด ผลกระทบต่อเศรษฐกิจรวมทั้งข้อเสนอแนะที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการเพื่อแก้วิกฤติที่เกิดขึ้น ดังนี้ 



นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ที่ยืดเยื้อ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินว่าเศรษฐกิจได้รับผลกระทบไปแล้วกว่า 9 แสนล้านบาท โดยเศรษฐกิจในปีนี้เมื่อเจอการแพร่ระบาดที่ยืดเยื้อจะหวังให้เติบโตสัก 1% ก็ยากและเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจปีนี้จะไม่ขยายตัวเลย

ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งประเทศไทยพึ่งพาการท่องเที่ยวมากคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 15% ของจีดีพี และมีการจ้างงานมากถึง 10 ล้านคน การที่ภาคการท่องเที่ยวปิดไปเกือบหมดนั้นหมายความว่าคนเกือบ 10 ล้านคนตกงานไม่มีรายได้ ซึ่งกระทบการใช้จ่ายของประชาชนมาก

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยในขณะนี้ถือว่าสถานการณ์น่าเป็นห่วงเนื่องจากเราต้องรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กลายพันธุ์มีการระบาดได้อย่างรวดเร็วคือสายพันธุ์เดลต้า ซึ่งตัวอย่างที่มีการระบาดในหลายประเทศคือในอินเดีย และล่าสุดในอินโดนิเซียมีผู้ติดเชื้อสายพันธุ์นี้เพิ่มขึ้น 10 เท่าภายใน 5 สัปดาห์จนมีผู้ป่วยรายใหม่หลายหมื่นคนต่อวัน 

"เมื่อสายพันธุ์ชนิดนี้ของโควิด-19 เข้ามาเป็นสายพันธุ์หลักในไทยทำให้ระบบสาธารณสุขของไทยมีความเสี่ยงที่จะรับไม่ไหวเห็นได้จากสัญญาณว่าเริ่มมีการขาดแคลนถังออกซิเจน เริ่มมีการให้ผู้ป่วยออกมานอนนอกอาคารของโรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์เริ่มติดโควิด-19 รวมทั้งต้องเอานักศึกษาแพทย์มาช่วยรักษาผู้ป่วยโควิด ส่วนเมรุที่เผาศพก็เผาศพต่อเนื่องกันจนบางที่พัง"

ทั้งนี้การประกาศล็อคดาวน์เพื่อต่อสู้กับโควิดของรัฐบาลถือว่ามีความจำเป็นและเป็นแนวทางที่หลายประเทศใช้ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ในระลอกต่อไป ซึ่งมีระยะเวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้นที่จะเตรียมตัว เพื่อให้ประเทศไทยเปลี่ยนจากสถานะประเทศที่รับมือกับโควิด-19 ไม่ได้เป็นประเทศที่สามารถรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ได้อีกครั้ง 

โดยมี 3 เรื่องที่รัฐบาลต้องทำคือ 1.เร่งรัดการฉีดวัคซีนเข็ม 3 ให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับบุคลากรทางการแพทย์ให้มีความพร้อมรับมือกับการกลายพันธุ์ของโควิด-19 

2.เร่งรัดการจัดหาและนำเข้าวัคซีนทางเลือกให้กับประชาชน โดยในเรื่องนี้รัฐบาลและเอกชนควรร่วมมือกันทำงานอย่างใกล้ชิดเพื่อจัดหาวัคซีนทางเลือกหลายๆยี่ห้อเข้ามาในประเทศไทย

และ3.การบริหารจัดการวัคซีนซึ่งจำเป็นที่จะต้องจัดสรรวัคซีนลงไปในพื้นที่ที่สำคัญ ในจุดพื้นที่อ่อนไหวต่อการแพร่ระบาด ในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ รวมทั้งพื้นที่ซึ่งมีการแออัดของผู้คนจำนวนมาก ที่มีความเสี่ยงที่จะติดต่อกันง่าย 

"โจทย์ใหญ่ของปีนี้คือการพยุงเศรษฐกิจให้ไปได้ก่อน ระยะเวลา 3 เดือนนี้สำคัญมากๆหัวใจของการฟื้นเศรษฐกิจอยู่ที่วัคซีน หากสามารถจัดการทั้ง 3 ส่วนนี้ได้ดี เมื่อเริ่มเปิดเมืองแล้ว ประเทศไทยจะอยู่ในฐานะที่สามารถรับมือกับการระบาดของโควิดได้อีกครั้ง"นายกอบศักดิ์ กล่าว 


นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรวิทยาการการจัดการสำหรับนักบริหารระดับสูง (วบส.) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่าสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบันถือว่าวิกฤติมาก ซึ่งนายกรัฐมนตรีควรจะต้องตัดสินใจใช้ "ยาแรง" ในการแก้ไขปัญหา หมายถึงการล็อคดาวน์นั้นต้องทำจริงจัง กำหนดให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้านแล้วให้มีระบบการส่งอาหาร ยา ให้ซึ่งสามารถที่จะใช้กำลังพลในกองทัพมาช่วยเหลือเรื่องนี้ได้เพราะนายกรัฐมนตรีเองก็เป็น รมว.กลาโหมซึ่งจะสามารถจัดการได้ 

ทั้งนี้การใช้มาตรการล็อคดาวน์แบบเข้มข้นต้องสื่อสารให้ประชาชน และภาคเอกชนเข้าใจตรงกันว่าเป้าหมายคือรัฐบาลต้องการควบคุมการแพร่ระบาดให้ได้ภายใน 3 เดือน ขณะเดียวกันในช่วงเวลานี้ต้องกำหนดเป้าหมายการฉีดวัคซีนและติดตามการฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมาย โดยกำหนดไว้ที่เดือนละ 10 ล้านโดสเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่โดยการเร่งฉีดให้ประชาชนให้ได้อย่างน้อย 70% ของประชากรในประเทศ ซึ่งการที่จะฉีดได้รวดเร็วตามแผนดังกล่าวภายใน 3 เดือนนี้จะต้องกระจายวัคซีนไปยังพื้นที่ต่างๆไม่ควรกระจุกการฉีดอยู่ที่สถานที่ใดสถานที่หนึ่งเฉพาะ 

"ใน 3 เดือนนี้ต้องคุมโควิดให้อยู่ก่อน แม้จะต้องใช้ยาแรง แต่หากทำเพื่อให้โรคนี้มันจบลง เอกชน  กับประชาชนก็น่าจะเข้าใจเพราะไม่มีใครอยากให้การระบาดเกิดขึ้นเป็นระลอกๆ เมื่อคุมโควิดอยู่ได้หลังจากนั้นก็กลับมาฟื้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการใช้จ่าย ท่องเที่ยวในประเทศซึ่งหากสามารถทำได้เศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายก็ยังสามารถที่จะขยายตัวได้" นายมนตรี กล่าว 

นายมนตรีกล่าวด้วยว่าในปี 2564 เศรษฐกิจของไทยอาจจะขยายตัวได้ประมาณ 1% หรือต่ำกว่า 1% ซึ่งการที่เศรษฐกิจยังขยายตัวได้มาจากภาคการส่งออกแต่ การส่งออกที่ขยายตัวได้มากก็มาจากฐานที่ต่ำในปีก่อน และการส่งออกที่ได้อานิสงค์จาการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก 

ซึ่งในขณะนี้หากรัฐบาลสามารถควบคุมโควิด-19 ได้ในระย 3 เดือน ก็จะยังคงมีช่วงเวลาที่สามารถจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งมาตรการที่สามารถทำได้คือการนำเอามาตรการการจูงใจการใช้จ่ายของผู้มีรายได้สูงซึ่งเป็นส่วนบนของ "ปิดรามิด" ที่ยังมีกำลังซื้ออยู่ ได้แก่ มาตรการช็อปดีมีคืน ซึ่งสามารถเพิ่มวงเงินใช้จ่ายต่อรายได้ถึง 1แสนบาทต่อราย

หากมีผู้เข้าร่วมโครงการประมาณ 1 ล้านรายก็จะมีเงินหมุนเวียนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีอย่างน้อย 3 แสนล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะจัดเก็บรายได้เพิ่มจากภาษีได้ประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาทนำมาใช้จ่ายในด้านต่างๆ ส่วนการคืนภาษีให้กับประชาชนก็จะเกิดขึ้นในช่วงกลางปี 2565 

ขณะที่ นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยภัทร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ได้กล่าวในการเสวนาทางคลับเฮาส์ : CEO โซเซ Just Say SO" จัดเสวนา "CEO โซเซ The Legend..สร้างตำนานผ่านวิกฤติ" จัดโดยฐานเศรษฐกิจและกรุงเทพธุรกิจ เมื่อวันที่ 22 ก.ค.2564 ว่าช่วง 3 เดือนข้างหน้านี้ หากรัฐบาลแก้ปัญหาโควิดไม่ได้อย่างทันจะลามสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยภาคการผลิตจะหยุดชะงักมากขึ้น และหากลามถึงการส่งออกที่เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวเดียวแล้วจะน่าห่วงมาก และหากผลิตไม่ได้เศรษฐกิจไม่โตคนขาดรายได้ คนไม่มีเงินไปจ่ายหนี้แบงก์ ผลกระทบจะลามถึงสถาบันการเงินในที่สุด

"เราอยู่ในสถานการณ์วิกฤติและวิกฤติยังแย่กว่านี้ได้ เพราะวิกฤติโควิดรอบนี้กระทบเศรษฐกิจจริง มีคนล้มตายและเจ็บป่วย ต่างจากวิกฤติปี 2540 ที่กระทบภาคการเงินและคนรวยเท่านั้น"

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าเห็นเค้าพายุกำลังจะมา เพราะต้นปี 2564 นักวิเคราะห์เศรษฐกิจ ส่วนใหญ่ประเมินจีดีพี 3.5% แต่ผ่านมาครึ่งปีลด 3-4 ครั้งแล้ว จนเหลือ 1.5% หรือตอนนี้อาจเหลือไม่ถึง 1%

ส่วนการประเมินเศรษฐกิจระยะข้างหน้าทำได้ยาก เพราะไม่รู้จริงว่าสายพันธุ์เดลต้าระบาดแรงแค่ไหน รวมทั้งเรามีชุดตรวจไม่พอและสุดท้ายปัญหาแก้ไม่ทันจะลามไปกระทบสถาบันการเงิน รวมทั้งหากรัฐบาลยังทำเช่นนี้แล้วโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าระบาดแรงมากเหมือนต่างประเทศ จะทำให้ปัญหาใหญ่ขึ้น และมองว่าโควิด-19 ยังติดคนไทยได้อีก 50 ล้านคน เพราะคนฉีดวัคซีนครบ 2 โดส มีแค่ 3-4 ล้านคน สมมติคนติดเชื่อแต่ไม่รู้ว่าติดเชื้อก็นำเชื้อไปติดให้คนที่เหลืออีก 60 ล้านคนได้

ปัญหาในวิกฤติโควิด-19รอบนี้ เห็นด้วยว่า ปัญหาอยู่ที่การบริหารของรัฐบาล แต่ยังมีทางออกเพื่อแก้ไข 3 ปัญหา ตอนนี้ คือ

1.เมื่อวัคซีนไม่พอแล้วจะแบ่งให้ใครอันดับแรก ซึ่งต้องแบ่งให้บุคคลการด้านการแพทย์และสาธารณสุขก่อน ที่ผ่านมาฉีดแล้ว 7 แสนราย และต้องฉีดซ้ำ ทำให้ต้องใช้วัคซีนเพิ่มขึ้น ยิ่งทำให้วัคซีนขาดแคลนมากขึ้นไปอีก และตอนนี้รัฐบาลต้องถามตัวเองว่าจะฉีดให้ผู้สูงอายุที่ไม่อยู่ในภาคการผลิต หรือฉีดให้ผู้อยู่ภาคการผลิตคนวัยทำงานเพื่อให้เศรษฐกิจเดินต่อ

"เมื่อวัคซีนไม่พอแล้ว ทำให้รัฐบาลมาถึงจุดบีบบังคับ ให้ตัดสินใจแม้เป็นเรื่องที่ยากจะตัดสินใจ แต่ถ้าบอกประชาชนให้ชัดเจนได้ก็ดี ว่าจุดยืนของรัฐบาลอยู่ตรงไหนในเรื่องนี้ หากยังพูดกล้อมแกล้มแบบนี้ ในความกล้อมแกล้ม ยิ่งทำให้เราไม่รู้ทิศทาง"

2.ชุดตรวจยังไม่มากพอเพราะหากเลือกฉีดวัคซีนให้ผู้สูงอายุก่อน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีโอกาสเสียชีวิตได้มากกว่าคนที่อายุน้อย 30-100 เท่า ดังนั้น รัฐบาลต้องพยายามแยกระหว่างคนติดเชื้อ กับคนไม่ติดเชื้อ เพื่อให้คนไม่ติดเชื้อยังสามารถเข้าไปทำงานได้อย่างปลอดภัย โดยเฉพาะคนในภาคการผลิต ที่เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า

 สำหรับทางออกของปัญหานี้ เสนอว่า หากวัคซีนยังไม่พอแล้ว ก็ต้องตรวจให้มาก ทำชุดตรวจโควิด-19 ราคา 5-10 บาท หรือแจกฟรีได้หรือไม่ เพราะโรงงานที่มีแรงงานหลักพันคนจะได้ตรวจกันทุกวัน ต้องแจกชุดตรวจให้มากที่สุด

3.การเยียวยาทันหรือไม่ เพราะสุดท้ายหากยังเกิดปัญหาวัคซีนไม่พอ ชุดตรวจเชื้อยังทำช้าไปอีก คนทำงานไม่ได้ ไม่มีรายได้ ถ้าทุกคนเป็นหนี้แบงก์แล้ว สุดท้ายปัญหาที่สะสมทั้งหมด จะส่งผลกระทบกลับเป็นความเสี่ยงต่อธนาคาร ซึ่งต้องเร่งเยียวยาให้ทัน

"นโยบายการเงินถ้ามองแง่บวก เงินเฟ้อต่ำหนี้ต่างประเทศก็ไม่มี มองว่า ยังใช้นโยบายการเงินได้ พิมพ์เงินมาช่วยเหลือได้ แต่ต้องรู้ว่าจะทำเอาสิ่งนี้มาให้ทันท่วงที อย่าเป็นมาตรการที่ตามปัญหา เพราะตั้งแต่ต้นปีมานี้เราเห็นรัฐบาลมีแต่มาตรการตามปัญหา ไม่เคยมีมาตรการที่แก้ปัญหาก่อนที่จะเกิดเลย" นายศุภวุฒิกล่าว 
#2773



โดย ดร.อรุณ ศิริจานุสรณ์ (นักวิชาการอิสระ / ผู้อำนวยการสถาบันพรีโม่ อะคาดิมี่) 40

คลัสเตอร์...เป็นคำที่ติดหูของผู้คนในแวดวงอุตสาหกรรมมาช่วงระยะหนึ่งแล้ว จากนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาล เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่มิติใหม่ หรือประเทศไทย 4.0

คลัสเตอร์...เป็นคำที่ติดหูของผู้คนในแวดวงอุตสาหกรรมมาช่วงระยะหนึ่งแล้ว จากนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาล เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่มิติใหม่ หรือประเทศไทย 4.0 โดยมีการดำเนินงานก้าวหน้าเป็นลำดับ ตั้งแต่ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2558 เห็นชอบนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบคลัสเตอร์ พร้อมเพิ่มเติมการกำหนดกลุ่มอุตสาหกรรมศักยภาพเป้าหมาย หรือ 10 S-curve ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2558 เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่มูลค่าทางเศรษฐกิจใหม่ โดยล่าสุดได้มีการมุ่งเป้าสู่การพัฒนาในเชิงพื้นที่ในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor Development: EEC) ผลักดันให้พื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา เป็นพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์สาคัญในการพัฒนา 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

ซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะเขตพื้นที่ดังกล่าว เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศ ที่มีความพร้อมทั้งด้านเครือข่ายอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ อีกทั้งยังเป็นพื้นที่เดิมที่มีการพัฒนามาเป็นระยะเวลามากกว่า 30 ปีแล้ว อย่างไรก็ตาม อาจมีหลายท่านสงสัยว่า หากมีการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจแห่งที่สอง หรือสาม หรือสี่ ..... ในเขตพื้นที่ภูมิภาคอื่น ๆ ควรจะส่งเสริมให้มีการพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรมใด และควรมีแนวทางการพัฒนาคลัสเตอร์อย่างไรจึงจะเหมาะสม แต่ก่อนที่จะไขปัญหาที่เราสงสัยกันต่อไป การเริ่มต้นที่การทำความเข้าใจแนวคิดพื้นฐานว่าจริง ๆ แล้วคลัสเตอร์ คือ อะไรกันแน่

คลัสเตอร์คืออะไร?

ทำไมบริษัทของประเทศหนึ่ง ถึงมีขีดความสามารถสูงกว่าบริษัทของประเทศอื่น ๆ ในสาขาอุตสาหกรรมเดียวกัน เป็นคำถามที่มีนักเศรษฐศาสตร์ และนักวิชาการหลาย ๆ ท่านได้ทำการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง โดยข้อสรุปหนึ่ง ที่ได้รับการยอมรับ นอกเหนือจากทฤษฎีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Advantage) ซึ่งให้ความสำคัญไปที่ปัจจัยพื้นฐานสำคัญทางเศรษฐกิจ อาทิ ทรัพยากร ทุน และแรงงานแล้ว คือ การระบุถึงความสำคัญของพื้นที่ที่ตั้งของบริษัท ต่อขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากพื้นที่นั้น

โดยองค์ประกอบของปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการรวมกลุ่มของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในธุรกิจสาขาเฉพาะในพื้นที่ใกล้เคียงกันอย่างเหมาะสม โดยการรวมกลุ่มของกิจกรรมทางเศรษฐกิจดังกล่าว มีชื่อเรียกที่ติดหูกันว่า "คลัสเตอร์" ซึ่งหมายถึง การรวมตัวกันของกลุ่มบริษัทในสาขาเฉพาะ ซัพพลายเออร์ที่มีความเฉพาะ ธุรกิจให้บริการ บริษัทในอุตสาหกรรมที่มีความเกี่ยวเนื่อง และสถาบันสนับสนุนที่เกี่ยวข้อง (อาทิ สถาบันการศึกษา และฝึกอบรม สถาบันวิจัยพัฒนา ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ) มาร่วมดำเนินกิจการอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน ในระดับที่เพียงพอต่อการพัฒนาความเชี่ยวชาญ การบริการ ทรัพยากร การจัดหาวัตถุดิบ รวมถึงทักษะ และความสามารถของกำลังแรงงาน ที่มีความพิเศษ ความหมายของคลัสเตอร์ ในหลาย ๆ งานศึกษา ได้นิยามไว้แตกต่างกันบ้าง หากแต่มีแนวคิดที่เห็นพ้องร่วมกันในความเป็นคลัสเตอร์ใน 3 ประเด็น ซึ่งมีความหมายลึก กว่าการรวมกลุ่มของเครือข่ายผู้ประกอบการดังที่ใช้กันโดยทั่วไป

ประเด็นแรก คลัสเตอร์ถูกมองว่าเป็นการกระจุกตัวทางภูมิศาสตร์ของบริษัท ที่มีความเฉพาะ แรงงานที่มีทักษะสูง และสถาบันสนับสนุน ซึ่งช่วยก่อให้เกิดการประหยัดจากการอยู่เป็นกลุ่ม และเพิ่มการกระจายตัวขององค์ความรู้ จากการอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน สร้างเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดขีดความสามารถการแข่งขันพื้นที่ได้

ประเด็นที่สอง คลัสเตอร์เป็นโครงสร้างเชิงระบบที่ช่วยสนับสนุนและจัดหาบริการที่มีลักษณะเฉพาะและจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับบริษัทเฉพาะกลุ่ม ตัวอย่างเช่น การช่วยจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่มีความเฉพาะและซับซ้อนสูง บริการทางการเงิน บริการด้านการวิจัย และพัฒนาเฉพาะด้าน รวมถึงบริการสนับสนุนการประกอบธุรกิจ หรือการพัฒนาฝึกอบรมบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะ เป็นต้น

ประเด็นที่สาม คลัสเตอร์มีลักษณะเป็นโครงสร้างเชิงสถาบัน หรือกาวทางสังคม ที่เชื่อมประสานระหว่างผู้เล่นด้านนวัตกรรมทั้งมหาวิทยาลัย กลุ่มธุรกิจ และหน่วยงานภาครัฐ หรือเครือข่ายระหว่าง 3 ฝ่าย (Golden triangle หรือ Triple Helix) ที่มีความแตกต่างเข้าไว้ด้วยกัน

คลัสเตอร์ จึงมีความสำคัญในแง่ที่ช่วยสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นประโยชน์ต่อการตั้งอยู่ของกลุ่มบริษัท และดึงดูดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญให้เข้ามาสู่พื้นที่ ก่อให้เกิดการจ้างงาน และการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค และเป็นกิจกรรมที่ส่งผลให้เกิดผลกระทบทางบวกต่อการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันแก่บริษัท หรืออุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ได้ถึง 3 ทาง คือ ช่วยเพิ่มผลิตภาพของบริษัท หรืออุตสาหกรรม ส่งเสริมการยกระดับศักยภาพด้านนวัตกรรม รวมถึงกระตุ้นให้เกิดรูปแบบทางธุรกิจใหม่ที่สนับสนุนการเกิดนวัตกรรมและการขยายตัวของคลัสเตอร์ ซึ่งทาให้บริษัทสามารถหาแนวทางใหม่ หรือแนวทางที่ดีกว่าในการแข่งขันภายในอุตสาหกรรม และสร้างนวัตกรรมได้เร็วกว่าตลาด

ติดตามตอนที่ 2 ว่าด้วย คลัสเตอร์อะไรที่ควรพัฒนาในภูมิภาค ???

เอกสารอ้างอิง:
Bresnahan, T., Gambardella, A., and Saxenian A. (2001). Old economy' inputs for 'new economy' outcomes: cluster formation in the new Silicon Valleys. Industrial and Corporate Change, Oxford University Press, No.4 Vol.10, 2001.
Dzisah, J. and Etzkowitz, H. (2008). Triple helix circulation: the heart of innovation and development. International Journal of Technology Management & Sustainable Development, Vol 7, No 2, Sep 2008, pp. 101-115(15).
Europe INNOVA. (2008). The concept of clusters and cluster policies and their role for competitiveness and innovation: main statistical results and lessons learned. Commission staff working document SEC (2008) 2637.
International Trade Department. (2009). Clusters for competitiveness. A practical guide and policy implications for developing cluster initiatives. 2009.

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/951739
#2774



อีกหนึ่งโครงการของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิเพื่อชุมชน โดยพัฒนาผลิตผลในพื้นที่ช่วยเกษตรกรแก้ปัญหาเรื่องผลผลิตราคาตกต่ำ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิจิตรา เหลียวตระกูล อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหารคณะเทคโนโลยีการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ (มทร.สุวรรณภูมิ) หัวหน้าโครงการหมู่บ้านต้นแบบการสร้างมูลค่าเพิ่มกล้วยหอมเขียวคาเวนดิช เปิดเผยว่า ตนพร้อมคณะทำงาน ได้ลงพื้นที่สำรวจบริบทกลุ่มเกษตรกรพื้นที่ตำบลโพประจักษ์ และตำบลถอนสมอ อำเภอท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรี มีการเพาะปลูกกล้วยหอมเขียวคาเวนดิช พบปัญหาผลผลิตเกินความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศ มีกล้วยตกเกรดจำนวนมาก อีกทั้งราคาของกล้วยหอมสดยังตกต่ำ ทำให้เกษตรกรมีภาวะหนี้สินครัวเรือน นั้น



ทำให้ทีมงานวิจัยเกิดแผนงานภายใต้โครงการบ่มเพาะหมู่บ้านวิทยาศาสตร์ (ชื่อเดิม) ในการสร้างมูลค่าเพิ่มกล้วยหอมเขียวคาเวนดิชตกเกรด ด้วยการแปรรูป ที่มุ่งเน้นการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านนวัตกรรมอาหารเข้ามาประยุกต์ใช้ ส่งผลให้ มีการรวมกลุ่มกันแปรรูปกล้วยหอมเขียว เพื่อจำหน่าย ถนอมอาหาร เพิ่มมูลค่าให้แก่ผลผลิตทางการเกษตร  และ นำไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้ ลดอัตราการว่างงานในชุนชน กระตุ้นเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน



ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิจิตรา กล่าวว่า ปกติเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยหอมเขียวเดิมขายกล้วยหอมเขียวตกเกรด ในราคา 3 บาท/กิโลกรัม ปัจจุบันมีราคากลาง 9 บาท/กิโลกรัม เพิ่มขึ้น 3 เท่าโดยมีกลุ่มแปรรูปมารับซื้อ  และมียอดจำหน่ายแป้งกล้วยหอมเขียวเพิ่มขึ้นประมาณ 30-50 กิโลกรัม/เดือน ส่วนผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่น ๆ จากกล้วยหอมเขียว ในปี พ.ศ. 2563 เกษตรกรมีรายได้ของกลุ่มเพิ่มขึ้น มูลค่าประมาณ 15,000 บาท/เดือน
#2775
ป้ายไฟวิ่ง LED เปลี่ยนข้อความผ่านมือถือ ใช้งานได้ทั้งภายในและภายนอก ทนแดด ทนฝน

ป้ายไฟวิ่งLED เปลี่ยนข้อความผ่านappมือถือ(เชื่อต่อทางwi-fi) หรือส่งผ่านระบบLAN  ขนาดป้าย 105x25cm ใช้งานได้ทั้งภายในและภายนอก ทนแดด ทนฝน มีให้เลือก 4สี แดง,เขียว,น้ำเงิน ราคา 2,900บาท และFull colors  ราคา4,200 บาท ใส่คำ,ข้อความ,วันที่,เวลา,รูปภาพต่างๆได้ ป้ายติดตั้งง่าย โครงสร้างแข็งแรงทนทาน

ทางร้านลงคำให้ฟรีในครั้งแรกและสอนวิธีการใช้งานให้ลูกค้าสามารถลงข้อมูลได้ด้วยตัวเอง แถมขายึดป้ายฟรี

สนใจติดต่อ 0945102033
Line :@gentech
หน้าร้านเซียร์รังสิต ชั้น1


#2776



ราชบุรี - "ลุงดำ" ปราชญ์กัญชาไทยเเละคณะ รวมพลจัดตั้งสมาคมนักปลูกกัญชาแห่งประเทศไทย ปั้นนักปลูกมืออาชีพ ส่งเสริมเกษตรยุคใหม่ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพื่อเตรียมความพร้อมการเปิดเสรีกัญชา

นายอร่าม ลิ้มสกุล หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ลุงดำ Mr.KD" นักปลูกค้นคว้าพัฒนาสายพันธ์กัญชา แบบบ้านๆ พร้อมคณะ รวมพลจัดตั้ง สมาคมนักปลูกกัญชาเเห่งประเทศไทย เพื่อเตรียมความพร้อมการเปิดเสรีกัญชา สร้างนักปลูกกัญชามืออาชีพส่งเสริมเกษตรกรยุคใหม่ ใช้กัญชากู้ชาติโดยมีกัญชาชนหลายองค์กรสนับสนุน สำนักงานบริหารอยู่ที่937/26 ถนนเศรษฐกิจ 1 ตำบลมหาชัย อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร

สมาคมมุ่งทำกิจกรรมมากมาย เพื่อสื่อสารให้ความรู้ อบรม สัมมนา เปิดสถาบันการเรียนการสอน การเป็นนักปลูกมืออาชีพทั้งระดับสูง ระดับกลาง และระดับเริ่มต้น จัดงาน world beach cannabis เพื่อองค์ความรู้เชิงกัญชาทางการแพทย์ที่จะหลักไหลม จัดการการแข่งขันการปลูกกัญชา เฟ้นหานักปลูกมืออาชีพ เพื่อพัฒนาเทคนิค พัฒนาสายพันธ์กัญชา เพื่อเป็นอนาคตใหม่ของเมืองไทย การแถลงข่าวครั้งนี้ เราดำเนินการภายใต้มาตรฐานการป้องกันโควิด รักษาระยะห่าง และปฏิบัติตามกติกาของ ศบค.อย่างเคร่งครัด

สำหรับวัตถุประสงค์การจัดตั้งสมาคมฯ ในครั้งนี้ "ลุงดำ Mr.KD" บอกว่า ต้องการให้ความรู้ทางกฎหมาย เชิงวิชาการให้กับมีนักปลูกใต้ดินได้ปลูกได้อย่างเสรี เป็นสื่อกลางช่วยเหลือรัฐเอกชน เชิงให้ความรู้ต่างๆ ยกระดับเกษตรกรรมยุคใหม่ มีมาตรฐานระดับโลก เป็นสื่อกลางสร้างความสัมพันธ์กับสมาชิกนักปลูก หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เกิดความยุติการค้าขาย ราคาเป็นธรรม มีมาตรฐาน พร้อมกันยังเปิดยังเตรียมเปิดสถาบันสร้างนักปลูกอาชีพ ร่วมกับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ระหว่างการประสานงาน

"ต้องการส่งเสริมให้เกิดอาชีพนักปลูกในไทยที่ถูกกฎหมายและพัฒนาเพื่อการส่งออก เพื่อต่อยอดเศรษฐกิจที่จะฟื้นฟูในอนาคต เพราะตอนนี้เศรษฐกิจแย่มาก จะเอาอะไรมาพัฒนา ถ้าไม่เอากัญชา มีเป็นพืชเศรษฐกิจ ถ้าเราทำสินค้าจะเกิดรายได้ เกิดอาชีพมากมาย วันนี้เลยจัดตั้งสมาคมเพื่อผลิตนักปลูกใต้ดิน ที่ส่วนใหญ่ก็เป็นลูกหลาน เป็นนักปลูกในไทย เพราะคน เรายินดี ทำให้มันดีเพื่อคุณภาพการส่งออก"สำหรับวัตถุประสงค์หลักๆ ของสมาคม มีดังนี้

1. เป็นศูนย์รวมสมาชิกนักปลูก และบุคคลผู้สนใจเกี่ยวกับกัญชาทุกด้านอย่างเป็นระบบ ในทุกมิติ สร้างและส่งเสริมนักปลูกมืออาชีพ /ด้านข้อมูลพันธุ์พืช เมล็ดพันธ์ ปัญหา และแนวทางแก้ไข ครบรอบค้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม ด้านเศรษฐกิจภายในประเทศและต่างประเทศ ด้านกำกับ ดูแล และติดตามจากหน่วยงานราชการต่างๆ ตลอดจนค้านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

2. ให้ความรู้ทางกฎหมาย วิชาการ และการปฏิบัติการ เกี่ยวกับการปลูก และเสริมความรู้เชิงผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบกรอง ซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชา ในเชิงเกษตรกรรม พาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม ให้แก่สมาชิกและบุคคลทั่วไป

3. เป็นสื่อกลาง ช่วยเหลือ ประสานงาน ระหว่างภาครัฐและเอกชน การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ และเผยแพร่ ความรู้วิชาการ บทความ และผลงานวิจัยต่างๆ อันเกี่ยวกับกัญชาในสื่อรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการจัดงานประชุม สัมมนา งานส่งเสริมการค้ำหรืองานแสดงสินค้าอันเกี่ยวกับกัญชา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

4. ส่งเสริมนักปลูก เกษตรกรยุคใหม่ เพื่อให้เกิดการยกระดับวิถีเกษตรกรรมสมัยใหม่สู่มาตรฐานสากล เพื่อให้กัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่สู่การค้า และการอุตสาหกรรมอย่างมีเสถียรภาพทั้งในประเทศและระหว่างประเทศอย่างแท้จริง

5. เป็นสื่อกลาง สร้างความสัมพันธ์อันดี ระหว่างสมาชิกนักปลูก หน่วยงานราชการ สถาบัน องค์กรต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดี ความยุติธรรมทางการค้าขายและการบริการระหว่างสมาชิกและองค์กรต่างๆ

6.เป็นสื่อประชาสัมพันธ์ ข้อมูล ราคากลาง ซื้อขาย กัญชา และสินค้าที่เกี่ยวเนื่องในการปลูกกัญชา ของตลาดในประเทศและต่างประเทศ (ตลาดโลก) ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยุติธรรม อันยังประ โยชน์ให้แก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาชิกของสมาคมฯ

หลังจากนี้ ลุงดำและทีมงาน จะเดินทางฝ่าโควิด ไปจัดตั้งสำนักงานภาค สำนักงานสาขา ให้คึกคักทั่วประเทศ โดยสมาคมมุ่งทำกิจกรรมมากมาย เพื่อสื่อสารให้ความรู้ การอบรม สัมมนา เปิดสถาบันการเรียนการสอน การเป็นนักปลูกมืออาชีพทั้งระดับสูง ระดับกลาง และระดับเริ่มต้นการ จัดงานกัญชาระดับโลก world beach cannabis เพื่อองค์ความรู้เชิงกัญชาทางการแพทย์ที่จะหลั่งไหลเข้ามา และไฮไลท์ที่สำคัญคือการจัดการการแข่งขันการปลูกกัญชาทางการแพทย์ แนวตั้ง ฌ อาคาร WALD018 แหลมผักเบี้ย อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี เพื่อเฟ้นหานักปลูกมืออาชีพทาง การแพทย์ เพื่อพัฒนาเทคนิค พัฒนาสายพันธ์กัญชา เพื่อเป็นอนาคตใหม่ของกัญชาเมืองไทย
 
#2777

ขายอพาร์ทเม้นท์ลาดพร้าว58 ตรงข้ามตลาดโชคชัย4 แขวงวังทองหลาง ขายถูกกู้ได้เต็ม กู้ได้สูง
ขายอพาร์ทเม้นท์ลาดพร้าว58 ตรงข้ามตลาดโชคชัย4 แขวงวังทองหลาง กทม  ขายถูกกู้ได้เต็ม กู้ได้สูง สภาพสวย เหมือนใหม่ ขายถูกกู้ได้เต็ม กู้ได้สูง ตามเครดิตผู้กู้
ขายอพาร์ทเม้นท์ลาดพร้าว58 ตรงข้ามตลาดโชคชัย4  วังทองหลาง กู้ได้เต็ม กู้ได้สูง 
ขายถูกกู้ได้สูงอพาร์ทเม้นท์ลาดพร้าว58  ตรงข้ามตลาดโชคชัย4 รายได้ดี ใกล้รถไฟฟ้า (กำลังก่อสร้าง) แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กทม ขนาด33ห้อง  เนื้อที่130ตรว.อพาร์มเม้นท์สภาพสวย เหมือนใหม่ ขายถูกกู้ได้เต็ม กู้ได้สูง ตามเครดิตผู้กู้

ขายอพาร์ทเม้นท์วังทองหลาง ลักษณะ: อพาร์ทเม้นท์ 4 ชั้น 33 ห้อง พื้นที่ทั้งหมด130ตรว (ตัวอาคาร 100ตรว ที่จอดรถ 30ตรว)

จุดเด่นทำเล: อยู่ตรงข้ามตลาดโชคชัย 4 จากปากซอยเข้าเข้ามาในตึกประมาณ800 เมตร / ทำเลดีกำลังก่อสร้างรถไฟฟ้า

ที่ตั้งอพาร์ทเม้นท์
ที่อยู่: สมชัย อพาร์ทเม้นท์ 124/3 ซ.ลาดพร้าว 58 แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กทม

อยู่ตรงข้ามตลาดโชคชัย4 ขายอพาร์ทเม้นท์ทำเลทอง| กู้ได้เต็ม กู้ได้สูง ตามเครดิต
 ราคาขายทั้งหมด: 40 ล้านบาท

สนใจติดต่อ ชญานิน 0886293244/ ก้อย 0954149923

รายละเอียดเพิ่มเติม
https://hawpak.com/ขายอพาร์ทเม้นท์ลาดพร้า/

คำค้น
ขายอพาร์ทเม้นท์วังทองหลาง, ขายอพาร์ทเม้นท์ลาดพร้าว58, ขายอพาร์ทเม้นท์อยู่ตรงข้ามตลาดโชคชัย4, ขายอพาร์ทเม้นท์แขวงวังทองหลาง, ขายอพาร์ทเม้นท์เขตวังทองหลาง,
#2778



ถึงเวลาวงร็อกหัวมัน POTATO ปั๊บ, โอม, หั่ง, กานต์ และ อั้ม ลุกขึ้นมาปลุกอะดรีนาลินด้วยซิงเกิลที่ 3 "อีกไม่ช้า (SOON)" หนึ่งในเพลงจากอัลบั้มชุดที่ 8 "Friends" ที่ชักชวนเพื่อนร่วมวงการดนตรีอย่าง Slot Machine มาทำเพลงร่วมกันเป็นครั้งแรก

โดย ปั๊บ เล่าว่า "อีกไม่ช้า (SOON)" เป็นมุมมองที่เล่าถึงเรื่องของพระอาทิตย์-พระจันทร์ ที่ต่างทำหน้าที่ของตัวเองแต่ก็มีช่วงเวลาที่ทั้งสองได้พบกัน (ช่วงโพล้เพล้) ผีตากผ้าอ้อม โดยมีเรื่องของแสงที่เชื่อมเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สวยงามที่สุด เปรียบเสมือนคนที่ต่างคนต่างต้องทำหน้าที่ของตัวเองแต่ก็จะมีเวลาที่เราได้มาพบปะกับผู้อื่นแลกเปลี่ยนประสบการณ์

ข่าวแนะนำ

ซึ่งการที่เราได้พบกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายหรือดีก็เป็นสิ่งที่น่าจดจำทั้งสิ้น ถ้าโลกนี้ยังหมุนอยู่เรายังจะได้พบกันเพื่อบันทึกเรื่องราวเอาไว้ เป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมทำเพลงกับพี่ๆ Slot Machine เป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ ทำงานด้วยกันไม่มีรูปแบบและขอบเขตทั้งเนื้อร้อง-ทำนอง ภาษาที่เล่าในเพลงของเราจะมีภาษาเพลงที่ต่างกันทั้งของโปเตโต้และ. แมชชีน แต่สื่อสารเป็นสิ่งเดียวกันรวมถึงภาคดนตรี


ที่สำคัญเพลง "อีกไม่ช้า" มีชื่อภาษาอังกฤษว่า SOON ซึ่งมาจาก Sun + Moon ขอขอบคุณ พี่ปู๋-ปิยวัฒน์ สำหรับเนื้อเพลงนี้ ส่วนมิวสิกวิดีโอเราใช้คำว่า Official Visualiser ร่วมงานกับ พี่ต้น-เรืองฤทธิ์ แห่ง DuckUnit เป็นผลงานสุดจินตนาการ"


ด้าน "เฟิด Slot Machine" บอกว่า "รู้สึกตื่นเต้น แล้วก็ดีใจ ทั้งในฐานะศิลปินที่เจอกันบ่อยมากๆและในฐานะแฟนเพลงที่โตมากับทุกยุคของโปเตโต้ เป็นการร่วมงานกันที่อบอุ่นเป็นกันเอง ฝากแฟนๆของพวกเรา หยินและหยาง เอ๊ย! โปเตโต้และ. แมชชีน กับเพลงอีกไม่ช้า ไว้เป็นอีก 1 พลังใจดีๆจากพวกเรา ชม Official Visualiser ได้แล้ววันนี้!
#2779




นายเศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV เปิดเผยว่า บริษัทถือเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และเป็นผู้ให้บริการทางด้านวิศวกรรมครบวงจร ทั้งการออกแบบ ก่อสร้างโรงไฟฟ้า บริการเดินเครื่องและบำรุงรักษา ตลอดจนลงทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียนทั้งในและต่างประเทศ โดยนำเอาประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียนกว่า 15 ปี ด้วยทีมวิศวกรที่มีประสบการณ์ ความชำนาญงานด้านวิศวกรรมการออกแบบและก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (EPC Turnkey) เข้ามาขับเคลื่อนธุรกิจด้านโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ  

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนพัฒนาและลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และ/หรือพลังงานสะอาด รวมถึงวางแผนเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับห่วงโซ่คุณค่าในการดำเนินธุรกิจ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและกลยุทธ์ด้านการสร้างความมั่นคงทางธุรกิจและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สร้างโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงของเมกะเทรนด์ที่มีเทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อน ทำให้ CV ก้าวสู่บริษัทพลังงานชั้นนำที่ส่งมอบคุณค่าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อการใช้ชีวิตของมนุษย์ และสังคมโลกอย่างสมดุลและยั่งยืนในอนาคต 
#2780




หลังจากที่เน็ตไอดอลชื่อดัง "พิมฐา" หรือ "พิม ฐานิดามานะเลิศเรืองกุล" โดนโซเชียลถล่มเละ เหตุมาจากพื้นที่สีแดง แต่ไม่กักตัว ตระเวนไปทั่ว ต่อมาเจ้าตัวพบว่าติดโควิด-19 ทำเอาวุ่นไปทั้งเชียงใหม่ ล่าสุดเมื่อวานนี้ (27 ก.ค.) เจ้าตัวก็รักษาอาการโควิดจนหายเป็นปกติแล้ว

พิมฐาได้โพสต์ไอจี ว่าได้เดินทางไปมอบเงินเยียวยา ให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด จากกระทำของเธอและเพื่อนสนิท "แบงค์ ธิติ มหาโยธารักษ์" ที่ไม่สามารถเดินทางมาได้ด้วยตนเองเรียบร้อยแล้ว

โดยสาวพิมฐาและครอบครัว ได้แสดงความรับผิดชอบ ที่ทำให้นักศึกษาหลายคน ต้องปรับเปลี่ยนการเรียน เป็นระบบออนไลน์ ด้วยการเข้าพบสมาคมนักศึกษา เพื่อขอโทษและมอบทุนการศึกษาให้กับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หวังช่วยบรรเทาความเดือนร้อนไม่มากก็น้อย

"วันนี้พิมได้มีโอกาสเข้าไปพบประธานสมาคมนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่หลังจากได้ทราบข่าวของนักศึกษาหลายท่านที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ Covid 19 และต้องเข้าเรียนในระบบออนไลน์

พิมและครอบครัวรวมถึง ต้องขอขอบคุณทางฝ่ายตัวแทนนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ยอมรับและเข้าใจ และให้โอกาสเราในการร่วมสมทบทุนบริจาคโครงการทุนการศึกษารวม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดสรรเป็นทุนปี การศึกษา2564

และเราทราบดีว่าเราไม่สามารถทดแทนและเยียวยาผลกระทบในวงกว้างได้ทั้งหมดแต่หวังว่าจะสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนที่นักศึกษาหลายท่านต้องเผชิญอยู่ไม่มากก็น้อย ขอบพระคุณค่ะ "

ส่วนร้านอาหารและค่าเฟ่ ที่ได้รับผลกระทบ ตามรายชื่อที่ปรากฎอยู่ในไทม์ไลน์ เจ้าตัวก็ได้เดินทางไปขอโทษ พร้อมมอบเงินเยียวยาให้ครบหมดทุกร้าน

"หลังจากที่พิมได้รักษาตัวจนหายจากโรค covid19 และได้กักตัวตามที่แพทย์แนะนำจนครบแล้ว พิมและครอบครัวได้แวะไปตามร้านต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบและมอบค่าเยียวยาที่พิมและ @bank_thiti ตั้งใจมอบให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากพวกเราในครั้งนี้

เราทราบดีว่าไม่อาจเยียวยาในความเสียหายทั้งหมดได้ แต่เราหวังว่าจะช่วยเยียวยาได้ไม่มากก็น้อย

พิมอยากขอบคุณร้านค้าทุกๆ ร้านที่เข้าใจและยอมรับการขอโทษในความผิดพลาดครั้งนี้ของเรา ทางพิมและแบงค์อยากขอโทษอีกครั้ง และพวกเราขอน้อมรับคำติทั้งหมด และสัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกค่ะ "

ซึ่งงานนี้หนึ่งในร้านอาหารได้รับการเยียวยา ก็ได้ออกกล่าวถึงพิมฐาและแบงค์ โดยบอกว่าคิดอยู่นาน ว่าจะออกมาโพสต์ดีไหม แต่ตั้งแต่ที่ทราบว่าติดโควิด ครอบครัวของพิมฐา ก็ได้ติดต่อมาช่วยเหลือทุกทาง และขอโทษนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ได้ขอบคุณทั้งสองคนในฐานะคนดัง แต่อยากขอบคุณในฐานะผู้ป่วยรายที่ 4254 ที่พยายามแสดงความรับผิดชอบ เป็นครั้งแรกที่มีคนมองเห็นและได้ยินเสียงเล็กๆ จำนวนเงินที่มอบให้ทางร้านและพนักงานทุกคน มีค่ามาก เหมือนเป็นการต่อลมหายใจ